เผื่อว่าจะน่าสนใจ
|
||||
STEP2CS for Thai medical students
Hello, today I've got the test result of USMLE step 2cs PASSED!!!!!!!!!!! with the highest score on ICE and CIS, all above borderline on SEP date: May 24, 2018 location: LA time: 2 months materials: Kaplan live full course(5days) + Mock exam, 3 SPs, 2 live CS partners, 5 skype CS partners, FA 6th edition, Kaplan core cases, Espresso English Tips: - improving on your weak part, and practice till perfect. - SEP: I'm not - SEP: For the - ICE: I practice typing skill without looking at the keyboard and able to type 60-70 wpm since I was a - CIS: practice the challenging question so that you won't be panic when you've got one. Go an extra mile for advising and offering options to patients. Try to counseling at least one thing to SPs. Do physical exam gently and oriented yourself with table well. - Try to look smart, don't make patient doubt your capabilities by saying ah, er, - Mock exam helps a lot in figuring your defect so that you can improve it - Thanks to one Thai doctor who warned me that this exam is super hard and I have to work hard to achieve PASS. - Always go an extra mile, don't think it's easy, don't ever think you're good. We always have something to improve. Try to be perfect, because we couldn't be 100% perfect but if we try, we're great. - Speak clearly, don't mumble, make a good eye-contact and don't turn your back to SPs. Don't show that you're elegant but show your empathy with their pain and what they're going through. - Lastly, don't take the exam at the beginning of the exam period, because you have to wait so so long time like me, I waited 33 months with anxiety and depression with PTSD. - Good luck! Hard work pays off. ครั้งหนึ่ง ณ รพช.
เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของการอยู่โรงพยาบาลชุมชน วันนี้ลงชุมชนไปสำรวจภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ รู้สึกว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะให้การต้อนรับดีมากๆ คือบางคนเค้าก็จะดีใจมากที่เราไปเยี่ยมเค้า นึกว่าจะมาตรวจสุขภาพให้ บางคนก็คิดว่าเราจะไปตรวจความดัน / เจาะDTX ดูค่าน้ำตาลให้ แต่พอรู้ว่ามาสัมภาษณ์เก็บข้อมูล เค้าก็ยินดีตอบคำถามให้ เราก็ถือที่วัดความดันไปด้วย เผื่อผู้สูงอายุบางคนเค้าอยากตรวจก็จะตรวจให้ รู้สึกเกรงใจมากๆถ้าเจ้าบ้านเค้าไปหาแก้วหาน้ำมาให้ มีบ้านนึงต้องไปนั่งรอคุณยายจดเบอร์หวยจนถึงรางวัลที่1 ถึงได้สัมภาษณ์ บางบ้านก็ลำบากมาก มีผู้สูงอายุบางคนต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล พื้นเป็นกระดานไม้ จะปัสสาวะ อุจจาระ ก็ถ่ายลงไปตามร่องไม้ บางคนมีลูกมีหลานเยอะแยะ แต่ก็ไม่มีคนดูแล คือเพื่อนคนนึงได้ไปสัมภาษณ์คุณยายคนนึงอายุ 87 ปี เลี้ยงหลานสองคนในกระต๊อบเล็กๆ ข้าวต้มเก่าๆถ้วยนึงยายแบ่งกินได้2-3มื้อ ยายได้เบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุมาทุกเดือนๆก็จะเก็บไว้ใต้หมอน วันนึงก็มีมือดีมาขโมยไป บางวันก็มีคนเมายามาขโมยสร้อยทองไป ลูกๆก็มองว่ายายไม่มีปัญญาเก็บเงิน ก็ไม่ให้เงิน ฟังแล้วแบบสงสารมาก วันนี้เดินผ่านบ้านยายก็เลยแวะเอาเงินไปให้ 100บาท เพื่อนเห็นก็ถามว่า ให้แบบนี้ไม่กลัวยายเคยตัวเหรอ สำหรับเราๆชอบช่วยคนที่แบบเห็นๆว่าเราช่วยไปแล้วเค้าได้แน่ๆ แบบไปบริจาคของหรือเงินตามสถานที่จริงๆ เช่นมูลนิธิอะไรงี้ จะไม่ให้เงินใครพร่ำเพรื่อ อย่างขอทานมือดีเท้าดีเราจะรังเกียจมากๆเลยนะ อย่างยายคนนี้คือเราคิดว่าชีวิตเค้าน่าจะลำบากมาก และเราก็ไม่คิดว่า เงิน100บาทที่เราให้ไปจะถึงกับทำให้ยายแก่ๆที่ต้องสู้ชีวิตมีหลานพ่วงสองจะงอมืองอเท้าขอเงินตลอดไป นอกเหนือจากงานวิจัยที่ทำแล้ว เราเห็นชีวิตของคนแก่ๆที่อยู่ตามบ้าน บางคนเป็นอัมพาตไม่ได้ออกไปไหน ส่วนใหญ่คือมีฐานะยากจน จะเดินทางไปไหนไกลๆก็ลำบาก สิ่งที่เราได้คือ วันที่เราเป็นหมอ จะไม่พูดกับคนไข้ว่า ป้า ทำไมไม่มาตามนัด ทำไมยาหมดแล้วไม่ยอมมาเอายา แล้วมันจะรักษาหายมั้ย เพราะชีวิตของพวกเขามันมีความลำบากอีกมากมายซ่อนอยู่ เหตุผลมากมาย ที่บอกหมอไม่ได้ ว่าทำไมเขาถึงทำตามที่หมอสั่งไม่ได้อ กลไกป้องกันตนเองหรือเพียงแค่ลดความกังวลใจ
defence mechanism กลไกป้องกันตนเอง อ้างอิงจาก psychoanalytic theory ของ Sigmund Freud ก่อนอื่นอยากให้คุณนึกว่า เวลาที่มี something happen แล้วคุณรู้สึกกังวลใจ เราทุกคนจะมีกลไกป้องกันตนเองในระดับจิตไร้สำนึก สิ่งนี้ไม่ใช่ความผิดปกติ แต่หากคนเราใช้กลไกป้องกันตนเองแบบเดิมๆอยู่เสมอ กลไกป้องกันตนที่จะหยิบยกขึ้นมานี้เป็นกลไกที่สำคัญๆเท่านั้น Repression การเก็บกด อาจเป็นเพราะมันทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ไม่ใช่กลไกที่ดีนัก Denial การปฏิเสธ Projection การโยนความผิดให้ผู้อื่น Displacement การแทนที่ Rationalization การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง Intellectualization การใช้ปัญญา Isolation การแยกอารมณ์ออกจากความนึกคิด Sublimitation การเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นไปในทางที่สังคมยอมรับ Undoing ใช้การกระทำลบล้างความคิด หวังว่าจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของกลไกทางจิตมนุษย์นะคะ blind spot จุดบอดของชีวิต
เรื่องที่1 จุดบอด
ตามลักษณะโครงสร้างร่างกายมนุษย์ เรามีจุดบอดในดวงตาเรา(blind spot) จุดที่ว่านี้เป็นทางเข้าออกของเส้นประสาทคู่ที่2ที่ชื่อว่าoptic nerve ซึ่งไม่มีตัวรับภาพอยู่ ใครที่เคยได้ยินแต่ไม่เคยพิสูจน์ ขอแนะนำให้เข้าไปในเว็บไซต์นี้ //www.blindspottest.com/ เค้าจะให้ปิดตาข้างซ้ายมองด้วยตาข้างขวาข้างเดียว โฟกัสไปที่รูปดาว เราจะยังคงเห็นรูปวงกลมที่ด้านซ้าย พอเอาหน้าเข้าไปใกล้จอคอม (ค่อยๆเข้าไปช้าๆ) วงกลมจะค่อยๆหายไป และเมื่อเอาหน้าใกล้เข้าไปอีก วงกลมนั้นจะกลับมา ไอ้จังหวะที่วงกลมหายไป นั่นแหละคือblind spotของตาเรา (ข้างซ้ายก็ทำเช่นเดียวกันแต่สลับข้าง) เรื่องที่ว่าข้างต้นเป็นความจริงที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ เรื่องที่ว่าข้างต้นนี้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ จากลักษณะข้างต้น เปรียบกับตัวเรา สิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดเรามักจะมองไม่เห็นมากที่สุด สิ่งนั้นก็คือตัวเรานั่นเอง เราเห็นคนอ้วนเดินมา อีนี่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมาได้ไงจนขนาดนี้ ไม่รู้สึกเกะกะบ้างเหรอ คนอ้วนนี่น่าเกลียดจัง ไม่ดูแลตัวเองเลย ชั้นจะไม่มีวันอ้วนน่าเกลียดขนาดนนั้นแน่ๆ คนนี้ถ้าผอมคงดูดี 9ล9 แต่พอเราอ้วน ชั้นนี่อ้วนแบบซ่อนรูปนะ ดีจัง เรายังไม่ได้อ้วนถึงขนาดนั้นน เธอก็เว่อไป เราไม่อ้วนหรอก .. เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร หรือไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวเองเท่าที่รู้สึกกับคนอื่น เพราะเหตุนี้ คนเราจึงชอบนินทา ชอบเรื่องเม้าท์ เรื่องฉาวดารา 9ล9 เพราะเรื่องเหล่านั้นเรามองเห็นและสัมผัสได้ ชัดเจน แต่เรื่องของเราๆมักไม่ชอบหรือรับไม่ค่อยได้ เวลามีคนพูดถึงเราในแง่ไม่ดี แม้ว่านั่นจะเป็นความจริง พวกที่ไม่รู้สึกอะไรเลยก็มี 1.มีสติ ยอมรับ และแก้ไข 2.ไม่สนใจ กูเป็นคนอย่างนี้ ในหลายๆครั้งเราก็อาจจะไม่เข้าใจตัวเอง เเอ๊ะทำไมกูพูดอย่างนั้นออกไป เอ๊ะนี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำอย่างนั้น เอ๊ะนี่เราเศร้าเรื่องอะไรอยู่ เอ๊ะเราเป็นยังไงกันเนี่ย ในหลายๆครั้งเราทำผิด ทำให้คนอื่นโกรธหรือเสียใจ โดยไม่รู้ตัว และในหลายๆครั้งนั้น เราอาจจะสูญเสียคนเหล่านั้นไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย อาจจะสูญเสียทีละนิดๆ คือเป็นความไม่พอใจสะสมเล็กสะสมน้อย หรือสูญเสียเพื่อนไปอย่างฉับพลัน โดยที่เราอาจไม่มีวันรู้เลยว่าเพราะอะไร เพราะ เรา ไม่ เห็น ตัว เอง เราจึงควรเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นที่มีต่อเรา นิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายที่ควรได้รับการแก้ไข เราก็ควรจะแก้มัน เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำเดิม กันไว้ ดีกว่าแก้ตอนที่สูญเสียอะไรบางอย่างไป หลายๆคนรู้ว่าตัวเองมีข้อเสียอะไร คนที่บ้านก็บอก แฟนก็บอก แต่ทำยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้ เหมือน blind spot test นั่นคือคุณต้องมองใกล้เข้าไปมากกว่าเดิมจนพ้นจุดบอดตรงนั้น มองลึกเข้าไปในตัวคุณเอง เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณก็จะมองเห็นและเข้าใจตัวเองได้ ฉันใดก็ฉันนั้น :) blind spot* เรื่องที่2 human error ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ เราทุกคนสามารถเกิดข้อผิดพลาดได้ หรือที่เรียกกันว่า human error นั่นเป็นสิ่งที่เราต่างจากเครื่องจักร เพราะมนุษย์ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มาเกี่ยวข้องมากมาย หลายๆอย่าง ก็ไม่มีเหตุผล อย่างเช่น อารมณ์ เมื่ออารมณ์ไม่ดี หรือมีเรื่องเครียด สมาธิก็แย่ลง พลอยทำให้ทำงานอย่างอื่นประสิทธิภาพลดลงไปด้วย ในทุกๆวันทีhuman errorเกิดขึ้นมากมาย ขับรถเฉี่ยวทั้งที่เราก็ระวังดีแล้ว ปืนลั่นตอนทำความสะอาดทั้งที่มั่นใจว่าเอากระสุนออกหมดแล้ว ตื่นสายทั้งที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว เขียนตัวเลข/ตัวอักษรผิด ทั้งที่ได้ตรวจสอบไปแล้ว ระบบการสื่อสารล่ม ทั้งที่ได้คำนวนไว้แล้ว หรือแม้แต่วินิจฉัยโรคผิด! ทั้งที่ได้ตรวจอย่างละเอียดไปแล้ว นี่คือประเด็นหนึ่ง บางทีเราต้องทำใจ ปล่อยวาง และ เล็ท อิท บี เรื่องที่3"Nobody is perfect" มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีจุดเด่น และจุดด้อย เป็นหลักในการบริหารงานที่เรียกว่า right man to the right job คือวางลูกจ้างไว้ในตำแหน่งที่แต่ละคนถนัด งานก็จะออกมาดี เป็นแนวคิดในการช่วยเหลือกันโดยการตั้งสมาคมขึ้นมา ชั้นผลิตอันนี้ได้เยอะเธอผลิตอันนั้นได้เยอะ งั้นเรามาแลกเปลี่ยนกัน เราทั้งคู่ก็win-win เพราะทุกคนมีจุดเด่น และ จุดด้อย จุดด้อย หรือปมด้อย สองคำนี้ต่างกันยังไง คำว่าปมด้อยอาจจะรุนแรงต่อความรู้สึกเจ้าของปมนั้นมากกว่า ปมด้อยเป็นสิ่งที่เจ้าของปมรู้สึกเอง นายA เป็นศิลปินวาดรูปอิสระ โดนลูกหลงจากการวางระเบิด ณ ที่ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล แขนขวาเขาขาด นายAใส่แขนเทียม และฝึกวาดรูปด้วยแขนซ้าย เขาวาดรูปได้สวยกว่าเดิม นายB เป็นบัณฑิตจบใหม่ เป็นวิศวกรอนาคตสดใส เกิดอุบัติเหตุเครื่องจักรหล่นมาทับแขนขวาขาด นายBถูกแฟนบอกเลิก บริษัทเลิกจ้างงาน เขาตัดสินใจจบชีวิตด้วยตนเอง แขนขวาขาดเหมือนกัน เจ้าของแขนคิดต่างกัน แทนที่จะมานั่งคิดว่าทำไมเราถึงไม่มีแขนขวา คนบางคนเลือกที่จะคิดว่ายังดีที่เรามีแขนซ้าย นี่ไม่ใช่ให้เลือก positive หรือ negative thinking แต่เป็นการเลือกคิดให้เรามีความสุขและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ positive thinkingก็ไม่ได้ดีเสมอไป บางครั้งมันอาจทำให้เราเสียสัญชาตญาณการเอาตัวรอด หรือมันอาจทำให้เราไม่พัฒนาตนเพิ่ม ทุกอย่างล้วนมีความพอดีของมัน มากไปน้อยไป ล้วนแต่ไม่ดีทั้งนั้น จริงอยู่ที่คนเราไม่มีใครเพอร์เฟค ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ อย่าไปเสียใจ ถ้าคุณรู้สึกว่าทำไมคุณถึงไม่รวยเหมือนคนอื่น ไม่เก่ง ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่แข็งแรง ... เหมือนคนอื่น เพราะธรรมชาติสร้างเรามาให้มีความหลายหลากกัน แม้แต่ต้นไม้ชนิดเดียวกัน ทุกต้นก็ไม่ได้เหมือนกัน แทงกิ่งตรงนั้นออกรากตรงนี้ เป็น art of nature ทำให้โลกนี้มีความหลากหลาย คนที่รวย ก็มีความทุกข์ของเขา อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน หรืออาจจะเกี่ยวกับเรื่องเงิน ต่างก็มีความทุกข์ เพียงแค่รูปแบบมันต่างกัน แค่นี้ก่อนละกันเนอะ (ติดมาจากพี่ที่วอร์ด เวลาอยากจะจบคำพูด) เราไม่มีเวลามาดูแลยายเราหรอก เพราะต้องเอาเวลาไปดูแลคนไข้คนอื่น
