ประสีประสาสิงสาราสัตว์
Group Blog
 
All Blogs
 

แรดตัวแรก




ผมเชื่อว่านักตกปลาเกินครึ่ง ไม่เคยตกได้ปลาแรด (Giant Gourami) เนื่องจากหาแหล่งที่มีตัวยาก และการตกก็ดูเหมือนจะมีพิธีกรรมแหวกแนวจากการตกปลาตามปกติด้วย

แต่ก่อนเวลาไปเที่ยวตามแพเมืองกาญจน์ ผมจะเห็นปลาแรดวัยอ่อนลอยคอตามชายแพเป็นประจำ แต่ไม่เคยเห็นแม้เงาของปลาแรดใหญ่ นอกจากเหยื่อที่มีคนวางล่อปลาแรดทิ้งไว้ตามหลังแพเงียบๆ

เหยื่อตกปลาแรดเป็นพวกลูกไม้ป่า แล้วก็ต้องประดับใบไม้มากมายให้แนบเนียนด้วย ว่ากันว่า ปลาแรดใหญ่มีนิสัยขี้ระแวงเอาการ

ดูท่าจะต้องทุ่มเทเสียเวลามาก เพื่อจะได้ปลาแรดสักตัว ผมเลยไม่ค่อยให้ความสนใจกับมันตั้งแต่บัดนั้นมายันบัดนี้

แต่แล้ว โอกาสของผมกับปลาแรดใหญ่ก็มาถึงอย่างไม่คาดฝัน เมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมไปเที่ยวในสวนยางพาราแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีบ่อขุดเนื้อที่น่าจะสัก 2-3 ไร่ เจ้าของสถานที่บอกให้ตกปลาได้ตามสบาย

ผมใช้เวลาบนศาลากลางบ่อน้ำอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมง ในการนั่งดูแหล่งน้ำที่ไม่คุ้นเคย พยายามมองหาการจิบน้ำ การฮุบ หรืออะไรก็ได้ที่จะบอกว่าในบ่อมีปลาอะไรให้ตกบ้าง ก็พบว่าเป็นบ่อที่ค่อนข้างเงียบเชียบ ไม่ค่อยมีวี่แววของปลาสักเท่าไร

ยามบ่าย ลมสงบ แสงแดดส่องลงมาที่ผิวน้ำ ผมเห็นเงาของปลาแรดตัวแรก เป็นปลาตัวย่อมๆ จากนั้นก็เห็นปลาแรดใหญ่ 2 ตัว ว่ายน้ำคลอเคลียกันไปตามกอบัว แล้วก็ตามด้วยปลาแรดใหญ่โทน


ผมหมายหัวปลาโทนตัวนี้ทันที ไม่อยากสร้างเวรกรรมอะไรมากกับปลาที่กำลังมีความรักคู่นั้น

ผมเริ่มด้วยเหยื่อกุ้งสดที่เตรียมมา ประคองให้เหยื่อลอยใต้ผิวน้ำนิดเดียวด้วยทุ่นลอยเล็กๆ ทันทีที่เหวี่ยงไปดักหน้าปลาแรดห่างสัก 2 เมตร มันก็ปรี่เข้ามาดมๆ เหยื่อ แล้วว่ายวนดูเชิงช้าๆ ก่อนสะบัดแพนหางจากไป

ตอนนั้นจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าปลาแรดวัยเด็กจะกินสัตว์ พอโตเป็นแรดใหญ่จะหันมากินพืชเป็นหลัก ผมเปลี่ยน

เหยื่อทันที เป็นกล้วยเล็บมือนาง ปลาแรดก็ปรี่มาดูเหยื่อเช่นเดิม แต่ไม่ยอมฉวย

ผมก็นึกขึ้นมาได้อีกว่า ปลาแรดเป็นจอมระแวง ชะรอยมันจะระแวงทุ่น? เลยจัดการปลดออก เหลือแต่เหยื่อกล้วยเปล่าๆ

เพื่อไม่ให้กล้วยจมน้ำหนีปากปลาไป เลยเหวี่ยงไปพาดไว้กับใบบัว คราวนี้ปลาแรดไม่รีรอ ปราดเข้าฉวยทันที

