อาตาปี สัมปชาโน สติมา
 
เมตตาธรรมของครูบาอาจารย์



มีเมตตาธรรมของครูบาอาจารย์ที่ไม่อาจจะ ไม่กล่าวถึงความเมตตาของท่านได้ เพราะสิ่งที่ได้ประสบกับความเมตตาของท่านเป็นสิ่งพิเศษที่ควรกล่าวไว้ด้วยความเคารพ ระลึกถึง องค์นี้ท่านยังไม่เปิดเผยตัว ท่านเป็นลูกศิษย์
หลวงพ่อ.....(ขอละไว้ก่อนนะคะ) แต่หลวงพ่อ.....เมตตาให้เทศน์
และเราได้มีโอกาสฟังเทศน์ของท่าน จากเทปที่ได้มา แบบว่าเทป (เทปนะ คิดดูละกัน) ผีซีดีเถื่อนประมาณนั้น แอบๆ กันมาฟัง

การฟังเทศน์ในเทปนั้น แม้หนแรกจะไม่สนใจฟัง แต่เมื่อได้ฟังเต็มๆ ใีนครั้งที่สอง ปิติก็เกิดข้อความอันกินใจนั้นคือ "เราเกิดมาเพื่ออะไรทราบไม๊ เราเกิดมาเพื่อเดินทางไปตาย ยังไม่รู้สำนึกอีกหรือ" ข้อความนี้กินลึกเข้าไปในจิต

และในที่สุดเราก็ได้ไปกราบท่านอย่างนึกไม่ถึง ซึ่งเสียงเทศน์ในเทปที่ทำให้ จิตสะเทือนถึงเรื่องภพชาติได้ เมื่อไปถึงนั้น ท่านเทศน์ทันที

"อย่ามานึกว่าตัวเป็นนักปฏิบัติ แค่โ่ลกธรรมแปด ก็เอาตัวไม่รอดแล้ว" ข้อความที่ท่านเทศน์กระแทกจิตอย่างแรงตั้งแต่เริ่มเทศน์ เป็นเทศน์ที่เกี่ยวกับภพชาติอย่างเดียว แต่เราสะเทือนใจอย่างที่สุด อย่างที่นึกไม่ถึงว่าจสะเทือนใจได้ถึงขนาดนี้

"ถ้าเรามีสิ่งใดที่แหลม เหมือนไม้หรือสิ่งใดก็ได้ แทงลงไปบนพื้นโลก ไม่ว่าส่วนไหนจะไม่เจอร่างเราที่นอนทับถมอยู่ ไม่มี" ข้อความนี้ก็สุดจะสะเทือนใจอย่างยิ่ง เป็นการฟังเทศนฺ์ที่ทำให้เราร้องไห้จนสะอื้น เก็บอย่างไรก็ไม่อยู่

ในวันเดียวกันเมื่อเวลาค่ำญาติธรรมมาตามบอกว่าท่านเมตตาให้มาตามไปฟังเทศน์ ท่านเมตตาเหลือเกินค่ำคืนนี้ ท่านเทศน์เหมือนเปิดโลกสว่างไสวเหมือนเราสามารถมองเห็นทะลุไปสามแดนโลกธาตุได้ อย่างไรอย่างนั้น จิตใจเบิกบานในธรรมเป็นที่สุด แต่น่าแปลกมากว่า เมื่อกลับมาจำไม่ได้เลยว่าท่านเทศน์เรื่องอะไร

อีกองค์นึงเป็นพระที่ท่านธุดงค์อยู่แนวชายเขา ระหว่างเชียงใหม่กับเชียงราย เราได้มีโอกาสไปปฏิบัติกับท่านที่ชายเขา หลายครั้งหลายหน ท่านเมตตาสอนนำนั่งสมาธิ ชี้ให้เห็นจริตของตัวเอง ว่าเป็นศรัทธาจริต ให้เรารู้จักการรักษาฐานจิต ซึ่งในความรู้ที่เราได้การรักษาฐานจิตนั้น ก็คือการมีสติรู้อยู่ในกายและระลึกให้ได้เสมอๆ ในสติรู้กายนั้น การไปนั่งสมาธิที่ชายเขานั้น เป็นบรรยากาศที่เป็นสัปปายะอย่างยิ่ง ทำให้เราเห็นสภาพจิตที่อยู่ในธรรมชาติ และเห็นถึงธรรมชาติภายนอกและธรรมชาติภายในมีน้ำหนักเสมอกัน เห็น
กำลังของสมาธิที่เรามีอยู่อย่างชัดเจน แม่นยำ

เห็นปิติทุกรูปแบบที่เกิดเมื่อจิตมีสมาธิ จิตสามารถตั้งมั่น และมีสติฯ ระลึกรู้ได้เร็ว ท่านว่าเราแปลกมาก ที่สามารถทำสมาธิได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีข้อจำกัด คือไม่ว่าจะเหนื่อยจะเมื่อยอย่างไร จิตก็ดำเนินไปได้ แม้อิริยาบทนอน เราก็สามารถเข้าสมาธิได้ดี และเร็ว ซึ่งเราเองก็ไม่เคยทราบมาก่อน มาประจักษ์เมื่อมาปฏิบัติกับท่านที่ชายเขาและที่บนเขาอีกแห่งนึง นั่นเอง

