Group Blog
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •   
ตอนที่ 10 เยี่ยมญาติ ความสุขและความทุกข์ในวันเดียว

อย่างที่รู้ๆกันว่าหลังจากที่ทหารใหม่ฝึกกันไปได้ซักพักจะมีการอนุญาติให้ญาติของทหารมาเยี่ยมได้

ถ้าเป็นรุ่นปกติญาติๆจะเดินทางมาสะดวกหน่อย เพราะว่าอยู่แค่ดอนเมือง ฝครที่อยู่กรุงเทพอย่างผมก็จะไม่ค่อยลำบากกับการเดินทางเท่าไหร่

แต่ว่า ทหารอากาศ รุ่น 542 ของพวกผมนี้ เป็น "รุ่นหนีน้ำ"เลยต้องให้ญาติๆลำบากไปเยี่ยมกันถึงศูนย์ฝึกทหารใหม่เฉพาะกิจ

ที่ กองบิน4 อำเภอตาคลีจังหวัดนครสวรรค์ คิดๆดูก็น่าเห็นใจญาติๆเหมือนกันนะครับ

ที่ต้องฝ่าน้ำมาหาลูกหลานเพื่อนแฟนของตนเอง



พวกเราเหล่าทหารใหม่ต่างได้รับการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและทุกคนต่างเฝ้ารอวันที่จะได้เจอญาติของตัวเอง

เพราะทุกคนต่างก็คิดถึงครอบครับของตัวเองมากบางคนคิดถึงเมียคิดถึงลูก

และในที่สุด ก็มีการประกาศว่าจะมีการเยี่ยมญาติกันในวันที่ 4ธันวาคา 2554

ทุกคนต่างฮือฮาดีใจมาก นับดูแล้วเป็นเวลา 20 วันหลังจากการเป็นทหาร

แต่ในตอนนั้นความรู้สึกเหมือนเราผ่านอะไรกันมามากเหมือนเวลาผ่านไปเป็นปีจริงๆนะครับ ไม่ได้โม้



จากนั้นได้มีการแจ้งซองจดหมายพร้อมเอกสารที่จะแจ้งญาติของพวกเราให้กับพวกเราทุกคน

ในเอกสารจะบอกเรื่องวันเยี่ยมญาติและสถานที่ตั้งของกองบิน4

นอกจากเอกสารและซอง้วยังมีการแจกกระดาษเปล่าให้พวกเราเขียนจดหมายถึงคนที่บ้านด้วย

มีหลายคนมากๆ มาให้ผมเขียนให้ทั้งลูกหมู่ผมเอง และเพื่อนข้างๆหมู่

คนเพราะลายมือไม่สวยหรือเขียนหนังสือไม่เป็นนี่แหละครับ

ผมก็ช่วยลูกหมู่ผมคนนึง ไอ้ทีครับทีเป็นคนที่ปกติจะกวนๆ เสียงดัง ซ่าๆ

แต่ตอนที่เค้าพูดเนื้อความในจดหมายที่จะให้ผมเขียนลงไปฟังดูแล้ว ทำให่ผมรู้จักอีกด้านนึงของที

ทำให้รู้ว่า ถึงแม้มันจะซ่าแต่มันก็รักแม่มันมากๆ มันโดนอะไรมาเยอะครับ เพราะความกวนและซ่าของมัน

แต่มันบอกให้ผมเขียนบอกแม่มันไปว่ามันไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง สบายดี พูดไปก็น้ำตาซึมจนร้องให้

ไม่ใช่แค่ทีคนเดียวหลายต่อหลายคนร้องให้ออกมา บางคนน้ำคาคลอ บางคนร้องกระซิกๆเลย

บางคนแค่เริ่มต้นเขียนก็มีน้ำตาหยดลงกระดาษแล้ว

หลังจากที่ผมช่วยหลายๆคนเขียนเสร็จผมก็ได้โอกาสเขียนของตัวเองซักที

ในความก็พูดประมาณว่า ไม่ต้องเป็นห่วงสบายดี ซึ่งโกหกทั้งเพ แต่ต้องพูดแบบนั้นเพราะคงไม่มีใคร

อยากที่จะเขียนอะไรที่ทำให้ครอบครับอ่าน้วเครียดอ่านแล้วยิ่งเป็นห่วงหรอก จริงไหมครับ?

