ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

10 อันดับ สุดยอดอารยธรรมลึกลับแห่งอดีตกาล






หากเอ่ยคำว่า Aroi หลายๆคนคงไม่คุ้น แต่ถ้าพูดถึงเกาะ อีสเตอร์ นี่รับรองว่าต้องคุ้นกันแน่ๆ เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า
รูปสลักโมอายอันลือชื่อบนเกาะนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ อาณาจักร Aroi นั้นไม่เคยถูกกล่าวถึงในวงการประวัติศาสตร์สากลเลยครับ


เนื่องด้วยหลักฐานที่ออกจะเลื่อนลอย การขาดโบราณวัตถุหรือโบราณสถานต่างๆมาบ่งชี้ ดังนั้น อาณาจักรดังกล่าวจึงเป็นเพียงตำนานที่เล่าขาน
กันอย่างแพร่หลายในแถบหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิคเท่านั้นชื่อกันว่าเมื่ออาณาจักรมูล่มสลายลงราว 24,000 ปีก่อน เหล่าทายาทแห่งมูได้
กระจัดกระจายออกตั้งรกรากกันทั่วโลก และจุดหนึ่งคือหมู่เกาะในบริเวณนี้นั่นเอง เรื่องราวของอาณาจักรสุริยาแห่งนี้ถูกเล่าขานสืบเนื่องกันมา
ในชนชาติ โพลินีเซีย, มาลานีเซีย, และไมโครนิเซีย โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ชาวโพลินีเซียนที่ให้ข้อมูลกับนักมานุษยวิทยาถึงอาณาจักรเก่าแก่
ซึ่งปกครองแถบนั้นมาหลายพันปีก่อนหน้าที่ชาวยุโรปคนใดจะมาถึง

ซึ่งก็ท่าจะมีเค้าครับ เพราะนักสำรวจเองก็ได้พบปิระมิดตามเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นจำนวนมาก บางเกาะมีวิหารรูปร่างประหลาดตั้งอยู่ บางแห่งที่
พิสูจน์อายุด้วยคาร์บอน 14 แล้วพบว่ามีอายุย้อนหลังไปหกถึงเจ็ดพันปี เทคนิคที่ใช้ในการสร้างก็เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าชาวอินคาเหมือนกัน
สิ่งที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือ ชาวเกาะโบราณพวกนี้นิยมสร้างถนนขนาดใหญ่จากกลางเกาะมาสู่ชายหาดด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นก็สร้างรูปสลัก
มหึมาตามขอบถนนหรือไม่ก็บริเวณชายฝั่ง เมื่อเจาะลึกลงไปอีกนิด นักโบราณคดีพบว่า ชาวโพลินีเซียนในนิวซีแลนด์ เกาะอีสเตอร์ ฮาวาย
และตาฮิติ ล้วนมีตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ปักษีที่สามารถเหินฟ้าเดินทางไปมาระหว่างเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งได้


9. อิสราเอลกับเอธิโอเปียโบราณ (Ancient Ethiopia & Israel)



จากหนังสือโบราณของอิสราเอลคือไบเบิลและตำราเก่าแก่ Kebra Negast ของ เอธิโอเปีย เราได้ทราบเรื่องราวของอารยธรรมโบราณ
ที่มีเทคโนโลยีสูงส่ง ซึ่งเคยตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าว แม้ปัจจุบันเองก็ตามนะครับ ถ้ารื้อวิหารของยิวหรือมุสลิมออกดู(ชวนโดนฆ่าไหมเนี่ย คำพูดมัน)
เราก็จะเห็นว่า วิหารหลายแห่งได้สร้างทับของเดิมในลักษณะของการต่อยอดเยอะแยะไปหมดเลยครับ ขนาดของวิหารเหล่านั้นพอๆกะบาลเบ็ค
ในเลบานอนเลยทีเดียว นักโบราณคดีหลายคนให้ข้อสังเกตว่า อารยธรรมบริเวณนี้อาจมีต้นตอเดียวกับอาณาจักรโอสิเรียนซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน
ก็เป็นได้





สถาปัตยกรรมโดยรวมของอาณาจักรดังกล่าวคล้ายกับของ ชาวฟินิเชียน มากครับ และว่ากันว่ามีวิหารขนาดยักษ์แห่งหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์ในการเก็บ Ark of the Covenant ในตำนานนั่นเอง ว่ากันว่าคิงโซโลมอนทรงลงมือควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง
ดังกล่าวคืออุปกรณ์สื่อสารที่ชาวยิวโบราณใช้ติดต่อกับพระเจ้า จากคำบรรยายในคัมภีร์มีลักษณะเหมือนเครื่องส่งวิทยุกำลังสูงที่มีขนาดใหญ่
ไม่แน่นะครับ เมื่อหลายพันปีก่อน อาจมีโบราณสถานซักแห่งในเอธิโอเปียที่ติดตั้งเครื่องส่งขนาดมหึมา และมีต่ออยู่ในลักษณะของเทอร์มินัล
นับเป็นร้อยๆเครื่องก็ได้ ทำนองเดียวกับในวิหารของชาวอินคาที่มีท่อส่งสายสัญญาณอิเล็คทรอนิกส์ แต่นักโบราณคดีรุ่นก่อนๆไปสรุปว่า
มันคือรางน้ำอย่างไรล่ะครับ


8.อาณาจักรของมังกรตะวันออก (Ancient China)



ชนชาติจีนที่เรียกตนเองว่า ชาวฮั่น นั้นถือเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของโลก
นอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปีแล้ว


จีนในปัจจุบันยังนับเป็นมหาอำนาจชาติหนึ่ง ซึ่งนับวันจะมีอิทธิพลต่อประชาคมโลกมากขึ้นตามวันและเวลา เช่นเดียวกับอารยธรรมอื่นๆ
โบราณสถาน, โบราณวัตถุ ตลอดจนบันทึกทางประวัติศาสตร์ของชาวฮั่นนั้น มีอยู่ไม่น้อยที่เชื่อมโยงกับอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์
ดูเหมือนว่าชาวจีนโบราณจะคุ้นเคยกันดีกับเรือที่สามารถลอยลำได้บนท้องฟ้า สนามพลังลึกลับจากพื้นโลก



7.อารยธรรมายา(The Mayans)



หากจะนับปิระมิดที่สวยงามมีชื่อเสียงนอกจากมหาปิระมิดแห่งอียิปต์แล้ว ก็มีปิระมิดของ ชาวมายา นี่แหละครับที่พอจะทาบรัศมีได้
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ปิระมิดของชาวมายาในอเมริกากลางดันไปเหมือนกับปิระมิดที่พบกันในแถบบ้านเรา คือปิระมิดน้อยใหญ่
ในชวาตอนกลาง ชาวมายามาทำอะไรแถวบ้านเรา หรือคนอินโดนิเซียไปหว่านอะไรไว้แถวอเมริกากลางตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ
เพราะลำพังแค่ปริศนาของปิระมิดนับแสนแห่งที่ซุกซ่อนอยู่ตามป่าของชาวมายานั้น ก็เป็นปัญหาที่นักโบราณคดีขบไม่แตก
กันมากพออยู่แล้ว


บรรพบุรุษชาวมายา กล่าวได้ว่าปราดเปรื่องในศาสตร์สำคัญหลายๆแขนง เป็นต้นว่า ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ พวกเขามีวิชาความรู้
ด้านวิศวกรรมที่ยอดเยี่ยมมีการสร้างคลองส่งทำ การทำชลประทานดังที่เหลือหลักฐานอยู่ในคาบสมุทรยูคาทาน ตลอดไปจนมี
สิ่งแปลกๆผิดยุคในครอบครองอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องประดับที่เป็นรูปเครื่องบินปีกสามเหลี่ยม กล่องสมบัติที่รูปร่าง
เหมือนเครื่องส่งวิทยุ หรือแม้แต่แผนที่ดาวซึ่งระบุตำแหน่งของดวงดาวเอาไว้เมื่อสองหมื่นกว่าปีก่อนไว้อย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน
น่าทึ่งดีนะครับ



นักคิดนักเขียนหลายเชื่อว่าอารยธรรมมายาคือสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนติส เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์เอื้ออำนวยให้เชื่อเช่นนั้น
แต่บางกระแสก็ว่าไม่ใช่ เพราะระยะเวลาของอารยธรรมทั้งสองห่างกันมากโข หากชาวมายาได้รับความรู้จากอารยธรรมที่สูงส่งกว่าจริง
แหล่งความรู้ดังกล่าวควรจะมาจากนอกโลกมากกว่า เพราะตำนานของชาวมายาเองก็ระบุเอาไว้เช่นนั้น เชื่อกันว่า ชาวมายา
เองมีสถานที่ที่เรียกว่า ห้องแห่งความรู้ ที่เก็บสรรพวิทยาของชาวมายาเอาไว้

น่าเสียดายที่ไม่มีใครทราบว่ามันอยู่ตรงไหน บางทีอาจอยู่ในปิระมิดซักลูก(ในบรรดานับแสนลูก)หรือสุสานใต้ดินซักแห่งนึง
รอให้เราขุดพบและตีความเหมือนที่ เคยทำกันมาแล้วกับสุสานของห้องแห่งความรู้ของชาวมายาจะเก็บความรู้ไว้ในลักษณะใด
ยังไม่มีใครบอกได้ อาจจะเป็นจารึกภาษามายาหรือภาพวาดบนฝาผนัง หรือยิ่งไปกว่านั้นคือเก็บไว้ในสื่อลักษณะอื่นซึ่งเคยมี
การกล่าวถึงบ่อยๆในตำนานของชาวมายา สื่อที่ว่ามีลักษณะคล้ายคริสตัลที่สามารถเข้ารหัสเก็บข้อมูล
ได้อย่างมหาศาลในทำนองเดียวกับ CD/DVD ในปัจจุบัน


6.เทียฮัวนาโค (Tiahunaco)



เทียฮัวนาโคแห่งอเมริกาใต้ ดินแดนของชนเผ่าลึกลับที่ไม่ทราบที่มาหลายคนว่ากันว่า ชาวพื้นเมืองของเทียฮัวนาโคสืบเชื้อสายมาจาก อาณาจักรมู
ครับ บ้างก็ว่าน่าจะเป็น แอตแลนติส เพราะดูจากสภาพภูมิศาสตร์แล้วมันเอื้อกว่า ใครจะถูกจะผิดเรายังไม่รู้ แต่หลักฐานที่เหลืออยู่อันประกอบด้วย
โบราณสถานที่สร้างจากหินขนาดมหึมา รวมทั้งสถาปัตยกรรมการสร้างกำแพงจากหินหลายเหลี่ยม ซึ่งออกแบบไว้สำหรับป้องกันแผ่นดินไหวนั้น
บอกกับเราว่า ชาวเทียฮัวนาโคมีความรู้เรื่องธรณีวิทยาและแนวแผ่นดินไหวใน Ring of Fire เป็นอย่างดี หรือความรู้เหล่านี้ได้รับมาจากบรรพชน
ชาวมูที่ล่วงลับไปแล้วครับ?




สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเทียฮัวนาโคก็คือสถาปัตยกรรมครับ ทุกอย่างดูมโหฬารอลังการไปหมด ลำพังแค่ขนาดก็น่าทึ่งพออยู่แล้ว พอนักโบราณคดี
ศึกษาลึกลงไปอีก ก็ยิ่งทึ่งหนักเข้าไปใหญ่กับเทคนิคการก่อสร้างของพวกเขา การตัดหินขนาดใหญ่ เทคนิคการใช้คอนกรีตแบบโบราณเอยปูนพลาสเตอร์แบบผสมเอย และเขียนแปลนที่ยอดเยี่ยมอดทำให้นักโบราณคดีงุนงงไม่ได้ว่า หินพวกนี้หนัก 150 ตัน และดูการเข้ามุมของมันดิคัฟ เป๊ะเลยไม่มีช่องว่างเลยถูกคำนวณมาอย่างดี นี่เป็นผลงานของคนเมื่อหลายพันปีที่แล้วแน่หรือ?



พูดถึงเรื่องนี้ก็อดงงไม่ได้นะครับ ว่าทำไมคนโบราณชอบสร้างอะไรที่มันใหญ่โตเกินจำเป็นนักแล้วสิ่งที่สร้างขึ้นน่ะมันก็ขัดกับเทคโนโลยีและความเป็นอยู่ของพวกเขาเสียเหลือเกิน แหละดูเหมือนว่าคนโบราณจะเป็นยังงี้กันไปซะหมด เพราะนอกจากเทียฮัวนาโคแล้ว สิ่งก่อสร้างในอียิปต์ เกาะมัลต้า หรือส่วนอื่นๆในเปรู ก็ล้วนแต่โอ่อ่าอลังการไปเหมือนๆกันหมดซะอย่างนั้น นอกจากตัวเทียฮัวนาโคเองแล้ว โบราณสถานอีกหลายแห่งใน ประเทศโบลิเวีย ล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลจากเทียฮัวนาโค เช่นโบราณสถานทางตอนใต้ของคุซโกที่เป็นที่ตั้งของเมืองแห่งพระเจ้าโบราณ Puma Punku ซึ่งสวยงามและโอ่อ่าเอามากๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมีขนาดใหญ่โตเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าคนงานที่สร้างเมืองแห่งนี้น่าจะเป็นยักษ์เสียกระมัง เพราะหินแต่ละก้อน เสาแต่ละต้นมันใหญ่โตเสียจนเหลือเชื่อว่าลำพังแรงงานมนุษย์จะจัดการกับมันได้ เสาบางต้นมีขนาดร้อยกว่าตัน
บางต้นมากกว่านั้น


5.อารยธรรม ณ ทะเลทรายโกบี (Uiger Civilization of Gobi Desert)



เรายังไม่ได้ไปจากช่วงเวลาของแอตแลนติสและ Rama Empire นะครับ แต่ย้ายโลเกชั่นไปแถวทะเลทรายโกบี ที่ซึ่งมีทั้งเมืองโบราณและท่าเรือขนาดใหญ่ซุกอยู่ใต้ผืนทรายอันไพศาล นักโบราณคดีหลายกลุ่มได้พบเครื่องยนตร์โบราณอายุหลายพันปีในถ้ำบริเวณทะเลทรายโกบี เชื่อกันว่าเครื่องยนตร์เหล่านี้คือซากของยานบินวิมานะในตำนานโบราณของ ชาวภารตะ โคลาส โรเอริช นักสำรวจชาวรัสเซียเคยรายงานถึงการพบเห็นยานบินรูปร่างคล้ายแผ่น CD ในน่านฟ้าทางตอนเหนือของประเทศธิเบตเมื่อทศวรรษที่ 40



บางทีอาจเป็นไปได้ว่า ทายาทของอาณาจักรนี้ยังคงหลงเหลือแต่ซ่อนกายอยู่ที่ไหนสักแห่งใน Uiger area อันไพศาลทางตอนเหนือของทะเลทรายโกบีนี้ก็ได้นะครับ แถวธิเบตยังมีนครในตำนานเช่น ศัมภาลา(Chamberla หรือที่การ์ตูนญี่ปุ่นชอบอ่านว่า จัมบารา) รวมทั้งตัวของมหาปราชญ์แห่งจีนผู้รจนาคัมภีร์ เต๋าเต็กเก็ง อย่างท่านเล่าจื้อ ก็เคยกล่าวถึงอาณาจักรลึกลับที่เต็มไปด้วยผู้ทรงความรู้ เป็นดินแดนในตำนานที่เล่าขานกันว่าอยู่ทางตะวันตกของจีน โดยดินแดนนี้เรียกกันว่าดินแดนของ ชิหวังมู่ ครับ ว่ากันว่าในการท่องเที่ยวอันยาวนานของท่านเล่าจื้อนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ท่านได้ไปพำนักในดินแดนนี้ และในบั้นปลายของชีวิตท่านก้ได้เดินทางออกจากแผ่นดินจีน เพื่อใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในดินแดนโบราณดังกล่าวด้วย


4.อาณาจักรโอสิเรียน (Osirian civilization of the Mediterranean)



ในยุคสมัยของแอตแลนติสและ Rama Empire มีอีกอาณาจักรนึงครับ ที่รุ่งเรืองมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ท่ามกลางหุบเหวที่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่ที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาณาจักรโบราณนี้นับเวลาย้อนหลังไปได้ไกลกว่าราชวงศ์เก่าของอียิปต์เสียอีก นักประวัติศาสตร์เรียกขานชื่อของอาณาจักรลึกลับนี้ว่าโอสิเรียน หรือ Osirian civilization



ครับปูพื้นกันนิดสำหรับความเป็นมาของอาณาจักรนี้ อารยธรรมโอสิเรียน จะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากขาด แม่น้ำไนล์ไป
แม่น้ำไนล์(ซึ่งในบางครั้งเรียกแม่น้ำ Styx)นั้นมีต้นกำเนิดจากทวีปอาฟริกา มีส่วนที่ไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทางตอนเหนือของอียิปต์ กระแสน้ำได้พัดดินตะกอนทับถม (รวมทั้งกร่อนส่วนที่กร่อนได้)
จนเกิดเป็นหุบและทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้นตรงบริเวณพื้นที่ระหว่างมัลต้าและซิซิลีในปัจจุบัน ครอบไปถึงซาร์ดิเนีย
ในมหาสมุทรแอตแลนติคตรงบริเวณที่เรียกว่าเสาหินของเฮอร์คิวลิส (ช่องแคบยิบรอลตานั่นล่ะครับ ^.^ )



หลังจากที่แอตแลนติสจมลงสู่ก้นมหาสมุทร กระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศจากมหาสมุทรแอตแลนติค ก็ได้ทำให้ดินแดนบริเวณ
อ่าวเมดิเตอร์เรเนียนจมลงอย่างช้าๆ กวาดเอาซากแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรโอสิเรียนลงไปเฝ้าเทพโปเซดอน
ที่ก้นมหาสมุทรด้วย ในวงการโบราณคดีแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ามีซากเมืองจำนวนมาก(อย่างน้อยๆก็ 200 เมือง)
ที่จมอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อารยธรรมของอียิปต์เก่า, มิโนอันกับไมซีเนียนแห่งครีต รวมไปถึงเมืองน้อยใหญ่
ของชาวกรีกก็รวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วย มาถึงตรงนี้บางท่านก็อาจจะงงว่าทำไมตูข้าไม่เคยได้ยินชื่อของอาณาจักร
หรืออารยธรรมที่ว่านี้มาก่อน


3.อาณาจักรโบราณแห่งชมพูทวีป (Rama Empire of India)



นับว่าฟ้ายังเข้าข้างอยู่ไม่น้อย ที่ตำรับตำราโบราณของทางอินเดียไม่ได้ถูกม้วนหายไปกับวังวนทางประวัติศาสตร์มากนัก หลายๆชาติต้องพบกับความเจ็บปวดใจ ที่บันทึกโบร่ำโบราณถูกทำลายไปเสียหมดสิ้น ถ้าไม่เพราะภัยพิบัติก็ฝีมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละครับ การเผาตำรา-ฆ่านักปราชญ์ของฉินสื่อหวง(จิ๋นซีฮ่องเต้) การเผาคัมภีร์สำคัญของอียิปต์ตามคำสั่งของผู้นำอิสลาม หนังสือโบรารของมายา อินคา หรือแม้แต่ชาวเกาะอีสเตอร์ก็ถูกชาวตะวันตกเผาทำลายสิ้น



เคราะห์ดีที่ทางอินเดียยังมีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่อีกเยอะ อย่างน้อยก็เยอะมากพอที่จะให้คนรุ่นหลังอ้าปากค้างอย่างอัศจรรย์ใจ
ในความเป็นมาและเป็นไปของอาณาจักรโบราณแห่งดินแดนภารตะนี้ได้แหละน่า บทเรียนในวิชาประวัติศาสตร์สอนเราว่า
อารยธรรมอินเดียเริ่มขึ้นประมาณห้าพันปีที่ผ่านมา แท้ที่จริงอารยธรรมแห่งนี้ยาวนานย้อนหลังไปกว่าที่เรารู้จักมากนักครับ
ก่อนหน้านี้ วงการประวัติศาสตร์รู้จักอินเดียโบราณในแง่ของอาณาจักรใหญ่ ที่เคยรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กับกองทัพ
ของอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซีโดเนีย มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองอย่างน่าทึ่ง



ครั้นพอมีการตั้งไซต์ทางโบราณขึ้นที่หุบแห่งความตาย เฮนโจ ดาโร นักประวัติศาสตร์จึงเริ่มเอะใจเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณ
แถบลุ่มน้ำสินธุแห่งนี้ เพราะหลักฐานทั้งหลายแหล่ที่พบล้วนบ่งบอกว่า ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นมาและเป็นไปที่ไม่ธรรมดา
เอาเสียจริงๆ ที่ว่าไม่ธรรมดาคือ การสร้างเมือง โมเฮนโจ ดาโร กับ ฮารัปปา (Harappa) นั้นดูเหลือกำลังของคนโบราณ
จะทำได้ เมืองทั้งเมืองถูกวางผังเอาไว้อย่างดีก่อนสร้าง ด้วยแปลนที่เหมือนกับวิศกรหย่ายสมัยศตวรรษที่ 20 เป็นคนเขียน
แถมด้วยระบบระบายน้ำที่อัศจรรย์เหลือเชื่อ มัน advance ถึงขั้นที่ว่าทันสมัยและดีเยี่ยมกว่าเมืองหลวงของหลายชาติ
ในเอเชียปัจจุบันเสียด้วย



2.แอตแลนติสโบราณ (The Ancient Atlantis)



ว่ากันว่าไม่นานนักหลังจากที่ทวีปมูจมลง ความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาได้ทำให้แผ่นดินแห่งนึงผุดขึ้นบริเวณคาบสมุทรแปซิฟิค อารยธรรมที่รุ่งเรืองของมูได้หายไปกับภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ไม่ได้รวมถึงอาณาจักรอีกแห่งที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในช่วงปลายยุคของ มู ดินแดนที่ว่าเป็นเสมือนอาณาจักรในม่านหมอกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติครับ



เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามันตั้งอยู่บนดินแดนไหนของโลก อาณาจักรนี้จะมีตัวตนอยู่จริงหรือเป็นเพียงตำนาน
ก็ยังหาคนมายืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อครับ ว่าครั้งหนึ่งโลกของเรา เคยมีอาณาจักรที่สูงส่งด้วยวิทยาการแต่ประสบความพินาศเพราะภัยสงครามนามว่า แอตแลนติส อยู่จริงๆเชื่อกันว่าอาณาจักรแอตแลนติสมีความก้าวหน้าทางวิทยาการเอามาก ๆ ก้าวหน้าชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการทำลายล้างเป็นเทคโนโลยีที่เป็นตัวแทนของแอตแลนติสเลยทีเดียวครับ



เหตุผลที่อาณาจักรโบรารแห่งนี้เน้นเทคโนโลยีด้านสงครามก็อาจเป็นเพราะ ต้องปกครองอาณานิคมที่กระจัดกระจายอยู่รอบโลก
แถมยังต้องทำสงครามกับทวีปอื่นๆที่รุ่งเรืองมาในยุคไล่ๆกัน ตำราบางเล่มกล่าวถึงการรบกันระหว่างแอตแลนติสกับอาณาจักร
ทางฝั่งอินเดียโบราณ ไว้อย่างน่าดูชม ดูเหมือนภาษาสันสกฤตโบราณจะขนานนามของชาวแอตแลนติสว่า อัศวินหรือนักรบ
หลายตำนานกล่าวตรงกันว่า แอตแลนติสมาถึงจุดหายนะเพราะภัยสงคราม

เนื่องจากการใช้อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างไม่ยั้งคิดนั่นเอง จุดจบของแอตแลนติสน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับมนุษย์เราในปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย ตราบที่เรายังไม่ยุติการแก้ปัญหาด้วยกำลัง หรือกระหายสงครามอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้



1.มู ทวีปแห่งมารดร (Ancient Mu or Lemuria)




ก็เห็นพ้องต้องกันในวงการลึกลับศาสตร์แหละครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ
"มนุษย์โลก"




จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดร ระยะเวลาของอาณาจักรนี้ว่ากันว่าย้อนหลังไปถึง 78,000 ปีที่แล้ว บนทวีปขนาดใหญ่
ที่มีชื่อตามภาษาโบราณว่า มู หรือที่คนสมัยใหม่เรียกเลมูเรียตามชื่อของลิงชนิดหนึ่ง และเจริญรุ่งเรืองอย่างยาวนานมาอย่างน้อย
ก็ถึง 52,000 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีบางแหล่งเหมือนกันครับที่ระบุว่า มูไม่ได้มีอายุยืนยาวถึงขนาดนั้น แต่ก่อตัวเมื่อ
ประมาณ 26,000 ปีก่อน และพังพินาศลงด้วยภัยพิบัติ Pole shift หรือขั้วโลกพลิกเมื่อ 24,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว
0สาเหตุประการหลังนี่แฟนๆเรื่อง MMR คงคุ้นๆกันอยู่

ขอบคุณที่มา: //www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?topic=62213.0
CREDIT :: toptenthailand




 

Create Date : 24 กันยายน 2559   
Last Update : 24 กันยายน 2559 23:53:39 น.   
Counter : 29672 Pageviews.  

10 สิ่งประดิษฐ์ลึกลับที่หายสาบสูญ



ในอดีตกาลมี ความรู้เทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์และกรรมวิธีการผลิตของสมัยโบราณมากมายหลายอย่างได้สูญหายไปตามกาลเวลา โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นหายไปเพราะอะไร ทำไมถึงได้หาย และสิ่งที่สร้างเหล่านั้นเต็มไปด้วยความพิศวง แปลกประหลาด ลึกลับจนกลายเป็นตำนาน ที่แม้แต่ปัจจุบันยากที่จะทำความเข้าใจและลอกเลียนแบบมัน และทั้งหมดนี้คือสิ่งประดิษฐ์ลึกลับดังกล่าว

10. Stradivarius Violins



เริ่มต้นที่ “ไวโอลีนสตาดิวาเรียส”  เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่หายไปในช่วงปี 1700 โดยชื่อไวโอลีนนี้มาจากผู้สร้าง
คือ อันโตนิโอ สตาดิวารี ช่างไวโอลีนในเมืองเครโมน่า ประเทศอิตาลี โดยเขามีชื่อเสียงจากดนตรีเครื่องสายชนิดอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็น วีโอล่า, เชลโล่ และกีตาร์ ด้วยความสวยงาม เสียงและคุณภาพทำให้เครื่องดนตรีของเขาทุกชิ้นล้วนมีคุณค่าระดับโลกชนิดไร้ คู่แข่ง ซึ่งทุกวันนี้มีเครื่องดนตรีของเขาหลงเหลือเพียง 600 ชนิดเท่านั้น และส่วนใหญ่ล้วนมีมูลค่าหลายแสนดอลลาร์




แต่น่าเสียดายที่เทคนิคกระบวนการผลิตไวโอลีนสตาดิวาเรียสนั้นได้หายสาบสูญไป เนื่องจากเทคนิคนี้มีเพียงแต่ครอบครัว
ของเขาเท่านั้นที่รู้ความลับอันนี้ โดยมีพระสังฆราช,ลูกหลานของเขา คือ ฟรานซิสโก้ (1671-1743) ,
อโมโบโน (1679-1742) และตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาตายกระบวนการผลิตนี้ก็ยุติไปด้วย

แต่กระนั้นปัจจุบันก็ยังมีหลายฝ่ายที่พยายามจะไขความลับไวโอลีนสตาดิวาเรียส ว่าเหตุใดมันถึงได้กลายเป็นเครื่องดนตรี
ที่ยังคงมีคุณภาพอยู่จนถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่าไม้เมเปิ้ลที่ใช้สร้างเครื่องดนตรีนี้มีการปรับ สภาพโดยเชื้อรา
ทำให้เนื้อไม้มีเอกลักษณ์และทำให้เกิดเสียงสะท้อน หากแต่กระนั้นในความเป็นจริงแล้วคนส่วนใหญ่ไม่เห็นความแตกต่างกัน
ของคุณภาพ เสียงของไวโอลีนสตาดิวาเรียสและไวโอลีนธรรมดาสักเท่าไหร่



9. Nepenthe



สิ่งที่เราได้รู้สึกทึ่งทุกครั้งที่พูดถึงความซับซ้อมภูมิปัญญา  ของชาวกรีกโบราณและโรมันก็คือ Nepenthe คือยาตามตำนานวรรณคดีมหากาพย์โอดิสซีของโฮเมอร์ และในตำนานเทพเจ้ากรีก เล่าว่าชาวกรีกสามารถทำยาเสพติดได้โดยใช้ส่วนผสมอย่างหนึ่งทำให้เป็นยาที่ สามารถไล่ความเศร้าโศกหรือหลายคนเรียกว่า "ยาแห่งการความหลงลืม" และชื่อตัวยาดังกล่าวได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อของหม้อข้าวหม้อแดงลิง(ตามภาษา กรีกที่ Nepenthes แปลว่า เหยือกเหล้าที่ใช้เพื่อลืมความเศร้าเสียใจ)

นอกจากนี้มันยังมีฤทธิ์พอๆ กับฝิ่นและมีมากกว่าด้วยซ้ำ โดยกล่าวแต่อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบันไม่รู้ว่ายาเสพย์ติดที่ว่ามีอยู่จริง
หรือไม่ และส่วนผสมของมันยังคงลึกลับ รู้แต่ว่าตัวยาดังกล่าวถูกใช้แพร่หลายในกรีกโบราณ โดยผ่านทางอียิปต์ สันนิษฐานว่า
น่าจะมีส่วนผสมของไม้วอร์ทวูดซึ่งเป็นยารักษาทุกโรคในเวลาสั้น และจากการดูตามอาการที่ปรากฏในวรรณคดีหลังทานยานี้เข้าไป น่าจะเป็นพวกพืชจำพวกมะเขือพวงซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ความทรงจำเสื่อมและอดีตนั้น มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าฝิ่นถูกนำมาใช้แพร่หลายทางการแพทย์และทันตกรรม



