ยาทา...รักษาโรคสิว
สิวจัดเป็นโรคของต่อมไขมันของผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดในเวชปฏิบัติ พญ.รัศนี อัครพันธุ์ สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า "จากสถิติของสถาบันโรคผิวหนัง" สิวเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์เป็นอันดับ 2 ของผู้ป่วยทั้งหมด สิวมักปรากฏอาการในหญิงอายุช่วง 14-17 ปี และในชายช่วงอายุ 16-19 ปี
เนื่องจากโรคสิวเป็นปัญหาที่พบบ่อย ผู้ที่เป็นโรคสิวจึงควรมีความรู้พื้นฐานในแง่ของการใช้ยาทาและยารับประทาน เพื่อรักษาโรคสิว
ยาทารักษาสิว มีดังนี้
1. เบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เป็นยารักษาสิวที่ได้ผลดีตัวหนึ่ง ฤทธิ์ของยาตัวนี้ทำให้หัวสิวหลุดออกได้เร็วขึ้น ร่วมไปกับการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้สิวอักเสบ และป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตัน ยาเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ หรือที่เรียกกันว่า บีพี มีทั้งในรูปเจล ครีม หรือโลชั่น ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ผลดีที่สุดคือ เจล
ยิ่งตัวยาบีพีมีความเข้มข้นสูงเพียงใด ก็ยิ่งทำให้ผิวแห้งและลอกมากขึ้นเพียงนั้น นอกจากทำให้ผิวแห้งแล้ว บีพียังอาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้ด้วย ผู้ป่วยบางรายทาบีพีบ่อยเกินไปหน้าจะแห้ง ระคายเคืองมาก ในกรณีนี้จำเป็นต้องหยุดทายา แล้วกลับมาพบแพทย์เพื่อรักษาการระคายเคืองและอักเสบต่อไป
ความเข้มข้นของยามีตั้งแต่ 2.5,5 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ไม่เคยใช้มาก่อน แพทย์อาจเริ่มให้ยาตั้งแต่มีความเข้มข้นต่ำที่สุดคือ 2.5 % แรกทีเดียวอาจทาทิ้งไว้ทั่วหน้า 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ถ้าไม่มีการระคายเคือง และอักเสบ อาจค่อยๆ เพิ่มเวลาและความเข้มข้นขึ้นได้
2. กรดวิตามิน เอ (Retinoic acid) Tretinin จุดเริ่มต้นของสิวนั้นคือ การอุดตันของต่อมไขมันที่เรียกว่า "คอมมีโดน" เมื่อไขมันอุดตันคั่งค้างอยู่เวลานาน เชื้อแบคทีเรียในบริเวณนั้นจะแบ่งตัวออกมาสลายไขมัน ทำให้เกิดสิวอักเสบที่มีอาการบวมแดงขึ้นมา ดังนั้นหากสามารถขจัดการอุดตันของต่อมไขมันได้ ย่อมเป็นการป้องกันการอักเสบของสิวเช่นกัน
กรดวิตามินเอ ในรูปยาทาช่วยขจัดปัญหาสิวอุดตันได้โดยที่กรดวิตามินเอ จะซึมผ่านลงไปสู่รูขุมขนทำให้เซลล์ผิวหนังในรูขุมขนหลวมตัว สิวอุดตันจึงหลุดออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้น กรดวิตามินเอทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้น สิ่งที่คั่งค้างอุดตันจึงหลุดออกมาเร็ว การใช้ยาตัวนี้ ผู้ใช้ต้องใจเย็นพอควร เพราะยาจะออกฤทธิ์ต่อเมื่อทาไปแล้ว 3-6 สัปดาห์ คนใจร้อนเมื่อทายาได้เพียง 5-6 วัน สิวไม่ดีขึ้นก็หยุดใช้ยา นับว่าเป็นความคิดที่ผิด ความจริงแล้วผู้เป็นสิวต้องเข้าใจว่าการรักษาสิวที่ถูกต้อง ตามหลักการแพทย์นั้นต้องใช้เวลาพอสมควร