นอกเหนือจากนี้ผมก็มีลิสของใช้ที่ต้องการ เพราะว่าของที่หลวงแจก มันมาในปริมาณน้อยเกินไป

ระหว่างเขียนผมก็แอบมีน้ำตาคลอเหมือนายๆคนนั่นแหละครับ เพราะแหม มันคิดถึงนินา

ทีนี้ผมกลัวครับว่าที่บ้านจะไม่ได้รับจดหมายเพราะว่าน้ำท่วม จดหมายอาจจะไม่ถึงมือ

จึงอยากจะโทรบอกแต่เนื่องจากไม่ได้มีการอนุญาติให้พกมือถือเข้ามา โทรศัพท์สาธารณะก็ไม่มี

แล้วจะบอกญาติยังไง? หลายคนได้รับความมีน้ำใจจากจ่าหมู่ของตัวเองที่จะให้ยืมโทรศัพท์โทรหาที่บ้านตอนพักกลางวัน

แต่ใครยืมต้องเติมเงินให้จ่าแกนอกจากจ่า ก็มีครูผู้ช่วยประจำหมู่ ซึ่งแต่ละคนก็หวงลูกหมู่ตัวเองจริงๆ

อย่างของผม ครูประจำหมู่คือครูเล็กฟอร์มเยอะมากๆ ไม่ยอมให้โทรซักที ในขณะที่เพื่อนหมู่อื่นได้โทรกันไปถึงไหน

จนครูโน ครูฝึกที่นอนตรงข้ามผมเห็นว่าผมยังไม่ได้โทรหาที่บ้านซักที +กับเห็นผมซึมๆเลยแอบเอามือถือให้ผมยืมโทรตอนกลางคืน

ตอนที่ครูแกยื่นมือถือมาให้ในมือ มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นมากๆทั้งๆที่มันเป็นมือถือรุ่นธรรมดาๆ

แต่กลับรู้สึกว่ามันเป็นของมีค่าที่ไม่สามารถได้มาง่ายๆ

จากนั้นรีบกดโทรศัพท์โทรหาแม่ทันทีตู้ดดดดด ตู้ดดด ตู้ดดดด

"ฮัลโหล..." เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

ผมก็รีบตอบกลับ "ฮัลโหลนี่แบ้งนะ"

คุณแม่: น้ำเสียงดีใจมาก"เออว่าไงแก"

ผม: "วันที่ 4 นี้เค้าจะมีให้เยี่ยมญาติที่กองบิน4 ตาคลี นครสวรรค์นะ มาป่าว?"

คุณแม่: " ไปสิๆเป็นไงบ้างแก"

ผม:" สบายดี ก็ทนได้ไม่ได้แย่อะไร แต่ตัวดำปื๊ดย" (ผมโกหก)

คุณแม่:"แล้วไป้วต้องทำยังไง"

ผม: " บอกชื่อแบ้งนะแล้วบอกเค้าว่าอยู่พัน3 หมู่3 เค้าให้มาได้ตั้งแต่ 9โมงถึง 4 โมงนะเอาขนมมาเยอะๆนะ อยากกินมากกก อยากกินช๊อกโกแลตมากกกกกกก"

คุณแม่:" โอเค "

จากนั้นก็ได้ยินเสียงตึงตังๆและตะโกนหลังไมค์ว่า "ไอแบ้งโทรมาๆ" น้ำเสียงดีใจตื่นเต้นมากๆ

