อาตาปี สัมปชาโน สติมา
 
แบ่งปันประสบการณ์ - อดนอน ผ่อนอาหาร


อดนอน คือการภาวนาที่เรียกว่า การถือเนสัชชิก คือภาวนา
ตลอดรุ่งไม่ให้หลังแตะพื้น หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่มีการนอน
การภาวนาจะอยู่แค่ใน อิริยาบท ยืน เดิน นั่ง เท่านั้น
ครูบาอาจารย์บางรูปท่านก็ภาวนาแบบนี้โดยใช้เวลาเป็นเดือน
เป็นปีก็ยังมี นับเป็นการภาวนาที่อุกฤตทีเดียว แสดงให้เห็น
ปณิธานที่แน่วแน่ของครูบาอาจารย์ แต่ถามว่าแบบนี้ร่างกาย
มิทรุดโทรมแย่หรือ ส่วนนึงก็ใช่ค่ะ ร่างกายท่านช่วงอายุ
มากขึ้นท่านก็มีอาพาธไปตามสังขารร่างกายที่ใช้มาอย่างหนัก
แต่ถ้าถามว่าจริงๆแล้วหลับหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ร่างกายเอง
ก็มีการปรับตัวเองด้วยการหลับค่ะ แต่จะเป็นแบบว่าหลับไปใน
ท่านั่งหรือว่า เข้าฌานในท่านั่งไป ส่วนมากครูบาอาจารย์ที่ท่าน
ทำเช่นนี้ก็มักจะเข้าฌานเพื่อพักผ่อนเป็นหลัก แต่ในคนทั่วๆ ไป

เมื่อร่างกายต้องการการพักผ่อนมันจะเป็นอัตโนมัติที่จะพักเอง
ด้วยการหลับในท่านั่งใน กรณีนี้ แม้แต่คนที่ลองนั่งสมาธิแบบไม่
ขยับเลย จะพบว่า บางที่มีการเคลื่อนไหวของกายเล็กน้อย เช่น
กล้ามเนื้อทับเส้นเลือดบางเส้นอยู่ การเคลื่อนไหวของกายทำให้
เส้นเลือดขยับจากการถูกกดทับและคลาย จนผู้ภาวนารู้สึกได้

ส่วนเนสัชชิก บางท่านใช้อุบายด้วยการผูกตัวเองไว้
กับเสาหรือต้นไม้ เพื่อไม่ให้หลังติดพื้นจะได้ไม่เสียสัจจะ ถามว่า
ทำไปเพื่ออะไร เดิมทีตัวเราเองก็คิดว่าจุดของการถือเนสัชชิกอยู่
ตรงที่ไม่นอนเท่านั้น จึงพยายามภาวนาข้ามคืนด้วยการไม่นอน
ครั้งแรกทำที่เขาสวนหลวง (อศมสถานเขาสวนหลวง) ซึ่งถือว่า
โอกาสดีมากเพราะที่นั่นจะถือเนสัชชิกทุกวันพระอยู่แล้วเป็นประจำ
แต่ก็พบว่าการทนเพื่อให้ไม่ต้องนอนลงไปนั้น เราได้แค่ขันติความ
อดทนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่ขาดไปก็คือ สติฯ การที่เราทนง่วงและ
ไม่ยอมนอน ในขณะที่ร่างกายรับไม่ไหวแล้วนั้นเราก็ขาดสติฯ
ชนิดว่าแทบไม่เป็ผู้เป็นคนและเผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แม้ว่าหลังไม่ติดพื้น แต่จิตนั้นตกภวังค์หลับไปเรียบร้อย

แต่ภายหลังมาพบความเป็นจริงว่า การถือการถือเนสัชชิกนั้น
เพื่อเป็นการฝึกสติฯ ซึ่งเหมาะกับบางท่าน ที่นอนน้อยก็
ทำให้เกิดสติฯ ได้ดี เพราะการนอนมากก็ทำให้จิตซึมเซา
ตกอยู่ในโมหะมากกว่าปกติ เมื่อมีสติฯ เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นั้น
นิวรณ์ ความง่วงเหงา หาวนอน ก็ไม่สามารถครอบงำได้
เพราะเคยได้สภาวะนั้นกับตัวเอง เพราะสติฯ เกิดบ่อยๆ
ในวันนั้น เลยถือโอกาสไม่นอน แต่เดินจงกรมสบายๆ
และนั่งเมื่อเมื่อยมาก จิตที่มีสติฯ และมีกำลังของสมาธิ
หนุนเนื่องกันอยู่นั้น รู้ ตื่น เบิกบาน จนเช้า พระอาทิตย์
ขึ้นแล้ว พรรคพวกก็นอนกันอยู่ในห้องในกุฏิ กรนเสียง
ดังจนเราได้ยิน แต่ก็ไม่รู้สึกอยากเข้าไปนอนเลย แม้ว่า
อากาศจะเย็นสักเล็กน้อย ก็รู้สึกสบาย อยู่อย่างนั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นการฝึกแบบแรกหรือแบบหลัง ล้วนแล้วแต่
เป็นการฝึกที่ให้ผลกับเราอย่างมาก เพราะเป็นการฝึกที่ได้
ทั้งขันติความอดทน อดกลั้นต่อความยากลำบากทำให้จิตใจ
หึกเฮิม เพราะเป็นอธิษฐานบารมีที่ส่งกำลังให้เมื่อเราสามารถ
ทำได้หรือผ่านได้ และก็เป็นการฝึกที่ทำให้เกิดสติฯ สำหรับ
บางท่านที่มีจริตเหมาะกับการอดนอน ทำยิ่งบ่อยยิ่งสร้างให้
เกิดสติฯ ที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