มันเป็นปลาที่สู้เบ็ดได้มันทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อใช้สายเล็กแค่ 6 ปอนด์ ปลาลากสายตะบึงไปอย่างกะแรดกาฬทวีป พาไปพันกอบัวถึง 3 กอ วิ่งลอดใต้ศาลาอีกต่างหาก

สุดท้ายต้องใช้บริการคนงานสวนยาง ลงน้ำไปช้อนเอาตัวขึ้นมา ชั่งกันสดๆ เดี๋ยวนั้น เข็มชี้ที่ 9 ปอนด์ หรือ 4 กก. นิดๆ

ไปค้นข้อมูลอ่านดู ไม่น่าเชื่อ ปลาแรดเป็นญาติกับปลากระดี่!


ปริญญา ผดุงถิ่น เรื่อง/ภาพ




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2555 5:01:34 น.
Counter : 4283 Pageviews.  

รังนกแท้ล้านเปอร์เซนต์




ตอนที่เห็นนกแอ่นถลาเข้ามาใต้ถุนตึก กลางอุทยานฯ เขาใหญ่ แล้วก้มหน้าก้มตาสร้างรังด้วยขนนกปุกปุย ทำเอาผมตื่นเต้น จ้องดูแทบตาถลน

ลึกๆ ในใจ (เหิมเกริม) คิดไปว่าอาจเป็นนกแอ่นป่าตัวหายากตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งผมจะได้รูปถ่ายของมันแบบเผาขนเลยทีเดียว

แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โธ่ มันก็แค่นกแอ่นบ้าน (House Swift) ซึ่งเป็นนกโหลๆ ทั่วไปเท่านั้น "นกแพง" ซะเมื่อไหร่

อืม ชะรอยสิ่งแวดล้อมของเขาใหญ่คงจะคล้ายเมืองเข้าไปทุกทีกระมัง นกเมืองอย่างนกแอ่นบ้านถึงตามมาทำรัง

เมื่อขยายรูปดูส่วนประกอบของรังนกแอ่นบ้าน ก็เห็นว่าเต็มไปด้วยขนนกนานาพันธุ์ หลากสี แม้แต่สีเขียวก็ยังมี

มันคงไม่ได้ถอนขนตัวเองมาสร้างรังอย่างที่นกบางชนิดทำ หากแต่ไปเก็บรวบรวมวัสดุขนนกเหล่านี้มาอีกที

สำหรับคนที่ชอบกินรังนกเป็นประหนึ่งยาอายุวัฒนะ หากจะลองพลิกแพลงกินรังนกแอ่นบ้านคงจะประหยัดไปได้เยอะ

แถมยังหาง่ายกว่ารังของนกแอ่นกินรัง (Germain's Swiftlet) ตั้งแยะ

ทำเลทำรังโปรดของนกแอ่นบ้าน คือตามใต้สะพานคอนกรีต ใต้ชายคาโบสถ์ และก็รวมถึงใต้ถุนตึกด้วย อย่างที่เจอบนเขาใหญ่นี่

วิธีการยึดเศษขนนกแต่ละขนให้ติดกันจนเป็นรังอันอบอุ่นแข็งแรง มันคงไม่แคล้วต้องใช้น้ำลาย

หากมีวิธีสกัดน้ำลายแยกจากกลุ่มขนได้ คุณก็จะได้บริโภครังนกสมใจ ในราคาไม่แพง

เป็นรังนกล้านเปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก ไม่ต้องกลัวโดนแหกตา

เพียงแต่ผมขอเรียกร้องนิดเดียว กรุณาเก็บกินเฉพาะรังเก่าที่นกทิ้งแล้วเท่านั้น (555 แนะนำอย่างจริงจังมาก)

เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับเครื่องดื่มรังนก

ไปๆ มาๆ คำขลังๆ ที่อ้างว่า ทำจากรังนกแท้ 100% นั้น

พวกดันผสมลงไปในขวดแค่ 1% (ตลกร้าย ฮาไม่ออก)

ผมลองสืบค้นเรื่องนี้ดู ก็พบว่าบริษัทเครื่องดื่มรังนกทั้งหลายจะมีเอกสารประชาสัมพันธ์สินค้าในลักษณะโจมตี-ทำลายคนอื่นด้วย

บอกว่ารังนกตลาดๆ มันไม่ใช่รังนก แต่เป็นยางบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายรังนกมั่กๆ กินไปไร้ประโยชน์

แต่พอมารู้ว่าในขวดรังนกแพงๆ มีเศษรังนกแท้ 100% เจืออยู่แค่ 1%

อ้าว แล้วของที่คนกินคิดว่าเป็นรังนก มันเป็นอะไรกันแน่วะ?