8. The Antikythera Mechanism



หนึ่งในที่สุดของความลึกลับของสิ่งประดิษฐ์ทางโบราณทั้งหมดที่เป็นรู้จักกันดี “เครื่องจักรแอนติไกเธอร่า" วัตถุประหลาดเครื่องทองเหลืองที่ค้นพบโดยนักดำน้ำนอกชายฝั่งของประเทศกรีกใน เกาะแอนติไกเธอร่า ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 กลไกของมันซับซ้อนจนไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนโบราณ ประกอบไปด้วยชุดฟันเฟืองมากกว่า 30 ชิ้น มีข้อหมุนเหวี่ยง และการหมุนที่สามารถคำนวณหาตำแหน่งทางดาราศาสตร์ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ต่างๆได้

โดยอุปกรณ์ดังกล่าวพบอยู่ในซากเรือแตกโดยวิทยาศาสตร์คำนวณแล้วพบว่า อุปกรณ์ชิ้นนี้มีอายุถึง 1 หรือ 2 พันปี
ก่อนคริสตกาล จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันยังคงเป็นความลับและเบื้องหลังเทคนิคการสร้างและ การใช้งาน และที่น่าสนใจ
คือเครื่องจักรนี้ไม่ปรากฏในบันทึกทางประวัติศาสตร์จนถึง ศตวรรษที่ 14 แสดงให้ว่าเทคโนโลยีนี้หายสาปสูญ
ไปถึง 1,400 ปี ทำให้ปริศนาดังกล่าวได้สร้างความงงงวยแก่นักวิทยาศาสตร์มานานหลายศตวรรษ

แต่กระนั้นข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเครื่องจักรแอนติไกเธอร่า น่าจะเป็นกลไกของนาฬิกาโบราณที่สามารถ
คำนวนระยะทางจันทรคติและปีแสงอาทิตย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือ “คอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก”



7. The Telharmonium



เป็นเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องแรกของโลก  โดยเป็นเครื่องดนตรีที่มีขนาดใหญ่ สร้างขึ้นโดย Thaddeus Cahill ในปี ค.ศ. 1897 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเครื่องดนตรีเครื่องนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา โดยใช้สัญญาไฟฟ้าส่งมายังสายแล้วสังเคราะห์เสียงจนเป็นเสียงดนตรีผ่านยัง ลำโพง มันถูกสร้างมาสามรุ่น หนึ่งในนั้นมีน้ำหนักกว่า 200 ตันและใช้พื้นที่มากประมาณหนึ่งห้องถึงจะเก็บมันอยู่

โดยส่วนประกอบคือแป้มพิมพ์และแป้นเหยียบซึ่งผู้ใช้สามารถกดเพื่อให้เกิด เสียง เครื่องดนตรีนี้ถูกนำแสดงในที่
สาธารณะครั้งแรกแล้วพบว่ามีหลายคนชอบมันเพราะ ได้ยินชัดเจนและแปลกใหม่ในเวลานั้นเพราะเครื่องดนตรี
สามารถทำเสียงได้ หลายอย่าง ใช่เครื่องดนตรีประเภทเป่าอย่าง ขลุ่ย บาสซูน คลาริเน็ต และยังมีเชลโล่
หากแต่เครื่องดนตรีนี้ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาหรือสารต่อจนถึงการแก่อนิจกรรมในที่สุด

สาเหตุเนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้ามากและน้ำหนักมหาศาล อีกทั้งมันยังรบกวนสัญญาโทรศัพท์ ทำให้เครื่องดังกล่าว
ยุติลงในปี 1914 และผู้สร้างก็ตาย(ในปี 1934) เครื่องดนตรีที่เหลือถูกเก็บนานกว่าหลายทศวรรษและปัจจุบัน
มันยังคงอยู่เพียง แต่ไม่สามารถนำมาเล่นได้เหมือนก่อน



6. The Library of Alexandria



หอสมุดอเล็กซานเดรีย เป็นหอสมุดที่ขนานนามว่า  เป็นหอสมุดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลกโบราณ สร้างเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ที่มีความเจริญรุ่งเรืองภายใต้การอุปถัมภ์ของราชวงค์พโทเลมี และอนุญาตให้เฉพาะพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย ขุนนาง และชนชั้นที่ร่ำรวยมาใช้บริการเท่านั้น



โดยหอสมุดดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก(จนไม่สามารถคาดคะเนได้) และยังเป็นสถานที่รวบรวมศูนย์กลางสำคัญของ
การศึกษาในยุคนั้น เพราะภายในได้รวบรวมความรู้จากภายนอกจากที่ต่างๆ ทั่วทั้งกรีซ อียิปต์ เอเชียไมเนอร์
และยุโรปมาไว้ในที่เดียวกัน

ในตำนานกล่าวว่านักท่องเที่ยวที่จะเข้าอเล็กซานเดรียทุกคนจะถูกริบหนังสือ โดยหนังสือนั้นจะถูกนำไปคัดลอกด้วยมือ
และต้นฉบับจะถูกเก็บไว้ที่หอสมุด หอสมุดอเล็กซานเดรียและหนังสือจำนวนมากถูกเผาทำลายหลายครั้งตั้งแต่ 47 ปี
ก่อนคริสตกาล โดยจากเอกสารประวัติศาสตร์ระบุว่า หอสมุดดั่งกล่าวถูกทำลายโดย จูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิโรมัน
โดยได้เผาทำลายบางส่วนของหอสมุดเพื่อปิดกั้นเส้นทางของกองทัพเรือศัตรูเมื่อ ครั้งเข้ายึดเมืองในยุคของพระนางคลีโอพัตรา

ในขณะที่ทฤษฏีอื่นๆ ก็ระบุว่า หอสมุดและหนังสือเกือบทั้งหมดถูกทำลายโดยจักรพรรดิธีออโดเชียส ผู้ปกครองชาวคริสต์
ที่สั่งให้ทำลายเอกสารทุกอย่างที่ถือว่าเป็นของพวกนอกรีต หรือไม่ก็มาร์ก แอนโทนี่ได้ขนหนังสือทั้งหมดในหอสมุดแห่งนี้
ไปอียิปต์ ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดดังกล่าวได้ส่งผลทำให้ความรู้อดีตกาลที่มีค่ามากมายหาย สาบสูญพร้อมกับหอสมุดไปด้วย



5. Damascus Steel



เหล็กดามัสคัส เป็นวัตถุที่แข็งแรงจนเป็นไปไม่ได้ว่า  มันจะทำขึ้นจากโลหะที่ถูกใช้กันอย่าง แพร่หลายในสมัยกลาง
ทางตะวันออกกลาง ประมาณ 1100-1700 ปีก่อนคริสตกาล โดยเหล็กเหล่านี้มีลักษณะเด่นคือมันมีความคม ความเหนียว ทนทาน แต่ใบมีดกลับคมและยืดหยุ่น นอกจากนี้ตัวมีดยังมีลวดลายพิศวงมีทั้งลายน้ำไหลหรือลายตัวอักษร


นอกจากนี้มันยังเป็นเหล็กที่มีส่วนผสมของคาร์บอนสูงเป็นพิเศษ ซึ่งโดยปกติแล้วเหล็กที่มีคาร์บอนสูงจะเปราะง่าย
แต่เหล็กดามัสคัสกลับยืดหยุ่น ทำให้กระบวนการผลิตนั้นยากที่จะรู้ว่ามันได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือวัตถุดิบที่ใช้ทำเหล็กนั่น
เอามาจากอินเดียและศรีลังกาในชื่อ “Wootz Steel” รวมไปถึงแม่พิมพ์และส่วนผสมต่างๆ เพื่อสร้างใบมีดมีลวดลาย
สวยงามมีเอกลักษณ์ แต่กระนั้นกระบวนการผลิตเหล็กดามัสกัสนั้นก็ได้หายไปประมาณ 750 ปีก่อนคริสตกาลอย่างลึกลับ

แต่มีหลายทฤษฏี และที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ เส้นทางการค้าถูกตัดขาดทำให้แร่พิเศษที่ใช้ผลิตเหล็กดังกล่าวนั้นมีน้อย
อีกทั้งการพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการทำเหล็กนั้นค่อนข้างยากทำให้ช่วงหลังๆ ลวดลายใบมีดเริ่มลดลง ปัจจุบันมีหลายเจ้า
ที่อ้างว่ามีดของตนคือเหล็กดามัสกัสซึ่งความจริงแล้วสิ่ง เหล่านั้นเป็นเพียงการประมาณวิธีการทำเหล็กดามัสกัสส่วนหนึ่งเท่านั้น
ส่วนของแท้ของจริงนั้นยังไม่มีใครทำได้แต่อย่างใด



4. Apollo/Gemini Space Program Technology



ไม่เพียงแค่เทคโนโลยีจากสมัยโบราณเท่านี้ที่หายไป  เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เช่นกัน โครงการอพอลโล่และการส่งคนไปดวงจันทร์เองก็กำลังถูกยกเลิกเพราะการเข้ามาแทนที่ของหุ่นยนต์ โดยโครงการอพอลโล่เป็นโครงการต่อเนื่องเมอร์คิวรี่ และ เจมิไน มีเป้าหมายสำคัญคือ จะนำมนุษย์ลงไปสำรวจดวงจันทร์ ใช้มนุษย์อวกาศขึ้นไปครั้งละ 3 คน ตัวยานอวกาศประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ ยานบังคับการ ยานบริการ ยานลงดวงจันทร์



โดยโครงการอพอลโล่ เริ่มส่งมนุษย์ขึ้นโคจรในอพอลโล่ โดยขึ้นไปโคจรรอบโลก 163 รอบ ในปี 1968 โดยมนุษย์อวกาศชุดแรกลงไปเหยียบดวงจันทร์คือนักบินของยานอพอลโล่ 11 จำนวน 3 คน คือ นีล อาร์มสตรอง , เอ็ดวิน อี-แอลดริน และไมเคิล คอลลินส์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาซ่าทำให้มนุษย์เหยียบดวง จันทร์ครั้งแรกของโลก แม้โครงการเหล่านี้จะทำให้โลกเปลี่ยนไป แต่กระนั้นโครงการนั้นก็ถูกยกเลิกหลังจากส่งยานอพอลโล่ 17 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1972 ส่วนสาเหตุที่ถูกยกเลิกก็คือโครงการนี้ใช้เงินเกินงบประมาณและล่าช้า ทำให้โครงการเจมิไนเข้ามาแทนที่ โดยวัตถุประสงค์โครงการคือการส่งมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนการดำรงชีวิตขึ้นไปโคจรในอวกาศให้นานที่สุด

แต่โครงการเจมิไนก็กำลังถูกยกเลิกโดยเหตุผลเดียวกัน และปัจจุบันพวกเขาได้เปลี่ยนเป็นใช้หุ่นยนตร์ขึ้นไปสำรวจแทน



3. Silphium



Silphium เป็นพืชในสกุลเฟอรูล่า ยี่หร่า เป็นพืชที่ เคยได้รับความนิยมในสมัยกรีก นำเข้าจากเมืองการค้าซาร์มอัลชีค ประเทศลิเบีย โดยต้นดังกล่าวผลเป็นรูปหัวใจ โดยชาวโรมันนิยมใช้มันปรุงอาหาร แก้อาการเจ็บคอ ไข้ อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง และนอกจากนี้
มันยังมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ด้วย โดยผู้หญิงจะดื่มน้ำผลไม้ของพืชชนิดนี้ทุกครั้งเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถ ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งถือได้ว่าการใช้พืช Silphium ถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่เก่าแก่ที่สุดในการทำแท้ง ก่อนที่มันจะสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล


เนื่องจากมันเป็นที่นิยมมาก แต่พืชชนิดนี้ขึ้นแต่เพียงเมดิเตอร์เรเนียนในแอฟริกาเท่านั้น การขาดแคลนดังกล่าวทำให้มันสูญพันธุ์
ปัจจุบันเราจึงเห็นต้นดังกล่าวได้จากในเหรียญโบราณของชาวโรมันที่เคยแกะสลักบันทึกไว้เท่านั้น



2. Roman Cement



สูตรปูนซีเมนต์สมัยใหม่ได้รับการพัฒนาในปี 1700  โดยส่วนผสมของมันอย่างง่ายคือน้ำ ทราย และหิน ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้นิยมแพร่หลายไปทั่วโลกในศตวรรษที่ 8 แต่ในความจริงแล้วสูตรปูนซีเมนต์นั้นแพร่หลายมาช้านานในสมัยโบราณโดย เปอร์เซีย อัสซีเรีย อียิปต์และชาวโรมัน ชาวโรมมีสูตรปูนซีเมนต์ที่คงทนโดยผสมกับปูนขาวกับหินบดและน้ำ และด้วยสูตรนี้เองทำให้พวกเขาสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายที่มีชื่อเสียง และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน

อย่าง วิหารพาร์เธนอน โคลอสเซียม ผันน้ำระบบท่อโรมัน โรมันบาส ซึ่งเห็นได้ชัดว่าปูนซีเมนต์สมัยโบราณดีกว่าปูนสมัยปัจจุบัน
ที่มันสามารถทน ต่อสภาพอากาศเป็นพันๆ ปี แต่แล้วสูตรปูนซีเมนต์ก็ได้หายสาบสูญในยุคมืดอย่างลึกลับ ทฤษฏีที่นิยมมากที่สุด
คือความลับทางการค้าระหว่างช่างก่อตึกหินด้วยกัน และวิธีการทำซีเมนต์และคอนกรีตก็หายไปพร้อมกับคนที่รู้วิธีทำไปด้วย

แต่กระนั้นก็มีข้อสันนิษฐานว่าปูนซีเมนต์ของพวกเขาได้ใส่ส่วนผสมพิเศษลงไป ด้วย โดยสารนี้จะทำให้สร้างฟองอากาศคอนกรีต
ช่วยให้วัสดุในการขยายทำให้ทนความร้อน และความเย็น ซึ่งสารเคมีนี้ยังคงความลับอยู่



1. Greek Fire



และนี่คือเทคโนโลยีที่หายสาบสูญที่มีชื่อเสียงมากที่สุด "ไฟกรีก" เป็นชื่อของอาวุธที่พัฒนาโดยกองทัพเรือไบแซนไทน์ ในสมัยยุคกลาง ประมาณศตวรรษที่ 11 โดยปกติแล้วจะใช้มันต่อสู้กับกองทัพเรือ โดยเปลี่ยนสูตรน้ำมันเผาไหม้และหลักกาลักน้ำมาใช้ พุ่งผ่านท่อทองเหลืองขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนเรือรบ ไปตกบนเรือของข้าศึก โดยมีการเก็บของเหลวไว้ในถังร้อนอัดที่ถูกอัด และพ้นผ่านท่อดังกล่าวโดยมีอุปกรณ์บางอย่างช่วยสูบ ส่วนผู้ควบคุมเครื่องนั้นจะซ่อนหลังโล่โลหะขนาดใหญ่ โดยไฟดังกล่าวนั้นไม่สามารถดับได้โดยน้ำธรรมดา

มีการบันทึกไว้ว่าอาวุธนี้ถูกใช้ในการจับไล่ผู้รุกรานอาหรับ โดยไฟกรีกสามารถนำมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น
ใช้มันถูกเทลงในขวดและโยนระเบิดใส่ศัตรู หรือกาน้ำแบบพกพา แต่แล้วเทคโนโลยีนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากการล่มสลายของไบแซนไทน์ และแม้ว่ามีบันทึกหลายฉบับเขียนกล่าวว่ามันมีการใช้จริง แต่ไม่ค่อยมีใครรู้
การทำงานของมัน ในขณะที่องค์ประกอบทางเคมีของไฟกรีกยังคงมีการศึกษาและได้รับความสนใจจากนักประวัติศาสตร์
และนักวิทยาศาสตร์

โดยทฤษฏีแรกคือการผสมของดินประสิวคล้ายกับการทำดินปืน แต่ความคิดนี้ปฏิเสธเพราะว่าดินประสิวไม่ไหม้ในน้ำ
และทฤษฏีใหม่เชื่อว่าจะเป็นไฟกรีกคือส่วนผสมต่างๆ ของสารเคมีปิโตรเลียม รวมถึงปูนขาว กำมะถัน





 

Create Date : 24 กันยายน 2559   
Last Update : 24 กันยายน 2559 23:51:26 น.   
Counter : 1706 Pageviews.  

