สมาชิกหมายเลข 3519206
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






เราคือนักเขียนบล็อกอิสระ
เราที่หลงใหลการค้นหาแรงบันดาลใจให้ชีวิต
เราก็คือเมฆที่สว่างได้ด้วยตัวของมันเอง
ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร...

The clouds are always improvising,
but the culprit is wind.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 3519206's blog to your web]
Links
 

 

(ก่อนนอน) คำพูดใครว่าไม่สำคัญ



ชีวิตดีขึ้นได้ด้วย "วิธีคิด" และ "วิธีพูด" ที่ดี Positive Words, Powerful Results เขียนโดย Hal Urban
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาวิธีการปฏิบัติงานให้ได้ผลสูงสุด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ในโลกปัจจุบันนี้ ผู้คนมีอิสระเสรีในการพูดในสิ่งที่ตนเองคิดมากขึ้น แต่หาได้ตระหนักถึงพลังและอำนาจทำลายล้างของมัน
คำพูดสามารถรังสรรค์สิ่งดีๆและมอบความสุขให้กับชีวิตของใครบางคน ในขณะเดียวกันคำพูดก็พร้อมทำลายล้างและมอบหายนะให้กับใครคนนั้นเช่นกัน
คำพูดคือสิ่งที่เราใช้ทุกวันในชีวิตของเราเพื่อติดต่อผู้คนบนโลก คือเครื่องมือที่เราใช้ทักทาย ถามตอบ สอน ให้กำลังใจ ปลอบโยน ชมเชย ยินดีกับชีวิต
ขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นในขีวิต หัวเราะ และติดต่อกันด้วยวิธีอื่นๆอีกนับหมื่นวิธี เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิต กับ การใช้คำพูด มีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน (โอลิเวอร์ เวนเดล โฮล์ม)
น่าแปลกที่คำพูดเพียงไม่กี่คำสามารถสร้างความแตกต่างและมีผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกของคนฟังได้มหาศาล
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัว
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เราถามแฟนว่า "เธอรู้สึกยังไงเวลาที่เจ้านายชมว่า.. เธอทำได้ดีมาก"
"แน่นอน ก็ต้องรู้สึกดีสิ แถมมันยังทำให้ผมมีกำลังใจจะทำงานต่อไปอย่างเต็มที่"