ผมถึงว่า หันมากินรังนกแอ่นบ้านเก่าๆ ก็ได้กินน้ำลายนก นิดๆ หน่อยๆ พอๆ กันนั่นแหละ

เรื่องตลกร้ายของรังนกส่งท้าย เป็นผลวิจัยของนักโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

แยกธาตุพบว่ารังนก 1 ขวด มีคุณค่าทางอาหารมากมายไม่น่าเชื่อ

คือเท่านมสดครึ่งช้อนโต๊ะ หรือถั่วลิสง 2 เม็ด



ปริญญา ผดุงถิ่น เรื่อง/ภาพ




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2555 1:17:51 น.
Counter : 1828 Pageviews.  

กระจงน้อย (กลอยใจ)





แม้คนนอกอาจไม่ค่อยรู้จัก แต่ขอเล่าให้ฟังว่าคนในวงการดูนกทั่วไป จะรู้จักชื่อของ "บ่อนกลุงสิน" เป็นอย่างดี

เมื่อชาวบ้านชายป่าแก่งกระจานคนหนึ่ง สร้างน้ำบ่อน้อยไว้ในทำเลอันเหมาะเจาะ เดินลัดเลาะไปจากถนนลาดยางแค่ไม่ถึง 10 นาที

นกสารพัดชนิดในละแวกนั้น ก็แห่ลงมาใช้บริการน้ำในบ่อ ทั้งดื่มทั้งอาบตั้งแต่เช้ายันค่ำ

ลุงสินเจ้าของบ่อ ซึ่งคิดค่าบริการเข้าชมคนละ 200 บาทต่อวัน ก็เลยสุขสบายในวันนี้

ล่าสุดที่ผมไปเจอ แกเล่าว่าเก็บเงินค่าเข้าบ่อหน้าแล้ง ตกวันละ 600-800 บาท เป็นเวลา 5 วันต่อ 1 สัปดาห์

ปลูกถั่วปลูกงาอะไร ก็ทำรายได้ไม่ดีเท่านี้!

หนึ่งในความคลาสสิกของบ่อนกลุงสิน ในความคิดของผม ก็คือกระจงที่หลงแอ่งน้ำน้อยของแก แห่มาดื่มน้ำแก้กระหายกันทั้งวัน

เป็นของแถมให้นักดูนกได้ส่องชื่นชมและถ่ายรูปกันอย่างสนุกมือ จากปกติเป็นสัตว์ที่หาตัวได้ยากมาก

ผมเองเที่ยวป่ามานาน เคยเจอกระจงในป่าดงที่ไม่ใช่บ่อนกแค่ 2 หน จากทุ่งใหญ่นเรศวรทั้งสองหน

ไม่ใช่เพราะกระจงเป็นสัตว์หายากใกล้สูญพันธุ์ ตรงข้าม กระจงยังเป็นสัตว์ที่สถานภาพ "โหล" ในปัจจุบัน

เพียงแต่นิสัยหากินกลางคืน และซ่อนตัวในพงรกในเวลากลางวัน ทำให้กระจงเป็นสัตว์เร้นลับระดับหนึ่ง

กระจงเมืองไทยมี 2 ชนิด คือ กระจงใหญ่ หรือกระจงควาย และก็กระจงเล็ก

ผู้รู้จำแนกชนิดให้ว่า ตัวที่มาลงบ่อนกลุงสินประจำนั่น คือกระจงเล็ก

มันช่างเป็นสัตว์ที่น่ารัก น่าดูมาก จากความที่เป็นสัตว์คล้ายเก้งกวาง แต่ย่อส่วนเหลือตัวเท่าหมากระเป๋า