จากนั้นพ่อผมก็มารับสายคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันนิดหน่อย ผมต้องบอกว่าแค่นี้ก่อนนะ เพราะยืมมือถือครูมาโทร

เกรงใจเค้าจากนั้นก็ได้กำลังใจจากทั้งพ่อและแม่



หลังจากที่วางสายไป ไอ้ริกเพื่อนทหารที่นอนข้างผมก็ขอยืมบ้างพอมันคุยเสร็จผมก็เอามือถือไปคืนครูโนผู้เป็นเจ้าของ

ตอนยื่นมือถือคืน หน้าตาผมยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจตื่นเต้นมากๆ เพราะได้คุยกับที่บ้าน แต่ก็เสียดายที่คุยแปบเดียวก็ต้องละจากมือถือของครูที่ในจุดนั้น มันเป็นของที่มีค่ามากๆ



แต่เรื่องมันมีอยู่ว่าครูเล็กแกมาจับได้ว่าผมไปยืมมือถือครูโน แกก็เคืองสิครับ

ที่แกรู้เพราะผมบอกว่าผมไม่ยืมของแกโทรเพราะผมโทรแล้ว เลยอยากให้คนที่ยังไม่ได้โทร โทรก่อนดีกว่า

แต่แกไม่ได้คิดเช่นนั้น แกมาถามว่า"ไอแบ้งม-ึงอยู่หมู่ไหน?"

และก็มีการจิกด่าอีกต่างๆนาๆประมาณว่าไม่เคารพเค้าไม่อยู่สังกัดเค้า และก็เกลียดผมจากนั้นเป็นต้นมา

(ทำเป็นเด็กไปได้)



พวกเราต่างอดทนฝึก เวลาโดนทำโทษก็ยิ่งกัดฟันสู้เพื่อนอีกไม่นานก็ได้เจอครอบครัวตัวเองแล้ว

จะมาเหนื่อยตายก่อนไม่ได้จนวันนั้นก็มาถึง วันที่ 4 ธันวาคม 2554

ตอนเช้าผมตื่นก่อนเสียงนกหวีดดังขึ้นอีกเพราะว่าตื่นเต้นมากๆ อยากจะเจอป๊าก่ะม้าไม่ไหวแล้ว

หลังอาหารเช้าได้มีการคุยเรื่องกำหนดการก่อน ว่าอะไรเป็นยังไง

ใครทีญาติไม่ได้มาเยี่ยมสามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย

ส่วนใครที่มีญาติเยี่ยมให้แต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยชุดเป็ดน้อย ใส่หมวก ใส่ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ

จากนั้นจะมีการประกาศชื่อของคนที่ญาติมาริแล้ว ใครที่ได้ยิน ให้ช่วยกันขาน

สมมุติว่าเค้าประกาศว่า "เคน ธีเดช"ทุกคนที่ได้ยินเสียงประกาศต้องตะโกนคำว่า "เคน ธีรเดช"

ไหเรื่อยๆ จนกว่าเจ้าตัวจะขานกลับว่า"ทราบแล้ว"

ที่ต้องทำแบบนี้เพราะเราหล่ยๆคนไม่รู้ว่าญาติของตัวเองจะมาเมื่อไหร่บางคนจึงกรัจัดกระจายอยู่ตามโรงนอนบ้าง

ห้องน้ำบ้าง สนามหญ้าแถวๆนั้นบ้าง

ใครที่โดนขานชื่อ ต้องไปลงชื่อในสมุดcheck out เวลากลับมาก็ต้อง check in เพื่อเป็นการป้องกันและตรวจสอบว่ามีใครหนีรึเปล่า

นอกจากนี้ยังมีการกำหนดขอบเขตที่สามารถเดินผ่านได้-ไม่ได้ในบริเวณเยี่ยมญาติอีกด้วย

หากเดินเกินขอบเขต จะมีโทษ



วันนั้นผมกระวนกระวายใจมากเพราะไม่รู้จะได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองเมื่อไหร่

ในใจคิดว่าคงมาสายแหละมั้งตามสไตล์ครอบครัวผมที่มักจะตื่นสายในวันอาทิตย์

ผมก็รอ ร๊อรอ ใส่ชุดถูกระเบียบสุดพลังเพื่อความพร้อม รีบทำธุระอะไรให้เสร็จ เข้าห้องน้ำยังรีบเข้า

เพราะกลัวจะมาเรียกชื่อเอาระหว่างปฏิบัติกิจแต่ไหงไม่มีชื่อเราซักทีละ? มีแต่ชื่อเพื่อนที่โดนเรียกไปทีละ4-5 คน

คนที่โดนเรียกชื่อก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจมากกๆบางคน

ถึงกับแย่งกันยืนหัวแถว และทะเลาะกัน- -" จะหัวแถวหรือท้ายแถว มันก็เจอญาติเหมือนกันนั้นแหละวะ

สิบโมงก็แล้ว สิบโมงกว่าก็แล้วจนจะสิบเอ็ดโมงผมแทบคลั่ง เลยขอยืมมือถือครู"คนไหนก็ได้"

มาโทร พอโทรติดม้าผมก็บอกว่าแกอยู่ไหน ชั้นมานานแล้วเนี่ย ถึงตั้งแต่เก้าโมงกว่าแล้ว

ผมเลยไปบอกครูที่ดูแลเรื่อง check in check out ทหารายคนประสบปัญหาเดียวกัน

เพราะญาติมารอนานมากแล้วแต่ไม่ยอมเรียกให้ออกไปเสียที

ครูเลยฝห้คนที่มั่นใจว่าญาติมาแล้วมาเซ็นชื่อเข้าแถวและรอออกไป

ระหว่างเซ็นมีเสียงวอเรียกชื่อผมเข้ามา นาทีนั้นนี่แบบสุดๆมาก เหมือนการประกาศผลรางวัลเลยดีใจมากๆ

จากนั้นครูฝึกเลยนำพวกผมสองสามคนออกไป โดยการตั้งแถวตอึก และให้ "วิ่ง"ในท่าฝึก

ตอนนั้นจำได้ว่าตั้งใจวิ่งสุดพลังมากผมก็วิ่งๆไป ผ่านสนาม ผ่านโรงนอนจนไปถึงโรงจอดเครื่องบินที่ปกติเป็นสถานที่ฝึกของหน่อยฝึกของผมเอง

มองเห็นลานปูนกว้างๆที่ปกติพวกเราใช้ฝึกซ้ายหันขวาหันเต็มไปด้วยเสียงเจี้ยวจ๊าว คนเดินพลุกหล่าน

พอวิ่งใกล้เข้ามาก็เหนว่าในโรงจอดเครื่องบินเก่าๆ ที่ปกติจะโล่งตา กลับเต็มไปด้วยญาติของทหารใหม่และสังเกตุได้ว่า

สายตาหลายต่อหลายคู่จับจ้องมายังกลุ่มของผมพวกญาติๆเหล่านั้นคงจะหวังว่าเป็นลูกหลานของตนเองอยู่เหมือนกัน

ผมเองก็กวาดสายตาไปทั่วแต่ไม่ยักจะเห็นครอบครับผมเลย

จนมาถึงจุดที่หยุดวิ่งตรงหน้าโรงจอดที่ถูกจัดไว้สำหรับ"พัน3"

ตอนนั้นเอง ผมเห็นจ่าโอ๊ตจ่าหมู่ผมยืนประสานงานอยู่ จ่าแกถามผมว่า " ไอแบ้ง ไหนละพ่อแม่เอ็ง?"