"แล้วเธอรู้สึกยังไงเวลาเจ้านายตำหนิผลงานของเธอ"
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า "ก็... พักหลังๆนี้เขาก็บ่นมากกว่าจะชมซะอีกนะ มันทำให้ผมรู้สึกเบื่อและไม่อยากจะไปทำงานเลยจริงๆ"
จากบทสนทนาครั้งนั้นมันทำให้เราเห็นว่านอกจากคำพูดจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของใครบางคนแล้ว
คงไม่มีใครในโลกนี้หวังจะได้ยินแต่คำพูดตำหนิด่าทอ เสียดสี เหน็บแนมจากเจ้านายหรอก มีแต่อยากให้เขาเห็นสิ่งที่เราทำได้ดี
ชื่นชมและร่วมยินดีกับสิ่งที่เราทำสำเร็จ แค่นี้ เราก็มีกำลังใจจะทำงานต่อไปอย่างเต็มที่
แต่หลังจากที่เราถามแฟนไปแบบนั้น เขาก็เกิดสงสัยขึ้นมา..
"เอ.. แล้วเธอทำไมจู่ๆมาถามเรื่องแบบนี้ล่ะ"
"ก็... เธอเชื่อมั้ยว่าคำพูดน่ะ สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้"
"......."
คงไม่ใช่เรื่องง่ายสินะที่คนที่ในหัวสนใจแต่เรื่องวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี, หุ่นยนต์, เศรษฐกิจและการเงินจะมาเข้าใจเรื่องแนวปรัชญา ศิลปะ และวรรณกรรมอะไรพรรค์นี้
"งั้นฉันจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆล่ะกันนะ ถ้า...ฉันพูดว่า เลิกกัน เธอจะรู้สึกยังไง"
ทันทีที่เขาได้ยินคำนี้ เขาก็มีท่าทีฟึดฟัด หัวเสียทันที "อะไรนะ!? เธอกล้าพูดคำนี้เร้อะ ห้ะ"
ไม่ทันจะให้บรรยากาศมาคุเพิ่ม เราก็รีบถือจังหวะนี้พูดแทรกทันที "แต่ถ้าฉันพูดว่า แต่งงานกัน เธอจะว่าไง"
ปฏิกิริยาของเขาช่างแตกต่างกับตอนแรกและมันน่าทึ่งมาก จากที่บ่นเอะอะโวยวาย กลายเป็นตัวเขาเองที่ยิ้มร่าและนัยตาดูมีความหวังขึ้นมา
เสียงพูดของเขาจากแข็งกร้าวกลายเป็นอ่อนโยนในทันที "ฮ่าๆ เอาสิ รีบแต่งงานเลยนะ"
"เห็นมั้ย ว่าแค่คำพูดไม่กี่คำสามารถทำให้เธอรู้สึกได้ถึงขนาดนี้"
"นั่นเป็นเพราะเธอพูดหรอกน่า..ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ไม่เท่าไหร่" เขาแก้ต่าง ทำหน้าเรียบเฉย ดูท่าทางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เราสรุป
ใช่ซื้ เรามันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่ยะ แต่จะว่าไป สิ่งที่เขาพูดก็ถูกแหะ แต่ยังไงก็ตาม มันก็พิสูจน์ให้เห็นแน่แล้วล่ะว่าคำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้
ขอยกตัวอย่างอีกสักเรื่อง เกิดขึ้นเมื่อเรากำลังเข้าคอร์สเทรนนิ่ง
ในขณะที่เรากำลังตั้งใจฟังและจดจำในสิ่งที่เราทำพลาดไปในการทำงานครั้งที่ผ่านมา หัวหน้างานได้แต่คอมเม้นต์และชี้ให้เห็นแต่ข้อเสียทีละข้อๆ
พร้อมกับพยายามเน้นหนักหนาเหลือเกินว่า เธอทำผิดตรงนี้นะ เธอทำพลาดอีกแล้วนะ มันส่งผลอย่างไรต่อไป และต้องการให้เราทำแบบที่เขาหวังให้ได้
ดูแล้วเป็นเรื่องปกติที่เทรนนี่อย่างเราทำผิดก็ต้องถูกตำหนิเป็นธรรมดา แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามีบางสิ่งที่หายไป..
ในด้านอาชีพการงาน หรือสถานะทางสังคมนั้น คนที่มีตำแหน่งและสถานะสูงกว่าคนอื่นๆ มันทำให้เขามีอำนาจมากขึ้น เขามีสิทธิ์และอำนาจที่สั่ง, ชี้แนะ, แนะนำ,
ตำหนิว่ากล่าวคนที่มีตำแหน่งและสถานะต่ำกว่าได้ทุกเมื่อ การชี้ให้คนอื่นเห็นถึงข้อบกพร่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เขาจะได้นำไปแก้ไข
แต่จะไม่ดีกว่าหรือถ้า คุณจะใส่ใจรายละเอียด พยายามมองหาสิ่งที่คนอื่นทำได้ดี มองหาจุดเด่นของคนคนนั้น และชื่นชมชมเชยไปกับมัน
จะไม่ดีกว่าหรือถ้าดึงเอาจุดแข็ง จุดเด่นของคนคนนั้นออกมาและทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ และรู้สึกว่าตัวเขานั้นสำคัญ แทนที่จะเน้นแต่จุดด้อย
หรือข้อเสียของเขาที่นับวันถูกพูดย้ำซ้ำเติมจนคนขาดกำลังใจไปก็เยอะ
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าเราสามารถรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิด รวมไปถึงลักษณะนิสัยของคนคนนั้นได้เพียงแค่ฟังในสิ่งที่เขาพูดและสื่อสารออกมา นั่นรวมไปถึงน้ำเสียงด้วย
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ สถานศึกษา ที่ทำงานหรือแม้แต่การเชียร์และการเล่นกีฬา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน การคิดก่อนพูดนั้นสำคัญ
เราควรคำนึงถึงผลกระทบของคำพูดที่ทุกครั้งออกจากปากเราไปสู่ผู้ฟัง
จงเลือกใช้คำพูดที่อ่อนโยน มีเมตตา คำพูดที่มีแต่พลังบวก และเต็มไปด้วยกำลังใจและมีความคิดสร้างสรรค์
คำพูด เราสามารถเลือกที่จะพูดได้ นั่นหมายถึง วิธีการที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่น "เราสามารถทำให้พวกเขาหดหู่ หรือทำให้มีกำลังใจมากขึ้นได้
เราสามารถเห็นแก่ตัวและไม่เกรงใจใคร หรือเราสามารถเคารพนับถือ มีความเมตตา และช่วยเหลือผู้อื่นก็ได้" ส่วนใหญ่แล้ว เราทำสิ่งเหล่านี้ด้วยคำพูดที่เราเลือกใช้...
แล้วคุณอยากให้คนอื่นมองคุณว่าเป็นคนแบบไหน ก็จงพิจารณาจากคำพูดของตนเองดูเถิด