ขามันเรียวเล็กอย่างกับ ตะเกียบ แต่ที่สะดุดตาน่าดูที่สุด เห็นจะเป็นเขี้ยวโค้งๆ ที่งอกโผล่พ้นริมฝีปากกระจงตัวผู้

ใบหน้าคล้ายหนูของกระจง นำมาสู่ชื่อไทยๆ "กวางหนู" และชื่ออังกฤษ Mouse Deer

ดวงตากลมโตผิดส่วน ชวนให้คาดเดาถึงอุปนิสัยชอบหากินกลางคืน ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งประสาทตาโตๆ

อดีตของชายป่าแก่งกระจานนั้น ชาวบ้านที่เป็นพรานทั้งหลาย ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการล่ากระจง

ด้วยการสร้างบ่อน้ำเทียมขึ้นมาใจกลางป่าแล้งๆ กระจงที่เป็นสัตว์ชอบซ่อนตัว ยังอดใจไม่ไหวต้องออกมา แล้วก็ถูกยิงตายไปมากมาย

กระจงแต่ละตัวมีน้ำหนักแค่ 2 กิโลกรัมเศษเท่านั้น ถลกหนัง ตัดหัว ตัดขา เหลือแต่เนื้อเปล่าๆ ปรุงเป็นอาหารกินแกล้มเหล้าก็คงไม่เกินมื้อเดียว

แต่เมื่อพรานกลับใจพวกนั้น (ลุงสินเป็นหนึ่งในนั้น) เปลี่ยนบ่อล่อสัตว์ของเขา ให้กลายเป็นบ่อนก กระจงและสัตว์ทั้งหลายก็เลยปลอดภัยจากปืน

เพราะการเก็บสัตว์น่ารักพวกนี้ไว้ให้คนถ่ายรูป ทำรายได้ให้อย่างงามและยั่งยืน

เป็นโมเดลอนุรักษ์ ที่ขจรขจายไปสู่ระดับโลกแล้วด้วย!



ปริญญา ผดุงถิ่น เรื่อง/ภาพ




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2555 1:04:09 น.
Counter : 4532 Pageviews.  

ค่างแว่นแสนประหยัด





หากไม่นับ "บ่าง" ซึ่งเป็น สัตว์อันไม่เข้าพวกเลย โฟกัสเฉพาะ "ลิง ค่าง ชะนี" แล้วละก็

ผมว่าผมชอบค่างที่สุดแล้ว จากรูปร่างสะโอดสะองกว่าใคร พร้อมผม เอ๊ย หางยาวเฟื้อยอย่างน่าตื่นตา ไหนจะสีสันนวลเนียน และวงตา สีขาวตลกๆ อันเป็นที่มาของชื่อ "แว่น"

แต่ผมก็พอจะรู้ว่าหากมองลึกไปถึงวิถีชีวิต ชะนีจะเป็นสัตว์ที่น่าประทับใจที่สุด จากการใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเล็ก พ่อ-แม่-ลูก ไม่ใช่ฝูงใหญ่แบบค่างและลิง

แถมด้วยเสียงร้องก้องไพร อย่างที่ลิงกับค่างไม่สามารถเปล่งออกมาได้ (นักเลงชะนีบอกว่า "อั๋วๆๆๆ" แต่เราๆ ท่านๆ รู้สึกสะใจกว่าที่จะร้อง "ผัวๆๆๆ")

ค่างแว่นยังแบ่งเป็นค่างแว่นถิ่นเหนือกับค่างแว่นถิ่นใต้ ซึ่งผมเองต้องสารภาพว่าจนบัดนี้ยังไม่เคยเห็นตัวจริงเสียงจริงของค่างแว่นถิ่นเหนือ

เพราะป่าที่ผมเที่ยวบ่อยที่สุดอย่างแก่งกระจาน มีแต่ค่างแว่นถิ่นใต้ให้ดู

ถึงจะเห็นค่างในแก่งกระจานบ่อยมาก แต่การจะถ่ายรูปให้ได้แบบจะจะไม่ง่าย ส่วนใหญ่มันจะอยู่บนต้นไม้สูง ใบไม้ทึบ และถ้าตื่นตกใจ ก็จะเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว

แต่ผมเพิ่งโชคดีเมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อขับรถขึ้นเขาพะเนินทุ่งในวันธรรมดา แล้วใช้เทคนิค "บังไพรติดล้อ" ซึ่งก็คือการถ่ายรูปจากในรถ

สำเร็จ! ช่างเป็นการถ่ายรูปที่แสนเพลิดเพลิน ค่างอยู่ในอาการสงบ ง่วนกับการรูดใบไม้ยัดใส่ปากเคี้ยวอย่างผ่อนคลาย

ค่างก็ใส่แว่น คนถ่ายรูปค่างก็ใส่แว่น แถมไม่ใช่แว่นธรรมดา แต่เป็นแว่น Progressive อีกต่างหาก เรียกว่าจัดเต็มทั้งสายตาสั้นสายตายาว โธ่ถังสังขารา

ในนวนิยายสุดมันที่กำลังจะกลายเป็นหนังอย่าง "เพชรพระอุมา" ค่างมีชื่อเล่นในหมู่พรานว่า "กวางโจน" เปรียบค่างเป็นกวางที่กระโจนไปตามยอดไม้ได้

แล้วก็บรรยายสรรพคุณว่า เลือดค่างสดๆ ผสมกับเหล้า จะช่วยแก้ปวดเมื่อยให้หายเป็นปลิดทิ้ง จริงเท็จไม่ทราบ แต่ผมไม่เชื่อ

ในสารคดีท่องป่ายุคเก่าๆ จะมีการพูดถึงผีป่าที่เรียกว่า "ผีโป่งค่าง" ด้วย ลักษณะเป็นค่างปีศาจที่ดอดมาดูดเลือดพรานถึงในแคมป์ตอนดึกๆ

ซึ่งมาถึงยุคเต็นท์โดมสีสวยลานตา กางพรึ่บตามแคมป์อุทยานอย่างทุกวันนี้ ตำนานผีโป่งค่าง ออกจะโบราณคร่ำครึพอๆ กับ "ผีกองกอย" แบบเถือกันไม่ลง

เห็นค่างกินใบไม้ พลันนึกย้อนอดีตไปช่วงปี 40 ซึ่งผมเจอพิษเศรษฐกิจเล่นงานอ่วม จำได้ว่าตอนนั้นมาเที่ยวป่าแก่งกระจาน ถึงกับยืนซึมดูค่าง อิจฉามัน กินแต่ใบไม้ของฟรีรอบตัว อะไรจะเรียบง่ายรื่นรมย์ปานนั้น!

เทียบกับคนแล้ว เกิดเป็นคนมันช่างหาเรื่องวุ่นวาย ไหนจะต้องกินฟูจิ กินเอ็มเค กินแมคโดนัลด์ กินสตาร์บัคส์ กินแบล็กฯ กินไฮเนเก้น ฯลฯ

ถ้าวันๆ เด็ดกินแต่ใบไม้แบบค่าง ป่านนี้คงเป็นเศรษฐีกันค่อนประเทศไปแล้วมั้ง


ปริญญา ผดุงถิ่น เรื่อง/ภาพ




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2555 0:53:24 น.
Counter : 2969 Pageviews.  

ช้าๆ ได้หมาจิ้งจอก



สัตว์ป่าที่ผมได้เจอทีไรดีใจทุกที คือหมาจิ้งจอก (Golden Jackal)

และยิ่งดีใจมากขึ้น หากการเจอนั้นเกิดขึ้นในพื้นที่ของอุทยานฯเขาใหญ่ เพราะเคยได้ยินได้ฟังจากนักเที่ยวป่าที่มีประสบการณ์ บอกว่าแต่ก่อนนี้หมาจิ้งจอกก็เป็นสัตว์หายากบนเขาใหญ่

ลองไล่นึกดู ผมเองเคยเจอหมาจิ้งจอกยังไม่ถึง 10 ครั้ง จากห้วยขาแข้ง ภูเขียว ปางสีดา และเขาใหญ่

เคยถ่ายรูปได้ 2 ครั้ง ที่ภูเขียวและเขาใหญ่ แต่ผมไม่ปลื้มภาพหมาจิ้งจอกภูเขียวนัก เหตุที่มันกำลังเดินอยู่บนถนนลาดยาง

