ของเล่นฮาเฮ ดูสบายๆ ขำๆ

sawmoon
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sawmoon's blog to your web]
Links
 

 

เพิ่มรายได้ก่อน

ในช่วงแรกของการทำงานผมได้เงินเดือนที่น้อยมาก ไม่มีโอกาสคิดเรื่องเงินเก็บเลย แค่ใช้ให้พอในแต่ละเดือนก็ยากแล้ว

ผมเริ่มทำงานแรกในบริษัทญี่ปุ่น จริงอยู่ว่าปกติแล้วภาษาญี่ปุ่นจะทำเงินได้มากเมื่อทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นแต่งานของผมนั้นได้เงินน้อย และผมมีโอกาสเลือกงาน กว่าจะได้งานนี้มาก็หืดขึ้นคอแล้ว

คนญี่ปุ่นที่รู้จักเคยมาถามเงินเดือนผม พอผมตอบไปเค้าตกใจมาก ถามกลับมาว่า “แล้วอย่างนี้จะพอกินเหรอ”

ในตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะคนได้น้อยกว่าผมหรือได้พอๆกับผมก็มีอยู่เยอะ

ช่วงนั้นผมทำงานตลอด 7 วัน ไม่มีวันหยุด ทำงานที่บริษัทจันทร์ถึงเสาร์ แต่วันเสาร์จะทำครึ่งวัน

ในวันอาทิตย์ผมรับจ็อบพิเศษสอนหมากล้อมให้กับเด็กๆ

แม้จะทำงานตลอด 7 วัน แต่รายได้ต่อเดือนของผมไม่ถึง 15000 บาท

ผมรู้ว่าเพื่อนผมที่จบคณะและเอกเดียวกันหลายคนจบใหม่ๆได้เงินตั้งแต่ 18,000 – 30,000 บาท

เพื่อนๆพวกนี้ไม่ได้จบปริญญาโท ยังผ่านการสอบภาษาญี่ปุ่นระดับ 2

เค้ากับผมมีอะไรต่างกันเหรอ? ทำไมรายได้ถึงต่างกันขนาดนั้น

สิ่งที่ผมคิดออกคือ

-พวกเค้าเหล่านั้นเลือกทำงานในโรงงานต่างจังหวัดจึงสามารถเรียกเงินได้เยอะกว่าทำงานในเมืองซึ่งหาคนได้ง่ายกว่า

-เค้ามีความสามารถในการสนทนาภาษาญี่ปุ่นที่ดีกว่าผม

-เกรดเค้าดีกว่าผม

ผมจึงคิดว่าเรื่องไปทำต่างจังหวัดไม่ใช่ปัญหา แต่กลัวว่าไปแล้วอาจจะไม่รับเราก็ได้หากเรายังไม่เก่งพอ และเรื่องเกรดมันป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้นเราต้องเก่งภาษาญีปุ่นก่อน สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างมากและจะทำให้รายได้ของเราเพิ่มได้

หากรายได้เราเท่านี้ เราไม่เหลือกระแสเงินสดอะไรเลยในแต่ละเดือนที่จะมาลงทุนต่อ ซึ่งถือว่าเป็นแผนการสร้างความร่ำรวยในช่วงแรกของชีวิต

ผมรู้มาว่าคนที่ได้ภาษาญี่ปุ่นระดับ 2 จะมีเงินเดือนมากกว่า 25000 บาท

ผมจึงตั้งใจว่าจะสอบภาษาญีปุ่นระดับ 2 ให้ผ่านเพื่อจะได้เพิ่มเงินเดือนตัวเอง

ในช่วงนั้นเพื่อนๆผมก็เริ่มมีความคิดจะไปญี่ปุ่นเพื่อฝึกภาษา ผมคิดว่าทุกคนคงตระหนักได้เหมือนกันว่าภาษาญี่ปุ่นที่ได้เรียนแค่จากมหาวิทยาลัยยังไม่เพียงพอต่อการทำงาน

คนที่มีเงินจากที่บ้านก็ถือว่าโชคดี แต่คนที่ไม่มีก็พยายามเก็บตังกันไป

ผมคิดว่าหากมีเงินแล้วได้ไปเรียนที่ญี่ปุ่นถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับจากการใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงานนั้นสามารถเลี้ยงเราได้ไปตลอดชีวิต

แต่ผมไม่ได้ต้องการรายได้จากการทำงานไปตลอดชีวิต ผมอยากทำงานจนถึงอายุ 40 แล้วเกษียณ

เงินเก็บจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมเพื่อจะใช้เงินเก็บไปทำงานแทนผม

ผมจึงเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นในไทย

หลังจากนั้น 1 ปี ผมก็สอบวัดระดับ 2 ผ่าน

ผมเริ่มหางานที่ให้เงินดีได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าใบวัดระดับคือ ความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นจากการฝึกฝน และการทำงาน

ในช่วงแรกของการทำงานผมโดนด่าบ่อยมาก มีคนไม่ยอมรับผมมากมายและมีปัญหาในเรื่องภาษาญี่ปุ่นมาก เป็นล่ามที่ไม่มีคนเชื่อถือ รู้เลยว่าเรียนแค่ 4 ปี ในมหาวิทยาลัยยังไม่เพียงพอ เข้าใจว่าเพื่อนๆที่อยากไปเรียนต่อญี่ปุ่นก็คงตระหนักแบบเดียวกัน