คำพูดน่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้
คาลิล ยิบราน เขียนไว้ว่า "เมื่อท่านพูด ความคิดของท่าน จะถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง" ดังนั้นการ "คิดก่อนพูด" จึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่เรามักจะลืม
จงจำไว้ว่า "คำพูดเพียงไม่กี่คำ สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้"
"เรากำลังพูดถึงคำว่าได้โปรดและขอบคุณ คำสองคำนี้คือคำพูดที่มีความมหัศจรรย์จริงๆ ถ้าคุณอยากให้สิ่งดีๆเกิดขึ้น คำเหล่านี้คือคำพูดที่สมควรจะได้ยิน"-ฟิล ปาร์คเกอร์
"ขั้นตอนการตำหนิควรเริ่มต้นด้วยคำยกย่องและความชื่นชมตากใจจริงก่อน" -เดล คาร์เนกี้
"คุณจะเป็นอย่างที่คุณเป็น เพราะสิ่งที่เข้าไปในความคิดจิตใจของคุณ" - ซิก ซิกลาร์
"อย่าให้ใครที่มาหาลูกแล้วต้องกลับไป โดยไม่มีความสุขมากขึ้นและดีชึ้น" - แม่ชีเทเรซา




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2559 23:38:01 น.
Counter : 685 Pageviews.  

(กำเนิดบล็อก) แรงบันดาลใจ-แรงผลักดัน-เติบโต





วันหนึ่ง วันที่แสนน่าเบื่อแต่เรียบง่าย นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเดินไปค้นกล่องหนังสือกล่องใหญ่สีน้ำเงินที่วางอยู่ข้างๆกล่องลังเก็บของเก่า
เหมือนเด็กหญิงที่ทุกครั้งจะเดินไปค้นกล่องสะสมของเล่นเก่าๆ เผื่อมีอะไรน่าสนใจให้ค้นหาเล่น แต่ครั้งนี้เป็นกล่องลังใส่หนังสือเก่าๆตั้งแต่เมื่อสองสามปีที่แล้ว
ค้นไปค้นมา ไม่ทันไรก็เจอหนังสือที่น่าสนใจอยู่สองสามเล่ม ที่บอกว่าน่าสนใจก็เพราะ เป็นหนังสือที่ไม่เคยถูกเปิดอ่านมาก่อน ในใจก็นึกสงสัย
แปลกใจว่า ยังมีหนังสือที่เราซื้อมาแต่ยังไม่ได้อ่านอีกหรือ? ไม่ทันได้ตอบคำถามตัวเองที่ยังสงสัย ก็รีบคว้าหนังสือเล่มนั้นมาและปิดกล่องลังนั่นดันให้เข้าที่เก็บไว้ที่เดิม
"อย่างน้อยก็มีอะไรทำฆ่าเวลาล่ะน่า.."
จำความได้เมื่อครั้งยังเด็ก หนังสือเรื่องแรกที่เราได้มาและหลงรักมันทันทีที่อ่านจนจบก็คือ เรื่อง หนูน้อยหมวกแดง
จำได้ว่าตอนนั้นแม้ไม่ได้เปิดอ่านซ้ำ ก็ยังสามารถบรรยายรูปร่างลักษณะหน้าตาของเจ้าหมาป่าที่ปลอมตัวเป็นคุณย่าได้ดี นึกแล้วก็ขำในใจ
นิสัยรักการอ่านติดตัวเรามาตั้งแต่วันนั้นจนอายุประมาณ 10 ขวบ คงเป็นเพราะเทคโนโลยีและการติดต่อสื่อสารที่เติบโตอย่างรวดเร็วในสมัยนั้น
อินเตอร์เน็ตแพร่หลายเข้าสู่ทุกครัวเรือน ในที่สุดตัวหนังสือที่ถูกพิมพ์และขีดเขียนอยู่บนหน้ากระดาษก็ค่อยๆถูกหลงลืมหายไปกับความทรงจำในวัยเด็ก
และในวันนี้เป็นวันแรกที่เราตัดสินใจหยิบหนังสือปริศนาเล่มหนึ่งมาอ่านอย่างจริงจัง แทนที่เวลาว่างแบบนี้คงจะดีกว่าถ้าแค่เปิดโน้ตบุ๊คอ่ะนะ
ชื่อเรื่องบนปกหนังสือก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่หรอก "ชีวิตดีขึ้นได้ด้วย วิธีคิด และ วิธีพูด ที่ดี" ฟังดูไม่น่าจะเป็นประโยชน์กับตัวเราได้เลย หัวข้อฟังดูช่างไกลตัวเสียจริง...
แต่คุณเคยได้ยินคำพูดคำพูดหนึ่งไหมว่า "อย่าตัดสินหนังสือทั้งเล่มเพียงแค่ปกนอก.."
เอาล่ะ เปิดไปดูลวกๆสักหน่อยจะเป็นไร เสียเวลาแค่สองสามนาทีอ่าน อารัมภบทและบทนำ
หลังจากนั้นความคิดเดิมเราที่คิดจะเอาหนังสือเล่มนี้กลับคืนไปยังที่ที่มันควรอยู่ก็เป็นต้องล้มเลิกไป
เราแหงนมองดูนาฬิกา เวลาบ่ายกว่าๆ บวกกับอากาศที่เย็นสบาย ช่างเป็นใจเหลือเกิน พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่มีแผนอะไรที่ต้องทำอีก
เราเลยใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายไปจนถึงเวลาอาหารเย็นนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ไปได้ร้อยกว่าหน้า เรียกได้ว่าอ่านมาราธอนจริงๆล่ะ จะให้พูดยังไงดี
คือมันเพลินจนวางไม่ลงจริงๆ ยิ่งอ่านยิ่งรู้เยอะ ทุกข้อความที่ผู้เขียนได้เขียนแนะนำและเล่าบรรยายเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่เติมพลังบวกในตัวเรา
ใช่ มันทำให้เราค่อยๆเติบโตและอยากจะพัฒนาตัวเองต่อไป เกิดความคิดไอเดียใหม่ๆ อยากจะทำสิ่งอื่นๆอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