ชอบมากกว่าก็คือภาพที่ถ่ายจากเขาใหญ่หมาดๆ เป็นหมาจิ้งจอกกลางพงหญ้าสูง สีสันกลมกลืนพรางตาดีแท้

เบื้องหลังที่ช่วยให้ได้ภาพนี้ ไม่มีอะไรมากกว่าการขับรถช้าๆ

เนื่องจากผมเห็นผลดีของการขับรถช้าบนเขาใหญ่มาหลายหน ช่วยให้เจอสัตว์ดีๆ เลยพยายามที่คุม (ตีน) ตัวเองให้รักษาความเร็วไว้ต่ำๆ

ก่อนจะเจอหมาจิ้งจอก ผมเพิ่งเสียดายสุดๆ เมื่อผมเห็นรถคันหนึ่งที่กำลังแล่นส่วนมาไกลๆ ต้องหยุดรถ เพื่อให้ไก่ฟ้าหลังขาว (Silver Pheasant) เดินงงๆ หมุนไปหมุนมากลางถนนหน้ารถตามสบาย

แล้วมันก็เดินเข้าป่ารกข้างถนนไป โดยผมไม่ทันขยับรถเข้าใกล้ให้ได้ระยะถ่ายรูป

ผมบ่นอุบกับตัวเอง นี่ถ้าขับให้เร็วกว่านี้ คงจะมาถึงตัวไก่ฟ้าก่อนรถคันนั้น และจะได้รูปไก่ฟ้าจ่อๆ แสงดีๆ (ยามบ่ายโมงเศษ) ไปแล้ว...เสียดายจริงๆ ไม่น่าเลย ฯลฯ

จากจุดที่เจอไก่ฟ้า ผมขับช้าๆตามคติต่อไป ด้วยความเร็วแค่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนมาถึงทุ่งหญ้าใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อเขาเขียว

สายตาก็เหลือบไปเห็น“หน้าหมา”ลอยเด่นในพงหญ้า คว้ากล้องรัวพรืดมา 10 กว่าช็อต มันก็มุดกลับหายไปในความรก

คราวนี้ผมหันมาแสดงความยินดีกับตัวเอง นี่ถ้าขับรถเร็วกว่านี้นิดเดียว ก็มีโอกาสจะไม่ทันเห็นหมาจิ้งจอกที่ยืนกลมกลืนกับหญ้า

ที่เสียดายไก่ฟ้า ก็หักลบกลบหนี้ไป ได้กำไรติดมือมานิดๆด้วย เพราะผมรู้สึกว่าโอกาสจะได้รูปจิ้งจอก ยากกว่าไก่ฟ้าหลังขาว

จากข้อมูลที่ไปค้นมา Golden Jackal ในบ้านเรา กลับมีดีเอ็นเอที่แตกต่างจาก Jackal ในภาคพื้นอื่นของโลก

ไปๆมาๆ มันเกี่ยวโยงเป็นญาติใกล้ชิดกับ Grey Wolf (หมาป่า) และ Coyote (หมานะครับ ไม่ได้หมายสาวๆโคโยตี้ เต้นหยึงๆ 555)

และจริงๆคำว่า หมาจิ้งจอก ปกติจะหมายถึงพวก Fox ตัวละครเอกของนิทานอีสปสารพัดเรื่อง ถือว่าเราอนุโลมเอามาเป็นชื่อเรียกของ Golden Jackal

เชื่อกันว่าหมาบางแก้วที่ดุร้ายนั้น มีเชื้อสายเป็นหมาลูกผสมหมาจิ้งจอกกับหมาบ้าน จริงเท็จแค่ไหนผมไม่ทราบ ทราบแต่ว่าหน้าตาของมันก็มีส่วนอยู่

แต่ที่รัสเซีย เคยนำ Golden Jackal ไปผสมกับหมาไซบีเรียน ฮัสกี้ เอาลูกของพวกมันมาใช้ในกิจการดมค้นหาระเบิดตามสนามบิน

เพราะเชื่อว่าประสาทดมกลิ่นของ Jackal เหนือกว่าหมาบ้าน



ปริญญา ผดุงถิ่น เรื่อง/ภาพ




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2555 23:56:38 น.
Counter : 2015 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

HWAMEI
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add HWAMEI's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.