ปกติแล้วเราไม่ใช้กรดวิตามินเอชนิดทากับสิวอักเสบ เพราะจะทำให้สิวอักเสบเลวลง ควรใช้กรดวิตามินเอ ชนิดทากับสิวอุดตันหรือคอมมีโดนเท่านั้น หลังทากรดวิตามินเอ หนึ่งถึงสองสัปดาห์แรก สิวอาจเลวลงได้ไม่ต้องตกใจ จำไว้ว่ากว่ายาตัวนี้กว่าจะออกฤทธิ์จะกินเวลานานถึง 3-6 สัปดาห์
ยาทากรดวิตามินเอ นั้นมีอยู่ 3 แบบ คือ เป็นเจล น้ำ หรือครีม ยาทานี้ทำให้ผิวหนังระคายเคือง แสบ แดง แห้งและลอกได้ ยาในรูปของเจลจะทำให้หน้าแห้งและลอกออกได้มากที่สุด ส่วนยาในรูปครีมทำให้หน้าแห้งน้อยที่สุด
การทายาตัวนี้ให้ทาเพียงบางๆ วันละครั้งก่อนนอน ไม่ต้องล้างหน้าก่อนทา เพราะยิ่งทำให้หน้าแห้งและระคายเคืองง่ายขึ้น นอกจากนั้น ในตอนเช้าควรทายากันแดดทั่วหน้าด้วย เพราะแสงแดดยิ่งทำให้ฤทธิ์การระคายเคืองของกรดวิตามินเอต่อผิวหนังสูงขึ้น ยาตัวนี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
Isotretinin (Isotrex) มักอยู่ในรูปเจล 0.05% ได้ผลใกล้เคียงกับ Tretinoin และบีพี ทำให้แห้งลอกเป็นขุยได้ แต่น้อยกว่า Tretinoin ยาทารักษาสิวกลุ่ม Retinoids คือ Adapalene (Differen) ในบางรายที่ใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอ คือ Retin-A, Renova ฯลฯ แล้วมีปัญหาผิวแห้งระคายเคืองมาก แพทย์อาจเปลี่ยนมาให้ยากลุ่ม Retinoids แทน ควรทายาก่อนนอน อาจทาครีมให้ความชุ่มชื้นตามบริเวณที่ผิวแห้งและรอบดวงตาและควรใช้ยากันแดด ร่วมด้วย
3. ยาทารักษาสิวกรด Azelaic นอกจากช่วยให้สิวอุดตันหลุดลอกแล้ว ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหนัง กรด Azelaic จัดเป็น Dicarboxylic acid ที่พบในข้าวสาลี, ไรย์, บาร์เลย์ ออกฤทธิ์คล้าย BP5% ,กรดวิตามินเอ 0.05% หรือ Erythromycin cream 2% โดยทั่วไปยาทา Azelaic acid จะไม่ค่อยทำให้ผิวระคายเคืองและไม่ค่อยก่อให้เกิดผิวไวต่อแสง
4. ยาปฏิชีวนะชนิดทา เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นได้ การใช้ยาปฏิชีวนะรับประทานเพื่อการรักษาสิวจึงเป็นสิ่งที่แพทย์ปฏิบัติมานาน แล้ว เมื่อไม่นานนี้ได้มีการพัฒนายาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาสิวมาอยู่ในรูปยาทา เพื่อลดปฏิกิริยาแทรกซ้อนจากการรับประทานยาต่อเนื่องกันนานๆ ผู้ป่วยสิวหลายรายที่เคยได้รับยา ปัจจุบันอาจใช้เพียงยาทาก็พอ ซึ่งยานี้จะอยู่ในรูปของโลชั่น ครีมหรือขี้ผึ้ง
ยาปฏิชีวนะชนิดทาที่อยู่ในรูปของโลชั่น ซึ่งมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ จะทำให้ผิวหนังแห้งได้ ดังนั้นถ้าเป็นคนที่มีผิวหน้าแห้งและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว แพทย์อาจเลือกใช้ยาปฏิชีวนะชนิดที่ทาอยู่ในรูปครีมหรือขี้ผึ้งแทน ในทางตรงกันข้าม หากมีผิวหน้าค่อนข้างมัน ก็อาจใช้ยาในรูปของโลชั่น ให้ทาประมาณ 20-30 นาที หลังล้างหน้าตอนเช้าและตอนเย็น
ที่มา ... โรงพยาบาลวิชัยยุทธ (นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร )
Create Date : 14 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 14 กรกฎาคม 2553 16:24:08 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1450 Pageviews. |
|
|
|
|