ทำขนมไทยเล่นรื้อฟื้นความหลัง

สมัยเด็ก ๆ (ตั้งข้อสังเกตุว่าใครที่ใช้คำนี้บ่อย ๆ จะเข้าสู่วัย ส. แล้ว) นานมาก ๆ เคยไปอยู่บ้านอากง อาม่า เวลาปิดเทอม ตอนเรายังเด็กมาก
มีขนมหวานแบบไทย ๆ ที่คนขายจะหาบมาในหม้อทองเหลืองใบใหญ่ ที่ด้านในแบ่งเป็นช่อง ๆ ใส่ขนมได้สองถึงสามอย่าง ขนมยืนพื้นที่เห็นทุกครั้ง คือเต้าส่วน ข้าวเหนียวดำเปียก และอีกอย่างที่อาจจะหมุนเวียนกันไป เช่นบัวแก้ว เป็นขนมรวมมิตรบรรดาแป้งรูปร่างต่าง ๆ ใส่มะพร้าวอ่อน ลูกบัว หรืออาจจะมีลูกเดือยต้มน้ำตาล
เวลามีใครซื้อ คนขายจะตักใส่ชามพลาสติคเล็ก ๆ มีลายริ้ว ๆ (จำได้ขนาดนั้น) พร้อมทั้งเหยาะกะทิเค็ม ๆ มัน ๆ จากขวดที่เจาะรูที่ฝาเอาไว้ เพื่อให้สะดวก

เป็นขนมแบบไทยที่หอม อร่อย ที่ทำให้เรารู้จักกินขนมแบบนี้

แต่เวลาผ่านไป เจอขนมตระกูลนี้ที่ทำขายกัน ไม่เคยประทับใจเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำให้มันหวาาาาานนนนเจี๊ยบเข้าไส้ขนาดนั้น หรือเต้าส่วนที่แป้งข้นคลั่ก เวลาตักขึ้นมา จะหลุดออกจากภาชนะที่ใส่เป็นรูปทรงนั้นเลย อันนี้เจอจากโรงเรียนอนุบาลที่เคยเรียน ทำให้เราไม่ชอบกิน และไม่ยอมกินเต้าส่วนอีกเป็นเวลาร่วมสามสิบกว่าปีเลย

จนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่ค่อยชอบกิน
มันเป็นความหลังฝังใจวัยเด็ก ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผลกับอุปนิสัยการกินของเรา

แต่ขอให้เชื่อว่ามันเป็นจริง สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนแต่มีผลกับตัวเรา ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

อย่างที่เคยเขียนไว้ ว่าขนมไทยทำไม่ง่ายนะ เราเคยประมาท คิดว่ามันแสนจะง่าย แต่พอมาลองทำ แล้วจะรู้ว่ามันมีรายละเอียด มีเทคนิค และต้องการความเอาใจใส่ไม่น้อยกว่าขนมชาติอื่น ๆ เลย ถ้าอยากทำให้ดี ให้อร่อย


ตัวอย่างเช่น การทำข้าวเหนียวเปียก จนอายุเข้าปูนนี้แล้ว เราเอง เพิ่งจะรู้ว่า ถ้าจะให้มันออกมาหน้าตาแบบนั้น จะต้องใส่แป้งตอนจบก่อนยกลง เพราะเข้าใจไปเอง ว่าข้าวเหนียวเอง มันก็มียางที่ทำให้ได้ผิวสัมผัสข้นเหนียวแบบนั้นอยู่แล้ว ผลก็คือ ครั้งแรกที่ทำ ต้มนานจนได้แป้งข้าวเหนียวกวนข้น ๆ มาหนึ่งหม้อเต็ม ๆ


วันนี้มาทำข้าวเหนียวเปียกใส่เผือก กับอื่น ๆ กันค่ะ
ได้อานิสงค์มาจากคุณโอ คนเก่งจากบ้านเนินน้ำ ในการอาศัยดู และได้รับคำแนะนำอยู่ตลอดเลยไม่ว่าจะถามอะไร
ไปดูต้นฉบับได้ที่ บ้านคุณโอ เนินน้ำค่ะ

ข้าวเหนียวเปียกเผือกของเรา ได้มาแบบนี้


ส่วนผสม

ข้าวเหนียวดำ 250 กรัม
น้ำปริมาณ 5 เท่าของข้าวเหนียว
น้ำตาล 120 กรัม หรือปรับเพิ่ม-ลดได้ตามชอบ
ดอกเกลือ
เผือกนึงสุก หั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
ข้าวโพดฝานเอาแต่เมล็ด
มะพร้าวอ่อน หั่นเส้นยาว
แป้งข้าวจ้าว 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งเท้ายายม่อม 1/4 ช้อนโต๊ะ

ส่วนกะทิหยอดหน้า
กะทิ 250 กรัม
แป้งข้าวจ้าว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ

วิธีทำ

- ข้าวเหนียวดำ ซาวน้ำให้สะอาด



- เผือก เราใช้เผือกหอม ถ้าได้เผือกแก่ ๆ จะหอมอร่อยนะคะ นึ่งสุก แล้วหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ




- ข้าวโพดที่ใช้ คนขายบอกว่าเป็นพันธุ์ทับทิม สีแดงก่ำ เนื้อจะคล้ายข้าวโพดข้าวเหนียว ซึ่งเราชอบมากกว่าพวกพันธุ์สวีททั้งหลาย แต่ข้าวโพดทับทิมนี้ จะนุ่มกว่าข้าวโพดข้าวเหนียวนะคะ ถึงจะดูเหมือนเนื้อจะแข็งก็ตาม



- ฝานแต่เมล็ดข้าวโพดค่ะ


- มะพร้าวอ่อน เราใช้เนื้อมะพร้าวเผา ทั้งหมดสี่ห้าลูก คัดออกมาได้เนื้อมะพร้าวอ่อนที่ผ่านเข้ารอบแค่นี้เองค่ะ



- ตั้งน้ำให้เดือด แล้วใส่ข้าวเหนียวดำที่ซาวไว้แล้วลงไปต้มด้วยกัน


- พอข้าวเหนียวเริ่มสุกนิ่ม เติมข้าวโพดลงไป พอข้าวโพดสุก ใส่น้ำตาลลงไปค่ะ คนให้เข้ากัน



- ตามด้วยเผือก และมะพร้าวอ่อน


- ปล่อยให้เดือดอ่อนๆ สักพัก ผสมแป้งทั้งสองชนิดกับน้ำเปล่า ใส่ลงในข้าวเหนียว คนให้ทั่ว พอแป้งสุก ยกลงค่ะ

- มาทำกะทิหยอดหน้านะคะ ผสมกะทิ เกลือ และแป้งข้าวจ้าวเข้าด้วยกัน ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ พอกะทิข้น และเดือดเล็กน้อย ยกลงค่ะ


- เสิร์ฟค่ะ ตักใส่ชาม หยอดหน้าด้วยกะทิข้น ๆ เค็ม ๆ
เราชอบกะทิเยอะ ๆ ค่ะ




เป็นขนมที่กินได้ไม่เบื่อ ทำไม่ยาก ถ้ารู้ว่าทำยังไง




กินแล้วรู้สึกดี เพราะได้ย้อนกลับไปยุคก่อน ที่ขนมและอาหารของเรา ยังประกอบไปด้วยพืช ผัก ธัญพืชต่าง ๆ ที่ปลูกกันตามสวนตามนา ใช้วัตถุดิบที่ปลูกกันเอง
ทำได้ทั้งอาหารคาว ขนมหวาน ของกินเล่น
เป็นอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการมากมาย ใช้รสและเนื้อสัมผัสของส่วนผสมมาทำให้เกิดความอร่อย และน่าสนใจ ไม่มีสารปรุงแต่งมาช่วย
จัดว่าเป็นขนมที่ดีอีกอย่างนะคะ

อย่าไปฟังเรื่องอันตรายจากกะทิมากนัก เพราะนักโภชนาการยุคใหม่ ให้ความเห็นว่า กะทิไม่ได้อันตรายต่อสุขภาพมากเท่ากับพวกอาหารดัดแปลงเช่นพวกนมผงเทียม น้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการทางเคมี หรือเราเอง โดยส่วนตัว ยังคิดว่า มันน่าจะดีกว่ากะทิธัญพืชที่ใช้ส่วนผสมหลายอย่างจากถั่วเหลืองมาผ่านกรรมวิธีให้เหมือนกะทิเสียอีก

น้ำมันมะพร้าวแบบกลั่นเย็น ก็ยังมีประโยชน์กับร่างกาย สำหรับคนที่ไม่ยอมกินไขมันเลย อาจทำให้ร่างกายขาดเมตาบอลิซึ่มที่จะช่วยเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไป นักโภชนาการยังแนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าว เพื่อช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหารเลยค่ะ


เด็ก ๆ สมัยนี้จะกินขนมแบบนี้กันไม่เป็นเท่าไหร่
ไม่เหมือนพวกเบเกอรี่ พาย เค้ก ช้อคโกแลต รู้จักกันหมดทุกอย่าง

ขอขอบคุณคุณโอ สำหรับคำแนะนำ และสูตรทำขนมต่าง ๆ นานา

ขอให้มีความสุขกับการทำอาหารและขนมกินกันเองในบ้านนะคะ
ขอบคุณทุก ๆ ท่าน ที่มาใช้เวลาด้วยกัน ณ ที่นี้ค่ะ

Create Date : 27 มีนาคม 2555
Last Update : 27 มีนาคม 2555 23:09:00 น.		32 comments
Counter : 16929 Pageviews.
Share Tweet