แต่ความลำบากเหล่านั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทุกคนต้องเจอเมื่อเริ่มเข้าสู่โลกของการทำงาน

ในตอนที่โดนด่า โดนว่า อย่าพึ่งคิดว่าเราอ่อนหัด เราไม่ดี

ผมมีรุ่นพี่อยู่คนนึง ตอนที่เค้าจบการศึกษาเค้าได้ทุนไปเรียนต่อญี่ปุ่น 1 ปีแล้วก็สอบภาษาญี่ปุ่นระดับ1 (ซึ่งถือเป็นขั้นสูงสุดของภาษาญี่ปุ่น) หลังจากกลับไทยก็เริ่มทำงานเป็นล่าม แม้ว่าจะเป็นระดับ 1 แต่พี่เค้าก็โดนด่า โดนว่า โดนตำหนิอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน

น้องอีกคนได้ระดับ 1 เหมือนกัน ตอนที่มาทำงานใหม่ๆก็มีแปลมั่วจนคนรอบข้างเริ่มไม่ไว้ใจ เป็นล่ามที่คนไม่เชื่อถือ

ผมเคยเชื่อว่าคนที่ทำงานไม่เก่ง หรือมีทักษะภาษาญี่ปุ่นที่ยังไม่เก่งเท่านั้นที่จะโดนด่า แต่นี่ขนาดว่าเก่งระดับนี้แล้วก็ยังโดน

แสดงว่าเกือบทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการเรียนรู้นี้เหมือนๆกันทุกคน จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องโดนด่า โดนว่า แต่พอเราเข้าใจมันและปรับการทำงานให้คนอื่นยอมรับได้ การทำงานของคุณจะคล่องตัวมากขึ้น

ในเส้นทางวิชาชีพอื่นก็เหมือนกันผมเชื่อว่าคนเก่งยังไงก็ได้เงินที่เยอะขึ้น ก่อนที่จะเริ่มลงทุน หรือหาวิธีทำเงินจากแหล่งอื่น ลองเพิ่มทักษะให้งานตัวเองให้เยอะก่อน มันอาจจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้ง่ายกว่า และไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากเวลาและแรงกาย

เวลาหรืออายุงานอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่ทักษะที่เพิ่มขึ้นนั้นช่วยเร่งให้เงินเดือนเพิ่มได้เร็วกว่า

และพอเงินเดือนเพิ่มแล้วค่อยเอาเงินที่เพิ่มขึ้นนี้ไปลงทุนในแหล่งอื่นต่อ

เงินที่น้อยนั้นยากที่จะเข้าถึงการลงทุนที่ดีได้ ผมคิดว่าหากอยากจะรวยยังไงก็ต้องเพิ่มรายได้ก่อน

บทความจาก //www.toytorich.com/article




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2555    
Last Update : 27 สิงหาคม 2555 17:34:49 น.
Counter : 2145 Pageviews.  

คนรวยไม่ใช่ว่าจะเท่เสมอไป




เป็นคนรวยไม่ใช่ว่าจะทำตัวดูดีเท่ห์ได้ตลอดเหมือนในหนัง ที่มีรถหรูขับ มีบ้านหรูเป็นคฤหาสน์ จัดปาตี้กับสาวๆในชุดบิกินี่ได้ทุกคืน แบบนั้นคือรวยมากจริงๆครับ หรือไม่ก็ไม่ได้รวยมากแต่ฟุ่มเฟื่อย

ก่อนที่คุณจะโชว์รวย โชว์เท่ได้ขนาดนั้น คุณต้องผ่านช่วงเวลาที่ไม่เท่ะก่อน เช่นในตอนที่ทำเงินมันไม่เท่เลย

เช่น คุณเป็นนักลงทุนในหุ้นมีพอร์ทร้อยกว่าล้านแต่พอไปงานแต่งงานเพื่อน ถูกถามว่าทำอะไรอยู่ อยู่บริษัทไหน อายุเท่าไหร่แล้ว ตำแหน่งอะไรแล้ว จะค่อนข้างอายที่จะตอบ เพราะอยู่บ้านเฉยๆเล่นหุ้นเฉยๆมาสิบกว่าปีแล้วไม่ได้มีตำแหน่งอะไรที่พอจะคุยได้

สภาพความเป็นอยู่ก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะเพราะการลงทุนเต็มตัวอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้พบปะเจอผู้คนอะไรมากนัก การจะซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดีๆ หรือค่าสังคมอะไรต่างๆก็ไม่ได้มีจำเป็นอะไรมากนัก และการลงทุนในหุ้นไม่ได้มีความแน่นอน ปีที่ดีก็มี ปีที่ไม่ดีก็มี ไม่สามารถจะใช้เงินฟุ่มเฟื่อยได้มากนัก และหากนำเงินจากพอร์ทมาใช้รายได้ก็จะลดลงตามไปด้วย

บางคนมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการบริษัทชื่อดัง แต่ด้วยใจที่มีความฝันต้องการรวย จึงออกจากบริษัทมาทำธุรกิจขายอุปกรณ์อุตสาหกรรมให้แก่โรงงาน บริษัทมีพนักงานอยู่ 4 คน คือตัวเค้า แฟนเค้า และคนส่งของอีก 2คน

งานในแต่ละวันยุ่งมาก เหนื่อยมาก ทำเองตั้งแต่ผู้บริหารยันคนส่งของ ลักษณะท่าทาง และเครื่องแต่งกายดูปอนๆไม่เท่ ไม่ภูมิฐาน แต่รายได้ต่อเดือนหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเกือบล้าน

หากจะใช้เงินซื้อเครื่องแบบ หรือซื้อรถใหม่ให้ดูดีก็ทำได้ไม่ยาก แต่เพราะมันไม่จำเป็นกับธุรกิจเค้าจึงเลือกเอาเงินไปหมุนเพิ่มเพื่อเพิ่มรายได้แทน

เถ้าแก่บางคนเป็นเจ้าของโรงงานทำภาชนะพลาสติก โรงงานไม่ใหญ่พื้นที่ไม่ถึงไร่ อยู่ในทำเลลึกจากถนนมาก โรงงานมีพนักงานทำงานไม่ถึง 10 คน (รวมตัวเองและลูกเมียแล้ว)

ถ้าคนทั่วไปมาเห็นก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นคนรวยอะไร รถก็เก่าๆ โรงงานก็ดูโทรมๆ แต่เถ้าแก่คนนี้มีธุรกิจที่มีเงินหมุนมากกว่า 100 ล้าน

มีเสี่ยอยู่คนนึงทำธุรกิจรายได้มากกว่า 500 ล้านต่อปี เล่นกอร์ฟทุกสัปดาห์ ตัวเองรับผิดชอบหน้าที่CEOและดูแลเรื่องการขาย ในตอนที่ไปคุยงาน หากมีสินค้าต้องส่งให้กับลูกค้าที่นัดคุยงานในวันนั้น หากจำนวนไม่มากแค่ 2 ขวดก็ถือโอกาสแบกของไปส่งเองด้วย

แม้จะไม่มากแค่ 2 ขวด แต่ขวดละ 18 กิโลครับ แบกแล้วต้องเดินอีกประมาณ 100 เมตร

มีเด็กหนุ่มคนนึงเป็นเจ้าของธุรกิจก่อสร้างทำเงินมาได้กว่า 100 ล้านบาท ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เท่ ดูดี แต่รู้มั้ยครับว่าตอนที่งานเร่งๆแล้วเค้าสั่งให้คนงานทำไม่ได้ คนงานหนีกลับต่างจังหวัด เค้าต้องไปแบกอิฐ แบกปูนเอง

คนบางคนขายของในอินเตอร์เน็ตรายได้มากกว่าแสนต่อเดือน แต่ทุกครั้งที่ต้องมีการส่งของก็ต้องแบกของหนักกว่า10กิโลกเดิน 300 เมตรไปส่งที่ไปรษณีย์ด้วยตัวเองคนเดียว

ความรวยที่ดูเท่คือ ความรวยที่ผ่านพ้นช่วงเวลาในการสร้างตัวมาแล้ว ผ่านความยากลำบากมาแล้ว และคนรวยที่ฉลาดก็จะใช้เงินในส่วนที่น้อยนิดมากจากทั้งหมดในการซื้อความฟุ่มเฟื่อย เพราะมั่นใจได้ว่าไม่ใช่เงินมากอะไร ไม่นานก็หาใหม่ได้

บริษัทที่มีฐานะดูมั่นคง เจ้าของออกรถใหม่ประจำ ไปเที่ยวต่างประเทศตลอด ให้ผู้บริหารนั่งเครื่องบินแต่เฟิร์สคลาส แต่ให้โบนัสพนักงานน้อยนิด และไม่ค่อยมีเงินจ่ายค่าวัตถุดิบให้กับซัพพลายเออร์จนทำให้ของขาดอยู่บ่อยๆ อันนี้สิน่ากลัว เหมือนจะรวย เหมือนจะเท่ แต่ที่จริงแล้วบริษัทจะเจ๊งเอาได้ง่ายๆ

ลูกคนรวยบางคนใช้ชีวิตมาจนถึงวัยกลางคนแล้ว ยังไม่เคยทำงานบริษัท ไม่เคยทำงานหรือลงทุนอะไรที่เพิ่มความสามารถของตัวเองจริงๆจังๆซะที ผ่านชีวิตมาอย่างเท่ตลอด ทำตัวดูดี จัดปาตี้ เที่ยวผับหรู เปลี่ยนรถใหม่ทุกสามปี สาวๆมากมาย เหมือนเป็นชีวิตในฝัน แต่ที่เค้าทำได้เพราะบ้านรวยจริงๆ แต่เมื่อไหร่ที่เงินหมด หรือที่บ้านเริ่มไม่สนับสนุนแล้วล่ะก็จะเหนื่อยเป็นหลายเท่าเลยทีเดียว ชีวิตที่สบายมาตลอด นอนเช้าตื่นเย็น ขาดความรู้ ความขยัน จะปรับตัวให้ทนต่อการทำงานหนักเพื่อหาเงินโดยที่ไม่เคยทำเลยในช่วงวัยหนุ่ม เป็นเรื่องที่ยากมาก

หากอยากจะรวยยังไงก็คงหลีกไม่พ้นต้องลำบากและไม่เท่กันทุกคนครับ 

บทความจาก //www.toytorich.com/article




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2555    
Last Update : 24 สิงหาคม 2555 20:32:42 น.
Counter : 2733 Pageviews.  

ศีลรวย

ในตอนที่มีสอบเพื่อให้ได้คะแนนที่ดีขึ้นจำเป็นต้องอ่านหนังสือ

เราจึงเอาเวลาที่เราอยากจะไปเล่นเกม เดินห้าง ดูหนังมาใช้อ่านหนังสือเพื่อให้ได้คะแนนที่ดีเป็นรางวัล ต้องอดทน อดกลั้นจากกิจกรรมที่ชอบมาอ่านหนังสือ

ในช่วงที่เราอดทนอ่านหนังสือนี้ก็เหมือนกับเราถือ”ศีลอ่าน”

ตอนที่จะลดความอ้วน เราจะพยายามไม่กินอาหาร ควบคุมตัวเองในในการกินอาหาร เลือกอาหารที่ช่วยในการลดน้ำหนัก ออกกำลัง

การควบคุมความประพฤติตัวเองเพื่อลดความอ้วนไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ความสุขที่เราเคยมี เราเคยมีความสุขกับการกิน แต่วันนี้เรายอมอด เพื่อให้ได้ร่างกายที่ดูดีเป็นรางวัล  ไม่ต่างอะไรกับการถือ”ศีลอด”

ในตอนที่เราจะทำความดีเราจะไม่ทำสิ่งไม่ดีด้วยการรักษาศีล

การรักษาศีลไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ในช่วงที่รักษาศีลเราต้องควบคุมความประพฤติของตัวเองไม่ให้ทำตามใจ

จะทำความดีต้องใช้ความอดทนมากในการรักษา “ศีล 5”

ในการสร้างความร่ำรวยก็เหมือนกัน ความอดทนต่อสิ่งยั่วยุต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็น

การสร้างความร่ำรวยก็ไม่ต่างกับการถือศีล ผมขอเรียกว่า”ศีลรวย”

คงเคยได้ยินอยู่บ่อยๆว่าให้ประหยัดอดออมแล้วจะมีเงินเหลือเก็บ เหลือใช้ในยามฉุกเฉิน

คำสอนนี้แม้จะดูล้าสมัยแต่ก็เป็นเรื่องจริง หากอยากจะรวยเราก็ต้องเก็บ อดออม

การอดออมนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ทำไมน่ะเหรอ?

แต่ละคนตั้งแต่ตอนวัยรุ่นจนถึงทำงานจะสะสมสังคมและสะสมรูปแบบการใช้ชีวิตที่หล่อหลอมรวมเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้

การดำเนินชีวิตเหล่านี้คือสิ่งที่เป็นตัวเรา มันฝังอยู่ในนิสัยจนกลายเป็นตัวตนของเรา สังคมก็มักจะเป็นตัวกำหนดว่าการดำเนินชีวิตประจำวันของเราจะเป็นเช่นไร

แม้ว่าการดำเนินชีวิตในรูปแบบต่างๆมีค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน แต่ก็หลีกไม่พ้นว่าต้องมีค่าใช้จ่าย

ในหลายๆค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็มักจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หากขาดไปก็ไม่ทำให้ใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ แต่เราตัดมันไม่ได้เพราะความสุขในชีวิตของเราฝังอยู่กับมันแล้ว เช่น กินอาหารดีๆอาทิตย์ละครั้ง, ดูหนังสัปดาห์ละครั้ง, บุหรี่วันละ 10 ตัว เที่ยวผับ 3 วันครั้ง,เที่ยวต่างประเทศปีละ 2 ครั้ง, เล่นกอร์ฟทุกอาทิตย์, ซื้อเกมทุกครั้งเมื่อมีเกมใหม่ออก, เดินทางไปไหนนั่งรถเมถ์ไม่เป็นต้องแท็กซี่เท่านั้น, ช้อปปิ้งเดือนละห้าพัน, และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้มีประโยชน์เลย แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าเรามีความสุขกับมันและขาดมันไม่ได้ เพราะเราโตมาแบบนี้ มีเพื่อนในสังคมแบบนี้

การจะมีเงินออมได้จำเป็นต้องฝืนอดทนตัดสิ่งที่เป็นความสุขลงเพื่อให้ได้เงินมาสร้างความร่ำรวย การอดกลั้นไม่สนใจต่อสิ่งที่เป็นความสุขนี้ก็คือ การถือ”ศีลรวย”

ในการลงทุนในหุ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นที่มีกำไรหลายๆเท่า หลายๆครั้งต้องอดทนต่อภาวะผันผวนในตลาดที่วุ่นวายในแต่ละวัน

หลายครั้งที่ซื้อหุ้นมาแล้วราคานิ่ง นิ่งอยู่นานบางครั้งเป็นเดือน บางครั้งเป็นปี แต่สุดท้ายเมื่อมีข่าวดีหรือตลาดรับรู้คุณค่าของหุ้นตัวนั้นแล้วราคาของหุ้นตัวนั้นกลับโตเป็นเท่าตัว หรือหลายเท่าตัว

ในช่วงเวลาที่รอนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเราคิดมาดีแล้วมั่นใจแล้ว แต่ตลาดไม่เห็นด้วยกับเราซะที ความไม่แน่ใจและกำไรที่ไม่ออกมามายั่วยวนใจเรา หากไม่มีความอดทนคุณก็อาจจะพลาดกำไรจากหุ้นที่ดีที่คุณวิเคราะห์มาดีแล้วก็ได้

การอดทนต่อความผันผวน และอารมณ์ที่ไม่นิ่งของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการถือ”ศีลรวย“

ก่อนนอนตั้งใจไว้ว่าจะเข้านอนเร็วพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานได้ เพราะหากนอนไม่พอไปทำงานไม่ไหวก็จะทำให้โดนตัดค่าแรงของวันนั้นไป แต่พอก่อนนอนเปิดทีวีเจอรายการที่เราชอบมาก เผลอดูจนดึก ทำให้วันรุ่งขึ้นตื่นมาทำงานไม่ไหว ไม่มีแรงใจจะฝืนร่างกายไปทำงาน ทำให้ไม่ได้รับเงินในวันนั้น

ความอดทนต่อสิ่งเย้าและการไม่ลืมตั้งใจ คือการถือ”ศีลรวย”

หลายครั้งที่เจอช่องทางทำเงินง่ายๆด้วยวิธีการฉ้อโกงบริษัทและเป็นวิธีการที่คิดว่ายากที่จะถูกจับได้ ด้วยความโลภจึงหลงผิดไปทำมัน แม้ว่าในระยะสั้นๆอาจจะทำเงินได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผิดนี้ก็ถูกเปิดเผย ถูกไล่ออกจากบริษัท ถูกสังคมดูหมิ่นประณาม ถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย เงินที่ได้มาก็หายไปหมด

เงินที่ได้มาอย่างง่ายๆ รวดเร็ว จากการกระทำผิดมักจะหายไปเร็วด้วยเช่นกัน และผลตอบแทนของมักมักไม่คุ้มค่าต่อความเสี่ยงที่จะได้รับ

การอดทนต่อสิ่งเย้ายวนใจให้ทำสิ่งที่ผิดเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินก็คือการถือ”ศีลรวย”

เพื่อที่จะสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอา จึงได้กำหนดตารางชีวิตประจำวันให้มีประโยชน์แทบทุกชั่วโมงในแต่ละวัน ตารางเวลาที่แน่น มักจะสร้างความเครียดและความเบื่อให้กับเรา จนหลายๆครั้งอดไม่ไหวที่จะไม่ทำตามกำหนดการที่วางเอาไว้ ทำให้แผนต่างๆที่วางไว้ผิดพลาดตามไปด้วย

การอดทนทำตามแผนที่น่าเบื่อและกดดัน ก็คือการถือ”ศีลรวย”

บางครั้งตั้งใจว่าอยากจะได้งานที่เงินเดือนสูงๆจึงฝึกฝนตัวเองให้มีคุณสมบัติพอตามที่บริษัทเปิดรับ พอลองสมัครกลับพลาด เกิดเสียกำลังใจ เสียความมั่นใจ ไม่คิดจะลองสัมภาษกับบริษัทที่สองต่อ ก็เลิกล้มแผนการ โดยไม่ลองพยายามสัมภาษณ์ให้ได้ก่อนสัก 10 ที่ บางครั้งบริษัทที่ 4 หรือที่ 5 อาจจะรับคุณก็ได้

ความอดทนต่อความล้มหลว คือการถือ”ศีลรวย”

ข้อบังคับของการถือศีลรวยคุณเป็นคนกำหนดเอง ไม่มีใครมาว่าคุณได้และข้อบังคับของแต่ละคนก็ต่างกัน เพราะคนเรามีอุดมคติของความรวยที่ต่างกัน

การปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในศีลรวยก็ต่างกับศีลที่พระสงฆ์ปฏิบัติ แม้ว่าคุณจะทำผิดศีลรวยก็ไม่เกิดการอาบัติ ไม่เกิดความผิด ไม่ต้องปลงอาบัติ เพียงแต่ว่าคุณก็จะไปถึงความร่ำรวยได้ช้าขึ้นเท่านั้นเอง จะรวยได้เร็วหรือช้าอยู่ที่ความเคร่งครัดในการปฏิบติ

การได้มาซึ่งความร่ำรวยก็ไม่ต่างอะไรกับการรักษาศีล เพื่อให้ได้แผนการบรรลุจำเป็นต้องอดทนในหลายๆอย่าง

แม้ว่าจะทำได้ไม่ง่ายแต่หากจะมีความตั้งใจและอดทนเพียงพอผมเชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ แต่ยากที่สุดคือตอนเลือกที่จะทำนี่แหล่ะ 

บทความจาก //www.toytorich.com/article




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2555    
Last Update : 21 สิงหาคม 2555 10:20:12 น.
Counter : 2024 Pageviews.  