หมอมาร์เซล์ ปดีต คนเลวโลกสาปส่ง คูหามรณะ






"ด้วยปฏิญาณแห่งข้า ข้าขอสาบานจะนับถือบูชาอาจารย์ดุจบิดามารดาอันเป็นที่รักของข้า
ข้าจะปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ จักดูแลรักษาพวกเขาเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้
ข้าจักไม่ให้โอสถอันเป็นพิษแก่ใคร ๆ แม้จะได้รับการเรียกร้องขอก็ตาม ความลับของผู้ป่วย
ที่ข้าไปรู้เห็นข้าจะรักษามันไว้ด้วยชีวิต ด้วยสัจจะนี้ ขอให้ข้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ
ในชีวิตข้าตลอดไป..................."


คำปฏิญาณการเป็นแพทย์ของฮิบโปเครติสบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ ดังไปทั่วสถานที่รับปริญญาบัตร
แพทย์ศาสตร์ บางคนต่างร่ำไห้ที่สำเร็จการศึกษา เพื่อที่จะใช้วิชานั้นสร้างประโยชน์แก่สังคม โดยไม่เห็นแก่ได้
ยกเว้น คน ๆ คนหนึ่ง เขาไม่กล่าวคำสาบานของบิดาการแพทย์เลย กลับนั่งตรงมุม หัวเราะเงียบ ๆ
กับคำสาบานของบิดาการแพทย์ผู้นั้น เพราะในหัวของเขามีแต่เรื่องฆ่า กับฆ่า และกำไรและกำไร
หมอมาร์เซล์ อดีต หมอชาวฝรั่งเศส ที่ต่อมาเขาได้ใช้ประโยชน์สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเครื่องมือ
ฆ่าคนเพียงเพื่อฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น ผลคือ ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของหมอ 63 ชีวิต
ตายอย่างสยดสยองในคูหามรณะที่เขาสร้างขึ้น


ชื่อและความชั่วของเขาโด่งดังไปทั่วโลกเทียบชั้นหมอดีที่ทำคุณประโยชน์บางคนเสียอีก
เรามาทำความรู้จักกับฆาตกรคนนี้กันเถอะ


หมอปีศาจ



ชีวิตวัยเด็กของหมอมาร์เซล์ไม่มีใครทราบมากนัก รู้เพียงแต่ว่าเขาเกิดที่เมืองโอแซร์ ประเทศฝรั่งเศส
เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมักพูดตรงกันว่าเขามีนิสัยซาดิสม์มาตั้งแต่เด็ก ชอบกระทำทารุณแก่แก่สัตว์
หรือเด็กที่เล็กกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผ่าตัดเพื่อศึกษาว่าตัดส่วนไหนให้สัตว์พิการโดยไม่ตาย


เมื่อความสนุกกับการทรมานสัตว์นาน ๆ เข้า มาร์เซล์เริ่มมีความรู้สึกอยากเป็นหมอ เพราะเขาเริ่มสนใจ
ร่างกายมนุษย์ และเป็นอาชีพที่ทำมาหากินง่ายกว่าอาชีพอื่น ๆ

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาร์เซล์ได้ไปทำงานที่หน่วยพยาบาลผู้บาดเจ็บที่เมืองดีชอง
ระหว่างนั้นเขามักขโมยเอามอร์ฟีนไปขายแก่พวกขี้ยาเสมอ ที่นี้เอง มาร์เซล์เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
เห็นคนเจ็บคนตายที่ร้องขอชีวิต การฉีดยาพิษเข้าเส้นประสาทแก่คนใกล้ตายเพื่อให้ตายอย่างสงบ
เลือด ความตาย มาร์เซล์เริ่มหลงใหลกับชีวิตนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น

หลังจากนั้นเขาได้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ จนสำเร็จในปี 1921 หมอมาร์เซล์เรียกใบอนุญาต
การเป็นหมอว่า "เครื่องมือสร้างเงิน"


ต่อมา หมอมาร์เซล์มาตั้งร้านทำมาหากินที่เมืองวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์ เขามักพูดเรื่องคำสาบาน
ของปรมาจารย์ฮิปโปคราติสกับเพื่อนร่วมงานอยู่บ่อย ๆ ว่า
"คำสาบานของไอ้แก่ ฮิปโปคราติสหรือ ฉันไม่สนหรอก ฉันสนเงินมากกว่า ฉันอยากได้เงิน
อยากได้เพื่อบำเรอความสุขของฉัน และตอนนี้ฉันมีวิธีหาเงินกว่าร้อยกว่าวิธีแล้วล่ะ"


หมอมาร์เซล์เริ่มทำงานทางด้านนี้ ครั้งแรกเมื่อรักษาคนรวยจะเก็บค่ายา ค่ารักษาราคาแพง
ส่วนคนจนเขาจะรักษาฟรี โดยเหตุนี้บรรดาชาวบ้านต่างตะหนักว่าหมอมาร์เซล์ได้พึ่งพาได้ตามต้องการ 
นอกจากนั้นหมอมาร์เซล์ยังมีอาชีพเสริมอีกคือ การขายยาเสพย์ติด และการทำแท้งเถื่อนของหญิงสาว!

เรื่องน่ากลัวเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ข่าวการสูญหายของหญิงสาวสวย ที่กำลังตั้งท้องหลายรายเริ่มเกิดขึ้น พร้อมกับเพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียง
ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดในบ้านของคุณหมอใจดีผู้คนนั้น แต่อย่างมากข่าวลือนี้ชาวบ้าน
แค่ซุบซิบกันเล่น ๆ เท่านั้น เพราะเวลานั้นหมอมาร์เซล์เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านมาก
ถึงขั้นขนาดแต่งตั้งหมอมาร์เซล์เป็นนายกเทศมนตรีที่เดียว


ปี 1930 คนไข้คนหนึ่งของหมอซึ่งเป็นเจ้าของร้านในระแวกนั้นถูกฆ่าและปล้นทรัพย์ มีคนพบเห็น
หมอป้วนเปี้ยนสถานที่ที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าของร้านถูกฆ่า นอกจากนี้ก็มีเหตุการณ์คนไข้ที่เป็นโรคไขข้อ
ของหมอตายอย่างฉับพลัน อย่างมีเงื่อนงำหลายราย แต่หมอดันออกใบมรณะบัตรว่า "ตายอย่างปกติ"
สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายตามมาเป็นระลอก


ชีวิตของหมอในเมืองเนิฟฟ ซูร์ ยอนน์ ชักจะร้อนระอุเสียแล้ว ขืนปลอยไว้นานจะไม่เป็นผลดีเสียแล้ว
เมื่อหมอมาร์เซล์คตคิดได้ดังนั้น จึงเก็บข้าวของหนี และอพยพไปอยู่กรุงปารีสก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากกว่านี้
ที่นั้นเองคือจุดเริ่มต้นของคูหามรณะ  เมื่อหมอมาถึงเมืองปารีส ก็เริ่มอาชีพทำมาหากินทันที่
ร้านหมอหมายเลข 60 ถนนโคมาร์แตง แหล่งที่ คึกคัก หรูหราที่สุดในเมือง หมอเริ่มขายยาเสพติด
แก่พวกติดยาในราคาถูก ๆ การรับจ้างทำแท้งเถื่อนแก่ผู้ไม่ปรารถนาจะมีบุตร คือวิธีที่หมอคนนี้ถนัด
จนในไม่ช้าลูกค้าที่จงรักภักดีเยอะแยะ หลายคนมักเห็นเขาว่าเขาเป็นสามีที่ดี เป็นคนเคร่งศาสนา
ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ มีลักษณะของพลเมืองดีไว้อย่างครบถ้วน

แต่นี้เป็นแค่หน้ากากภายนอกเท่านั้น ส่วนในจิตใจหมอมาร์เซล์กำลังหาโอกาส โอกาสที่จะทำกำไร
เข้ากระเป๋าของตนอย่างมหาศาล ขอแค่โอกาสเท่านั้น


คูหามรณะ 



และวันนั้นก็มาถึง ปี 1940 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีได้ยาตราเข้ามาในกรุงปารีส
อย่างง่ายดาย เพราะฝรั่งเศสขอยอมแพ้โดยไม่ขัดขื่น หลายคนที่ชอบประวัติสาเหตุโลก และชอบ
สงครามโลกครั้งที่ 2 คงทราบว่าฮิตเลอร์ผู้นำนาซีและเยอรมันนั่นเป็นคนที่รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง
เขาคิดหลากหลายวิธีที่จะกำจัดชาวยิวออกไปจากโลก และได้ให้คำสั่งที่น่ากลัวแก่เหล่าทหารนาซี
ของเขาว่า


"จงกำลังชาวยิวที่พบเห็นให้หมด" 

นี้เองที่ทำให้นาซีได้แต่งตั้งตำรวจลับเกสตาโปขึ้นในฝรั่งเศส หน้าที่ของตำรวจลับคือสืบเสาะ
และสังหารผู้ต่อต้านนาซี จับกุมผู้ที่คาดว่าเป็นชาวยิวในฝรั่งเศสให้หมดเพื่อส่งไปค่ายมรณะ
หรือไม่ก็ค่ายกักกันและใช้แรงงานหนักจนตาย  พวกชาวยิวที่อยู่นครหลวงในฝรั่งเศสค่อย ๆ หายสาบสูญ
บางคนไม่รู้ว่าญาติของตนหายแล้วไปอยู่ที่ค่ายมรณะ บางคนเตรียมที่จะหนีไปนอกประเทศ
แต่ไม่มีโอกาสทั้ง ๆ ที่มีเงินมาก

สถานการณ์นี้แหละที่เข้าทางความคิดของหมออย่างยิ่ง ที่จะสร้างกำไรเข้ากระเป๋า
และความปรารถนาที่จะปลดปล่อยสันดานซาดิสม์ในวัยเด็กของเขาได้ซักที


หมอมาร์เซล์ซื้อคฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่ง หมายเลข 21 ถนนเลอเซอร์ ราคาครึ่งล้านฟรัค์ แล้วก็ตกแต่ง
เสียใหม่ให้เหมาะต่อการปฏิบัติการโหดของเขา ห้องที่เก็บเสียงที่มิดชิด หน้าต่างที่ถูกปูนโบกปิดสนิท
ยกเว้นประตูบานเดียวทุกห้อง และทุกห้องถูกเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ มีครั้งหนึ่งช่างเกิดสงสัยจะถามหมอว่า
ทำไปทำไม หมอบอกสั้น ๆ ว่าเพื่อสังเกตคนไข้โรคจิต และส่วนที่เป็นที่ ลับสุดยอดของคฤหาสน์ร้าง
แห่งนี้คือ เตาเผาขนาดยักษ์หนึ่งเตาในห้องใต้ดิน


คริสต์มาสปี 1941 ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อม  พร้อมสำหรับทำอะไร?

หมอมาร์เชล์เริ่มแพร่ประกาศข่าวออกไป ว่าเขาสามารถติดต่อพวกใต้ดินฝรั่งเศส สามารถแอบพาคน
ที่เกสตาโปกำลังล่าตัวอยู่หนีไปยังสเปนหรือคิวบาได้ พวกที่คิดหนีสามารถติดต่อได้ แต่มีข้อแม้คือ
ต้องใช้เงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้
พวกชาวยิวและพวกต่อต้านที่กำลังขวัญเสียได้ยินข่าวนี้ก็ยอมทันที ขายข้าวของทรัพย์สมบัติ
เพื่อให้ตัวเขากับครอบครัวหนีออกไปประเทศฝรั่งเศส ทุกคนต่างไปคฤหาสน์ร้างนั้น
แต่ไม่มีใครสักคนที่รอดชีวิตออกมา


เกิดขึ้นอะไรในนั้น?



ครั้งแรกเมื่อเหยื่อมาถึงหมอให้ถลกแขนฉีดยาซึ่งความจริงแล้วคือยาพิษ แต่ฤทธิ์ของมันออกช้ามาก
ก่อนเวลามาถึง หมอก็ให้เหยื่อพักที่ห้องเก็บเสียงก่อน จากนั้นปิดล็อกและหมอก็ถ้ำมองที่รูที่เจาะไว้
รอจนกว่ายาออกฤทธิ์ เหยื่อชักกระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว เมื่อเหยื่อตายแล้ว ก็ลากเอาศพ
ลงไปยังห้องใต้ดิน เอามาลงแช่ในน้ำปูนขาวที่ซื้อมอริสน้องชายแท้ ๆ ที่เมืองโอแชร์ส่งมาให้
เสร็จแล้วก็ยัดศพเข้าเตาเผา สุดท้ายก็ตรวจดูทรัพย์สินที่เหยื่อทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง
ทรัพย์สินต่าง ๆ มาลงบัญชีรายละเอียดไว้เป็นราย ๆ ไป

เขารู้สึกมีความสุขมากที่นับเงินนั้น แม้มีข่าวไม่ดีว่าไม่มีใครออกจากคฤหาสน์ร้างนั้น แต่ลูกค้า
ก็ยังแห่เข้าคิวหาหมอมากยิ่งขึ้น ทั้งชาวยิวเล็ดรอดจากเกสตาโป ครอบครัวมั่งคั่งที่กลัวพวกนาซี
ยึดทรัพย์ก็ดี หรือแม้แต่เพื่อนหมอที่อยากหนีจากฝรั่งเศส แต่ทั้งหมดนี้เมื่อเข้าคฤหาสน์นั้นแล้ว
ไม่มีใครรอดกลับออกมาอีกเลยนับแต่นั้น


เป็นเวลาถึง 18 เดือน หมอมาร์เซล์ชักรู้สึกกระฉับกระฉายเพราะเหยื่อไม่มาหาถึงที่สักที
หมอจึงแก้ปัญหาวิธีนี้โดยเอาคนไข้ถนนโคมาร์แตงมาสังหารที่คฤหาสน์เสียเลย ไม่มีใครสงสัยหรอก
เพราะทุกคนกำลังหวาดกลัวสงครามโลกอยู่ โดยที่ภรรยาไม่สงสัยหมอแม้แต่น้อยว่าทำไม
ต้องเอาคนไข้ไปรักษาถึงคฤหาสน์นั้นให้ยุ่งยากด้วย