เมื่อไม่ค่อยได้มีโอกาสไปปฏิบัติตามป่าเขา ก็ได้แต่ภาวนาอยู่กับกายใจนี้และไปรายงานผลการปฏิบัติกับหลวงพ่อเป็นระยะๆ เมื่อมีโอกาสและ ท่านก็คือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่แท้ของเราองค์เดียว

แต่ในช่วงนี้เอง เราได้มีโอกาสไปกราบ และทำบุญกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์อื่นๆ ตามโอกาสและได้รับความเมตตาจากท่านอย่างเช่น หลวงพ่อราดลี เมื่อไปกราบท่านก็จะถามไถ่ถึงการปฏิบัติ เราก็เล่าถวายท่านถึงการปฏิบัติที่ผ่านมา ซึ่งท่านก็เมตตากล่าวว่า ผลต่างๆ ที่เราพบ เหมือนส้มหล่น "มึงจะเอาจริงหรือเปล่า" ท่านกล่าว หมายถึงว่าเราตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริงหรือซึ่งเราก็กราบเรียนท่านว่าเราตั้งใจเช่นนั้น ช่วงหลังๆ ที่เราเห็นกาย, เวทนา,กับจิต แยกกันอย่างชัดเจน จนเห็นว่ากายนี้แท้จริง ไม่เคยมีเวทนา ท่านบอกว่า ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้ สิ่งที่ขาดหายไปคือเราไม่ได้เฉลียวใจว่า ธรรมกำลังแสดงเราจึุงไม่เห็นธรรม แต่ปฏิบัติมาได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นพระเป็นเณรของท่าน ท่านจะไม่ให้ทำอะไรแล้ว เพราะงานอื่นมันจ้างเขาทำได้
แต่งานภาวนานี้ ยากนัก ต้องทำเอาเองและสำคัญกว่างานอื่นๆ เราจำใส่ใจไว้ด้วยความระลึกถึงเมตตาของท่าน

อีกองค์หนึ่งที่เรามีโอกาสได้กราบททำบุญกับท่าน ท่านเป็นพระที่หลวงปู่หล้าบวชให้ ท่านเมตตามากมักให้ญาติธรรมโทรฯ มาตามให้ไปฟังธรรมเวลาท่านมาพัก หรือมาหาหมอในกรุงเทพฯ ท่านมักจะให้หนังสือธรรมะ รูปพระ ที่หายาก หรือที่เขาไม่ให้กัน และให้กำลังใจว่าเราจะจบได้ในชาตินี้อย่า
ประมาทและให้เร่ิงความเพียร ช่วงที่พบท่านและได้ฟังเทศน์ของท่านนี่เอง เราสามารถเห็นความว่าง ซึ่งได้มาทราบว่า คือ อากาสาฯ และสามารถรู้อากาสาฯ (เพิก) เข้าไปเห็นอากิญจฯ ซึ่งเป็นความว่างอีกระดับนึง

ความว่างอันหลังไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ช่วงนั้น กำลังสงสัยสิ่งที่ตัวเองพบ ไปรายงานให้หลวงพ่อทราบ ท่านก็บอกว่าอย่าไปติดตรงนี้ แต่ไม่ยอมอธิบายอะไรมาก (หลังจากนั้นอีกนานท่านค่อยๆ บอกกล่าวกับผู้อื่นในเรื่องเหล่านี้) ช่วงที่กำลังสงสัยนั้นเอง ได้ไปกราบหลวงตามหาบัวที่สวนแสงธรรม และได้ฟังเทศน์ท่าน ท่านไล่จี้ชายคนนึงเรื่องการทำอรูปฌาน ท่านดุเสียงดังมากว่า ถ้าทำได้ ต้องทำได้ตลอด ทำตอนนี้เลย ก็ต้องทำได้ ไหนทำซิ ทำซิ เราฟังอยู่ด้วย ด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เวลาครูบาอาจารย์ไล่จี้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้พูดกับเราเลย แต่เหมือนชายคนนั้นเป็นตัวแทนที่ถูกดุอยู่ หลังจากนั้น ก็ได้ฟังเทศน์ท่าน เรื่องการไปพบความว่างที่ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ว่างไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ เปรียบเสมือน บุคคลที่ยืนอยู่ในห้องว่าง ที่ไม่มีอะไร แต่ตัวเขาเองนั้นแหละไม่ว่าง พอท่านเทศน์ถึงตรงนี้ เราก็ถึงบางอ้อ ทันที _/|_ กราบ กราบ กราบ

กราบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมตตาธรรมของครูบาอาจารย์ ทุกๆ องค์


Create Date : 23 เมษายน 2553
Last Update : 23 เมษายน 2553 20:26:39 น. 0 comments
Counter : 938 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

สติมา
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




อาตาปี สัมปชาโน สติมา
เพียรเผากิเลสด้วยความรู้สึกตัวมีสติ
[Add สติมา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com