ผม: " ไม่ทราบครับยังไม่เห็นเลย"

แต่ระหว่างที่ผมกวาดสายตามองก็ไปสะดุดกับหมวกสานที่มีผ้าลาย pokadotคาดอยู่ มันดูคุ้นมากและคิดว่าใช่แน่ๆ

เลยโบกมือใหญ่เลยทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้าด้วยซ้ำ เพราะตื่นเต้นมากๆๆๆๆๆ มากๆ จริงๆ

พอเดินเข้าไป จึงเห็นว่าตาผมไม่ผิดจริงๆ มันคือหมวกที่แม่ผมมักจัใส่เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ตอนแรกพวกเค้ยังไม่เห็นผม

จนผมต้องเดินเข้าไปตรงหน้าและโบกมือทักทาย

ทุกคนถึงกับอึ้งในสิ่งที่ตัวเองเห็นมากันทั้งหมด 3 คน ป๊า ม้า และ พี่สาวคนโตผม

ทั้งสามคนจำผมไม่ได้เลยเพราะทุกคนไม่คาดคิดว่า ลูกชาย/น้องชายตัวเองจะต้องมาอยู่ในสภาพดังนี้อย่างกับคนละคน

ผมก็ทักทายอย่างมีความสุข ยิ้มแย้มถามสารทุกข์สุกดิบ ระหว่างที่คุยกัน

มือของแม่ผมก็มาลูบที่แขนเบาๆอย่างอ่อนโยน(ซึ่งปกติไม่เคยทำมาก่อน)

แอบเห็นตาคลอๆส่วนพ่อผมเองก็ยิ้มแย้มแฮ๊ปปี้ แต่ว่าตาแดงๆ

พี่สาวผมเอาแขนมาเทียบกันและถ่ายรูปเก็บไว้ และตะลึงกับภาพ เพราะมันช่างต่างกันมากๆ

จากแต่ก่อนที่ผมเป็นคนขาว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนชนเผ่าอะไรซักอย่างในแอ๊ฟฟริกา

เนื่องจากครอบครัวผมไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง จึงไม่ได้เตรียมของอะไรมามากมายนอกจากของกินกับของใช้ที่ผมมีฝากให้ซื้อเข้ามา

พวกเราจึงต้องนั่งกับพื้นปูนสกปรกๆที่ปกติพวกผมนั่งและนอนระหว่างพักนั่นแหละครับ

ผมก็พูดไม่หยุดเหมือนกันเพราะความตื่นเต้น และความคิดถึงครอบครัว

ระหว่างเม้าแม่ผมก็มาจับคอเสื้อขยับไปมา เพราะมันโชว์ให้เห็นถึงสีผิวที่ตัดกันอย่างก่ะโดนผ่าตัดจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง

ผิวขาวแบบคนจีน ตัดกับสีดำไหม้และตัดเป็นรอยคอเสื้อ เห็นเด่นชัดมาก

คิดว่าแม่ผมคงยังทำใจไม่ได้กับสภาพของลูกชายตัวเองที่ไม่อยากจะให้ลูกตัวเองลำบากแต่ต้องมาายเป็นทหารหัวเกรียนตัวไหม้แบบที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ผมเองเห็นแล้วหดหู่มากเพราะเวลาเค้าลูบ เค้ามองด้วยสายตาเศร้ามากๆ ระหว่างที่ผมพิมพ์อยู่นี่ผมยังน้ำตาคลอเลย

เพราะว่าภาพมันติดตามากตอนนั้นผมก็ได้แต่บอกไม่เป็นไม่ ทนได้ และก็ยิ้มหน้าบานแฉ่ง

จำได้ว่าวันนั้น ยิ้มบานแฉ่งมากที่สุดหลังจากที่ไม่ได้ยิ้มเยอะๆแบบนี้มาหลายวัน

มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขสุดๆคุยไปคุยมา มารู้ภายหลังว่า พวกเค้าออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 แล้ว