ปลายเดือนฤดูใบไม้ผลิ ปี 1943 ปฏิบัติการโหดของหมอมีอาการสะดุด เพราะพวกเกสตาโปงเริ่มงง
สงสัยมานานแล้วว่าพวกชาวยิวที่ตนกำลังควานหาตัวอยู่นานนั้นหายไปไหนกันหมด
เมื่อสืบไปสืบมาจึงรู้ว่าพวกนี้ล้วนแต่มีสายโยงมาถึงหมอ และเริ่มสงสัยหมอว่าเป็นสาย
พวกใต้ดินฝรั่งเศสลักลอบพาคนหนี


เมื่อคิดได้ดังนั้นนั้นจึงส่งเกสตาโปคนหนึ่งไปสืบ โดยแกล้งทำเป็นพวกหนีออกนอกประเทศ
เพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขา แต่กลับถูกหมอฆ่าไปเสียนี่ มันเป็นหลักฐานที่ได้มาด้วยชีวิต
พวกนาซีเมื่อรู้ว่าพวกตนไม่กลับมาจึงรีบตะครุบตัวหมอ จับขังไว้หลายเดือน



จนกระทั้งถูกปล่อยตัวเมื่อต้นปี 1944 เพราะหมอแก้ตัวว่าที่ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์กำจัดชาวยิว
และพวกต่อต้านนาซี พวกนาซีได้ฟังดังนั้นก็ชอบใจ มันตรงความสมประสงค์ของพวกเขา
และต่างพากันเอาหู เอาตาไปไร่ เพราะเมื่อเขากลับเขาก็เริ่มกิจกรรมกับโรงงานฆ่าคนอย่างที่เคย
แต่มาคราวนี้ไม่มีโอกาสที่เอาศพมาแช่ปูนขาวก่อนเผาอีกแล้ว เพราะระหว่างที่หมอมาร์เซล์
ถูกจับตัวไป มอริสน้องชายได้มาเยี่ยมที่ปารีสและพบกับความลับในคฤหาสน์ที่ถนนเลอเซอร์เข้า
จึงรู้ทันทีว่าพี่ชายซื้อปูนขาวจำนวนมากมายไปทำอะไร

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการส่งปูนขาวให้อีก การเผาศพโดยไม่แช่ปูนขาว
จะทำให้เกิดควันไฟพลุ่งจากปล่องและส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้น ทำให้บริเวณบ้านใกล้เรือนเคียง
ต่างทนไม่ไหวกับกลิ่นนี้ แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครติดใจสงสัยว่าหมอกำลังเผาอะไรในคฤหาสน์หลังนั้น
จนกระทั้ง…………………..


ความลับเปิดเผย



11 มีนาคม 1944 เจ้าของบ้านเลขที่ 20 ถนนสายเดียวกัน ได้พาและกองดับเพลิงจำนวนมาก
มาคฤหาสน์หลังนั้น เพราะสงสัยว่าควันนั้นอาจเกิดจากไฟไหม้ พอดีหมอมาร์เซล์ไม่อยู่บ้าน
ตำรวจและกองดับเพลิงไม่มีเวลาไปตามตัวหมอ เพราะไฟอาจลามไปข้างเคียงได้ จึงได้บุกเข้าไป
พบว่าต้นเพลิงอยู่ชั้นใต้ดิน พบเตาเผาที่กำลังลุกไหม้ และสิ่งที่สยดสยองที่ไม่เคยพบในโลกนี้
ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ ที่เกลื่อนกลาดราวกับขยะ นับคล่าว ๆ ได้ประมาณ 27 ศพ
มีทั้งเพศชาย หญิง คนแก่ และเด็ก ทุกศพถูกหัน ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็น ศีรษะ ลำตัว
แขนขา หมอมาร์เซล์ได้ยินข่าวก็รีบมาที่ คฤหาสน์ทันที

"เอ้อ………….คือว่าศพทั้งหมดนี้เป็นพวกทรยศชาติกับทหารนาซี ผมจำเป็นต้องสังหารน่ะครับ"
หมอแก้ตัวอย่างนั้น

น่าแปลกที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชื่อคำแก้ตัวของหมอ เนื่องจากบุคลิกที่น่าเชื่อถือของหมอเอง
หรือช่วงนี้ใกล้จะยุติสงครามโลกครั้งที่สองแล้วเพราะฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้จะปลดปล่อยฝรั่งเศส
จากเยอรมันเร็ว ๆ นี้ จึงไม่ใส่ใจอะไรกับคดีมากนัก และวันนั้นเองตำรวจก็กลับไปโดยไม่มีการ
จับกุมตัวหมอใด ๆ ทั้งสิ้น

หมอมาร์เซล์รู้ตัวดีว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องปิดฉากคูหามรณะเสียที่ เขารีบเก็บของแล้วเผ่นไปจากปารีส
ไปหลบซ่อนในบ้านนอก ในขณะเดียวกันตำรวจดันไปเจอกองมหาสมบัติและบัญชีรายชื่อคนเข้า
ห้องมรณะจำนวนกว่า 63 คน เมื่อตำรวจสอบประวัติผู้ตายแล้วไม่พบคนทรยศชาติสักคน
แต่ก็สายไปแล้ว หมอมาร์เซล์หลบหนีออกจากปารีสและไม่พบข่าวคราวอีกเลย ตำรวจทำได้แค่
ลงหน้าและเรื่องราวของหมอมาร์เซล์ไว้ในหนังสือพิมพ์แจกจ่ายไปทั่วปารีสเท่านั้น


จุดจบ



วันนี้เป็นวันเฉลิมชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ตามถนนชองป์ เอลิเซ นำโดยขบวนกองทัพ
ของนายพลเดอโกลด์ มีชายคนหนึ่งเขาไว้หนวดไว้เครา มีเหรียญตราเก๊ๆมาประดับที่หน้าอก
เดินร่วมกับเขา "นั้นหมอมารืเซล์ ปดีต นี้" ตำรวจที่ต้องการตัวหมออย่างหนักจำเขาได้
และหมอมาร์เซล์ก็ถูกจับในวันนั้นเอง


เมื่อชีวิตของผู้คนกลับคืนสู่ปรกติหลังจากการปลดปล่อยแล้ว ตำรวจได้สะสางคดีหมอมาร์เซล์ใหม่
หมอยืนยันเขาสังหารเฉพาะคนทรยศชาติและนั้น คำตลอด 18 เดือนที่ถูกศาลชัก แต่คราวนี้
คณะลูกขุนไม่โง่เหมือนพวกตำรวจ หลักฐานต่าง ๆ เช่น หีบห่อเสื้อหากว่า 1500 ชุด
ห้องในคฤหาสน์มรณะ บัญชีรายชื่อเหยื่อ และเงินที่จดบันทึกเป็นหลักฐานที่หมอดิ้นไม่หยุด
ตอนที่ศาลอ่านคำพิพากษา ณะนั้นคนอื่นเข้าร่วมส่งเสียกันระเบ็งเซ็งแซ่จนจำเลยแทบ
ไม่ได้ยินคำตัดสิน จนต้องถามคนข้างเคียงว่าตนมีความผิดหรือไม่

"นายถูกตัดสินประหารชีวิตน่ะ" คนข้างเคียงบอก

หมอมาร์เซล์มีได้ยินว่าถูกลงโทษประหาร ก็แหกปากร้อง

"กูจะแก้แค้น"

เรื่องตลกที่ตลกไม่ออก



เช้าตรู่ 26 พฤษภาคม 1946 ขณะที่หมอมาร์เซล์กำลังเดินเข้าไปสู่กิโยตินเพื่อประหารชีวิตนั้น
หมอมาร์เซล์ได้ขอร้องคนข้างเคียงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตว่า

"ขอปัสสาวะหน่อยน่ะ"

คนข้างเคียงตอบกลับไปว่า
"แล้วที่ลูกค้าที่นายสังหารทั้ง 63 คนน่ะ พวกเขาได้รับความปรานีจากนายสักคนหรือเปล่าล่ะ"

หมอมาร์เซล์ไม่ตอบคำถามนี้ คอตก ยอมรับความตายที่อยู่ข้างหน้า
หมอมาร์เซลล์ถูกกิโยตินปั่นหัวออกจากร่างในเช้าตรู่ ตายทั้ง ๆ ที่ปวดฉี่อยู่

"ด้วยปฏิญาณแห่งข้า ข้าขอสาบานจะนับถือบูชาอาจารย์ดุจบิดามารดาอันเป็นที่............"

คำปฏิญาณการเป็นแพทย์ของฮิบโปเครติสบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ยังดังไปทั่วสถานที่รับปริญญาบัตร
แพทย์ศาสตร์ทั่วโลก แต่เชื่อเลยว่าปีศาจในร่างของหมอนอกจากหมอมาร์เซล์ยังเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
และความโหดเหี้ยมที่ตามมาอย่างซ่อนเงื่อนและฉลาดกว่าเดิม ตราบใดที่มนุษย์ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง
อยู่อย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป................




ข้อมูลจาก ต่วนตูนพิเศษ ฉบับปีที่ 317 เดือนกรกฎาคม 2544




 

Create Date : 24 กันยายน 2559   
Last Update : 24 กันยายน 2559 23:49:28 น.   
Counter : 2772 Pageviews.  

เรื่องย่อละคร ละครชาติพยัคฆ์




ออกอากาศ: ทุกวันจันทร์ - อังคาร เวลา 20.20 น.
นำแสดงโดย: ท็อป จรณ/ มิว นิษฐา / อาโป ณัฐวิญญ์ / อาย กมลเนตร / ก็อต จิรายุ / อู๋ สมิทธิ / นก ฉัตรชัย / ตู่ นพพล และนักแสดงมากฝีมือคับคั่ง
บทละครโดย: ณพุทธ สุศรีฯ/ฉัตรชัย เปล่งพานิช
อำนวยการผลิตโดย: บริษัท เมตตาและมหานิยม จำกัด
กำกับการแสดงโดย: โชติรัตน์ รักษ์เริ่มวงษ์

เรื่องย่อละครชาติพยัคฆ์
ปี พ.ศ. ๒๔๓๖   ร.ศ.112 ราชอาณาจักรสยามต้องสูญเสียดินแดน และไพร่พลจำนวนมากจากการล่าอาณานิคมของต่างชาติ รวมทั้งต้องจ่ายเงินชดเชยถึงสามล้านฟรังก์ให้กับความพ่ายแพ้

กล้า...เป็นลูกของนายทหารที่เสียชีวิตลง เพราะไฟสงครามระหว่างสยามและต่างชาติ  ทั้งเขาและนางเพียรผู้เป็นแม่ต้องขายตัวเองเป็นทาสเพื่อความอยู่รอด แต่เจ้านายของนางเพียรกลับหาเรื่องทารุณกล้าเพื่อบีบนางเพียรให้ยอมเป็นเมียเก็บของตน ด้วยความเทิดทูนในศักดิ์ศรีของสามี นางเพียรจึงช่วยกล้าให้หลบหนีไป และนับจากนั้นกล้าก็ไม่เคยได้ข่าวของแม่อีกเลย

คุณพระพิสุทธิ์มนตรี...นายอำเภอแห่งเมืองเวียงสิงห์  ได้รับเด็กชายกล้ามาเป็นบ่าวในบ้านด้วยความสงสาร  กล้าจึงมีโอกาสได้รู้จักกับคุณพลอย...บุตรสาวของคุณพระ   เด็กทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน และผูกพันต่อกันเกินกว่าสหายทั่วไป   ยังความไม่พอใจให้แก่คุณกุหลาบ...ภรรยาของคุณพระเป็นอันมาก

แม้บ่าวไพร่คนอื่นในบ้านต่างมองกล้าเป็นทาสเสนียดที่ไม่ควรคบหา    แต่ก็ยังมี ตาสังข์..คนเรือของบ้านกับลูกสาวคือ..นังบัว..ที่เห็นกล้าเป็นเหมือนสมาชิกครอบครัวคนนึง   กล้า รักตาสังข์เหมือนญาติผู้ใหญ่  และเห็นบัวเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ  โดยไม่รู้ว่าบัวกลับแอบหลงรักกล้าเสมอมา

ความสนิทสนมระหว่างกล้าและบัว ได้สร้างความเคืองแค้นให้แก่ นายมิ่ง...บ่าวคนสนิทของคุณพระพิสุทธิ์ มิ่งเป็นหัวหน้าบ่าวไพร่ในเรือน เป็นคนที่คุณพระไว้วางใจให้ ดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน   มิ่ง จึงหาเรื่องข่มเหงกล้าอยู่เนืองๆ    โดยที่กล้าไม่สามารถจะตอบโต้อะไรได้  เพราะตัวเองไม่ได้มีวิชาการต่อสู้เหมือนกับมิ่ง  ซึ่งเป็นคนฝึกการต่อสู้ให้กับบ่าวผู้ชายภายในบ้านด้วย

แต่แล้วโชคชะตาก็บันดาลให้กล้า มีโอกาสช่วยเหลือนายทองอิน...นักโทษหนีคดีผู้หนึ่งเอาไว้   นายทองอินเป็นอดีตทหารที่ช่ำชองในด้านเพลงมวยไชยา  แต่ต้องกลายมาเป็นคนร้ายเพราะคิดลอบสังหาร มิสเตอร์ปีเตอร์...นายวาณิชหนุ่มลูกครึ่ง ผู้มีเบื้องหลังเป็นสมุนของฝรั่งต่างชาติ   ซึ่งกำลังคิดยึดครองสยามประเทศอยู่ในขณะนั้น

นายทองอิน ได้ตอบแทนกล้าด้วยการปกป้องครอบครัวคุณพระพิสุทธิ์ฯ จากพวกนักเลงหัวไม้ที่คิดบุกปล้นบ้าน   ส่งผลให้ นายด้วง... หัวหน้านักเลงหัวไม้ ที่เข้าปล้นต้องจบชีวิตลงด้วยฝีมือมวยไชยาของทองอิน  ขณะที่ รื่น...สมุนมือขวาของไอ้ด้วง ต้องถูกส่งตัวไปรับโทษที่เรือนจำ    นอกจากนี้นายทองอิน ยังได้ถ่ายทอดวิชาเพลงมวยให้กล้าอีกด้วย  ซึ่งในเหตุการณ์เข้าปล้นคืนนั้นเอง.. มิ่ง และไอ้ทิว..สมุนคนสนิทในบ้านคุณพระ ก็ได้แอบทำการยักยอกทรัพย์ จากกำปั่นเก็บทองและของมีค่า ของคุณกุหลาบไปขาย โดยคำยุยงและความโลภของไอ้ทิว  โดยมิ่ง และทิว ได้โยนความผิด ไปให้กล้า ทั้ง ๆ ที่กล้า กับนายทองอิน เป็นคนช่วยไม่ให้โจรเอากำปั่นใส่ทองไปได้  ยังผลให้ คุณกุหลาบภรรยาของคุณพระ ผู้ไม่ชอบกล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โกรธแค้นกล้ายิ่งนัก เมื่อรู้ว่าทองได้หายไปจากกำปั่น หนำซ้ำไอ้ทิวยังเอาทองไปส่วนหนึ่งไปซ่อนในกระท่อมของกล้า เพื่อกลั่นแกล้งกล้า แต่กล้าปฏิเสธไปใครจะเชื่อ ในเมื่อมิ่งกับทิวพาคุณพระและภรรยาไปค้นในกระท่อมของกล้า ...หลักฐานก็คากระท่อม !!  กล้า จึงโดนลงโทษมัดโซ่ตรวนเพื่อสอบสวนอย่างหนัก