ช่วงอายุ 30 ปี

ช่วงอายุ 30-40 ปี เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการสร้างตัว ตั้งตัวสร้างความร่ำรวยแล้ว เพราะมีประสบการณ์มาระดับนึง สะสมเงินทุนมาได้ระดับนึง เป็นวัยที่คนส่วนใหญ่เริ่มให้การยอมรับแล้ว ผู้ใหญ่เริ่มยอมรับและโอกาสในการทำงานใหญ่

อายุประมาณ 30กว่าๆ ร่างกายยังถือว่าหนุ่ม ยังอยู่ในวัยที่พอจะทำงานหนักจนถึงตี 2 และตื่นตอน 6 โมงมาทำงานต่อได้โดยไม่เป็นโรคใดๆได้

วัย 30 กว่าๆแม้จะมีครอบครัวแล้วแต่ลูกยังอยู่ในวัยเด็กที่ยังไม่สร้างปัญหาอะไรให้ได้มากเท่าช่วงวัยรุ่น และยังไม่ต้องการใช้เงินมาก เราจะจ่ายให้ลูกเรามากน้อยแค่ไหนอยู่ที่เราจะจ่าย แต่พอเป็นวัยรุ่นเราอาจจะต้องจ่ายตามคำขอของลูกแล้ว

วัย 30 กว่าๆลูกค้าเริ่มให้การเชื่อถือในคำพูด เริ่มมีเครดิตที่คนทั่วไปจะยอมรับและไม่มองว่าเป็นเด็กแล้ว

คอนเน็คชั่นต่างๆที่สะสมมาเริ่มเยอะพอที่จะช่วยธุรกิจและการงานแล้ว

ความใจเย็นเริ่มมีมากกว่าอยู่ในวัยที่พึ่งเริ่มต้นทำงาน เพราะผ่านความล้มเหลวมาจนเริ่มมีความระมัดระวังตัวมากขึ้นแล้ว

สามารถที่จะควบคุมลูกน้องได้มากขึ้น แม้ว่าลูกน้องที่อายุมากกว่าแต่ด้วยวัยขนาดนี้คนก็เริ่มยอมรับฟังมากขึ้น มากกว่าตอนที่เป็นหัวหน้าด้วยวัย 20 กว่าๆ

จะได้ว่าผู้จัดการส่วนใหญ่มักจะอายุ 30กว่าๆกันทั้งนั้น นั่นเป็นเพราะวัยนี้มีวัยวุฒิพอที่จะควบคุมลูกน้องให้ฟังได้แล้ว

ผู้จัดการคนไหนที่อายุ 20กว่าๆแล้วต้องดูแลลูกน้องอายุ 30 กว่าๆมักจะมีปัญหาในการควบคุมอยู่เสมอ

ผู้จัดการในวัยนี้เปรียบเหมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างคนอายุมากกว่า50 กับคนอายุ 20กว่าให้จูนเข้าหากันได้ เพราะด้วยวัยที่ต่างกันเกินไปทำให้คนบางคนคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความคิดในใจกัน แต่คนที่อยู่ในวัยตรงกลางนี้ช่วยสื่อสารคำสั่งให้สื่อถึงกันได้

วัย30กว่าๆนี้มักมองโลกในแง่ที่เป็นจริงมากขึ้น ไม่ฝันเกินไปจนทำให้ประมาท

ประสบการณ์ต่างๆที่เริ่มสะสมมาในการทำงานช่วงแรกเริ่มสามารถนำมาใช้ได้แล้ว เรียกว่าช่วงเวลานี้เหมือนได้เริ่มสนามจริงแล้วหลังจากที่เล่นอยู่ในสนามซ้อมมาในช่วงเริ่มทำงาน

ช่วงอายุ30กว่านี้เป็นช่วงที่ช่วยเก็บสะสมเงินทุนเพื่อให้พร้อมกับวัยในช่วงอายุ 40 กว่า ซึ่งในวัยนั้นอาจจะร่างกายไม่แข็งแรง ทำงานได้ไม่เยอะเท่า หากมีรากฐานทางการเงิน หรือธุรกิจที่ไม่ดีจะไม่สามารถฝืนร่างกายมาทำได้อย่างเต็มที่ แต่หากสร้างฐานมาอย่างมั่นคงแล้ว ในช่วงอายุ40 แม้ไม่ต้องออกแรงมากแต่ก็ทำเงินได้มากกว่าช่วงอายุ 30

ในช่วงอายุนี้หากหยุดพัก ไม่สร้างตัว ไม่ทำงานก็เรียกได้ว่าทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในการทำเงินก็ว่าได้

คุณพร้อมหรือยัง ที่จะทำเงินในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในวัย 30กว่าปีนี้

บทความจาก toytorich.com/article




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2555    
Last Update : 18 สิงหาคม 2555 10:12:06 น.
Counter : 2272 Pageviews.  

เกมการต่อรอง I AM THE BOSS

เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ไปเล่นเกมกระดานชื่อว่า I Am The Boss เกมนี้ที่บ้านเพื่อน

เป้าหมายของเกมนี้คือการมีเงินให้ได้มากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ โดยจะมีผู้ชนะเพียงแค่คนเดียว

ลักษณะของเกมจะทอยลูกเต๋าแล้วเดินเหมือนเกมเศรษฐีแต่ช่องที่ตกจะมีแค่ชนิดเดียวคือ โอกาสในการทำธุรกิจ

หลังจากที่คุณเดินเสร็จแล้วคุณจะมีทางเลือกให้เลือกทำได้สองอย่างคือ เลือกการ์ดความสามารถสามใบจากในกองกลาง หรือเลือกทำธุรกิจในช่องที่ตกนั้น

การ์ดความสามารถในกองกลางจะแทบไม่มีอะไรมากหลักๆคือ

1.การ์ดชื่อบุคคล(เงื่อนไขหลักในการทำธุรกิจในเกมนี้คือมีบุคคลให้ครบตามที่กำหนดในช่องนั้นก็สามารถได้เงินจากธุรกิจนั้นๆได้แล้ว)

 2.การ์ดส่งบุคคลตามชื่อนั้นไปทำงานต่างประเทศ (สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินในธุรกิจนั้น สามารถใช้การ์ดนี้ขัดขวางหรือต่อรองเพื่อให้ตัวเองมีส่วนได้เงินในธุรกิจนั้น)

3.การ์ดส่งใครก็ได้ไปต่างประเทศ (เอาไว้ขัดขวางเหมือนกัน)

4.การ์ดป้องกันทุกๆการ์ดที่ส่งเข้ามาโจมตี โดยป้องกันได้หนึ่งครั้ง

5.การ์ดแย่งตำแหน่งบอส (กฏของเกมกำหนดไว้ว่าคนที่เริ่มต้นเดินธุรกิจจะเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถจัดสรรแบ่งเงินที่ได้มาจากการทำธุรกิจนั้นให้กับหุ้นส่วนที่ร่วมกันทำมาเท่านั้น ซึ่งจะเรียกผู้ที่เริ่มเดินธุรกิจว่า “บอส” หากใช้การ์ดใบนี้ตำแหน่งของบอสก็จะตกเป็นของผู้ที่ใช้การ์ด มีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุดว่าจะแบ่งเงินให้ใคร)

6.การ์ดซื้อตัวบุคคล (จะต้องใช้สามใบเพื่อดึงตัวบุคคลในชื่อนั้นมาเป็นของเรา ใช้เพื่อขัดขวางให้ดิลนั้นไม่สำเร็จหรือต่อรองเพื่อให้ตัวเองได้มีส่วนร่วมในดีลนั้น)

7.การ์ดญาติของบุคคล(ความสามารถใช้ได้เหมือนการ์ดชื่อบุคคล ใช้กรณีตัวบุคคลตัวจริงถูกส่งไปต่างประเทศหรือถูกซื้อตัวไป เราสามารถใช้การ์ดญาติของบุคคลนั้นมาทำธุรกิจแทนได้)

กฏอื่นๆ

-เงินในเกมนี้ได้รับมาแล้วไม่สามารถนำมาใช้อะไรต่อได้ นำมาใช้ได้แค่นับเป็นแต้มตอนท้ายเกมเท่านั้น

-บอสสามารถยกเลิกหรือกลับคำพูดได้ตลอด เพราะเป็นคนที่มีสิทธิแบ่งเงินในตอนที่ทำธุรกิจสำเร็จ แต่การโกหก หรือขี้โกงก็มีต้นทุนของมัน เพราะอาจจะไม่มีคนร่วมทำงานกับคุณในภายหลัง

-ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากขนาดไหน มีคอนเน็คชั่นที่ดีขนาดไหน แต่สุดท้ายผู้ที่จะชนะเกมคือคนที่มีเงินมากที่สุดแต่เพียงผู้เดียว นี่คือเป้าหมายของเกมนี้ ดังนั้นเกมนี้จะไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร แต่จะเปลี่ยนกลยุทธสู้กันตามสถานการณ์เพื่อสร้างข้อต่อรองให้ตัวเองมีเงินมากเป็นที่หนึ่ง หรือไม่ก็ช่วยกันขัดขวางคนที่มีเงินเยอะที่สุด

-เกมนี้จะจบก็ต่อเมื่อดิลธุรกิจเริ่มปิดหมด หรือไม่ก็จับได้การ์ดทอยลูกเต๋าให้ได้เลขที่กำหนดไว้เพื่อจบเกม(การ์ดนี้จะออกมาประมาณจบดิลธุรกิจไปประมาณ 6-7ครั้ง)

-การ์ดในมือจะเก็บได้แค่12ใบเท่านั้นหากเกินก็ต้องเลือกทิ้งไป

หลังจากตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจผู้ที่เริ่มจะได้เป็นบอส ก็เลือกหาผู้ที่จะมาเป็นหุ้นส่วน หรือตัดสินใจทำคนเดียวก็ได้ หากมีการ์ดบุคคลครบตามที่เกมกำหนด และไม่มีใครขัดขวางก็จะได้เงินไป