แต่เรื่องอดอาหารนี้ เดิมที ไม่เคยคิดจะทำ แต่มีโอกาสได้
ไปกราบหลวงตา ท่านได้เทศน์เรื่องอดอาหารนี้ และมีน้องคน
นึงเป็นคนชอบทานอาหาร ทานเก่ง มีความสุขกับการหาของ
มารับประทานมาก ได้ฟังเทศน์ด้วยกัน แล้วยังได้ไปกราบ
พระลูกศิษย์หลวงตาอีกรูปนึง ท่านก็เกิดเทศน์เรื่องอดอาหาร
น้องเขาก็บ่นว่า ไม่มีทางทำได้หรอกสำหรับเขา เราไปด้วยกัน
ก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเราภาวนาพอรู้ทางอยู่แล้ว คงไม่ทำหรอก
แต่ท่านก็เทศน์ว่า รู้ไม๊ว่า การที่เราทานอาหารมากไปธาตุขันธ์
มันทับจิต ทำให้จิตหนัก มีสติฯ ยาก เราก็เริ่มสงสัย สนใจ
ท่านเห็นว่าเราคงมีใจบ้างแล้ว ก็เลยพูดส่งเสริมให้ลองดูถ้าไหว
กลับมา เราก็ลองอดอาหารดู ด้วยการอดทีละน้อยๆ ขยับไป
ทีละนิด จากทีแรกงดทานอาหารหลังสามโมงเย็นเป็นต้นไป
และเพิ่มเป็นไม่ทานหลังเที่ยง ขยับไปทานเฉพาะมื้อเช้ามื้อ
เดียว และอดอาหารให้ครบ24 ชม.ถือเป็นหนึ่งวัน และเพิ่มเป็น
สามวัน เพิ่มเป็นหนึ่งอาทิตย์

จนสุดท้ายไม่ได้ทานอาหารเลย นอกจากนมเต้าหู้และ
อยู่อย่างนั้นได้เกือบเดือน ซึ่งกำลังใจแต่ละขั้นที่อดมานั้น
ก็ได้กลับไปหาท่าน ในสัปดาห์แรก ด้วยอาการปวดหัว ท่านก็
เมตตาให้ยาลมมา เรารู้สึกว่า ท่านเมตตาเป็นกำลังใจ เราเอง
ก็อยากลองทำดู ก็เลยอดต่อได้ สบายๆ และเห็นความอยาก
กินอาหารชัดเจนมาก และเห็นว่า จริงๆ แล้วร่างกายเรา ต้องการ
อาหารไม่มากเท่าที่เราคิด ส่วนมากมีแต่ความ "อยาก" กิน
เท่านั้น ช่วงนั้นสติฯ ว่องไว จิตมีกำลังมาก เพราะเวลาปกตินั้น
ต้วเองเป็นคนชอบกินจุกจิกอยู่ด้วย พอตั้งใจทำก็ทำให้เห็น
ความอยากกินบ่อยๆ เมื่ออยากกินก็เห็นความอยาก ก็เกิดสติฯ
สำหรับตัวเองแล้ว การผ่อนอาหารดูจะให้ผลมากกว่าการอด
นอน เพราะการอดนอนนั้น ทำให้เหมือนยิ่งมีโมหะมากขึ้น

ไม่ว่าการอดนอนหรือผ่อนอาหาร ถ้าจริตเราสามารถทำแล้ว
เกิดสติฯ ขึ้นมา ก็นับว่าเป็นประโยขน์กับตัวเราอย่างมากใน
การภาวนา เพราะนี่คือจุดประสงค์หลักที่เราต้องการ คือการ
มีสติฯ ระลึกรู้ตามความเป็นจริงของกายใจนั่นเอง


Create Date : 19 เมษายน 2553
Last Update : 19 เมษายน 2553 10:03:03 น. 5 comments
Counter : 847 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:10:55:44 น.  

 
 
 
สวัสดีตอนไหนไม่รู้ ดูนาฬิกาเอาเอง ทำงานวันแรกขอให้มีความสุขกับการอู้งานนะคะ เคี้ยกเคี้ยก XD
 
 

โดย: yosita_yoyo วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:11:51:22 น.  

 
 
 
แบบว่านั่งอ่านบล็อคคุณสติมาแล้วนึกถึงตัวเองแต่ก่อนว่า จะอดนอนไม่ได้เลย จะนอนเต็มที่ 8ชม. แต่พอถึงเวลาเดินแล้วจะเดินอย่างมากเลย เดินๆๆๆ จนเอ็นขามันอักเสบ น่าจะเป็นแบบที่ว่าทางใครทางมันหน่ะครับ
 
 

โดย: เออ นะ IP: 118.173.82.153 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:12:13:23 น.  

 
 
 
การจะทำเนสัชชิกได้ต้องพระระดับอรหันต์ขึ้นไปค่ะ เพราะพระที่เป็นอรหันต์สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ นิโรธสมาบัติคือการที่จิตออกจากร่างทำให้หมดความรู้สึกทางร่างกาย
 
 

โดย: Chulapinan วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:12:55:56 น.  

 
 
 
ผมเองยังไม่เคยอดนอนครับ
พอถึงหมอนก็หลับ

สงสัยต้องเพิ่มกำลังใจให้มากขึ้นแล้ว
 
 

โดย: อัสติสะ วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:14:13:16 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

สติมา
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




อาตาปี สัมปชาโน สติมา
เพียรเผากิเลสด้วยความรู้สึกตัวมีสติ
[Add สติมา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com