Group Blog
 
All Blogs
 
ปฏิบัติการปล้นช้างไทย

วันชัย ตัน

ข่าวเล็กๆ ทางหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องที่นักอนุรักษ์กลุ่มหนึ่งออกมาคัดค้านการขนย้ายช้างไทย 8 เชือก ไปที่สวนสัตว์ในประเทศออสเตรเลีย เพราะไม่แน่ใจว่าช้างทั้งหมดเป็นลูกช้างที่จับมาในป่าหรือเป็นช้างบ้าน คงสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้กับคนไทยจำนวนหนึ่งด้วยความรู้สึกที่ว่า

“อ้ายพวกนักอนุรักษ์ค้านมันได้ทุกเรื่อง”

“ช้างไทยไปอยู่เมืองนอกก็ดีแล้ว จะค้านไปทำไม ดีกว่าต้องมาขอทานตามถนนในกรุงเทพฯ”

ถึงนักอนุรักษ์จะพากันคัดค้านอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อราวตีหนึ่งของวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้แผนปฏิบัติการณ์สายฟ้าแลบราวกับกำลังถ่ายทำหนังเรื่อง Mission Impossible ภาคพิสดาร จนทำเอานักข่าวที่เกาะติดเรื่องนี้พากันสงสัยว่า เหตุใดรัฐบาลต้องลงทุนลงแรงทุ่มทุนสร้างมโหฬารกันขนาดนี้

แผนลับนี้ไม่มีชื่อเป็นทางการ แต่ขอเรียกว่าเป็นปฏิบัติการ “ปล้นช้าง” ไปพลาง ๆ ก่อน เพราะมีพฤติกรรมไม่ต่างจากบรรดาโจรผู้ร้ายนิยมผู้ปล้นวัวควายที่อยู่ในคอกของชาวบ้านยามวิกาล

กลางดึกคืนนั้น กองกำลังไม่ระบุสังกัดประมาณ 50 คน ได้ยกขบวนมาที่โรงพยาบาลปศุสัตว์และสัตว์ป่า มหาวิทยาลัยมหิดล ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ใช้รถเครนยกท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ที่ขวางประตูแห่งหนึ่งที่ปิดตายมานานแล้ว เมื่อประตูเปิดออก ขบวนรถก็ได้เข้าไปขนย้ายช้างทั้ง 8 เชือก ขึ้นกรงเหล็กออกจากโรงพยาบาลทันที พร้อมรถตำรวจนำและปิดท้ายขบวน โดยไม่ได้รับการต่อต้านจากกลุ่มนักอนุรักษ์ที่เมื่อทราบข่าวจึงได้รีบไปปิดทางเข้า-ออกประจำของโรงพยาบาล

พอนักอนุรักษ์รู้ว่าถูกหลอกให้มาปิดล้อมผิดที่ จึงรีบขับรถไล่ตามอย่างกระชั้นชิด แต่ก็ถูกบรรดาตำรวจทางหลวงนับร้อยตั้งด่านสกัดจนไม่สามารถติดตามได้ ส่วนบรรดาช้างก็ส่งเสียงโหยหวนด้วยความเครียดสุดขีดตลอดเส้นทาง และพอฟ้าสาง ขบวนรถทั้งหมดวิ่งตรงไปถึงสนามบินอู่ตะเภา จังหวัดระยอง เพื่อรอขึ้นเครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่มุ่งหน้าสู่ออสเตรเลีย

ปฏิบัติการ “ปล้นช้าง” ได้รับความสำเร็จเกินคาด ช้างทั้ง 8 เชือก ถึงประเทศออสเตรเลียแล้ว

หากอ่านเรื่องนี้ดูผิวเผินก็ดูสนุกดี แต่หารู้ไม่ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเปรียบเสมือนยอดน้ำแข็ง ที่เบื้องหลังมีเรื่องลึกลับตื่นเต้นมากกว่าที่เห็นมาก