 แต่เดชะบุญ..ตาสังข์  เห็นไอ้ทิว หอบเอาทองส่วนที่หายไปของเจ้านาย ไปขาย แต่ด้วยความฉลาดแกมโกง ของไอ้ทิว มันจึงให้ไอ้ขาบ เป็นคนออกหน้าเอาของไปขายแทน ให้กับ ...พ่อค้ารับซื้อของโจร ที่ชื่อ .. จีนหลง ตาสังข์ เห็นดังนั้น จึงนำความไปบอกคุณพระฯ  ผู้ใหญ่เชื้อ..ผู้ติดตามคดีนี้อยู่จึงยกพวกไปจับ ..จีนหลง ๆ  โดนจับ พร้อมหลักฐาน  ไอ้ทิว พอรู้ว่าตาสังข์เห็นหน้าไอ้ขาบ มันจึงเก็บไอ้ขาบ เพื่อปิดปากเพื่อไม่ให้ไอ้ขาบ สาวความผิดมาถึงตัวมัน และลูกพี่ คือไอ้มิ่ง

เมื่อความจริงถูกเปิดเผย .. พระยาพิสุทธิ์ จึงได้ปล่อยตัวกล้าในที่สุด ไม่นานต่อมา พระยาประเสริฐภักดี และคุณโชติ ...ผู้เป็นบุตรชาย   ก็ได้เดินทางมาเวียงสิงห์เพื่อตามล่าตัวทองอิน   กล้าได้เจอกับ นายยอด...องครักษ์ของพระยาประเสริฐภักดี  และจำได้ว่าอีกฝ่ายคือหัวหน้าทาสที่เคยทารุณตนเองกับนางเพียรในอดีต    กล้าจึงพยายามสืบหาข่าวของแม่จากมัน  แต่นายยอดกลับท้าทายให้กล้าโค่นมันในงานสมโภชเจดีย์เวียงสิงห์เสียก่อน

ด้วยความเป็นห่วงแม่ กล้าจึงยอมละเมิดคำสั่งของอาจารย์ทองอิน ที่กำชับให้ปกปิดวิชามวยไว้เป็นความลับ   เขาสามารถเอาชนะนายยอดได้สำเร็จ  และได้รู้ว่านางเพียร..แม่ของตน ได้ถูกเจ้านายเก่าขายต่อให้กับนายทหารฝรั่งรายหนึ่ง  การกระทำของกล้าในครั้งนั้นก็ทำให้ “ท่านเตี่ย..หรือ หม่อมเจ้านภากรเกียรติวงศ์”... พระญาติสนิทของพระพุทธเจ้าหลวง...  ซึ่งเดินทางมายังเวียงสิงห์พร้อมด้วยองครักษ์คู่ใจ คือ นายยันต์กับนายเที่ยง ได้รู้เบาะแสของทองอิน  ซึ่งเคยเป็นทหารร่วมสังกัดเดียวกัน

ท่านเตี่ย วางแผนจะช่วยเหลือทองอิน โดยวานให้พระยาประเสริฐช่วยเปิดทางให้ แต่พระยาประเสริฐ กลับมีใจฝักใฝ่ต่อพวกต่างชาติ   จึงให้คนส่งข่าวไปบอกมิสเตอร์ปีเตอร์  เชื้อพาคนมาบุกจับตัวทองอิน  กล้ารีบมาบอก  ท่านเตี่ย ยันต์ เที่ยง ช่วยให้กล้ากับทองอินหนีไป  พระยาประเสริฐ ให้คนจับตัวทองอินไว้ ทองอินจึงจะยิงพระยาประเสริฐ แต่พระพิสุทธิ์เอาตัวเข้ากำบัง จึงถูกยิงเสียชีวิต กุหลาบกับพลอยเสียใจมาก โชติรีบพูดใส่ไฟเรื่องที่กล้า ซุกซ่อนคนร้ายเอาไว้จนเกิดเรื่อง

ทองอินถูกปีเตอร์ฆ่าตายในที่สุด ส่วนกล้าก็โดนปีเตอร์จับมา  ส่วนตาสังข์และบัว สองพ่อ-ลูก ถูกมิ่งจับ ตัวส่งให้ปีเตอร์ โทษฐานที่ช่วยเหลือนายทองอินเอาไว้  โดยมิ่ง.หันไปแปรพักตร์กับฝรั่งอย่าง..ปีเตอร์  มันจึงอยากเสนอหน้าได้ความดีความชอบจากปีเตอร์   ปีเตอร์สั่งประหารสังข์กับกล้าในวันรุ่งขึ้น  โชติพาพลอย มาดูหน้ากล้าเป็นครั้งสุดท้าย กล้าขอโทษที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณพิสุทธิ์ เสียชีวิต แต่พลอยไม่ให้อภัย ทั้งคู่จากกันด้วยความเสียใจ

ก่อนที่จะมีการประหารเกิดขึ้น    ท่านเตี่ยมาขอให้ปีเตอร์ไว้ชีวิต    ปีเตอร์เลยแกล้งส่งทั้งสองไปที่คุกฝรั่งแบบตายทั้งเป็น  ท่านเตี่ยสัญญาจะมาช่วยกล้าให้ได้สักวัน   ในขณะที่บัวนั้น ก็ถูกปีเตอร์พาตัวไปขายที่เหลาบุปผา...สถานเริงรมย์ที่หรูหราที่สุดในพระนคร   บัวถูกประมูลขายตัว เธอหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนอาเหวิน ที่กำลังลากรถอยู่แถวนั้น มาช่วยบัวเอาไว้ อาเหวินพาบัวไปนอนที่บ้าน เขารู้สึกถูกชะตากับบัวอย่างบอกไม่ถูก รุ่งขึ้น พี่สาวของอาเหวินกลับมาที่บ้าน ซึ่งก็คือเจ๊คิ้มนั่นเอง อาเหวินเป็นน้องแม่เดียวกัน แต่คนละพ่อกับ เจ๊คิ้ม...   ปีเตอร์สั่งมิ่งกับทิวให้กระทืบบัว เหวินเข้าช่วย เจ๊คิ้มไม่กล้าห้าม  เหวินกับบัว เจ็บตัวด้วยกันทั้งคู่ หน้าของบัวต้องมีแผลเป็น เหตุเกิดจากการต่อสู้ เธอจึงต้องไปทำงานในครัวเป็นการชั่วคราว ก่อนที่บัวจะถูกขายไปอีกครั้ง

ทางด้านคุณพลอย ก็ได้ตามคุณกุหลาบมาอาศัยอยู่กับพระยาประเสริฐภักดี โดยอีกฝ่ายมีแผนร้ายที่จะครอบครองมรดกของพ่อเธอ ด้วยการจับเธอกับคุณโชติให้แต่งงานกัน คุณโชติพยายามมัดใจคุณพลอยด้วยวิธีต่างๆ  จนคุณพลอยจำยอมต้องรับหมั้นหมาย  ทั้งๆ ที่ใจยังไม่ลืมกล้า

ส่วนกล้ากับตาสังข์ ก็ต้องใช้ชีวิตในคุกอย่างทุกข์ทรมาน   เพราะนอกจากจะต้องทำงานหนักแล้ว  ยังต้องถูกรังควานจากอริเก่าอย่าง..รื่น ที่บังเอิญมาเจอกันในคุกอีกด้วย   แต่ความมีใจนักเลงของกล้า ก็ทำให้ รื่นต้องยอมรับและเลิกอาฆาต เรื่องที่ด้วงถูกทองอินฆ่าตาย  

ต่อมาได้เกิดการจราจลขึ้นในคุก  กล้า  ตาสังข์  และรื่นได้ปกป้องนายพลอังเดรหัวหน้าค่ายเอาไว้   วีรกรรมครั้งนั้นของกล้า ทำให้นายพลอังเดรยอมปล่อยเขากับตาสังข์และรื่นเป็นอิสระ   ทั้งสามจึงรีบเดินทางไปยังพระนครเพื่อตามหาบัวทันที    กล้าโกรธมาก เมื่อรู้ว่าปีเตอร์พาบัวไปขายที่เหลาบุปผา  จึงบุกเข้าเพื่อชิงตัวออกมาแต่ก็ถูกสมุนของปีเตอร์ขัดขวางเอาไว้  ก่อนที่ปีเตอร์จะบีบบังคับให้กล้าหาเงินก้อนโตมาเป็นค่าไถ่และค่าเสียหายสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น

อาเหวินพยายามช่วยบัวจากมิ่ง จนโดนซ้อมอาการสาหัส   อาฉาง อาเฉียง ตาสังข์ รื่น  พาไปรักษาที่วังของท่านเตี่ย สังข์ได้เห็นหน้า จึงจำท่านเตี่ยได้ วันต่อมา จึงพากล้าไปกราบท่านเตี่ยที่วัง ทั้งกล้า บัว รื่น ตาสังข์ จึงไปอาศัยอยู่ที่วังท่านเตี่ย และดูอาการของเหวินไปด้วย  เมื่อปีเตอร์รู้ข่าว ก็พาทั้งประเสริฐ มิ่ง ทิว ยอด โชติ จะไปจับตัวกล้าที่วัง พอดีท่านเตี่ยไม่อยู่ ทั้งมิ่งและยอด ต่างรุมต่อยกล้า แต่ทั้งสองสู้ไม่ได้  ท่านเตี่ยกลับมาพอดี บอกกับปีเตอร์ ประเสริฐ และทุกคนว่า กล้า บัว สังข์ เป็นไทแก่ตัวแล้ว  ท่านเตี่ยกลับมา นำจดหมายของเบอร์นาร์ด มาให้ทุกคนดู ว่า หนังสือรับรองความเป็นไทของนายกล้าและพวกพ้องทุกคน  รวมไปถึงนังบัว  ที่เขียนโดยท่านกงสุลเบอนาร์ดตัวแทนแห่งเจ้าอาณานิคม ต่อจากนี้ไป  นายกล้ากับพวกถือว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง  จะมีผู้ใดมาข่มเหง  หรือจับกุมมิได้ ประเสริฐให้ปีเตอร์กลับก่อน เพราะเป็นรอง ปีเตอร์แค้นมาก อาเหมยยุให้ล้างแค้นท่านเตี่ย  และเหตุการณ์ การต่อสู้ครั้งนี้เอง ในวันที่ยอดจะมาจับตัวกล้า  ทำให้ยอดต้องขาพิการ พ่ายแพ้ต่อกระบวนท่ามวยของกล้าอย่างหมดรูป

เมื่อเหวินฟื้นขึ้น จึงเห็นแววตาที่บัวมองกล้า ทำให้รู้ว่าบัวรักกล้า เหวินเสียใจมาก พลอยแอบมาพบกล้า ให้รีบหนีไป กล้าเข้าใจว่าพลอยยังโกรธเรื่องที่ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณพิสุทธิ์ตาย  จึงขอชดใช้ด้วยชีวิต เมื่อแม่เอียดกับบัว บอกว่าโชติกำลังเอาปืนเดินมาตามหาพลอย สุดท้ายพลอยต้องคุกเข่าของให้กล้าหนีไป ด้วยน้ำตานองหน้า ทั้งกล้า พลอย บัว หนีโชติมาหลบอยู่ภายในวัด แต่หลังจากที่แม่เอียดและพลอยขึ้นรถลากของอาเฉียงกลับบ้าน  โชติกับชด ก็จับตัวกล้ากับบัวไปที่โรงนา ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย ยอดก็มาร่วมทำร้ายกล้าด้วย สุดท้ายกล้าสู้ โชติจะเอาปืนยิงกล้า แต่กลับพลาดไปโดนยอดตาย แม้ในนาทีสุดท้ายของชีวิต ยอดก็ไม่ยอมบอกกับกล้า ว่าแม่ของเขาอยู่ไหน ซึ่งเป็นเหตุผลเดียว ที่กล้ายอมเสี่ยงชีวิตอยู่ในพระนคร  โชติบอกกับประเสริฐและทุกคนว่ากล้าฆ่ายอดตาย โยนความผิดให้กับกล้าทันที กุหลาบโกรธมากที่พลอยหนีไปพบกับกล้าจนเกิดเรื่อง กุหลาบตบหน้าพลอย ทำให้พลอยเสียใจมาก…

ระหว่างนั้น บัว ได้แอบฟังและรับรู้ถึงแผนการณ์อันชั่วร้าย ของปีเตอร์ ที่คบคิดกับพวกฝรั่งล่าอาณานิคม วางแผนหวังตักตวงผลประโยชน์จากแผ่นดินสยาม ซึ่งหนึ่งในนั้น ได้มีขุนนางไทยอย่าง พระยาประเสริฐภักดี (ผู้ซึ่งหาได้มีความภักดีต่อแผ่นดินเกิดไม่) ได้เข้าร่วมคบคิดแผนชั่ว ๆ ในทุกครั้งด้วยบัว  ได้นำความเหล่านี้ ไปปรับทุกข์ กับ เพื่อนคนเดียวของเธอ อย่าง ...อาเหวิน อยู่บ่อย ๆ อาเหวิน... ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่ เป็นผู้ฟังที่ดี พร้อมที่จะปลอบใจ และให้กำลังใจกับบัว โดยบัวหารู้ไม่ว่า .. เพื่อนหนุ่มชาวจีน นิสัยดีมีน้ำใจคนนี้  ได้แอบหลงรักเธอมาโดยตลอดมา

อาเหวิน  จึงนำเรื่องที่บัวสืบทราบมา ไปบอกกับกล้า เพื่อที่กล้าจะได้คิดหาทางช่วยแก้ไข หาทางสกัดกั้นแผนชั่วร้ายของคนเหล่านั้น  โดยกล้าและอาเหวิน  ได้ร่วมมือกัน และสืบมาว่า..ท่านเตี่ย ได้ถูกพระยาประเสริฐภักดี ใช้เล่ห์กลการเมืองใส่ร้ายจนต้องออกจากราชการ และด้วยอาชีพรับจ้างลากรถเจ็กของอาเหวิน  ไปในที่ต่าง ๆ และพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา อาเหวินก็ได้พบว่า... ท่านเตี่ย ได้มาเปิดโรงหมอรักษาชาวบ้าน ในย่านคนจีนนั่นเอง

จากนั้น กล้า และอาเหวิน จึงได้ส่งข่าวคราวความเคลื่อนไหว ของพวกคนชั่ว ไปให้ท่านเตี่ย ได้รับทราบอยู่เนือง ๆ  เวลาต่อมาได้มีการจัดประลองมวยในสังเวียนบ่อนแห่งหนึ่ง รื่นจึงแนะนำกล้าให้ลงแข่งขัน ซึ่งกล้าก็สามารถเอาชนะนักมวยเอกในงานได้อย่างง่ายดาย  
และเนื่องจากพระยาประเสริฐภักดีเป็นประธานของงานดังกล่าว  กล้าจึงได้มีโอกาสพบกับคุณพลอยอีกครั้ง   การปรากฏตัวของกล้า สร้างความไม่พอใจให้แก่คุณโชติเป็นอันมาก   คุณโชติ..จึงอ้างเรื่องที่กล้าเป็นต้นเหตุ ให้คุณพระพิสุทธิ์ บิดาของคุณพลอยเสียชีวิตมาบีบคั้นไม่ให้คุณพลอยใกล้ชิดกล้า