แม่ผมผู้ที่ปกติจะตื่นสายสุดดันตื่นก่อนคนแรกเลย ได้ยินแล้วก็มีความสุขนะครับ

ระหว่างคุยกัน แม่ผมก็หยิบยื่นเอาของกินมาให้อย่างเยอะ

กาแฟเอย ช๊อกโกแลตเอยข้าวเหนียวหมูฝอยเอย เค้กเอย และขนมอีกเพียบ

จำได้ว่าสภาพผมตอนนั้นคือมือนี่กวาดหาของกินตลาดเวลา ปากถ้าไม่ได้พูด ก็เคี้ยว

แลดูเหมือนคนที่หิวโหยอดหยากมานานเป็นเดือน

พี่สาวผมเห็นสภาพเช่นนั้นอดพูดออกมาไม่ได้ว่า"หิวโหยมาจากไหน นี่แกกินไม่หยุดเลยนะแบ้ง"

ผมก็ได้แต่ยิ้มและบอกว่าในนั้นมันไม่มีอะไรเลย อยากกินอะไรก็ไปซื้อไม่ได้พูดเสร็จก็ค้นหาว่ามีอะไรที่กินได้อีก



น่ากลัวมากๆครับผมเห็นสายตาของครอบครัวผมที่มองดูผมในตอนนั้นมันดูอนาถนิดๆอ่ะ ยิ้มแต่แฝงด้วยความเศร้า

แต่เวลาก็ผ่านไปถึงสามโมงกว่าสีหน้าของผมเปลี่ยนไปทันที เพราะเวลามันผ่านไปเร็วมาก

ไม่อยากให้กลับเลย พี่สาวผมบอก"กลับเหอะ เดี๋ยวรถติด"

ผมถึงกับเอ่ยว่า "อย่าเพิ่งกลับสิและสีหน้าเศร้าออกมาโดยไม่รู้ตัว"

แม่ผมเลยให้อยู่กันอีกแปบแล้วค่อยกลับ ตอนเดินไปส่งที่ที่ไกลที่สุดที่ไปได้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก

แต่ก็ต้องฝืนยิ้ม จริงๆคือจะร้องเพราะตอนบอากัน แม่ผมคงเห็นท่าทีแล้ว เลยบอกว่า ไม่ต้องร้องๆ

ผมก็ฝืนยิ้มไป และกลั้นใจหันหลังกลับโดยไม่หันไปมองต่อ

น่าตลกนักที่ต่อหน้าพ่อแม่ผมกลับยิ้มร่าอย่างมีความสุขแต่พอไปเข้าแถว น้ำตามันตกออกมาเอง

เพราะความคิดถึงดีใจกับการที่ได้เจอกันซะที

ระหว่างนั้นก็มีเสียงประกาศให้ญาติๆทยอยกลับ

แต่ยังมีคนที่ไม่ยอมกลับซักทีจนเค้าต้องประกาศว่า

"ญาติๆเชิญกลับได้แล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงบุตรหลานของท่านเพราะทางเราดูแลพวกเค้าอย่างดีครับ เชิญครับ"

แต่หลังจากที่ญาติๆกลับไปกันหมดไม่ถึง5 นาที

พวกเราต่างสามารถสัมผัสได้กับสิ่งที่ตัวเองจะต้องเผชิญต่อไป

เพราะพวกเราเองได้รู้มาอยู่ปล้วว่าเยี่ยมญาติทีไรไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่โดนแดก

เพียงแต่พวกเราทำใจ และยอมโดนแดกเพื่อพบครอบครับที่รัก

.......

