ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ยาทา...รักษาโรคสิว


สิวจัดเป็นโรคของต่อมไขมันของผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดในเวชปฏิบัติ พญ.รัศนี อัครพันธุ์ สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า "จากสถิติของสถาบันโรคผิวหนัง" สิวเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์เป็นอันดับ 2 ของผู้ป่วยทั้งหมด สิวมักปรากฏอาการในหญิงอายุช่วง 14-17 ปี และในชายช่วงอายุ 16-19 ปี

เนื่องจากโรคสิวเป็นปัญหาที่พบบ่อย ผู้ที่เป็นโรคสิวจึงควรมีความรู้พื้นฐานในแง่ของการใช้ยาทาและยารับประทาน เพื่อรักษาโรคสิว

ยาทารักษาสิว มีดังนี้

1. เบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
เป็นยารักษาสิวที่ได้ผลดีตัวหนึ่ง ฤทธิ์ของยาตัวนี้ทำให้หัวสิวหลุดออกได้เร็วขึ้น ร่วมไปกับการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้สิวอักเสบ และป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตัน ยาเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ หรือที่เรียกกันว่า บีพี มีทั้งในรูปเจล ครีม หรือโลชั่น ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ผลดีที่สุดคือ เจล

ยิ่งตัวยาบีพีมีความเข้มข้นสูงเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ผิวแห้งและลอกมากขึ้นเพียงนั้น นอกจากทำให้ผิวแห้งแล้ว บีพียังอาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้ด้วย ผู้ป่วยบางรายทาบีพีบ่อยเกินไปหน้าจะแห้ง ระคายเคืองมาก ในกรณีนี้จำเป็นต้องหยุดทายา แล้วกลับมาพบแพทย์เพื่อรักษาการระคายเคืองและอักเสบต่อไป

ความเข้มข้นของยามีตั้งแต่ 2.5,5 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ไม่เคยใช้มาก่อน แพทย์อาจเริ่มให้ยาตั้งแต่มีความเข้มข้นต่ำที่สุดคือ 2.5 % แรกทีเดียวอาจทาทิ้งไว้ทั่วหน้า 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ถ้าไม่มีการระคายเคือง และอักเสบ อาจค่อยๆ เพิ่มเวลาและความเข้มข้นขึ้นได้

2. กรดวิตามิน เอ (Retinoic acid)
Tretinin
จุดเริ่มต้นของสิวนั้นคือ การอุดตันของต่อมไขมันที่เรียกว่า "คอมมีโดน" เมื่อไขมันอุดตันคั่งค้างอยู่เวลานาน เชื้อแบคทีเรียในบริเวณนั้นจะแบ่งตัวออกมาสลายไขมัน ทำให้เกิดสิวอักเสบที่มีอาการบวมแดงขึ้นมา ดังนั้นหากสามารถขจัดการอุดตันของต่อมไขมันได้ ย่อมเป็นการป้องกันการอักเสบของสิวเช่นกัน

กรดวิตามินเอ ในรูปยาทาช่วยขจัดปัญหาสิวอุดตันได้โดยที่กรดวิตามินเอ จะซึมผ่านลงไปสู่รูขุมขนทำให้เซลล์ผิวหนังในรูขุมขนหลวมตัว สิวอุดตันจึงหลุดออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้น กรดวิตามินเอทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้น สิ่งที่คั่งค้างอุดตันจึงหลุดออกมาเร็ว
การใช้ยาตัวนี้ ผู้ใช้ต้องใจเย็นพอควร เพราะยาจะออกฤทธิ์ต่อเมื่อทาไปแล้ว 3-6 สัปดาห์ คนใจร้อนเมื่อทายาได้เพียง 5-6 วัน สิวไม่ดีขึ้นก็หยุดใช้ยา นับว่าเป็นความคิดที่ผิด ความจริงแล้วผู้เป็นสิวต้องเข้าใจว่าการรักษาสิวที่ถูกต้อง ตามหลักการแพทย์นั้นต้องใช้เวลาพอสมควร

ปกติแล้วเราไม่ใช้กรดวิตามินเอชนิดทากับสิวอักเสบ เพราะจะทำให้สิวอักเสบเลวลง ควรใช้กรดวิตามินเอ ชนิดทากับสิวอุดตันหรือคอมมีโดนเท่านั้น หลังทากรดวิตามินเอ หนึ่งถึงสองสัปดาห์แรก สิวอาจเลวลงได้ไม่ต้องตกใจ จำไว้ว่ากว่ายาตัวนี้กว่าจะออกฤทธิ์จะกินเวลานานถึง 3-6 สัปดาห์

ยาทากรดวิตามินเอ นั้นมีอยู่ 3 แบบ คือ เป็นเจล น้ำ หรือครีม ยาทานี้ทำให้ผิวหนังระคายเคือง แสบ แดง แห้งและลอกได้ ยาในรูปของเจลจะทำให้หน้าแห้งและลอกออกได้มากที่สุด ส่วนยาในรูปครีมทำให้หน้าแห้งน้อยที่สุด