หลังจากการชกชนะ กล้าก็นำเงินไปไถ่บัว ที่เหลาบุปผา  แต่ปีเตอร์ก็ยังเล่นแง่บ่ายเบี่ยงจะโก่งราคาอีก   จนร้อนถึง “ท่านเตี่ย” ที่ต้องมาไถ่บัวเสียเอง  ซึ่งถึงแม้ว่า ท่านเตี่ยจะโดนกลการเมืองจากพระยาประเสริฐฯ ใส่ร้ายจนต้องออกจากราชการ  แต่บารมีของท่านก็ยังมีคนยำเกรงอยู่มาก  ปีเตอร์ไม่กล้ามีปัญหา จึงยอมให้ท่านเตี่ยรับบัว ไปอุปการะพร้อมกับตาสังข์

ชื่อเสียงของกล้าเริ่มโด่งดังจากการชกครั้งนั้น  แม้แต่ “จีนหยง”... ซึ่งเป็นนายอากรโรงฝิ่น ก็ยังส่งคนมาทาบทาม..กล้ากับรื่นไปเป็นสมุน   แต่ทั้งสองกลับปฏิเสธและพอใจที่จะทำงานเป็นคนลากรถมากกว่า    เพราะอย่างน้อย..อาเหวินและเพื่อนพ้องชาวจีน ก็ไม่มีใครดูถูกเรื่องที่ทั้งสองเคยติดคุกมาก่อน   

อาเหวิน  มีโอกาสไปมาหาสู่กับบัวอยู่เสมอ  แต่ดูเหมือนว่าจะทำอย่างไร บัวก็ไม่เคยเปิดใจยอมรับคนอื่นอยู่ดี เช่นเดียวกับกล้า ที่ยังไม่ลืมคุณพลอย  แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายได้หมั้นหมายกับคุณโชติแล้วก็   แต่ในเวลานั้นสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่าง..พระยาประเสริฐและจีนหยง ก็ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด  เมื่อท่านกงสุลคนเก่า..ที่เคยหนุนหลังจีนหยงได้เกษียณอายุราชการ   ปีเตอร์จึงหนุนพระยาประเสริฐให้แย่งชิงธุรกิจค้าฝิ่นของ    จีนหยงมาเป็นของตน

 กล้าขึ้นชกในงานเลี้ยงต้อนรับกงสุลคนใหม่ที่จัดขึ้น ณ เหลาบุปผา โดยมีคู่ต่อสู้เป็นถึงนักมวยฝรั่งจอมพลังรายหนึ่ง  พระยาประเสริฐภักดีขอร้องแกมขู่ ให้กล้าล้มมวยเพื่อเอาใจท่านกงสุล  แต่กล้ากลับเล่นงานนักมวยต่างชาติจนยับคาเวที   ทำให้พระยาประเสริฐแค้นใจมาก และในงานการประลองมวยนั่นเอง มิ่งกับทิวยิงใส่จีนหยง ตามคำสั่งปีเตอร์  ทิวถูกทหารฝรั่งยิงตาย  ส่วนมิ่งหนีไปได้ จีนหยงบอกกับอังเดรว่าพวกกล้า รื่น อาเหวินช่วยชีวิตตนไว้ อังเดรบอก ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกงสุลคนใหม่ ประจำการณ์ที่พระนคร  มิ่งมาขู่เอาเงินกับปีเตอร์  เขาจึงสั่งให้อาเหมยไปฆ่าปิดปากมิ่ง แต่ยังไม่ทันสำเร็จ มิ่งหนีไปเสียก่อน รื่นเห็นเหตุการณ์เข้ามาดูอาเหมย ทั้งสองมีปากเสียงกัน อาเหมยด่าว่ารื่น ว่าเป็นสวะข้างถนน รื่นแค้น เลยจูบอาเหมย แล้วรู้สึกรักอาเหมยอย่างบอกไม่ถูก

โชติปลุกปล้ำพลอย แต่กล้าเข้ามาช่วยไว้ได้ก่อน แต่กล้าเข้ามาช่วยไว้ทัน พระยาประเสริฐคาดโทษตายที่กล้าทำร้ายลูกชายตน แถมใส่ความว่าฉุดพลอยไปอีก  พระยาประเสริฐตามมาจับตัวโชติ แต่อังเดรกับฮูโก้ มาถึงเสียก่อน  อังเดรบอกจะขอสอบสวนเอง และรับตัวพลอยไปอยู่ในความดูแลด้วย อังเดรยื่นข้อเสนอให้กล้าอยู่ทำงานด้วย ถือว่าเป็นคนของเจ้าอาณานิคม  และย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทุกประการ รุ่งขึ้นพระยาประเสริฐพากุหลาบ มาที่บ้านพักกงสุลของอังเดร กุหลาบไม่เชื่อที่พลอยบอกว่าโชติข่มเหงตน แล้วกล้าเข้าไปช่วย ซ้ำแม่ยังจะให้เธอแต่งงานกับโชติอีก พลอยไม่ขออยู่ร่วมชายคาเดียวกับโชติ จึงกราบลา ขออโหสิกรรมกับกุหลาบที่นั่น  ต่างฝ่ายก็เสียใจมาก  พระยาประเสริฐเองก็หัวเสียมากที่ไม่สามารถทำอะไรกล้าได้

รื่นจับตัวมิ่งได้ พาไปให้กับจีนหยง แลกกับการที่ให้รื่นทำงานที่โรงฝิ่นด้วย อาเหวินไปส่งข่าวให้กล้ารู้ กล้ารีบไปพบรื่น และเตือนไม่อยากให้รื่นไปยุ่งเกี่ยวกับจีนหยง และเรื่องฝิ่น แต่รื่นไม่ฟังทำให้กล้าและเหวินเสียใจมาก ท่านเตี่ยเองก็กังวลที่คนติดฝิ่นกันเยอะ จึงไปปรึกษาพระยาศรีพิพัฒน์ หาทางปราบจีนหยง  สุดท้ายท่านเตี่ย ยันต์ เที่ยง จึงไปเผาโรงฝิ่นของจีนหยง  รื่นไม่รู้ว่าเป็นท่านเตี่ยจึงยิงไล่

 คุณเพ็ญและแมรี่ ภรรยาและลูกสาวของอังเดร มาจากต่างประเทศ กล้าได้เห็นหน้าถึงกับตะลึง มั่นใจว่าคุณเพ็ญคือนางเพียร แม่ของเขานั่นเอง กล้านำความไปเล่าให้พลอยฟัง พลอยบอก จะช่วยกล้าสืบหาความจริง เพราะขณะนี้ พลอยก็ได้กลายเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับแมรี่ด้วย

ปีเตอร์สนับสนุนให้พระยาประเสริฐค้าฝิ่น แข่งขันกับจีนหยง  โดยพระยาประเสริฐหลอกล่อให้กุหลาบเสพยาฝิ่นน้ำ จนเมามาย แล้วเซ็นต์ยกให้พระยาประเสริฐเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมด พระยาประเสริฐขายทรัพย์สินทั้งหมด นำเงินมาค้าฝิ่น โดยที่กุหลาบไม่รู้เรื่องเลย พระยาประเสริฐ บอกจะสนับสนุนให้ปีเตอร์ได้เป็นกงสุลคนใหม่  แล้วพระยาประเสริฐก็ยื่นตัว เสนอเป็นนายอากรฝิ่น เฮียหม่า อาเปียว อาหลอ บังคับมิ่งให้ไปยิงปีเตอร์  ปีเตอร์ใช้อาเหมยเป็นเกราะกำบัง ทำให้อาเหมยเสียใจที่ปีเตอร์แสดงถึงความเห็นแก่ตัวอย่างเห็นได้ชัด  สุดท้าย มิ่งถูกปีเตอร์ยิงตายอย่างน่าอนาถ  ส่วนอาเหมยกับรื่นก็เริ่มใกล้ชิดกัน และเกิดเป็นความรักในที่สุด  ทั้งสองตกลงปลงใจเป็นของกันและกัน

    อังเดรขอให้ท่านเตี่ยหย่าศึกกับจีนหยง เพราะตอนนี้  ท่านข้าหลวงเบอร์นาร์ดกำลังเดินทางมาที่พระนครเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้   และหากมีการเผาฝิ่นเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อใด ประเทศเจ้าอาณานิคมจะต้องเรียก ค่าเสียหายจากรัฐบาลสยามเป็นแน่  และถ้าไม่ได้ตามที่ต้องการ…สงครามก็จะเปิดฉากขึ้น ปีเตอร์กลัวเสียผลประโยชน์ บอกกับพระยาประเสริฐกับโชติว่าจะต้องกำจัดจีนหยงและท่านเตี่ยก่อน  ปีเตอร์วางแผนสร้างสถานการณ์ว่าท่านเตี่ยกับจีนหยง ยิงต่อสู้กัน แล้วรื่น กล้า อาเหวิน ก็มาช่วยท่านเตี่ย แต่สุดท้ายตาสังข์รับเคราะห์ ถูกฆ่าตาย ก่อนสิ้นลม ได้ฝากให้อาเหวินดูแลบัวด้วย  เฮียหม่าปกป้องจีนหยง จนถูกยิงตาย  โชติปรากฏตัวขึ้น จีนหยงจึงรู้ว่าเป็นฝีมือเขา  โชติจับตัวจีนหยงไป  พระยาประเสริฐฆ่าจีนหยง ต่อหน้าโชติ และชด อย่างโหดเหี้ยม  โดยใช้ดาบของท่านเตี่ย เพื่อใส่ร้ายท่านเตี่ย

    กล้าไปหาอังเดรให้ช่วยท่านเตี่ย แต่กลับถูกจับตัวไว้ อังเดรอยากให้มีการสืบเรื่องราวข้อเท็จจริงก่อน คุณทิพย์หรือนางเพียร พยายามช่วยกล้าหนี  อังเดรเข้าใจผิด คิดว่าคุณทิพย์แอบรักกล้า คุณทิพย์จึงสารภาพว่าตนเองคือแต่ของกล้า  กล้าเองก็ช็อคเหมือนกันที่ได้ยินเช่นนั้น เบอร์นาร์ดให้คนจับตัวนางเพียรไว้ เป็น นักโทษของเจ้าอาณานิคม  แล้วบีบให้กล้าบอกที่อยู่ของท่านเตี่ย นางเพียรแทบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่อังเดรมาช่วยไว้ทัน นางเพียรบอกกับกล้า ว่าคุณทิพย์แม่ของแมรี่เสียชีวิต  ส่วนอังเดรก็ช่วยตนเองไว้ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ เธอจึงตอบแทนบุญคุณอังเดร ด้วยการเลี้ยงแมรี่มาตั้งแต่แบเบาะ จนแมรี่เข้าใจว่าเธอเป็นแม่ ที่สำคัญ เธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับอังเดรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอังเดรเองก็ยืนยันกับกล้า ว่านางเพียรต้องการพบกล้า ซึ่งเป็นลูกชายมากเพียงใด กล้าได้รู้ความจริง ก็สวมกอดนางเพียรด้วยความรัก และความคิดถึง

    แม่เอียดพาพลอยมาเยี่ยมกุหลาบ พลอยแค้นใจที่พระยาประเสริฐทำร้ายแม่ตนเอง แถมยังไล่ให้พาแม่ไปอยู่ที่อื่น กุหลาบได้ยินเข้าพอดี รู้สึกผิดต่อพลอย จึงฆ่าตัวตายในที่สุด ปีเตอร์เริ่มจับได้ว่า เหมยแอบรักกับรื่น เจ๊คิ้มจึงให้รื่นพาเหมยหนีไป  ปีเตอร์ตามไปเจอ บังคับให้รื่นกับเหมยฆ่ากันเอง แต่เหมยกลับชิงฆ่าตัวตาย เพื่อให้ปีเตอร์ปล่อยรื่นไป เจ๊คิ้มตามมาช่วย เอาปืนจี้ปีเตอร์ไว้ แล้วรื่นก็อุ้มอาเหมยหนีไป แต่ก็ไปได้ไม่ไกล อาเหมยก็เสียชีวิตเสียก่อน ในอ้อมกอดของรื่น สร้างความเสียใจให้กับรื่นมาก

    เล้ง พาเจ๊คิ้ม มารักษาตัวกับท่านเตี่ย เหวินดีใจมากที่พี่สาวปลอดภัย ส่วนบัวก็เริ่มเห็นใจในความรักที่เหวินมีให้กับตน ทั้งคู่เริ่มดีต่อกัน เบอร์นาร์ดสั่งประหารกล้า และให้ท่านเตี่ยมามอบตัว  ที่ลานประหาร ทั้งอาเหวิน รื่น ต่างก็มาช่วยกล้า อังเดรแกล้งทำทีให้กล้าจับตนเองเป็นตัวประกัน แล้วหนีไป ปีเตอร์ก็มาด้วย เขายิงใส่อังเดรจนได้รับบาดเจ็บ อาเหวิน พาอังเดรไปรักษาตัวกับท่านเตี่ย ส่วนรื่นตามปีเตอร์ไป ทั้งคู่ยิงใส่กันไม่ยั้ง สุดท้าย รื่น กลับมาเสียชีวิตที่โรงสีร้าง ต่อหน้าท่านเตี่ย เหวิน และกล้า  บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าสุดขีด

พระยาประเสริฐเครียดที่รู้ว่าอังเดร อยู่กับท่านเตี่ย เกรงว่าความลับเรื่องที่ตนเองฆ่าจีนหยงจะถูกเปิดเผย จึงให้นายชดไปฆ่าอาเปียวกับหลอ เพื่อปิดปากไว้ก่อน แต่อาเปียวกับรอดไปได้ โดยมียันต์ เที่ยงช่วยไว้ อาเปียวบอกกับอังเดร ว่าเห็นพระยาประเสริฐฆ่าจีนหยงกับตา

    นางเพียรบอกให้พลอยหนีออกไป  พลอยมาตามหากล้าที่ร้านของเล้ง จนพบเข้ากับบัว ทั้งสองดีใจมาก ปีเตอร์รู้ที่ซ่อนตัวของท่านเตี่ย จึงส่งลูกน้องมาถล่ม กล้า พลอย บัว อาเหวิน ท่านเตี่ย ยันต์ เที่ยง อยู่กันพร้อมหน้า วิ่งหนีกันอุดตลุด   พวกของท่านเตี่ยยิงต่อสู้ ปีเตอร์นำคนมากระหน่ำยิงอีก แล้วฮิวโก้ก็มาช่วยไว้ ระหว่างนั้น ที่ที่ทำการกงสุล พระยาศรีพิพัฒน์และขุนนางไทยชั้นผู้น้อยอีกสองนายเข้ามายังห้องประชุม  ฮิวโก้ เบอร์นาร์ด ประเสริฐ โชติ ก็มากันพร้อมหน้า  เรื่องการเจรจาลงโทษ ถึงความผิดของท่านเตี่ย