แต่เกมนี้สนุกก็ตอนขัดขวางกันนี่แหล่ะครับ เพราะในตอนที่เปิดให้ขัดขวางจะเจรจากันอย่างไรก็ได้ ต่อรองกันอย่างไรก็ได้ บางครั้งไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงอะไรใช้การ์ดแม้แต่ใบเดียวก็สามารถทำเงินได้ โดยใช้แค่ปาก(ในชีวิตจริงใช้แค่ปากก็ทำเงินได้จริงๆ) และสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเจรจากันมายังไง บอสก็สามารถกลับคำพูดตัวเองได้ตลอด และหุ้นส่วนคนอื่นก็ไม่สามารถขอเงินวางมัดจำมาก่อนได้ ต้องเชื่อใจอย่างเดียว

ลักษณะของคำพูดที่ใช้ต่อรองกันในเกม

 “ตอนนี้นายเอมีเงินมากที่สุดในเกมนะ หากปล่อยดิลนี้ให้เค้าเราทั้งคู่ก็จะแพ้นะ มาดีลกับผมดีกว่า”

“หากมาดีลกับผมยอมเอาแค่ 5%พอ  น้อยกว่าเค้าที่เอา10%”

“ในมือผมมีการ์ดส่งคุณไปดูงานต่างประเทศอยู่ ให้ผมมีส่วนร่วมด้วยแล้วจะไม่ใช้การ์ดใบนี้ ขอแค่10%ก็ได้”

“ผมขอเพิ่มขึ้นอีก20%ก็แล้วกัน  ใช้การ์ดไปตั้งหลายใบกว่าดิลนี้จะสำเร็จ”

“ทำกับผมดีกว่าผมมีการ์ดป้องกันเยอะ จะมีคนมาขัดขวางคุณก็ทำได้ยาก”

“เชื่อใจผมได้ผมไม่เคยโกหก เห็นอย่างดีลที่แล้วใช่มั้ยล่ะ ผมก็ตอบแทนให้ทุกคนอย่างเหมาะสมตามน้ำพักน้ำแรง”

“ขอผมร่วมด้วยแล้วกัน ไหนๆดีลที่แล้วก็ช่วยกันไว้เยอะ”

“หุ้นส่วนยิ่งเยอะเงินที่ได้ก็ยิ่งน้อย ผมจะเลือกหุ้นส่วนที่เอาเงินน้อยที่สุด

นี่ยังเป็นแค่ตัวอย่างที่ต่อรองกันอย่างมีเหตุผลเพื่อชัยชนะ แต่หากเล่นกันมากขึ้นก็ย่อมมีการเจรจาที่ไม่มีเหตุผลเกิดขึ้นอีกมามายแน่นอน

ในการต่อรองขัดขวาง แน่นอนคุณค่าของการ์ดก็สำคัญ หากใช้การ์ดที่มีประโยชน์มากๆอย่าง การ์ดแย่งตำแหน่งบอสแต่ได้ส่วนแบ่งมาไม่ถึง10%ก็เหมือนกับเสียการ์ดฟรี (เพราะนี้การเป็นบอสมีสิทธิแบ่งเงินได้ ถือว่ามีอำนาจต่อรองที่สุด) แต่การหาน้ำหนักของอำนาจต่อรองในมือก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่

หากฝึกเล่นเกมนี้เพื่อสร้างความคิดสร้างสรรค์ในการต่อรองเพื่อธุรกิจอย่างมีเหตุผลก็จะมีประโยชน์มากนัก

คนบางคนไม่สามารถสร้างเงื่อนไขที่มีประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายได้ คนบางคนไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้เพราะไม่เข้าใจศาสตร์แห่งการตกลงกันอย่างมีเหตุผล วินวินกันทุกฝ่าย คนบางคนไม่สามรถอธิบายเหตุผลให้กับลูกค้าได้ถึงความคุ้มค่าของข้อเสนอ คนบางคนเลือกที่จะตัดสินใจตามความรู้สึกของคนอื่นจึงได้ข้อเสนอที่ไม่ยุติธรรมมา

เราจะไม่ใช่จะต่อรองกันด้วยความผูกผันหรือความรู้สึก แต่ต่อรองกันด้วยผลประโยชน์อย่างเดียว

หลายครั้งเข้าใจว่าการแบ่งผลประโยชน์ต้องเท่าเทียมกันแต่ในความเป็นจริงแล้วจะแบ่งกันตามอำนาจต่อรองที่มีอยู่

หากคุณใช้หลักเหตุและผลในการตัดสินใจเรื่องผลประโยชน์โดยไม่เอาความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้นมาก

ผมคิดว่าเกมนี้ช่วยคุณฝึกให้คุณเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้

จริงอยู่ว่าเนื้อหาเกมอาจจะฟังดูชั่วร้ายเพราะเกี่ยวกับเรื่องทำทุกอย่างเพื่อเงิน สร้างโอกาสที่จะโกหกกัน มุ่งหาแต่ผลประโยชน์ ไม่สร้างสรรค์การทำความดี

แต่หากเข้าใจกลไกของสิ่งเหล่านี้เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของการต่อรองที่ไม่ดี และมันสำคัญนักในชีวิตจริง

ข้อคิดในเกมจะมีทั้งด้านดีและลบอยู่ที่คุณจะเลือกใช้

บทความจาก //www.toytorich.com/article




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2555    
Last Update : 15 สิงหาคม 2555 19:47:53 น.
Counter : 1533 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.