เอกชนค้านขึ้นค่าแรง 300 บาท ชี้เจ๊งเร็ว (ไทยโพสต์)
เอกชนแข็งข้อจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หวั่นเอสเอ็มอีปิดตายอื้อ แนะเพื่อไทยฉีกกฎหมาย แล้วใช้อำนาจสั่งการคณะกรรมการไตรภาคีให้ปรับไปเลยดีกว่า
นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันนั้น ในทางปฏิบัติมีกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำดูแลอยู่ผ่านคณะกรรมการต่างๆ เพื่อพิจารณาและดำเนินการปรับเพิ่มค่าแรง แต่หากรัฐบาลต้องการขึ้นค่าแรงในทันที รัฐบาลก็จะต้องฉีกกฎหมายก่อน แล้วเขียนกฎหมายใหม่ขึ้นมา ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะดำเนินการได้ แต่หากจะใช้อำนาจสั่งการผ่านคณะกรรมการค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) ก็คงทำได้ทันที
ทั้งนี้ การขึ้นค่าแรงดังกล่าว เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปี เพราะหากมีการปรับขึ้นค่าแรงในทันที จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ซึ่งต้องปิดกิจการจำนวนมาก
"การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็มีกฎหมายดูแลอยู่ หากต้องการขึ้นเลย 300 บาททันที ก็ต้องฉีกกฎหมายทิ้งแล้วเขียนใหม่ หรือไม่ก็ใช้อำนาจสั่งคณะกรรมการไตรภาคีให้ขึ้นได้เลย แต่ผู้ประกอบการก็จะเดือดร้อนสาหัส จึงเห็นว่าควรทยอยปรับขึ้นดีกว่า ไม่ควรปรับทันที ขณะที่การจะใช้เงินภาษีมาเยียวยา ก็คงไม่มีผล เพราะถ้าเราทำธุรกิจขาดทุน จะมีกำไรมาจากไหน ซึ่งในอนาคตธุรกิจเอสเอ็มอีหายไปแน่นอน และเกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมหาศาล" นายสมมาต กล่าว
นายสมพงษ์ นครศรี รองประธานอาวุโส ส.อ.ท. กล่าวว่า หากรัฐบาลจะให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน เอกชนคงไม่จ่ายเงินอย่างแน่นอน เพราะเอกชนไม่มีเงินจำนวนมาก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องหาเงินมาให้กับภาคเอกชนเพื่อนำไปจ่ายค่าแรงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นค่าแรง ต้องรอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนใหม่ว่าจะมีนโยบายอย่างไร และต้องหารือกับภาคเอกชนก่อน
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน น่าจะเป็นการเพิ่มให้กับแรงงานฝีมือมากกว่า แต่หากจะเพิ่มให้กับแรงงานไร้ฝีมือ คงไม่สามารถทำได้ เพราะมีคณะกรรมการไตรภาคีทำหน้าที่พิจารณาอยู่แล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก