วันที่ 2 : Disneyland Resort
วันที่ 2 (16 พฤษภาคม 2550) จากที่นอนเมื่อคืน นุ้ยเอาหมอนรองคอมาทำเป็นหมอนแทนเพราะหมอนมีใบเดียวให้พี่ใหญ่นอนนุ้ยนอนติดกำแพงเลยไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ รู้สึกตื่นเป็นคนแรกเลยมั๊ง เพราะยังไม่มีใครลุกจากเตียงกลัวว่าเราจะสายกันเพราะเมื่อวานนี้เหนื่อยกันมากๆ ถ้าเป็นที่บ้านเราคงตื่นกันสัก 09.00 10.00 น. ไปแล้ว แต่นี่เรามาเที่ยวกันต้องทำเวลา ต่อจากนั้นก็ปลุกพี่นนท์ ให้มาชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือ ตอนเกือบ 06:00 น. พี่นนท์เลยอาบน้ำเป็นคนแรกซะเลย นุ้ยอาบต่อ แล้วก็พี่ใหญ่ พี่เบิ้ม ต๋ง รอกัน จนเกือบๆ 08:00 น. จึงออกจากที่พัก ไปหาอาหารเช้ากินที่ร้านที่เมื่อคืนไปสำรวจ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว-บะหมี่ ซึ่งป้ายหน้าร้านระบุว่าชามละ 10 HK$ ประทับใจเจ้าของร้านมากเลย เพราะเสียงดังโช้งเช้ง เวลาเสิร์ฟพวกเราก็เหมือนกับโยนชามให้เราอย่างงั้นแหละ พี่เบิ้ม-พี่ใหญ่-ต๋ง กินบะหมี่กันคนละอย่าง ส่วนนุ้ยกับเราสั่งข้าวเปล่ามาชามเดียว แล้วกินกับอาหารเจที่ติดมาด้วย (ข้าวชามเดียวก็ 10 HK$ เข้าไปแล้วนะจ๊ะ...) เสร็จแล้วจึงไปยังสถานีรถไฟฟ้ามงก๊ก เดินทางด้วยสายสีแดง ไปยังสถานีรถไฟฟ้าไลคิง (Lai King ; ... ลี่จิ่ง) หรือในหมู่คนไทยจะเรียกอย่างคุ้นหูได้ว่า ไร่ขิง นั่นเอง ซึ่งเป็นสถานีที่เปลี่ยนสายรถไฟฟ้าได้ (เป็น Interchange Station) ไปยังสายสีส้ม เพื่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าซันนี่เบย์ (Sunny Bay ; ... ซินเอ้า) แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสายสีชมพู คือ สถานีรถไฟฟ้าดิสนีย์แลนด์รีสอร์ท (Disneyland Resort ; ... ตี๋ซื่อหนี) รวมทั้งสิ้นเดินทางประมาณ 30 นาที ค่าโดยสารที่หักจากบัตรออคโทปุสการ์ดก็แค่ 18.10 HK$ เท่านั้นเอง ถูกจริงๆเลย รวดเร็ว สะดวกด้วยนะ มาถึงสถานีรถไฟฟ้าฯ ประมาณ 09:30 น. มีหลักฐานยืนยันได้โดยนาฬิกาเรือนใหญ่ของสถานีเองจ๊ะ (เราได้ถ่ายรูปกันไว้ด้วย) จึงค่อยๆเดินมาถ่ายรูปกันที่ด้านหน้าก่อน มีซุ้มประตูใหญ่ให้ถ่ายรูปได้ ก่อนจะถึงที่ขายตั๋ว จะมีสระน้ำพุ ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าดิสนีย์พรอมิเนด (Disney Promenade) ซึ่งมีปลาวาฬโมบี้ดิกกำลังพ่นน้ำ เหนือน้ำที่พ่นขึ้นมาก็มีมิกกี้เมาส์เล่นกระดานโต้คลื่นอยู่ ส่วนที่อยู่รอบๆในสระก็จะเป็นตัวละครสำคัญของวอลท์ดิสนีย์นั่นเอง เช่น พลูโต , กูฟฟี้ ฯลฯ พวกเราก็มาหยุดถ่ายรูปกันอยู่ที่สระน้ำพุนี้นานพอ สมควร จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางที่ขายตั๋วกัน ราคาตั๋วผู้ใหญ่ในวันธรรมดา (Regular Day) คือ 295 HK$ ซึ่งต๋งกับนุ้ยรูดบัตรเครดิตให้กับพวกเราที่เหลือด้วย ในสลิปค่าใช้จ่ายยังปรากฏเงินที่เป็นหน่วยเงินบาทด้วยพร้อมเลย แต่ถ้าเป็นวันที่มีผู้เที่ยวเยอะหรือเป็นวันหยุดพิเศษ (Peak Day หรือ Special Day) ราคาจะแพงเป็น 350 HK$ และยังมีราคาสำหรับเด็กอายุระหว่าง 3-11 ปี กับราคาสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ราคาจะเป็นดังนี้คือ RD 210 HK$ , PD/SD 250 HK$ กับ RD 170 HK$ , PD/SD 200 HK$ ตามลำดับจ๊ะ... ขอบอกให้ทราบไว้จะได้เตรียมเงินมาเหมาะสมนั่นเอง... (ขอบอกอีกว่าตั๋วซื้อแค่ทีเดียว และใช้เล่นเครื่องเล่นได้ทุกชนิด กี่รอบก็ได้นะไม่จำกัด ไม่ต้องซื้อตั๋วทีละขยักขย่อน) วันนี้คนค่อนข้างเยอะ ยังไม่ทันจะ 10:00 น. ก็มีคนมาออรอกันอยู่เต็มทางเข้าแล้ว ที่ทางเข้าให้เราเสียบบัตรเข้าแล้วเครื่องจะคืนบัตรให้กับเราอีกที แต่ก่อนจะได้เสียบบัตร ก็จะต้องผ่านการตรวจค้นกระเป๋าที่จะนำเข้าไปข้างใน ซึ่งที่ได้เห็นก็คือ ห้ามนำน้ำอัดลมเข้าไป ส่วนกระเป๋าที่บรรจุอาหาร (อย่างกระเป๋าเป๋ของนุ้ย) ก็ไม่ให้เอาเข้า แต่สามารถเช่าตู้เก็บของ (Locker) ได้ ซึ่งราคาเช่าอยู่ที่ 40 HK$ ซึ่งพวกเราคิดว่าแพงไป นุ้ยซึ่งตอนนั้นยังอยู่ด้านนอกรั้ว (พวกเราอีกสี่คนเข้าไปแล้ว) จึงได้นำถุงที่ใส่ขนมและอาหารไปโยนทิ้งไว้ในพุ่มไม้ กะว่าถ้าขากลับโชคดีไม่มีใครมาเจอแล้วเอาไปทิ้งเสียก่อน ก็จะเอากลับไปกินอีก แต่ถ้าถูกทิ้งไปเสียแล้วก็ช่างมัน ทำไงได้หละเนอะมาถึงขั้นนี้แล้วนี่... ตามที่ได้อ่านหนังสือแนะนำท่องเที่ยว เขาแนะนำให้ถ่ายรูปที่เมนสตรีท ยู.เอส.เอ. (Main Street U.S.A.) ก่อน ซึ่งประกอบด้วยอาคารคลาสสิกย้อนยุคในศตวรรษที่ 20 ตลอดสองข้างถนน แต่พวกเราพอเห็นรถไฟฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เรลโรด (Hong Kong Disneyland Railroad) [หมายเลข 1] ปุ๊บ ก็รีบไปขึ้นเลย ซึ่งรถไฟขบวนนี้จะนำพวกเราไปยังอีกสถานีหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า แฟนตาซีแลนด์ เทรน สเตชั่น (Fantasyland Train Station) [หมายเลข 15] พอลงจากรถไฟปุ๊บ ก็ไปต่อคิวเพื่อนั่งช้างบินดัมโบ้ (Dumbo the Flying Elephant) [หมายเลข 13] แล้วจึงไปนั่งม้าหมุนซินเดอเรลล่า (Cinderella Carousel) [หมายเลข 14] คนที่ควบคุมเครื่องยังประกาศเรียกพวกเราที่นั่งม้าหมุนทุกคนเป็น เจ้าชาย-เจ้าหญิง เลยแหละ เท่ห์ซะไม่มี... เสร็จแล้วก็ไปผจญภัยกับหมีพูห์และผองเพื่อน โดยการนั่งรถที่ออกแบบให้เหมือนให้น้ำผึ้งของหมีพูห์ เป็นการผจญภัยในป่าร้อยเอเคอร์นั่นเอง เขาเรียกว่า เดอะ แมนี่ แอดเวนเจอร์ ออฟ วินนี่ เดอะ พูห์ (The Many Adventures of Winnie the Pooh) [หมายเลข 19] เป็นอะไรที่น่ารักมากๆเลย เราชอบตอนที่มีทิกเกอร์ใช้หางสปริงของตัวเองเด้งขึ้นเด้งลง รถไหน้ำผึ้งก็เด้งขึ้นเด้งลงด้วยเช่นกัน และอีกตอนหนึ่งเป็นฉากฝนตกหนักจนน้ำท่วม ทำให้บ้านช่องข้าวของของหมีพูห์และผองเพื่อนลอยน้ำเท้งเต้ง รถไหน้ำผึ้งก็ทำท่าโคลงเคลงเหมือนล่องลอยอยู่ในน้ำจริงๆ ช๊อบชอบ... แล้วจึงเดินผ่านปราสาทเจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty Castle) [หมายเลข 11] ไปทางด้านขวา เพราะมีป้ายบอกทางว่าไปยังแอดเวนเจอร์แลนด์ (Adventureland) มีจุดถ่ายรูปที่น่าสนใจ ทำเป็นขื่อคาโซ่ตรวนที่เอาไว้พันธนาการนักโทษ ซึ่งเขียนคำว่า สเคาน์เดรล Scoundrel ไว้ที่ด้านบน เพราะคำนี้แปลว่า ไอ้ตัวร้าย/ไอ้ตัวโกง นั่นเอง เสร็จแล้วจึงไปถ่ายรูปกับโจรสลัดหน้าตากวนๆ เมื่อเดินไปอีกหน่อยก็จะเจอแพข้ามฟากไปยังบ้านทาร์ซาน (Rafts to Tarzans Treehouse) [หมายเลข 7] ในบ้านต้นไม้ทาร์ซาน (Tarzans Treehouse) [หมายเลข 8] ทำเป็นห้องแสดงประวัติของทาร์ซานเหมือนกับที่ดูในหนังการ์ตูนนั่นแหละ (ตั้งแต่ตอนนั่งแพ พวกเราเริ่มเห็นเด็กหนุ่มขาวสูงคนหนึ่งมากับแม่ ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบายๆ ที่ด้านหลังเสื้อของเด็กหนุ่มคนนั้น มีคำที่ความหมายดีมากๆ เขียนว่า Win or Lose, Im proud of you for doing your best. แปลได้ความว่า ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ฉันก็ภูมิใจในตัวคุณที่ทำอย่างดีที่สุดแล้ว) พอนั่งแพย้อนกลับมาที่ฝั่งเดิม ก็พอดีเที่ยง ซึ่งกำลังจะมีการแสดงประวัติของไลอ้อนคิง Lion King ที่เรียกว่า เฟสติวัล ออฟ เดอะ ไลอ้อนคิง (Festival of the Lion King) ข้างในเป็นห้องโถงใหญ่มาก จุคนได้เยอะด้วย เจ้าหน้าที่เรียกให้ผู้ชมนั่งที่ให้เรียบร้อย (อ้อ! สองคนแม่ลูกนั้นก็เข้ามาชมด้วยแหละ ในขณะเดินจะเข้ามาภายใน ต๋งก็ได้ถ่ายรูปด้านหลังของเสื้อเด็กหนุ่มคนนั้นเอาไว้ด้วยนะ) เริ่มด้วยมีแม่มดออกมาร้องเพลงวงจรชีวิต (Circle of Life) ที่เป็นเพลงเอกของเรื่องไลอ้อนคิง แล้วก็มีนักเต้นออกมาเต้นกันเป็นสัตว์ต่างๆในป่า รวมทั้งมีรถออกมาสามคัน คันหนึ่งเป็นราชาสิงห์โต มูฟาซา พ่อของ ซิมบ้า อีกคันหนึ่งเป็นช้างตัวใหญ่ อีกคันก็เป็นยีราฟคอยาวมาก และอีกคันเป็นหมูป่ามุมบ้ากับเมียร์แคททีโมน เพื่อนซี้ของซิมบ้า นั่นเอง ตัวทีโมนเป็นคนสวมชุดเคลื่อนที่ได้ ส่วนมุมบ้าเป็นหุ่นติดอยู่กับที่ แต่ขยับตัวและขยับปากพูดได้ด้วย ตรงกลางเป็นเวทีสามชั้น ซึ่งยกพื้นได้ บางครั้งยกพื้นแค่เวทีชั้นในสุด บางครั้งยกพื้นให้แต่ละชั้นเหลื่อมระดับสูงต่ำกว่ากัน ที่น่าทึ่งก็คือ นักแสดงทั้งหลายไม่มีการผิดคิวเลย ต่างก็ยืนตามตำแหน่งของตนตามเวทีชั้นไหนๆได้อย่างเหมาะสม ไม่สะดุด ไม่ผิดพลาด แม่มดได้ถามไถ่นักแสดงเหล่านั้นว่า ใครจะสวมบทบาทเป็นซิมบ้า ใครจะเล่นเป็นนาร่า และใครจะแสดงเป็นสการ์แสดงกันได้เก่งมากๆเลย ได้รับเสียงปรบมือเป็นระยะ การแสดงเสร็จตอนประมาณ 12:30 น. เสร็จแล้วจึงเดินทางไปยังทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) เพื่อหาอาหารกลางวันกินกัน ก่อนกินก็ได้ถ่ายรูปกับจุดถ่ายรูปทางด้านหน้าที่เป็นลูกโลก-น้ำตก-ยานอวกาศ แล้วจึงเข้าไปในสตาร์ไลเนอร์ ไดเนอร์ (Starliner Diner) เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟูด นุ้ยกับเราสั่งเป็นซีซาร์สลัดใส่ชีสกับบราวน์นี่คนละอัน ส่วนอีกสามคนกินเป็นพวกเบอร์เกอร์ต่างๆ ราคาก็เป็นไปตามสถานที่คือค่อนข้างแพงจ๊ะ กินกันเสร็จก็ประมาณ 13:20 น. แล้ว เมื่อออกมาแล้วก็หาห้องน้ำเข้า ปรากฏว่าด้านหน้าห้องน้ำมีที่กดน้ำใสเย็นให้ได้ดื่มกินกันได้ด้วย (ดังนั้นคราวหลังไม่ต้องเอาน้ำดื่มเข้ามาก็ได้ เพียงแต่เอาขวดเปล่ามารองน้ำไว้ไปดื่มยังได้เลย ไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำดื่มด้วย แถมยังมีจุดให้บริการอย่างนี้อีกหลายที่จ๊ะ...) เครื่องเล่นต่อมาที่เข้าไปเล่นก็คือ บัซ ไลท์เยียร์ แอสโทร บลาสเทอร์ (Buzz Lightyear Astro Blasters) [หมายเลข 26] เป็นการผจญภัยและร่วมต่อสู้ไปกับบัซ ไลท์เยียร์ เพื่อปกป้องโลกให้พ้นจากวายร้ายจักรพรรดิเซิร์ค โดยผู้ผู้เล่นจะได้ยิงปืนเลเซอร์ต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวเพื่อเก็บแต้มทำคะแนน ซึ่งยานจะหมุนเหวี่ยง 360 องศาเลย จึงต้องใช้ ฝีมือกันหน่อย สรุปว่านุ้ยกับเราทำแต้มได้เพียง 6,200 แต้ม ได้เป็นแค่ระดับแอล-2 ลูกเสืออวกาศ (L-2 Space Scout) เห็นว่าต๋งได้เป็นหมื่น ส่วนพี่เบิ้มกับพี่ใหญ่ไม่รู้ว่าได้เท่าไหร่ สนุกดีเหมือนกันนะ พอออกมาก็จะเจอร้านขายของที่ระลึก ซึ่งสังเกตได้ว่าเครื่องเล่นเกือบทุกอย่าง จะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ตรงทางออกด้วย เช่นเดียวกับตรงการผจญภัยของพูห์และผองเพื่อน และตรงที่อื่นๆอีกหลายที่ เข้าไปเองก็จะเห็นเองแหละ ซึ่งจะซื้อก็ได้ไม่ซื้อก็ได้ แล้วแต่เราจ๊ะ... พวกเราก็อาศัยไม่ซื้อ แต่ไปหยิบจับของน่ารักๆแล้วก็ถ่ายรูปกับพวกมันซะเลย เป็นยังไงบ้าง ฉลาดกันใช่ไหมหละ... ต่อไปก็ไปต่อคิวเพื่อฝึกขับรถที่อยู่ในราง โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทฮอนด้า เรียกว่า ออโทเปีย (Autopia) [หมายเลข 25] วันนั้นมีนักเรียนระดับประถมศึกษามาเล่นกันเยอะเลย พวกเราเลยถือโอกาสคุยกับเด็กๆ เช่นว่าที่โรงเรียนใช้ภาษาอะไร พูดภาษาอะไรกันได้บ้าง เป็นโรงเรียนนานาชาติใช่ไหม มาดิสนีย์แลนด์กันกี่ครั้งแล้ว ฯลฯ เด็กๆเหล่านี้ใช้ภาษาอังกฤษกันคล่องปรื๋อเลย เห็นแล้วอิจฉาแทนเด็กๆเมืองไทยจังเนอะ เราคุยกับเขา เขาก็คุยด้วย ลองเป็นเด็กไทยถูกคุยด้วยภาษาอังกฤษคงหนีหน้ากันหมดแล้ว ต่อคิวค่อนข้างนาน พอได้เล่นเราจึงเป็นคนที่หนึ่งของขบวน ตามมาด้วยนุ้ย แล้วก็ต๋ง แล้วก็พี่ๆทั้งสอง ต้องใช้ฝีมือในการขับรถ เพราะเสมือนจริงจ๊ะ มีเลี้ยวโค้ง หักซ้ายหักขวา ทางตรงก็มี ถ้าขับได้ดีก็จะไม่กุกกัก แต่ถ้าบังคับรถได้ไม่ค่อยดีก็จะกุกๆกักๆเช่นเดียวกับเรา สงสัยว่าต้องปรับปรุงฝีมือการขับรถซะแล้ว!!! เสร็จแล้วก็ไปเล่นสเปซ เมาน์เทน (Space Mountain) [หมายเลข 21] เป็นเครื่องเล่นยอดนิยมเลย เพราะเป็นเครื่องเล่นที่โลดโผนหวาดเสียวที่สุดแล้วในดิสนีย์แลนด์แห่งนี้ พวกเราจะได้นั่งขบวนรถไฟเหาะ(แต่ไม่ตีลังกา)ความเร็วสูง ที่จะพาพวกเราฝ่าด่านอุกกาบาตและกลุ่มดวงดาวทั้งหลาย มืดตื๋อจะเห็นก็แค่ดวงดาวเวิ้งว้างเท่านั้นเอง พวกเราก็กรี๊ดกันเป็นระยะๆตามแต่ความหวาดเสียว พอจะถึงทางออก จะมีกล้องถ่ายรูปพวกเรา ซึ่งถ้าต้องการก็สามารถสั่งอัดภาพได้ด้วย แต่นี่เป็นการเล่นรอบแรกของพวกเรา จึงไม่ได้ตั้งท่าใดๆทั้งสิ้น รูปจึงออกมาแบบว่าๆๆ... ไม่กิ๊บเก๋เลยไงตัวเอง... อันดับต่อไปคือ ไปต่อคิวเพื่อดูการแสดงของสติทช์ ในเรื่อง ลีโลแอนด์สติทช์ ซึ่งเรียกชื่อว่า สติทช์ เอนเคาน์เตอร์ (Stitch Encounter) [หมายเลข 22] ตามทางเดินที่ให้ต่อคิวกันนั้น ก็จะมีรูปของตัวประหลาดทั้งหลายที่โผล่มาในเรื่องลีโลแอนด์สติทช์ทั้งสิ้น เรายังได้ถ่ายรูปกับหลายตัวเลย เป็นการแสดงโต้ตอบของสติทช์ซึ่งอยู่ในยานอวกาศ (ในจอภาพยนตร์ขนาดเล็ก) กับผู้ที่เข้ามานั่งชม พูดคุยโต้ตอบบอกรักกันได้ด้วย แถมยังถ่ายรูป ผู้ชมบางคนแล้วปรากฏบนกล้องในจอของสติทช์ได้ด้วย ขำๆดี เด็กๆชอบกันใหญ่ แล้วไปเล่นถ้วยกาแฟหมุน (Mad Hatter Tea Cups) [หมายเลข 17] ซึ่งอยู่ในเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์ เสร็จแล้วก็พากันไปตั้งแถวเพื่อรอดูขบวนพาเหรด ที่เรียกว่า ดิสนีย์ ออน พาเหรด (Disney on Parade) ซึ่งตอนนั้นก็เกือบๆ 15:30 น. แล้ว ขบวนพาเหรดใช้เวลาแค่ประมาณ 20 นาทีก็เสร็จแล้ว พวกเราจึงไปชมในที่ใกล้ๆกันนั้น นั่นก็คือ การประกาศผลรางวัลมิกกี้ทองคำ (The Golden Mickeys) [หมายเลข 18] เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีเวทีการแสดง มีเก้าอี้นวมให้นั่งชม เหมือนกับการประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำหรือรางวัลออสการ์เลย ที่ด้านข้างทั้งสองของเวทีมีจอโทรทัศน์ซึ่งมีการบันทึกภาพกันสดๆฉายขึ้นไปด้วย และยังมีจอแสดงตัวอักษรบทพูดที่พิธีกรกำลังพูดคุยกันอยู่ ซึ่งทางด้านขวามือจะเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นภาษาจีน บนเวทีนั้น จะมีการแสดงเต้นรำประกอบเพลงและมัลติมีเดียของการ์ตูนเรื่องดัง เช่น ทาร์ซาน , โฉมงามกับเจ้าชายอสูร , ลิตเติ้ลเมอร์เมด , มูหลัน , ทอยสตอรี่ และที่ขาดไม่ได้เลยคือ มิกกี้เมาส์กับมินนี่เมาส์ นั่นเอง การแสดงใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็สิ้นสุด ในขณะที่ดูๆอยู่สายนาฬิกาของเราดันหลุดแล้วหาสลักเจอแค่อันเดียว หายไปอันหนึ่ง หลังจากนั้นจึงไม่ได้ใส่นาฬิกาอีกเลย จนต๋งแซวว่า ถึงว่าพี่นนท์เป็นคนไม่มีเวลา นั่นเอง (อ้อ! มีอะไรจะบอก สองคนแม่ลูกนั้นยังคงตามมาให้ได้เห็นหน้าคาดตาอยู่อีกด้วยแหละ) พวกเราเข้าไปตอนประมาณ 16:20 น. ไปสิ้นสุดเอาที่เวลา 16:40 น. จ๊ะ... บอกได้คำเดียวว่า อลัง มากๆๆเลย จนนุ้ยแซวว่า มีตรงไหนที่พี่ไม่บอกว่าอลังมั่งเนี่ย