อาตาปี สัมปชาโน สติมา
 
ดูจิตกับสมาธิภาวนา


ไปอ่านเจอบล๊อคเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้ เลยนำมาแบ่งปันกันที่นี่ค่ะ

จากการปฏิบัติภาวนาด้วยการ "ดูจิต" มาระยะเวลาหนึ่ง
ทำให้ผลของสมาธิดีขึ้นเองมาโดยลำดับ ผลได้ยืนยันมากับ
ตัวเอง ด้วยเหตุว่า เมื่อเราเจริญสติฯ มีความรู้สึกตัวอยู่ใน
ระดับนึงแล้ว เราเริ่มเห็นชัดในอาการของจิต ในแบบต่างๆ
และหนึ่งในอาการของจิตนั้น ก็คือ สมาธิจิตนั่นเอง

หลายๆ ท่านที่คิดว่าตัวเอง "ดูจิต" อยู่นั้น กลับเพ่งจิต
คือไปจดจ่อดูอาการของจิต อย่างแน่วแน่ และแนบแน่น
จนกลายเกิดอาการตรึงขึ้นมา และเมื่อไปตั้งใจมากขนาด
ที่ว่า บางท่าน รู้สึก แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือเวียน
ศีรษะไปได้เลย เพราะเพ่งอย่างรุนแรง แต่ถ้าสามารถรู้
อาการที่จิตเข้าไปแนบแน่นเป็นหนึ่ง อย่างมีสติฯ และ
เบาบางพอเหมาะ เราจะได้สมาธิจิตขึ้นมาอย่างที่เรียก
ได้ว่า เป็น สัมมาสมาธิ คือมีสมาธิที่ประกอบด้วยสติ
มีความตั้งมั่น และเบาสบาย ซึ่งอาจจะอยู่ในชั่วขณะจิต
เป็นขนิกะสมาธิ หรือสามารถทรงตัวถึงอุปจารสมาธิได้

ตัวอย่างของการที่เราดูจิตซึ่งควรเป็นวิปัสนาภาวนา
ในหมวดจิตตานุปัสสนา แต่กลับกลายเป็นการทำสมถะ
ไปเสียแล้วนั้น ให้เราสังเกตตรงที่ว่า จิตมีความแนบแน่น
นิ่งสงบ นาน และมากเกินไป จิตไม่ใช่จิตของมนุษย์ปกติ
ธรรมดาๆ ที่เหมาะกับการเจริญวิปัสสนา แต่กลับกลาย
เป็นจิตของพรหม คือมีความนิ่งสงบเงียบเกินปกติไป
ซึ่งเป็นผลของการเพ่งหรือเป็นการทำสมถะนั่นเองหรือ
พูดง่ายๆ ว่า จิตอาจจะพลิกไปเป็นสมถะได้ในขณะที่
เรากำลังเจริญวิปัสสนาอยู่นั่นเอง ขอให้หมั่นสังเกตดู
(โยนิโสมนสิการ)

ผลพวงของการดูจิตที่ทำให้จิตมีสมาธิเกิดขึ้นในระดับ
ต่างๆ นั้น มีผลเสียได้ถ้าเราขาดสติฯ ที่จะรู้อาการทั้ง
หมดของจิต ว่า จิตทำงานอะไรอยู่ แต่ถ้าเราสามารถ
ตามรู้อาการต่างๆ ของจิตได้นั้น ถือว่า ยังถูกต้องอยู่
แม้ว่าจิตที่สามารถเข้าไปสู่อรูปฌานได้ ด้วยการดูจิต
และสามารถเข้าไปได้ทั้งที่ไม่ผ่านฌานสี่ แต่เป็นทาง
ลัดสั้นที่เกิดจากการดูจิต แต่ปุถุชนนั้นครูบาอาจารย์
ท่านกล่าวว่า อรูปฌานที่สามารถเข้าถึงได้นั้น เข้าได้
แค่อากาสาวิญญายตนะ กับอากิญจญายตนะ เท่านั้น

ทั้งนี้ผลพวงที่กล่าวนี้ ไม่ได้เกิดกับทุกท่าน ทั้งนี้
ระดับของฌานที่ได้นั้น เป็นผลของการปฏิบัติที่
จำเป็นต้องสั่งสมมาพอสมควร จึงสามารถทำได้
ในชาตินี้ และข้อสำคัญสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ

ทั้งนี้สิ่งที่เล่าสู่กันฟัง เพื่อให้ผู้ที่อาจจะพบเส้นทาง
การปฏิบัติเช่นนี้ได้ทราบพอเป็นแนวทางไว้เท่านั้น

อย่าลืมว่า สมาธินั้นมีมาแต่ก่อนพุทธกาลแล้ว และ
พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้วิปัสสนาญาณ ไม่ใช่สมาธิ
แต่ทั้งสมถะภาวนา(สมาธิ) และวิปัสนาภาวนา
ล้วนเกื้อหนุน ซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ทั้งสองทาง แต่ควรปฏิบัติอย่างพอเหมาะพอควร
เหมือนมีดที่คมพอและใช้เป็น ก็จะเกิดประโยชน์ได้จริง

(บันทึกไว้เมื่อ 30 มค.07)


Create Date : 13 พฤษภาคม 2553
Last Update : 13 พฤษภาคม 2553 9:54:07 น. 6 comments
Counter : 670 Pageviews.  
 
 
 
 
อรุณสวัสดิ์ต้อนรับเช้าวันใหม่ ขอให้ทำงานอย่างมีความสุขนะคะ ^__^
 
 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:25:04 น.  

 
 
 
"หลายๆ ท่านที่คิดว่าตัวเอง "ดูจิต" อยู่นั้น กลับเพ่งจิต
คือไปจดจ่อดูอาการของจิต อย่างแน่วแน่ และแนบแน่น
จนกลายเกิดอาการตรึงขึ้นมา และเมื่อไปตั้งใจมากขนาด
ที่ว่า บางท่าน รู้สึก แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือเวียน
ศีรษะไปได้เลย เพราะเพ่งอย่างรุนแรง แต่ถ้าสามารถรู้
อาการที่จิตเข้าไปแนบแน่นเป็นหนึ่ง อย่างมีสติฯ และ
เบาบางพอเหมาะ เราจะได้สมาธิจิตขึ้นมาอย่างที่เรียก
ได้ว่า เป็น สัมมาสมาธิ คือมีสมาธิที่ประกอบด้วยสติ
มีความตั้งมั่น และเบาสบาย ซึ่งอาจจะอยู่ในชั่วขณะจิต
เป็นขนิกะสมาธิ"

ตรงนี้เป็นข้อความที่ผมเชื่อนะครับ ว่าเขาทำได้

"ตัวอย่างของการที่เราดูจิตซึ่งควรเป็นวิปัสนาภาวนา
ในหมวดจิตตานุปัสสนา แต่กลับกลายเป็นการทำสมถะ
ไปเสียแล้วนั้น ให้เราสังเกตตรงที่ว่า จิตมีความแนบแน่น
นิ่งสงบ นาน และมากเกินไป จิตไม่ใช่จิตของมนุษย์ปกติ
ธรรมดาๆ ที่เหมาะกับการเจริญวิปัสสนา แต่กลับกลาย
เป็นจิตของพรหม คือมีความนิ่งสงบเงียบเกินปกติไป
ซึ่งเป็นผลของการเพ่งหรือเป็นการทำสมถะนั่นเองหรือ
พูดง่ายๆ ว่า จิตอาจจะพลิกไปเป็นสมถะได้ในขณะที่
เรากำลังเจริญวิปัสสนาอยู่นั่นเอง ขอให้หมั่นสังเกตดู
(โยนิโสมนสิการ)"

ไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ เพราะผมเดาว่า ผู้พูดไม่ถึงจุดนี้ ในจุดที่เรียกว่าขันธ์เดียว ที่เทียบว่าจิตของพรหม
แต่แล้วยังกลัวในเรื่องนี้ กลัวว่าเป็นสมถะไม่ได้ปัญญา

แต่คำว่าเดินวิปัสสนาแต่ติดสมถะ นั้น กรณีผมพูดนั้น ผมพูดให้เอะใจ ให้ฉุดคิดว่า ที่เราทำอยู่ไม่ถูก ให้รู้ตัวว่าเราผิดนะ เราผิดแล้ว จะแก้อย่างไร
วิธีแก้ก็ให้มันเป็นสมถะนั่นแหละ ดูจิตให้มันเป็นสมถะก่อน
เป็นสมถะให้สะอาด ให้ถึงจิต แล้ววิปัสสนามันตามที่พระอ.สงบ สอน

อย่างนี้ก็จะสอดคล้องกับปัญญาอบรมสมาธิไงครับ

ที่ผมตั้งประเด็นก็เพื่อจะแย้งว่า มันไม่ใช่นิพพานนะ ไม่ใช่อานาคานะ ไม่ใช่โสดาบันนะ แต่เป็นกระบวนการปฎิบัติธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น
 
 

โดย: ทำเป็นทำ วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:35:52 น.  

 
 
 
ขอบคุณ คุณทำเป็นทำ ที่มาแชร์ความคิดเห็นค่ะ
(กว่าจะตอบคุณได้ หลุดไปหลายรอบต้องเขียนใหม่)

จากที่เล่ามาเป็นประสบการณ์ตรงของตัวเองค่ะ
ตัวเองก็ติดสมถะอยู่หลายปี กว่าจะดูออกค่ะ
เพราะจิตไปติดอยู่กับความนิ่งว่างอยู่นาน
เห็นความว่าง และจิตแหวกความว่างเข้าไปอีกชั้นนึง
เห็นความว่างที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ มีแต่รู้
จิตออกมาแล้ว มีพลังมหาศาล

ส่วนเรื่องการกลัวสมถะไม่ได้ปัญญา ก็เป็นการเข้าใจผิดค่ะ
เพราะหลวงพ่อสอนให้เจริญสมถะและวิปัสสนา
เพียงแต่บางคนติดสมถะแล้วดูไม่ออก อย่างตัวเองเป็นต้น
ก็ต้องรู้ให้ได้ว่า จิตเข้าไปอย่างไร ออกมาอย่างไร
จิตมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง

ส่วนท่านอาจารย์สงบ ส่วนตัวเคยไปกราบท่านหลายครั้ง
ท่านก็ชมเรื่องการภาวนาทุกครั้ง ขนาดพูดว่า "ถ้ามันเป็น
พระเป็นเณร ไม่ต้องให้มันทำอะไรแล้ว ภาวนาอย่างเดียว
อย่างอื่นมันจ้างคนได้" แต่ท่านก็พูดนะคะว่า "ไอ้นี่มันส้มหล่นบ่อย"

จริงอย่างคุณว่าค่ะ มันแค่กระบวนการปฏิบัติธรรมอย่างนึงเท่านั้น ไม่ได้มีอะไร เป็นอะไร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของการภาวนาเพื่อไม่มี ไม่เป็น อย่างที่หลวงพ่อสอนค่ะ
 
 

โดย: สติมา วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:28:49 น.  

 
 
 
สวัสดีตอนเย็น ๆ ครับ
 
 

โดย: อัสติสะ วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:44:50 น.  

 
 
 
สวัสดีครับผม
ครั้งนึงผมทำสมาธิ ตอนนั้นเป็นโรคร่างกายมันจะแย่แล้ว
ผมต้องทำสมาธิเพราะมันรู้สึกดี
เราพุทธโธใหญ่เลย เพราะพอได้ผลของการกระทำอย่างนี้บ้างแล้ว แล้วมันก็ฟื้นขึ้นๆ เราก็อัด(พุทธโธ)ใหญ่เลย จนมันละเอียด แล้วละเอียดเข้าไปอีก ละเอียดเข้าไปอีก จิตมันแยกพอสมควร พอมันเริ่มมองเห็น เราก็ปล่อยพุทธโธเราก็ควานหาความว่าง พยายามสัมผัสความละเอียดนั้น ควานหาความละเอียดนั้น นี้อย่างนึง

แต่กรณีทำสมาธิผม พุทธโธ เรารู้ทัน ทันพุทธโธไป ๆๆ แล้วมันเห็นว่ามีสิ่งที่แยกไปก็พุทธโธไปอีก ๆ จับหลักให้มั่น มันหลุดร่อนไปๆ จนสงบจากความคิดหยาบ เห็นแต่ลักษณะของจิต ที่กระจายตัวออกมา เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่จิต เห็นอารมณ์แยกออกมา เห็นตัวเราหลงในอารมณ์ เห็นการสั่งข้อมูลของจิต การถ่ายทอดแสดงตัวตนของเรา แล้วเมื่อตื่นทราบแล้ว ตลึงนะ นี่เป็นสมาธิที่ถูก ที่เข้าใจว่าถูก

ต่างจากแบบแรกคืออารมณ์ละเอียด แต่ไม่หลุดกันกับอารมณ์

ก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ขอบคุณครับ
 
 

โดย: ทำเป็นทำ วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:57:09 น.  

 
 
 
 
 

โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:55:17 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

สติมา
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




อาตาปี สัมปชาโน สติมา
เพียรเผากิเลสด้วยความรู้สึกตัวมีสติ
[Add สติมา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com