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นหลายปีก่อน เมื่อนายกรัฐมนตรีคุณทักษิณ ชินวัตร กับทางรัฐบาลออสเตรเลียได้ทำสัญญาจะให้มีการแลกเปลี่ยนสัตว์ป่า โดยเอาช้างไทย 8 เชือก ไปแลกกับจิงโจ้ 4 ตัว และหมีโคอาล่า 4 ตัว เพื่อใช้ในกิจการสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี ที่เชียงใหม่

ผู้เชี่ยวชาญสัตว์พอทราบข่าวไทยจะเอาช้างไปแลกจิงโจ้และหมีโคอาล่าได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

ช้างไทยเป็นช้างเอเชีย เป็นสัญลักษณ์ของชาติ ทั่วประเทศมีช้างป่าประมาณสองพันกว่าตัว และเป็นช้างบ้านสามพันกว่าเชือก และสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN) ได้จัดสถานะของช้างไทยว่าเป็น สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และถูกจัดอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 ของอนุสัญญา CITES (อนุสัญญาว่าด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศ ว่าด้วยการค้าสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์) หมายความว่า ห้ามทำการค้าโดยเด็ดขาด

ขณะที่จิงโจ้ในออสเตรเลียเป็นสัตว์แสนจะธรรมดา มีจำนวนหลายแสนตัว มากถึงขนาดเอามาทำเนื้อจิงโจ้และอนุญาตให้คนล่าได้ ส่วนหมีโคอาล่ามีอยู่หลายหมื่นตัว เป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ง่ายในออสเตรเลีย

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์กล่าวว่า หากไทยเอาช้างไปแลก ทางออสเตรเลียก็ควรเอาตุ่นปากเป็ด สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของออสเตรเลียมาแลก จึงจะสมศักดิ์ศรี

แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลออสเตรเลีย ไม่มีทางส่งเจ้าตุ่นปากเป็ดมาแลกเด็ดขาด เพราะเขาหวงแหนสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้มากกว่าที่รัฐบาลไทยจะแสดงความหวงแหนสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของชาติยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม การแลกเปลี่ยนสัตว์ของทั้งสองประเทศได้ดำเนินต่อไป ซึ่งอันที่จริงก็คือ การซื้อขายสัตว์ระหว่างประเทศ เพราะมีข่าวว่าทางสวนสัตว์ออสเตรเลียทุ่มเงินถึง 2,000 กว่าล้านบาท เพื่อให้ได้ช้างทั้ง 8 เชือก

เงินมหาศาลจำนวนนี้ช่วยดึงดูดให้บรรดานักการเมือง พ่อค้าสัตว์ป่า และบรรดาบิ๊กๆ ในองค์การสวนสัตว์ในฐานะผู้จัดซื้อช้าง กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในฐานะผู้ตรวจสอบความถูกต้องของช้าง และมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะผู้ดูแลช้าง บินกันมาตอมเพราะรู้ดีว่า ราคาซื้อขายช้างอย่างเก่งก็ไม่เกินตัวละ 1 ล้านบาท

เมื่อเสี่ยออสซี่สั่งลุย จึงมีนายหน้าพ่อค้าสัตว์ป่าไปติดต่อหาลูกช้างจนได้ครบทั้ง 8 เชือก และอ้างว่าเป็นช้างบ้านมีตั๋วรูปพรรณชัดเจน แต่เรื่องมันแดงเมื่อทางกลุ่มอนุรักษ์พบว่า ลูกช้างหลายตัวไม่สามารถระบุที่มาที่ไปหรือพ่อแม่ของมันได้ชัดเจน ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่าช้างบางตัวไม่ใช่ช้างบ้าน แต่น่าจะเป็นลูกช้างที่จับในป่า เพราะการออกตั๋วรูปพรรณไม่สามารถป้องกันการเอาลูกช้างป่ามาสวมรอยช้างบ้านได้

ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า ทุกวันนี้มีขบวนการเอาลูกช้างป่ามาขายเป็นล่ำเป็นสันตลอดชายแดนไทยพม่า ตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ถึงแม่ฮ่องสอน โดยการขุดหลุมดักลูกช้าง ใช้วิธีคล้องบ่วง และเอาลูกช้างป่าที่จับได้ผูกถังน้ำมัน 200 ลิตร แล้วลอยข้ามแม่น้ำสาละวินมาสู่ฝั่งไทย

ลูกช้างหลายตัวตายระหว่างทาง หลายตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส นำมาขายให้กับพ่อค้าสัตว์ป่าตัวละไม่กี่หมื่นบาท เพื่อรอส่งออกขายไปตามสวนสัตว์เมืองนอกได้ราคาถึงตัวละเฉียดล้านบาท

อย่าลืมว่าช้างจัดว่าเป็นสัตว์น่ารักอันดับต้นๆ โดยเฉพาะช้างเอเชียสามารถฝึกได้ ขณะที่ช้างแอฟริกาฝึกไม่ได้ ตลาดการค้าสัตว์ป่าทั่วโลกจึงให้ความสนใจกับลูกช้างป่าเอเชียมาก

สวนสัตว์ทั่วโลกจึงนิยมมีช้างเอเชียไว้เพื่อดึงดูดลูกค้า และทุกวันนี้ธุรกิจสวนสัตว์ในต่างประเทศเปิดตัวกันมากขึ้น การขโมยเอาลูกช้างป่ามาขายก็เป็นล่ำเป็นสัน และผู้ได้ประโยชน์สูงสุดคือ บรรดาพ่อค้าสัตว์ป่าทั้งถูกและผิดกฎหมาย

ดังนั้น ทางกลุ่มนักอนุรักษ์จึงได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยตรวจสอบดีเอ็นเอ หาพ่อแม่ของช้างทั้ง 8 เชือก ว่าเป็นช้างบ้านจริง เพื่อให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องคลายข้อกังขาว่า ช้างที่จะส่งไปออสเตรเลียไม่ใช่ลูกช้างป่าที่นำมาจดทะเบียนเป็นช้างบ้าน

อันที่จริงแล้วการเอาช้างไทยไปอยู่ในสวนสัตว์ออสเตรเลีย ก็คงไม่มีใครว่าอะไรมากนัก หากทำอย่างถูกต้องและถูกกฎหมาย

แต่รัฐบาลไทยได้แสดงความไม่โปร่งใส ด้วยการรีบเร่งนำช้างไปส่งที่สนามบินในยามวิกาล ทำกันลับ ๆล่อๆ ราวกับว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากล

ผู้บริหารระดับสูงของสวนสัตว์ออสเตรเลียที่บินมาดูแลการขนย้ายช้างด้วยตนเอง เคยพูดเสียงดังฟังชัดว่า “เราจ่ายให้ไปมากพอแล้วนะ ช้างพวกนี้เป็นของเราแล้ว”

ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังเงิน 2,000 ล้านบาท ที่ออสเตรเลียทำหล่นที่เมืองไทย จ่ายให้กับพ่อค้า นักการเมือง ข้าราชการคนใดมั่ง จึงทำให้รัฐบาลต้องรีบขนช้างกันจ้าละหวั่น จนลืมไปว่าช้างตายตัวเดียวเอาใบบัวปิดไม่มิด

แต่ละปีธุรกิจค้าสัตว์ป่าข้ามชาติทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท ถือเป็นธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยให้กับผู้เกี่ยวข้องเทียบเท่ากับการค้าอาวุธสงคราม ยาเสพติด และที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นศูนย์กลางการค้าสัตว์ป่าสำคัญแห่งหนึ่งของโลก

ธุรกิจการส่งช้างป่าออกนอกประเทศยังสดใส เพราะดูเหมือนรัฐบาลไทยจะเป็นเจ้าภาพเสียเอง

เรารักช้างไทยกันจริงๆ




ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 6 สิงหาคม 2549
(นำมาจาก //www.onopen.com)



Create Date : 13 สิงหาคม 2549
Last Update : 13 สิงหาคม 2549 16:48:15 น. 1 comments
Counter : 500 Pageviews.

 

สวัสดี Sunday ค่า



โดย: โสมรัศมี วันที่: 13 สิงหาคม 2549 เวลา:18:04:20 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สหายสันติ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สหายสันติ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.