เห็นอลังทุกที่เลยเชียว เมื่อออกมาแล้วก็ตรงไปยังแฟนตาซีการ์เดน (Fantasy Gardens) [หมายเลข 16] เป็นที่ให้ได้ถ่ายรูปกับตัวการ์ตูนของวอลท์ดิสนีย์นั่นเอง พวกเราได้ถ่ายรูปเรียงลำดับดังนี้ คือ หมีพูห์มินนีเมาส์กระรอกชิป-เดลแมวสาวแมรี่มิกกี้เมาส์ (ในวันนี้เองที่ได้รู้ว่า ชิป--จมูกดำ/ฟันหนึ่งซี่ , เดล--จมูกน้ำตาล/ฟันสองซี่) เสร็จแล้วก็ไปดูภาพยนตร์สามมิติที่มิกกี้ส ฟิลาร์แมจิก (Mickeys PhilarMagic) [หมายเลข 12] เป็นเรื่องที่มิกกี้เมาส์จะเป็นวาทยากรควบคุมเครื่องดนตรีทั้งหลายโดยต้องใส่หมวกวิเศษก่อน มิกกี้เมาส์ได้กำชับกับโดนัลด์ ดั๊กว่าอย่าแตะต้องหมวกวิเศษใบนั้น แต่โดนัลด์ดั๊กฝืนคำสั่ง จึงเกิดเรื่องวุ่นๆขึ้น จนต้องไปตามหาหมวกวิเศษคืน เช่น หมวกวิเศษตกไปในทะเล แล้วแอเรียล ในเรื่องลิตเติ้ลเมอร์เมดเจอ หรือไปอยู่บนพรมลอยได้ ในเรื่องอลาดิน (ซึ่งจะได้ยินเพลง A Whole New World ไปด้วย) ฯลฯ ที่น่าประทับใจก็คือ เวลาในฉากมีการเปิดขวดดังป๊อก เราก็จะรู้สึกถึงลมในขวดอัดดันมาหาเราด้วย หรือฉากที่มีน้ำกระเซ็น ก็มีละอองน้ำมาโดนตัวเราเช่นกัน เรียกได้ว่าเวลาแค่ประมาณ 10 นาทีนี้ พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงนะจ๊ะ ที่ทางออกจะมีที่ให้คืนแว่นตาสามมิติ เรากลับไปไม่ได้นะ เขามีเจ้าหน้าที่คอยยืนดูอยู่ด้วยจ๊ะ... แล้วจึงไปถ่ายรูปที่ด้านหน้าของปราสาทเจ้าหญิงนิทรา รวมทั้งทางด้านขวาที่มีรูปปั้นของสโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (Snow White Grotto) [หมายเลข 20] และยังมีบ่อน้ำที่มีคนมาโยนเหรียญอธิษฐานด้วย เพราะมีตัวอักษรเขียนไว้ความว่า เด็กๆในโลกนี้จะภาวนาให้ความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ เมื่อถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็วกไปที่ทูมอร์โรว์แลนด์ เพื่อเล่นออร์บิทรอน (Orbitron) [หมายเลข 23] เป็นเครื่องเล่นรูปทรงกลม เหมือนกับจะพาเราไปผจญภัยนอกโลก ไม่หวาดเสียวเท่าไหร่ แค่ขึ้นไปนั่งบนยาน แล้ว จะพาเราหมุนๆไป ขึ้นๆแล้วก็ลงๆ แค่นี้เอง เมื่อเสร็จจากตรงนี้แล้ว ต๋ง-นุ้ย-เรา จึงไปเล่นสเปซเมาน์เทนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะไปตั้งท่าถ่ายรูปที่ใกล้ทางออกกัน แต่พี่เบิ้ม-พี่ใหญ่เสียวกันพอแล้ว เลยไม่ได้ไปเล่นอีกครั้ง ได้แต่นั่งรอตรงใกล้ๆกับ ยูเอฟโอโซน (UFO Zone) [หมายเลข 24] เป็นสถานที่ที่จะพ่นน้ำใส่เรา จะให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น แต่พวกเรากลัวเปียกกันจึงไม่ได้เล่นตั้งแต่แรก ในคราวนี้เองที่เราสามคนตั้งท่าถ่ายรูปได้อย่างกิ๊บเก๋ยูเรก้ามากๆ แต่ดันแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปหมด ต๋งจึงใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปที่โชว์เอาไว้เก็บไว้อีกทีหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นรอบที่สอง พวกเราจึงไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นมากนัก ไม่เหมือนตอนที่เล่นรอบแรก เสียวสนุกสุดๆเลย... แล้วจึงเดินไปยังแอดเวนเจอร์แลนด์อีกที เพื่อลงเรือผจญภัย (Jungle River Cruise, Pirate Takeover!) [หมายเลข 9] ตั้งแต่ทางเข้าจะมีช่องทางให้เลือกสามช่องทาง ว่าต้องการไกด์พูดภาษาอะไร คือ ภาษาอังกฤษ , ภาษาจีนกลาง และภาษาจีนกวางตุ้ง พวกเราเลือกที่เป็นภาษาอังกฤษ ระหว่างทางจะเจอสัตว์จำลอง เช่น ช้างตัวเล็กตัวใหญ่พ่นน้ำ , ปลา ปิรันยา , จระเข้ , งูแผ่แม่เบี้ย ฯลฯ และเข้าไปสู่ซากปรักหักพัง ซึ่งเป็นศิลปะในแถบเอเชีย เห็นรูปเคารพพระพิฆเนศวรด้วย รวมทั้งมีภูเขาไฟย่อมๆระเบิด และเมื่อใกล้ทางออก จะมีโจรสลัดโผล่ออกมาปล้น ไกด์ของพวกเราก็ถามไปว่าต้องการอะไร โจรสลัดก็บอกว่าต้องการเงิน แต่ไกด์ก็ตอบแทนพวกเราทุกคนว่าพวกเราไม่มีเงิน โจรสลัดจึงต่อรองว่าจะให้พวกเราผ่านไปได้ถ้าตอบคำถามที่จะถามได้ถูกต้อง คำถามคือ Who is the captain of Black Pearl ? (ใครคือกัปตันของเรือแบล็กเพิร์ล ?) ซึ่งคำตอบก็ต้องเป็น Jack Sparrow (แจ็ค สแปร์โรว์) นั่นเอง ปรากฏว่าพวกเราตอบกันได้ถูกต้อง จึงผ่านออกไปได้ เย้! เยี่ยมไปเลย! อ้อ!ลืมบอกไปว่า เรือที่พวกเรานั่งชื่อว่า คองโก้ควีน (Congo Queen) และเรือลำอื่นๆก็นำชื่อแม่น้ำสำคัญของโลกมาตั้งชื่อ เช่น แม่โขง (Mekong) , อิรวดี (Irawadee) , แยงซีเกียง (Yangtze) ฯลฯ ฟ้าค่อนข้างมืดแล้ว เราจึงเดินไปหาห้องน้ำเข้า ได้ผ่านไลกิ ทิคีส (Liki Tikis) [หมายเลข 10] เป็นเสาไม้โทเท็มหลายต้น หันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม ถ้าไปยืนอยู่ตรงกลาง จะถูกน้ำจากปากของเสาพ่นเอา พวกเราจึงไม่ได้ลองกัน เพราะไม่อยากเปียกจ๊ะ และละแวกใกล้ๆยังมีการแสดงตีกลองแบบหมอผีวูดูด้วย ห้องน้ำที่ไปเข้า อยู่ใกล้ๆกับโรงภาพยนตร์สามมิติ ต๋งไปดูหนังสามมิติอีกรอบ เราไปนั่งห้องน้ำ ส่วนพี่ใหญ่-นุ้ยไปนั่งรถไหน้ำผึ้งอีกรอบ ที่เหลือคือพี่เบิ้มนั่งเฝ้าทรัพย์จ๊ะ... กว่าเราจะนั่งห้องน้ำเสร็จ ก็ประมาณ 19:30 น. แล้ว จึงค่อยๆเดินไปยังด้านหน้าของปราสาทเจ้าหญิงนิทรา หาที่นั่งกันตรงกลางๆลานหน่อย เพราะตอน 20:00 น. จะมีการจุดพลุไฟ ซึ่งเรียกกันว่า ดิสนีย์ อิน เดอะ สตาร์ ไฟร์เวิร์ค (Disney in the Star Firework) พลุไฟถูกจุดเหนือปราสาทเจ้าหญิงนิทรา ได้เห็นความงามยามค่ำคืนของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เป็นความประทับใจอีกอย่างที่ทำให้อยากกลับไปเยี่ยมเยือนอีกสักคราหนึ่ง!!! การแสดงใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่สุดจะอลังการเลย พอพลุไฟจุดเสร็จปุ๊บ ฝนก็ตกลงมาทันทีเลย ทั้งๆที่วันนี้ทั้งวันแดดจัด จนเหงื่อไหลไคลย้อยตามๆกัน จนฝนเพิ่งมาตกเอาเนี่ยแหละคุณๆเอ๋ย!!! ในเมื่อฝนตก จึงยังกลับไม่ได้ พวกเราจึงไปหลบฝนในร้านขายของที่ระลึก (ตึกทรงตะวันตกตรงเมนสตรีท ยู.