ทำไมถึงต้องโดนแดกหลังเยี่ยมญาติ

นายทหารเวรก็จะสรรหาข้อกระทำผิดของพวกเราแล้วมาลงโทษ

เช่น เดินออกนอกบริเวณที่กำหนดทำตัวไม่เหมาะสม(กอดกับแฟน นั่งตัก ฯลฯ)

หรือ แฟนใครแต่งตัวไม่เหมาะสมนุ่งสั้น โป๊ พวกเขาทำโทษญาติไม่ได้แต่เขาสามารถทำโทษทหารใหม่ได้

นี่คือเวรกรรมที่เราต้องได้รับหลังจากที่เยี่ยมญาติครับ

ถึงแม้ว่าผมเองหือหลายๆคนจะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ถูกเหมารวมไปด้วย

จำได้ว่าวันนั้นพวกเราที่มีญาติเยี่ยมทุกคน โดนสั่งให้ทำท่าดันพื้นเตรียม

และโดนสั่งให้ดันพื้นทีละ 5 ครั้งและค้างอยู่อย่างนั้น ระหว่างที่เค้าอบรมและชี้แจงความผิด

สั่งทีละ 5ครั้งอาจจะฟังดูจิ๊บๆ แต่พอทำ เค้าจะบอกว่า

"ทำไมไม่พร้อม เอาใหม่ 5 ครั้ง"

"มีคนอู้ 5 ครั้ง"

"มีคนไม่นับ 5ครั้ง"

" มีคนลงไม่สุด 5ครั้ง"

"นับไม่พร้อม 5ครั้ง"

"นับไม่ดัง5 ครั้ง"

วนเวียนอยู่อย่างนี้มีคนนับไว้ว่าวันนั้น โดนไป460+กว่าครั้ง

และระหว่างนั้นต้องทำท่าดันพื้นเตรียมเอาไว้ตลอดเวลา

ขอบอกว่ามือผมชาแทบจะไร้ความรู้สึกไปเลยตอนที่ทำท่าดันพื้นค้างเอาไว้



ทุกครั้งที่มีการเยี่ยมญาติ ต้องโดนแดกทุกครั้งและจากที่โดนมาสองครั้ง (จาก3)บอกได้ว่าครั้งแรกเด็กๆจริงๆ

เพราะครั้งที่สองที่ผมโดนคือครั้งที่3 ของการเยี่ยมญาติและเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมีการเยี่ยมญาติที่ตาคลี

วันนั้นเราก็มีความสุขเหมือนครั้งก่อนที่มีการเยี่ยมญาติแต่วันนั้นโดนหนักมาก

นายทหารเวรเอาท่ากายบริหาร ลุกนั่งซิทอัพ ลุกหมอบ ดันพื้น พุ่งหลัง กระโดดตบ มาทำโทษ

ฟังดูง่าย แต่หลายสิบยกนะครับแต่ที่หนักกว่านั้นคือ......

เค้าสั้งให้พวกเราวิ่งทีละหน่วยฝึกจากจุดที่ยืนรวม ให้วิ่งไปไกลมากๆ ถ้าให้เทียบประมาณ 3-4ความยาวของสนามบาส

ให้วิ่งไปกลับและกลับมาเข้าแถวยืนตามระเบียบพักดังเดิม

ปัญหาคือต้องกลับมาพร้อมท่าตามระเบียบพัก ภายในเวลา1 นาที หรือกี่นาทีนี่แหละ ผมจำไม่ได้แต่ดูจากระยะทางและจำนวนคนแล้ว

มันเป็นไปไม่ได้และไม่ได้วิ่งกันรอบเดียว วิ่งหลายรอบมาก มีคนขาเดี้ยง

มีคนเป็นลม มีคนอ้วกแตก ใครขาเดี้ยงเพื่อนก็ช่วยพยุง

ใครเป็นลม บางคนโดนทิ้งอยู่เพราะกลัวตัวเองจะมาเข้าแถวไม่ทันเวลา

ผมเองช่วยพยุงเพื่อนที่วิ่งจะไม่ไหวแล้วไปด้วยกัน

ให้กำลังใจกันตลอดว่า สู้เว้ยเพื่อนและก็กลับไปเข้าแถวในสภาพปางตาย เพราะหายใจจะไม่ทันจริงๆ

หลังจากโดนวิ่งไป2 หรือ 3 รอบผมไม่แน่ใจตอนยืนตามระเบียบพัก

อยู่ๆน้ำตาผมไหลออกมาเองเลยครับ ไม่ใช่เพราะโศกเศร้า

แต่เพราะว่าเหนื่อยที่สุด และดีใจมากๆที่ตัวเองยังไม่ตาย!!! เรื่องจริงครับ!!!