หรือสิ่งนี้รึเปล่าที่เขาเรียกกันว่า "แรงบันดาลใจ"
ส่วนตัวแล้วเราชอบและหลงใหลสามคำนี้เอามากๆ นั่นคือคำว่า Inspiration(แรงบันดาลใจ), Motivation(แรงผลักดัน) และ Grow(เติบโต)
เชื่อไหมว่าเจ้าสามคำนี้มีพลังในตัวมันเอง และพลังของมันนั้นมหาศาลเกินกว่าจะนึกได้ ประจวบเหมาะกับสิ่งที่พบเจอ ประสบการณ์ที่ผ่านมา
หรือแม้แต่ใครบางคนที่เดินเข้ามาในชีวิต บางคนเลือกที่จะอยู่ในขณะที่บางคนเลือกที่เดินจากไป อย่างไรก็ตาม สามคำนี้ก็ยังวนเวียนอยู่รอบๆตัวเราไม่ไปไหน
อยู่ที่ว่าเราใส่ใจพอที่จะสังเกตเห็นมันหรือเปล่า
ตามพจนานุกรมออนไลน์ภาษาอังกฤษได้ให้ความหมายของคำว่า Inspiration ว่า someone or something that gives you ideas for doing something
ใช่แล้วแรงบันดาลใจก็คือ บางคนหรือบางสิ่งที่ทำให้เราเกิดความคิดอยากจะทำอะไรสักอย่าง นึกเอาล่ะกันว่าคนนั้นหรือสิ่งนั้นต้องมีอิทธิพลกับตัวเรามากมาย
ถึงขนาดที่ว่าสามารถเข้าไปกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดให้เราเกิดอยากจะทำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา
ต่อมา คำว่า Motivation คือ enthusiasm for doing something แรงผลักดัน ก็คือ ความพยายามหรือความกระตือรือร้นในการทำบางสิ่งบางอย่าง
และคำว่า Grow คำที่มีความหมายสั้นๆแต่มีพลังไม่ใช่น้อย เติบโต นั่นหมายถึงไม่หยุดอยู่กับที่
ยกตัวอย่างง่ายๆ ต้นกล้าหนึ่งต้น นับวันมันก็ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง แผ่กิ่งก้านสาขา มีคุณทั้งตนเองและผู้อื่น
หากลองมองดูดีๆ จะสังเกตได้ว่า เจ้าสามคำนี้มีสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอยู่ ยังไงนะ?
เราจะขออธิบายสั้นๆว่า การที่เราจะเริ่มทำบางสิ่งบางอย่างและเป็นสิ่งที่เราชอบและรักที่จะทำมันนั้น ก่อนอื่นต้องมาจาก แรงบันดาลใจ
ที่จะมีผลกระทบต่อความคิดจิตใจเราว่าเราอยากจะทำสิ่งนี้ อย่างที่คนคนนี้หรือสิ่งสิ่งนี้ทำหรือเป็นอยู่ หลังจากที่เราเริ่มลงมือปฏิบัติทำ
เราอาจรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง หรือเหน็ดเหนื่อยระหว่างทาง และ แรงผลักดัน นั้นจะเข้ามาช่วยดันและผลักเราให้ทำต่อไป เดินต่อไปข้างหน้ายังจุดหมายที่หวังไว้
สุดท้ายแม้ว่าเราจะยังไม่ถึงจุดหมาย แม้ว่าจุดหมายปลายทางจะไกลแสนไกล แต่ทุกวันนี้สิ่งเราค้นพบก็คือ เราค่อยๆ เติบโต อย่างช้าๆ
เราเติบโตและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดยั้ง หากเปรียบกับต้นไม้แล้วก็คงจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่..
แล้วคำแบบไหนล่ะที่อยู่ในใจของคุณ และมันยังคงอยู่กับคุณมาจนทุกวันนี้
สำหรับเรื่องราวครั้งหน้า เมื่อหนังสือแค่หนึ่งเล่มส่งผลให้ตัวเราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง





 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2559 12:30:34 น.
Counter : 888 Pageviews.  

1  2  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.