วันนี้เป็นวันพฤหัส เป็นอาทิตย์ที่สองของการอยู่วอร์ดนรีเวชวิทยา เมื่อคืนนี้ไม่ได้นอน นั่งเขียนรายงานผู้ป่วยกับทำPWPไว้present caseจนถึงเช้า ตีห้าครึ่งรีบออกจากบ้านเพื่อไปรพ.ไปreview caseที่admitเตรียมผ่าตัดมดลูกวันนี้ ไม่มีเวลาจะกินข้าวเช้า ซึ่งมาพบภายหลังว่า พลาดไปแล้ว เนื่องจากcaseที่เข้าช่วยผ่าตัดวันนี้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน กินเวลา3ชม.ครึ่ง ออกมาจากORตอนบ่ายสองโมง ไม่ได้กินทั้งข้าวเช้าและเที่ยง เสร็จพี่เรียกไปroundคนไข้หลังผ่าตัด ก็ต้องรีบไป บ่ายสองครึ่งต้องไปเรียนlectureต่อ รีบซื้อไส้กรอกในเซเว่นแล้วขึ้นไปเรียน วันนี้อยู่เวรจนถึงห้าทุ่มครึ่ง ช่วงที่อยู่เวรก็แอบแว่บไปหายายที่ศัลยกรรมพิเศษชั้น5 ยายเรามาadmitด้วยเรื่องfasciitis มาอยู่รพ.ก็มีอาการเพ้อโวยวาย หลงๆ สับสน หรือที่เรียกว่า delirium ไปนั่งป้อนข้าวให้ยายกิน ยายเหมือนจะจำเราไม่ได้ แต่กินหงับๆอย่างว่าง่าย พอลงเวรห้าทุ่มก็ไปเจาะน้ำตาลDTXของยาย ได้119 ก็เลยปลุกขึ้นมาป้อนโจ๊กไข่ขาวกับรังนก กลัวน้ำตาลจะไม่ถึงเช้า เสร็จแล้วก็ออกไปหน้ารพ.เรียกรถtaxiกลับบ้าน ตอนนี้ 00.38 ของเช้าวันใหม่ แต่ฉันยังไม่ได้นอน นั่งคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมา ฉันไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่างๆที่มีอยู่นี้ได้ แม้ใจจริงอยากไปเฝ้ายายใจจะขาด แต่เรากลับต้องมาดูแลคนไข้ในวอร์ด ยายที่รักเรามากที่สุดและเป็นคนที่เรารักมากที่สุด เรากลับมาดูแลคนไข้ที่ไม่รู้จักเราเลยด้วยซ้ำ เรารักในงานที่เราทำ แต่ตอนนี้เราแยกเรื่องส่วนตัวกับงานที่ต้องรับผิดชอบไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นยายคอยเลี้ยงเรากับพี่สาวมาตลอด เราไม่เคยรู้สึกว่าขาดความรักเลย เพราะยายรักเรามากๆๆ และเราก็รักยายของเรามากๆๆ เราเคยคิดว่าถ้าเราเป็นหมอเราจได้มาดูแลยายของเรา แต่เราก็พบว่า เราคงไม่มีเวลามาดูแลยายเราหรอก เพราะเราต้องเอาเวลาไปดูแลคนไข้คนอื่นๆ คิดแล้วก็เศร้า ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของเรา เพื่อนๆก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์เรากับยาย มองว่าเราเว่อบ้างอะไรบ้างแต่เราก็ไม่สนใจ ตอนนี้อยากจะพักการเรียน อยากจะดูแลยายให้เต็มที่ แม้ว่าตอนนี้ยายจะจำเราแทบไม่ได้แล้วก็ตาม เราเกลียดโรคทางสมองทุกชนิด มันเปลี่ยนคนที่เรารักให้กลายเป็นใครก็ไม่รู้ มันเป็นโศกนาฏกรรมทางจิตใจ ลองนึกภาพคนที่คุณรักที่สมองเสื่อมไปตามวัย บุคลิกภาพค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ความจำค่อยๆหายไป จนวันนึงที่เค้าจำคุณไม่ได้ และเค้าไม่ได้เป็นเค้าอย่างเดิม ถุยน้ำลายไปทั่ว โวยวายเสียงดังในที่สาธารณะ หรือแม้แต่เอามือไปทุบบตีคนอื่นโดยไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งที่อยู่ในหัวคุณ ความรู้สึกของคุณ ทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แต่เค้าจำคุณไม่ได้แล้ว คุณจำเค้าได้ทุกอย่าง จำสิ่งดีดีที่เค้าทำให้ได้ทุกอย่าง คุณรักเค้ามาก ภายนอกเค้าดูเหมือนเดิม แต่ภายในเค้าคือใครคนหนึ่งที่คุณไม่รู้จัก และเขาก็จำคุณไม่ได้ มันคือการทรมานกันนทั้งเป็น โดยเฉพาะตอนนี้ ที่เราต้องทำหน้าที่ของเรา นั่นคือดูแลคนไข้ แต่ยายเราๆกลับต้องให้คนอื่นดูแล
เคยมีคนถามว่า ถ้าไม่มียายแล้วจะะเป็นยังไง มันเป็นคำถามที่กระชากอารมณ์เราทุกครั้ง และเราเชื่อว่าคนทุกคนล้วนมีเรื่องที่ไม่อยากพูดถึง เรื่องที่ทำให้เราเสียใจมากกว่าปกติ เช่น เรื่องเพื่อน เรื่องพ่อแม่ เรื่องปมด้อยตัวเอง เรื่องของที่ถูกขโมย เรื่องที่โดนหลอกโดนโกง เรื่องวัยเด็ก 9ล9 สำหรับเรา เรื่องนั้นคือเรื่องของยายเรา ทุกครั้งที่เราคิดถึงยายเราขึ้นมา น้ำตาเรามันจะไหลตลอด ยายเราอายุ89 และผ่านมาไม่รู้กี่ปี เรายังคงทำใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว กับคำถามที่ว่า ถ้าไม่มียายแล้วจะเป็นยังไง เราคิดว่ามันเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบ เป็นคำถามที่ไม่สร้างสรรค์ และไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เหมือนกับมาถามคนทั่วไปว่า ถ้าพ่อแม่คุณตายแล้วจะเป็นยังไง ถึงแม้ว่าคนที่ถามอาจจะหวังดีอยากให้เราเตรียมใจไว้ว่าซักวันนึงยายเราก็จะต้องไปตามวัฏสงสาร และถึงแม้ว่าเราเรียนหมอ เราเคยเห็นศพคนตาย เคยเห็นน้ำตาพ่อแม่ที่สูญเสียลูก น้ำตาลูกที่สูญเสียพ่อแม่ เราคุุ้นเคยกับการตาย และเราเข้าใจกลไกที่เกิดขึ้น เพราะเราได้ร่ำเรียนมาอย่างดี แต่เราไม่สามารถยอมรับได้ หากวันนึงเราไม่มียาย มันคงเหมือนกับซีกหนึ่งของร่างกายและจิตใจ ได้ถูกกระชากออกไปและไม่มีวันหวนกลับมาอีก รอยยิ้มที่สดใสของเราแต่ละครั้งหลังจากนั้น จะไม่มีทางออกมาจากความรู้สึกสดใสจริงๆ เพราะชีวิตเราหลังจากนั้นมันคงเหมือนตายไปแล้ว แต่แค่อยู่ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้เท่านั้นเอง เราคงจะไม่รู้เลยว่าจะอยู่ไปเพื่อใคร เพื่ออะไร แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อตัวเองอยู่แล้ว ขอโทษคนอ่านด้วยที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะรู้สึกเสียเวลาและคิดว่าผู้เขียนคงบ้าไปแล้ว แค่อยากจะระบายความรู้สึกอัดอั้นไว้โดยการพิมพ์ๆๆๆมันออกมา ถ้าอ่านแล้วอยากด่าหรือมีความรู้สึกไม่พอใจก็รบกวนอย่าคอมเม้นมาในนี้เลย เพราะตอนนี้ผู้เขียนมีความล้มเหลวเศร้าสร้อยมาก ไม่พร้อมรับเรื่องไม่ดีใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้แค่ถถ้ามีใครซักคนมาพูดว่า ทำไมเธอเป็นคนแบบนี้ เราก็แทบจะกระอักความเศร้าแล้ว ..
|
stethoscope
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |