อาตาปี สัมปชาโน สติมา
 
รูปนามกายใจนี้

รูปลักษณ์ภายนอก กับสิ่งที่เป็นจิตใจภายใน บางทีก็ไม่ตรงกัน เพราะบุญทำกรรมแต่งมาให้มีรูปลักษณ์แบบนี้ เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า จิตใจภายในที่อยู่ประกอบกันเป็นรูปนาม ณ ชาติปัจจุบันนี้ ได้บำเพ็ญเพื่อหาทางพ้นทุกข์มามากน้อยเท่าใด แม้เจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ เมื่อไม่ได้ฝึกสติให้รู้สึกตัว เราก็พากันมีชีวิตแบบ วิบากพาไป ความที่จิตไม่ตั้งมั่นพอ เราก็ไหลไปตามกิเลสและสังสารวัฏฏ์ เรื่อยยย ไป

เมื่อได้ฟังธรรมแล้วน้อมมาใส่ใจตน ไม่หยุดอยู่ ไม่ลอยขึ้นหรือจมลงแบบที่ครูบาอาจารย์สอนเราไว้ ทางนี้พาคนพ้นทุกข์ให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วอย่างง่ายดาย และจะมีคนที่เดินทางผ่านพ้นไปอีกนับไม่ถ้วน

เราประมาทใครไม่ได้เลยว่า ผู้ใดจะมีคุณธรรมภายในจิตใจเท่าใด แม้ว่าวันนี้เขาจะมีรูปลักษณ์ภายนอกตลอดจนกิริยามารยาทแบบต่างๆ ที่ไม่ได้ดูดีหรือน่าเลือมใสแต่อย่างใด อาจจะเป็นตาแป๊ะแก่ๆ พูดอะไรผิดๆ ถูกๆ หรือเป็นหนุ่มน้อยดูท่าทางเป็นคนสมัยใหม่ ร่าเริงแจ่มใสตามปกติวัยรุ่น แต่คุณธรรมภายในเขานั้้น เราไม่อาจจะหยั่งได้เลย ในทำนองเดียวกัน คนที่ดููธรรมะธัมโม ดูน่าเลื่อมใสแต่เป็นผู้พ่ายแพ้ต่อกิเลส ก็อาจจะไม่มีคุณธรรมภายในจริง

แต่ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คุณธรรมที่ฝังอยู่ในจิตที่เหนี่ยวนำเขาให้หันมาสนใจ ศึกษา หรือแม้แต่แปลกใจตัวเองอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้้นกับตัวเองบ่อยครั้ง มันจะเจริญขึ้นตามลำดับของบุญบารมีที่สั่งสมมา และมีเหตุให้วนเข้าสู่ธรรมะในที่สุด

แต่ถ้าบุญบารมีในทางธรรมที่ยังสั่งสมมาไม่เพียงพอ เขาก็จะทำต่อไป แต่ถ้าไม่ทำต่อ ก็เสียเวลาไปอีกชาตินึงเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เราไม่รู้และไม่ควรที่ไม่ใส่ใจที่จะรู้ เพราะชีวิตนี้สั้นนัก ใครจะจบเกมส์ชีวิตนี้เมื่อใดไม่มีใครทราบได้ เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ขอให้ลงมือทำทันที ไม่ต้องรอวันรอเวลาที่จะทำ ไม่ต้องรอวันเวลาที่จะภาวนา ทำเดี๋ยวนี้

ความใส่ใจในธรรม น้อมเอาธรรมเข้ามาใส่ตนนั้น คือการศึกษาหรือที่เรียกว่า สิกขา ไม่ว่าภาษาจะเรียกให้สวยหรูอย่างใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราทำอย่างไรต่างหาก เราใคร่ครวญดูหรือยังว่า ข้อธรรมต่างๆ ที่ผ่านหูผ่านตาเรามานั้น มีผลอย่างไรกับจิตใจเรา เราซื่อตรงกับตัวเองหรือหลอกตัวเองไปวันๆ จนมองไม่ออกว่า กิเลสมันหลอกเรา หรือเรายอมให้มันหลอกกันแน่

เราเองเป็นหนึ่งในธรรมชาตินี้ แต่ด้วยวิบากกรรมส่งผล ความไม่รู้ของเราเอง ทำให้เราเสวยสุขหนีทุกข์ ทำสิ่งที่ซ้ำซากมานับไม่ถ้วน แล้วก็เกิดมาทำแบบเดิมๆ อย่างไม่เบื่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันทุกข์ หลอกแม้กระทั่งตัวเอง แล้วพยายามหนีไปหาความสุขเพราะคิดว่าทุกข์มันไม่มีในตอนนั้้น แต่ไม่รู้ว่าแม้แต่ที่คิดว่ากำลังสุขนั้น เราทุกข์อยู่ ไม่เห็นความเอร็ดอร่อยของการดื่มกินอารมณ์ของตัวเอง มองไม่เห็นอะไร มีแต่ความหลง อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป

แต่ถ้าเราภาวนาขึ้นมามีสติ มีปัญญาขึ้นมาบ้าง เราจะเริ่มเห็นตัวเองที่แท้จริง เห็นรูปกายภายนอกกับจิตใจภายในที่่่ต่างกัน อยู่ด้วยกัน เนื่องกัน แต่ก็ไม่เกี่ยวกันจริง เห็นความเป็นจริงที่ไม่เคยเห็นมาก่อนว่าที่ว่าสุขนั้น มันไม่จริง มันเพียงอาการหลอกเพื่อให้เราหลงไปวันๆ เท่านั้น แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ การเห็นความเป็นจริงเช่นนี้นั้น มันเป็นความสุขอันอัศจรรย์ยิ่ง และเป็นความสุขที่เราก็ไม่ยึดถือ มันแค่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยและดับลงแต่ประกอบด้วยปัญญาของความรู้ ไม่ใช่ความสุขดาษๆ ในโลกนี้หรอก จนผู้ที่พบเห็นอดที่จะบอกกับอื่นไม่ได้ว่า "จงมาดูเถิด"

โย โส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
พระธรรมนั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ;
สันทิฏฐิโก,
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ;
อะกาลิโก,
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ;
เอหิปัสสิโก,
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด ;
โอปะนะยิโก,
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ;
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ,
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ;



Create Date : 17 ตุลาคม 2555
Last Update : 17 ตุลาคม 2555 9:17:25 น. 1 comments
Counter : 859 Pageviews.  
 
 
 
 
คนเราดูภายนอกง่าย แต่ภายในยาก
มองดูน้ำตื้นแต่ลึก
มองดูน้ำตื้นและตื้น
มองดูน้ำลึกแต่ตื้น
มองดูน้ำลึกและลึก...
 
 

โดย: อัสติสะ วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:14:38:11 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

สติมา
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




อาตาปี สัมปชาโน สติมา
เพียรเผากิเลสด้วยความรู้สึกตัวมีสติ
[Add สติมา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com