มันเป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ลงจริงๆสุขและทุกข์ ในวันเดียวและเฉียบพลัน

เยี่ยมญาติที่ตาคลี คล้ายๆตายทั้งเป็น

แต่ขอบอกว่า การเจอหน้าครอบครัวตัวเองมันเป็นกำลังใจที่ดีจริงๆ และเป็นแรงพลักดันให้เราทนอยู่ต่อไป

เพราะฉะนั้นใครมีญาติเป็นทหารใหม่ให้ไปเยี่ยมเค้าด้วยนะครับ หรือส่งจดหมายก็ยังดี

สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราอดทนมากขึ้นจริงๆ.................

การเป็นทหารยิ่งทำให้รู้ว่าผมรักครอบครัวผมมากๆ และไม่มีใครดีเท่าคนในครอบครัวเราจริงๆ.……





Create Date : 19 กันยายน 2555
Last Update : 19 กันยายน 2555 17:53:41 น.
Counter : 2089 Pageviews.

4 comments
  
ติดตามมาจนถึง ตอนที่ 10 สนุกมากครับ ได้อะไรไปใช้หลายอย่างเลย ของผม ทอ ผลัด 2 พ.ย. นี้ ขอบคุณที่เอาประสบการณ์มาแชร์กันน่ะครับ ขอบคุณมากๆจริงๆ ว่างรบกวนคุณแบงค์ไปเยี่ยมแฟนเพจ "เกณฑ์ทหาร 2556" บ้างน่ะครับ มีน้องๆรอเข้ากรมเต็มเลยย
โดย: ว่าทีพลทหารใหม่ IP: 1.0.152.188 วันที่: 2 พฤษภาคม 2556 เวลา:19:35:38 น.
  
สวัสดีรุ่นน้อง
โดย: bas49/1 IP: 115.67.2.172 วันที่: 24 มิถุนายน 2556 เวลา:8:54:39 น.
  
พี่แบงค์พลทหารกลับบ้านแล้ว10วันเขาจะให้เข้าเยี่ยมอีกไหมแล้วฝึกอีกเมื่อไรถึงจะได้กลับบ้านอีกช่วยตอบทีค่ะทหารอากาศกองบิน4ตาคลี
โดย: เตย IP: 183.89.105.173 วันที่: 3 กรกฎาคม 2556 เวลา:19:46:40 น.
  
แบบนี้จะอนุญาติให้เข้าเยี่อมทหารใหม่ทำไมได้เห็นภาพตอนที่แม่เดินเข้าไปรับลูกแล้วกอดกันแบบน้ำตาใหลจนคนเป็นแม่รับรู้ได้ว่าลูกเรามือไม้สั่นกอดแม่แน่นสอื้นร้องให้ออกมาให้ผู้เป็นแม่และญาติๆได้เห็นถึงความคิดถึงที่ไม่เคยจากกันไปไกลๆนานๆแต่แล้วพอมารับรู้ว่าทหารใหม่ต้องโดนทำโทษหลังจากญาติกลับไม่เห็นด้วยเลยไม่ควรทำอนุญาติให้เยี่อมแล้วผิดตรงใหนไม่เข้าใจแล้วจะบอกว่าให้เยี่อมทหารใหม่เพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกเพื่ออะไรไม่สมควรทำโทษหลอก
โดย: ปนัดดา IP: 184.22.32.191 วันที่: 7 มิถุนายน 2561 เวลา:9:14:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

can you bring high fashion
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]