พระพุทธศาสนา
Group Blog
 
All Blogs
 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ก็ธรรมเหล่าไหน เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ] อภิชฌาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ำเสมอ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ก็ธรรมเหล่าไหน
เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต [คือ]
อภิชฌาวิสมโลภะ
[ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง]
พยาบาท [ปองร้ายเขา]
โกธะ [โกรธ]
อุปนาหะ [ผูกโกรธไว้]
มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน]
ปลาสะ [ยกตนเทียบเท่า]
อิสสา [ริษยา]
มัจฉริยะ [ตระหนี่]
มายา [มารยา]
สาเฐยยะ [โอ้อวด]
ถัมถะ [หัวดื้อ]
สารัมภะ [แข่งดี]
มานะ [ถือตัว]
อติมานะ [ดูหมิ่นท่าน]
มทะ [มัวเมา]
ปมาทะ [เลินเล่อ]
เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต.
[๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า อภิชฌาวิสมโลภะ
พยาบาท โกธะ อุปนาหะ
มักขะ ปลาสะ อิสสา
มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ
ถัมถะ สารัมภะ มานะ
อติมานะ มทะ ปมาทะ
เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต
ด้วยประการฉะนี้แล้ว
ย่อมละอภิชฌาวิสมโลภะ
พยาบาท โกธะ อุปนาหะ
มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ
มายา สาเฐยยะ ถัมถะ สารัมภะ
มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ
อันเป็นธรรมเครื่องเศร้า
หมองของจิตเสีย.
[๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ในกาลใดแล ภิกษุรู้ชัดว่า
อภิชฌาวิสมโลภะ
พยาบาทโกธะ อุปนาหะ
มักขะ ปลาสะ อิสสา
มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ
ถัมถะ สารัมภะ มานะ
อติมานะ มทะ ปมาทะ
เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต
ด้วยประการฉะนี้แล้ว
ก็ละอภิชฌา วิสมโลภะ
พยาบาท โกธะ อุปนาหะ
มักขะ ปลาสะ อิสสา
มัจฉริยะ มายา สาเฐยยะ
ถัมถะ สารัมภะ มานะ
อติมานะ มทะ ปมาทะ
อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมอง
ของจิตเสียได้แล้ว ในกาลนั้น
เธอเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในพระพุทธเจ้าว่า
แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม
เป็นผู้ประกอบด้วยความ
เลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระธรรมว่า
พระธรรมอัน
พระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว
อันบุคคลพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
ควรเรียกให้มาดู
ควรน้อมเข้ามาในตน
อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน (แล)
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในพระสงฆ์ว่า
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว
ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง
คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนั้น
เป็นผู้ควรรับเครื่องสักการะ
เป็นผู้ควรของต้อนรับ
เป็นผู้ควรทักขิณา
เป็นผู้ควรทำอัญชลี
เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ก็เพราะเหตุที่ส่วนแห่งกิเลสนั้นๆ
อันภิกษุนั้นสละได้แล้ว
คายแล้ว ปล่อยแล้ว
ละเสียแล้ว สละคืนแล้ว
เธอย่อมได้ความรู้แจ้งอรรถ
ย่อมได้ความรู้แจ้งธรรม
ย่อมได้ปราโมทย์
อันประกอบด้วยธรรมว่า
เราเป็นผู้ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า
เราเป็นผู้ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในพระธรรม
เราเป็นผู้ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใส
อันแน่วแน่ในพระสงฆ์
และเพราะส่วนแห่งกิเลสนั้นๆ
อันเราสละได้แล้ว
คายแล้ว ปล่อยแล้ว
ละเสียแล้ว สละคืนแล้ว
ดังนี้ เมื่อปราโมทย์แล้ว
ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีปีติในใจ
กายย่อมสงบ
เธอมีกายสงบแล้ว
ย่อมได้เสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น.
[๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุนั้นแลมีศีลอย่างนี้
มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้
ถึงแม้จะฉันบิณฑบาตข้าวสาลีปราศจาก
เมล็ดดำ มีแกงมีกับมิใช่น้อย
การฉันบิณฑบาตของภิกษุนั้น
ก็ไม่มีเพื่ออันตรายเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ผ้าอันเศร้าหมอง มลทินจับ
ครั้นมาถึงน้ำอันใส
ย่อมเป็นผ้าหมดจดสะอาด
อีกอย่างหนึ่ง ทองคำครั้นมาถึงปากเบ้า
ย่อมเป็นทองบริสุทธิ์ ผ่องใส
ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล มีศีลอย่างนี้
มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ ถึงแม้
จะฉันบิณฑบาตข้าวสาลีปราศจากเมล็ดดำ
มีแกงมีกับมิใช่น้อย การฉันบิณฑบาต
ของภิกษุนั้น ก็ไม่มีเพื่ออันตรายเลย.
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๒/๔๘-๕๐/๙๓-๙๖.


Create Date : 12 เมษายน 2564
Last Update : 12 เมษายน 2564 16:33:02 น. 0 comments
Counter : 297 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 5378236
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ดี
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5378236's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.