เอส.เอ. นั่นเอง) มีทั้งเสื้อผ้า ตุ๊กตา พวงกุญแจ หมวก แว่นตา ที่คาดผม กระเป๋า ฯลฯ หลากหลายมากเลย อีกที่หนึ่งขายพวกเครื่องแก้วเจียระไน สวยงาม แต่แพงโคตรๆเลยเหมือนกัน ยังมีร้านขายขนมลูกกวาดและเบเกอร์รี่ด้วย จนประมาณ 21:00 น. พวกเราจึงเดินออกไปเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับ พอพวกเราออกมาแล้ว นุ้ยก็ตรงดิ่งไปหาถุงใส่ของที่โยนหลบเอาไว้ก่อนเข้าไปข้างในเมื่อเช้านี้ โชคดีมากๆเลย เพราะไม่มีใครแตะต้องเลยแม้แต่น้อย จึงยังมีขนมและอาหารเจส่วนหนึ่งเอาไว้กินได้อีกจ๊ะ ต๋งกับเราได้ถ่ายรูปนาฬิกาที่ระบุเวลา 21:00 น. เอาไว้เป็นหลักฐานขา กลับด้วย ส่วนพี่ใหญ่กับนุ้ยไปเข้าห้องน้ำ สักประเดี๋ยวก็ได้ขึ้นรถไฟฟ้า พวกเราเดินทางไปยังสถานีรถไฟฟ้าจอร์แดน (Jordan ; ... จั่วตุน) เพื่อหาแหล่งชอปปิ้งชื่อ เทมเปิ้ล สตรีท (Temple Street) และหาที่กินมื้อค่ำด้วยเช่นกัน แต่ก่อนจะถึงได้แวะที่ร้านจิออร์ดาโน (Giordano) ก่อน เราจึงได้ซื้อกางเกงบอกเซอร์ เนื่องจากกำลังลดราคาเหลือ 3 ตัว/100HK$ ถูกนะก็เลยซื้อซะเลย พอมาเดินในตลาดแล้วก็ลืมหิวกันเลย ต่างคนต่างก็ได้ซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา พวงกุญแจ เข็มกลัด กล่องใส่ของ รวมทั้งที่เจาะกระดาษเป็นรูปต่างๆ จนกระทั่งเลยเที่ยงคืนมาหน่อยหนึ่งแล้ว จึงได้แวะร้าน 7-Eleven กัน เพื่อซื้อของกิน พวกเราได้เห็นเบียร์ช้างกระป๋องซึ่งเมื่อคำนวณเป็นเงินบาทแล้ว ราคากลับถูกกว่าที่เมืองไทยอีก ต๋งจึงถ่ายรูปเอาไว้ แต่พนักงานในร้านมาโบกไม้โบกมือไม่ให้ถ่ายรูป นุ้ยกับเราได้ซื้อเส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่คิดว่ากินเจน่าจะกินได้ แล้วก็ซื้อนมของเนสท์เล่ รสแอปเปิ้ลเขียว/ลูกท้อขาว อร่อยเหาะไปเลย... ส่วนพี่ๆเค้าก็ซื้อพวกข้าวกล่องอุ่นไมโครเวฟ เอาไปกินที่ที่พักกัน ขากลับก็นั่งรถไฟฟ้าสถานีจอร์แดน ไปยังสถานีมงก๊ก กว่าจะถึงที่พักก็เกือบ 01:00 น. แล้วมั้ง พวกเราก็ยังไม่นอนกัน เพราะต้องจัดกระเป๋า พรุ่งนี้แต่เช้าต้องเช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้ว และไหนยังจะกินอาหารกันอีก ดึกป่านนั้นก็มีคนมากดกริ่งที่ด้านหน้า คนดูแลจึงออกมาต้อนรับ ซึ่งนุ้ยกับเราได้เห็นแขกมาใหม่เหมือนกัน เพราะเป็นกลุ่มคนไทย ชายสองหญิงสอง ชายสองคนนั้นพูดอังกฤษได้บ้างแต่จีนไม่ได้เลย ส่วนหญิงสองคนนั้นไม่ได้ทั้งอังกฤษและจีน พวกเขามาเพื่อดูงาน มาถึงกันดึกเพราะมากับการบินไทย พวกเราจึงได้พูดคุยกันบ้างเล็กน้อย กว่าจะได้นอนก็ประมาณ 03:00 น. แล้วมั้งครับ... ลาก่อนสำหรับคืนนี้ ขอลาทีฉันต้องไปนอน... (ฮัมเป็นเพลงได้จ๊ะ)
ผู้บันทึก : คุณอานนท์
Create Date : 03 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 4 มกราคม 2551 17:37:28 น. |
Counter : 614 Pageviews. |
| |
|
|
|