    ระหว่างที่กำลังมีการสืบสวน  ฮิวโก้ก็พาท่านเตี่ยมาทันเวลา พร้อมด้วยนายชดที่เป็นพยานว่า พระยาประเสริฐฆ่าจีนหยง  ส่วนนายโชติเป็นคนวางแผน คุณพลอยและคุณทิพย์นำ ยันต์ บัว เหวินเข้ามาดู  โชติไม่ยอมถูกจับ จึงตัดสินใจยิงตัวตาย พระยาประเสริฐหัวใจสลาย ท่านเตี่ย  ยันต์ บัว  และพลอย  มองสภาพของประเสริฐอย่างสมเพชและเวทนา  พระยาประเสริฐกลายเป็นนักโทษ สูญเสียทุกอย่างจนแทบไม่มีสติอีกต่อไป   ด้านอังเดร ก็ให้ทหารคุมตัวเบอร์นาร์ด แล้วรายงานความจริงแก่เบื้องบน

    กล้าตามมาจัดการกับปีเตอร์ที่กำลังจะหนี กล้าสงสัยว่าปีเตอร์จะใส่เสื้อเกราะ จึงใช้วิชามวย ทำจู่โจมที่ศรีษะหลายกระบวนท่า จนปีเตอร์เสียชีวิต

    หนึ่งเดือนต่อมา อาเหวิน เปิดร้านข้าวต้ม โดยมีบัวเป็นแรงใจ และเจ๊คิ้ม เล้ง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอีกคน  อาฉางอาเฉียง ก็มาช่วยเสิร์ฟอาหารด้วย กล้าก็มาแสดงความยินดี  ส่วนยันต์ ก็นำเงินขวัญถุงจากท่านเตี่ย มามอบให้อาเหวินเพื่อเป็นกำลังใจ    ส่วนอาเหวิน ก็ขอให้บัวเป็นคู่ชีวิตของเขาตลอดไป เจ๊คิ้มช่วยกล่อม เพราะเบื่อที่เห็นอาเหวินตื๊อบัวไม่เลิกสักที

นางเพียรหรือคุณทิพย์ ก็มาพร้อมกับแมรี่ นางเพียรและกล้า ดีใจที่ได้พบกัน แต่พลอยกับบอกกับกล้า ว่าจะกลับเวียงสิงห์ เพื่อไปจัดการไถ่ที่นา กลับคืนมา  ในขณะที่ท่านเตี่ยจะชุบเลี้ยงกล้า และให้เป็นทหารในโอกาสต่อไป กล้าและพลอยเศร้าใจที่ต้องจากกันอีกครั้ง  พลอยกำลังจะจากไปด้วยน้ำตา แต่สุดท้ายกล้าก็สัญญา ว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณพลอยตลอดไป  ทั้งสองกอดกันด้วยความรัก และความซื่อสัตย์ที่กล้ามีให้ต่อพลอย มาอย่างยาวนาน

//entertainment.thaiza.com/




 

Create Date : 05 เมษายน 2559   
Last Update : 5 เมษายน 2559 22:09:16 น.   
Counter : 1171 Pageviews.  

บางที... มนุษย์ก็ไม่ได้จำเป็นต้องกิน “นมวัว” เลยนะ..

บางที... มนุษย์ก็ไม่ได้จำเป็นต้องกิน “นมวัว” เลยนะ..

สัตว์ทั่วไปดื่มนมจากแม่ตั้งแต่ยังเป็นทารก พออายุมากขึ้นหน่อยก็จะเลิกดูดนมและกินอาหารอย่างอื่นแทน แต่มนุษย์น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกที่ดื่มนมตั้งแต่แรกทารกและยังมีสมองที่จะสามารถไปรีดนมจากสัตว์ชนิดอื่นมาเก็บสะสมเอาไว้ดื่มกินแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

ความจริงแล้วนมวัวก็น่าที่จะเหมาะกับวัวมากที่สุด นมคนก็น่าจะเหมาะกับคนเช่นเดียวกัน คนจะมีน้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอดด้วยการดื่มนมจากแม่อย่างเดียว แต่ลูกวัวนั้นน้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัมในเวลาเท่ากัน และวัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม

แต่ลูกคนกินนมวัวมากกว่าลูกวัวเสียอีก ลูกวัวดื่มนมจากแม่วัวแค่ 1 ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบๆปี ฉะนั้นฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ของวัวจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิม

เพราะการถูกครอบทางวัฒนธรรมและแฟชั่นจากชาติมหาอำนาจทางตะวันตกว่าคนที่เป็นดาราภาพยนตร์ต้องตัวโตสูงใหญ่มีโอกาสในการทำงานมากและจะหารายได้ได้มาก และคนเอเชียตัวเล็กเพราะขาดโปรตีน ต่อมารัฐบาลในหลายประเทศรณรงค์ให้คนเอเชียจำนวนหันมาดื่มนมวัวและมีร่างกายใหญ่โตมากขึ้น จนเราไม่เคยรู้อีกด้านหนึ่งนมวัวว่าเป็นอันตรายอย่างไร แม้แต่ในประเทศไทยก็ส่งเสริมให้เด็กดื่มนมวัวติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีแล้วจนถึงปัจจุบัน ในขณะเดียวกันการดื่มนมวัวที่มากขึ้นของคนไทย ก็ได้สร้างให้อุตสาหกรรมยาได้ขายยาอีกจำนวนมากให้คนไทยได้กินกัน

ความจริงแล้วคนไทยและคนเอเชียถึงร้อยละ 80 ไม่มีน้ำย่อยแล็กโตสในนม ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการท้องเสีย และอีกส่วนหนึ่งก็คือแพ้เคซีนในนม ซึ่งความจริงแล้วมนุษย์สามารถดูดซึมโปรตีนในนม (Net Protein Utilization) ได้เพียงร้อยละ 82 และดูดซึมไม่ได้อีกร้อยละ 18 จะดูดซึมไม่ได้ จะถูกแบคทีเรียย่อยสลายและทำให้เกิด Immune Complex หรือสารก่อภูมิแพ้ตัวใหม่ๆขึ้น

นายแพทย์ เอส. ซี. ทรูเลิฟ ในวารสาร British Medical Journal ปี 1961 และงานของ ดี.โจเซฟ ซักคา ในวารสาร Annual of allergy พฤษภาคม 1971 ระบุเอาไว้ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของการดื่มนมกับการเกิดลำไส้อักเสบจากภาวะภูมิแพ้

นอกจากนี้ นมวัว เป็นผลิตภัณฑ์จากสัตว์ จึงมีไขมันอิ่มตัวเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดสูงและเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เราอาจไม่รู้ว่าการดื่มนมวันละ 2 แก้ว เทียบเท่ากับรับคลอเรสเตอรอลจากการรับประทานเบคอน 34 ชิ้น!!!

และยังรวมถึงโรคอื่นๆอีกมากที่มีความสัมพันธ์กับนมวัว เช่น โรคกระดูกพรุน โรคอัลไซเมอร์ โรคเวียนศีรษะในผู้สูงอายุ โรคปวดหัวไมเกรน ฯลฯ

ตัวอย่างเช่น หลายคนเดิมอาจคิดว่าการดื่มนมวัวมากๆน่าจะเพิ่มแคลเซียมในกระดูก ทำไมถึงเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ความจริงมีอยู่ว่าน้ำนมประกอบด้วยแคลเซียมประมาณ 3 ส่วนและฟอสฟอรัส 2 ส่วน หากดื่มนมมากกว่า 500 มิลลิลิตร ร่างกายก็จะได้รับปริมาณฟอสฟอรัสมากเกินจำเป็น ซึ่งจะกระตุ้นต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาสลายกระดูก จนเป็นเหตุให้มวลหรือเนื้อกระดูกบางลง

นอกจากนี้ Dr. Samuel Epstein จากมหาวิทยาลัยอิลินอยส์ ได้เตือนถึงอันตรายของระดับฮอร์โมนชนิดหนึ่งในนมวัวซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโต ชื่อ Insulin like Growth Factor One หรือ IGF-1 ปริมาณสูงในนมจากวัวซึ่งถูกฉีด synthetic bovine growth hormone(rBGH) เขาได้เตือนว่า IGF-1 ในนมวัวเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งทางเดินอาหาร

ยังมีนักวิจัยอีกมากพบว่า IGF-1 มีความสัมพันธ์กับมะเร็งลำไส้ใหญ่ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยืนยันผลว่า ระดับ IGF-1 ในเลือดเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ เป็นนักโภชนาการของสหรัฐอเมริกา เคยทำงานวิจัยในสถาบันทีมีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์ (MIT), สถาบันเทคโนโลยี เวอร์จีเนีย, มหาวิทยาลัยคอร์เนล และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสหพันธ์อเมริกันเพื่อการทดลองวิทยา และได้ทำงานวิจัยระดับชาติจีนศึกษา (China Study) ซึ่งเป็นงานร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยคอร์เนล มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และสถาบันการแพทย์ป้องกันโรคของประเทศจีน ได้เป็นบุคคลหนึ่งที่วิจัยและทดสอบพบว่าเนื้อสัตว์และโปรตีนจากสัตว์มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิดของมนุษย์

ซึ่งแม้จะงานวิจัยดังกล่าวจะมีรายละเอียดในการทดสอบและเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชาวจีนกับชาวอเมริกัน แต่ในที่นี้จะขอไม่กล่าวถึงการวิจัยเรื่องมนุษย์ เพราะผมเห็นว่าน่าจะยังมีตัวแปรอีกมากที่อาจไม่เกี่ยวกับอาหารชนิดเดียวกันโดยตรง เช่น อาหารอื่นๆ อารมณ์ อากาศ วัฒนธรรม การออกกำลังกาย อาการอุปทานหรือยาหลอก ฯลฯ ในที่นี้จึงขอกล่าวอ้างอิงเฉพาะการทดสอบที่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้โดยการใช้หนูทดลอง ซึ่งได้ผลน่าสนใจบางประการดังนี้

ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ เดิมเป็นคนที่ส่งเสริมให้คนบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม และไข่มาก ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ภายหลังต่อมากลายเป็นผู้ที่รณรงค์ให้คนลดการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์และนม โดย ดร.ที คอลลิน แคมเบลล์ ได้พบงานวิจัยของอินเดียซึ่งเป็นจุดประกายสำคัญในการทดลองต่อๆกันมา โดยงานานวิจัยชิ้นนั้นพบว่า

"หนูทดลองทุกตัวซึ่งได้รับสารก่อมะเร็งในถั่วที่ชื่อ อะฟลาทอกซิน พบว่าหากให้โปรตีนจากนมวัว 20% พบว่าหนูทั้งหมดจะกลายเป็นโรคมะเร็งในตับ ในขณะที่หนูกลุ่มที่ได้รับโปรตีนจากนมวัว 5% จะไม่มีตัวไหนเป็นมะเร็งเลย"

ดร.ที คอลลิน แคมพ์เบลล์ จึงได้ทำการทดลองต่อยอดกับหนูทดลองอีกหลายกรณีพบผลการวิจัย สรุปการทดลองบางส่วนพบว่า

1. การบริโภคโปรตีนจากนมวัว (เคซีน)ลดลง จะมีผลทำให้การจับกันระหว่างอะฟลาทอกซินกับดีเอ็นเอลดลง และทำให้มีหลักฐานชี้ชัดว่าการบริโภคโปรตีนจากนมวัวในปริมาณที่ต่ำมีผลทำให้การทำงานของเอนไซม์ลดลงอย่างมาก และป้องกันไม่ให้สารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายจับกับดีเอ็นเอ และเมื่อสัตว์ตัวเดียวกันที่กินโปรตีนจากนมวัวมากแล้วมีรอยโรค (foci) ที่จะก่อให้เกิดเนื้องอกแล้ว ถ้าลดปริมาณลงก็รอยโรคที่จะก่อให้เกิดเนื้องอกก็ลดลงตามไปด้วย แต่ถ้ากลับมาเพิ่มปริมาณการบริโภคโปรตีนจากนมวัวอีกก็รอยโรคที่ก่อให้เกิดเนื้องอกก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาอีกเช่นกัน

2. การบริโภคโปรตีนจากพืช ทั้งจากข้าสาลี และถั่วเหลือง แม้จะใส่ปริมาณมากถึง 20% ให้เท่ากับเคซีนในโปรตีนของนมวัว พบว่าไม่เกิดรอยโรค (foci) ที่จะพัฒนากลายเป็นเนื้องอกได้

3. มีการอ้างอิงศูนย์การแพทย์อิลลินอยส์ เมืองชิคาโก ในสหรัฐอเมริกา พบว่าการบริโภคเคซีน (โปรตีนจากนมวัว) ในหนูทดลองเพิ่มขึ้น เป็นการส่งเสริมทำให้เกิดมะเร็งเต้นนมมากขึ้น

โรคต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นถ้าเกิดกับมนุษย์ก็จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและเห็นผลได้ดีด้านเดียวว่านมวัวทำให้ร่างกายมนุษย์ใหญ่โตขึ้น

ความจริงแล้วคนไทยสมัยก่อนไม่เคยดื่มนม เพิ่งจะมาเริ่มดื่มกันจริงก็ประมาณ 50-60 ปีมานี้เองที่ฝรั่งมาสอนและรณรงค์ให้ดื่ม และสมัยก่อนชาวสยามก็ได้รับโปรตีนและแคลเซียมจากอาหารอย่างอื่นโดยไม่ต้องดื่มนมวัว แต่เมื่อเริ่มดื่มนมวัวกันมากขึ้นก็ดูเหมือนว่าคนไทยเริ่มเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น และบริษัทขายยาก็ขายได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

จากบันทึกของนายแพทย์มัลคอล์ม สมิธ เรื่อง "หมอฝรั่งในวังสยาม" โดยหมอสมิธเป็นแพทย์ชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเป็นหมอหลวงในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า

"ชาวสยามไม่ดื่มนมวัวทุกรูปแบบ การเลี้ยงปศุสัตว์ทุกรูปแบบไม่เป็นที่รู้จักกันในเอเชียตะวันออก ชาวจีน ญี่ปุ่น และอินโดจีน ไม่เคยแตะต้องนมเลย ตั้งแต่หย่านม กระนั้นก็ตาม พละกำลังและความแข็งแรงของร่างกายโดยทั่วไป ไม่ได้ด้อยกว่าพวกยุโรป"

คำถามชวนให้คิดต่อมาก็คืออะไรที่ทำให้ชาวสยามในอดีตมีพละกำลังแข็งแรงไม่ได้ด้อยกว่าพวกยุโรป โดยไม่ต้องดื่มนมวัว !?

******* *******
(หมายเหตุ: บทความนี้เผยแพร่เพื่อเป็นความรู้ เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนำไปค้นคว้าหาข้อมูลต่อ อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งด่า หากข้อมูลนี้ไปกระทบความเชื่อ หรือธุรกิจของคุณ เรื่องเหล่านี้ถือว่า “รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม” นะคะ)




 

Create Date : 14 มกราคม 2559   
Last Update : 14 มกราคม 2559 8:50:29 น.   
Counter : 983 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  

sitcomthai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add sitcomthai's blog to your web]