การทายาตัวนี้ให้ทาเพียงบางๆ วันละครั้งก่อนนอน ไม่ต้องล้างหน้าก่อนทา เพราะยิ่งทำให้หน้าแห้งและระคายเคืองง่ายขึ้น นอกจากนั้น ในตอนเช้าควรทายากันแดดทั่วหน้าด้วย เพราะแสงแดดยิ่งทำให้ฤทธิ์การระคายเคืองของกรดวิตามินเอต่อผิวหนังสูงขึ้น ยาตัวนี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

Isotretinin (Isotrex) มักอยู่ในรูปเจล 0.05% ได้ผลใกล้เคียงกับ Tretinoin และบีพี ทำให้แห้งลอกเป็นขุยได้ แต่น้อยกว่า Tretinoin
ยาทารักษาสิวกลุ่ม Retinoids คือ Adapalene (Differen) ในบางรายที่ใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอ คือ Retin-A, Renova ฯลฯ แล้วมีปัญหาผิวแห้งระคายเคืองมาก แพทย์อาจเปลี่ยนมาให้ยากลุ่ม Retinoids แทน ควรทายาก่อนนอน อาจทาครีมให้ความชุ่มชื้นตามบริเวณที่ผิวแห้งและรอบดวงตาและควรใช้ยากันแดด ร่วมด้วย

3. ยาทารักษาสิวกรด
Azelaic นอกจากช่วยให้สิวอุดตันหลุดลอกแล้ว ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหนัง กรด Azelaic จัดเป็น Dicarboxylic acid ที่พบในข้าวสาลี, ไรย์, บาร์เลย์ ออกฤทธิ์คล้าย BP5% ,กรดวิตามินเอ 0.05% หรือ Erythromycin cream 2% โดยทั่วไปยาทา Azelaic acid จะไม่ค่อยทำให้ผิวระคายเคืองและไม่ค่อยก่อให้เกิดผิวไวต่อแสง

4. ยาปฏิชีวนะชนิดทา
เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นได้ การใช้ยาปฏิชีวนะรับประทานเพื่อการรักษาสิวจึงเป็นสิ่งที่แพทย์ปฏิบัติมานาน แล้ว เมื่อไม่นานนี้ได้มีการพัฒนายาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาสิวมาอยู่ในรูปยาทา เพื่อลดปฏิกิริยาแทรกซ้อนจากการรับประทานยาต่อเนื่องกันนานๆ ผู้ป่วยสิวหลายรายที่เคยได้รับยา ปัจจุบันอาจใช้เพียงยาทาก็พอ ซึ่งยานี้จะอยู่ในรูปของโลชั่น ครีมหรือขี้ผึ้ง

ยาปฏิชีวนะชนิดทาที่อยู่ในรูปของโลชั่น ซึ่งมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จะทำให้ผิวหนังแห้งได้ ดังนั้นถ้าเป็นคนที่มีผิวหน้าแห้งและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว แพทย์อาจเลือกใช้ยาปฏิชีวนะชนิดที่ทาอยู่ในรูปครีมหรือขี้ผึ้งแทน ในทางตรงกันข้าม หากมีผิวหน้าค่อนข้างมัน ก็อาจใช้ยาในรูปของโลชั่น ให้ทาประมาณ 20-30 นาที หลังล้างหน้าตอนเช้าและตอนเย็น












ที่มา ... โรงพยาบาลวิชัยยุทธ (นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร )


Create Date : 14 กรกฎาคม 2553
Last Update : 14 กรกฎาคม 2553 16:24:08 น. 3 comments
Counter : 1450 Pageviews.  

 
สวัสดียามเย็นทานข้าวให้อร่อยนะคะ ^^



โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 14 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:52:33 น.  

 
ใช้ ยาทาหมอไป หลาย บาท ทั้ง ยา น้ำ และ ยา ทอ

ไม่ แน่ ใจ ว่า ถ้า เป็น อืม มมมมมมม.....

อาด จะ หาย เร็ว ขึ้น
บ้างก้อ ว่า เครียด บ้าง ก้อ ว่า อุด ตัน
แต่ ฉัน ว่า กลัดมัน
มาก กว่า

(มีทั้งในรูปเจล ครีม หรือโลชั่น ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ผลดีที่สุดคือ เจล) แต่ เห็นว่า ยังไม่นำเข้า ถ้า ยังไงก้อ ใช้ แบบข้น ๆ ไปก่อน เท่าที่ เห็น


ก้อ อาจ จะ ช่วย ได้ บ้าง


โดย: . IP: 202.41.167.241 วันที่: 14 กรกฎาคม 2553 เวลา:17:04:34 น.  

 


โดย: teawpretty วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:35:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sitcomthai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 53 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add sitcomthai's blog to your web]