Tales of Nemesis : The Nemesis
Group Blog
 
All Blogs
 

Myth I : บีทเรย์ ทรราชแห่งคาร์บานซ์

Tales of nemesis
The Nemesis I : The started of legend
Chapter I : Elethene
Myth I : บีทเรย์ ทรราชแห่งคาร์บานซ์

"ราชาเพเอซเตรียมสละราชบัลลังก์ พลโทบีทเรย์ขึ้นแทนตำแหน่ง พร้อมหมั้นองค์หญิงฟลอเรนซ์ที่ลานกว้างโมเดียร์ฟวันนี้"

พาดหัวตัวหนาที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ประจำอาณาจักร ทำเอาเหล่าผู้คนที่เดินผ่านพบเห็นต้องหยุดชะงักแล้วควักกระเป๋าเพื่อซื้อมาอ่านเนื้อหาภายในให้ชัดเจน จนทำให้วันนี้เป็นวันที่หนังสือพิมพ์ของคาร์บานซ์ขายดีที่สุดเป็นประวัติการณ์
ความเหิมเกริมและมักใหญ่ใฝ่สูงของนายพลบีทเรย์ หัวหน้าราชองค์รักษ์ส่วนใน การสละราชบัลลังก์ของราชาเพเอซที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ งานหมั้นของนายพลกับองค์หญิงฟลอเรนซ์ที่อายุห่างกันราวพ่อกับลูก เรื่องทั้งสามต่างถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนากันในคาร์บานซ์อย่างแพร่หลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งในร้านอาหารธรรมดา...
“ไอ้บีทเรย์มันต้องบังคับข่มขู่องค์ราชาแน่ๆเลยหว่ะแบบนี้ !” ชายวัยกลางคนผมบลอนด์ทองตะเบ็งออกมา เสียงนั้นดังพอสมควร ยกแก้วน้ำขึ้นซดดื่มอึกใหญ่ ก่อนกระแทกลงกับโต๊ะไม้ด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน กวาดตาไล่มองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสาม “ชั้นบอกพวกแกตั้งแต่เห็นมันครั้งแรกแล้วมั้ย หน้าตาแบบนี้มันทรราชชัดๆ”
คนอื่นในร้านที่ได้ฟังก็หันมามองทางโต๊ะของชายผมทองอย่างอดเสียไม่ได้ เนื่องเพราะส่วนมากเรื่องที่พวกตนคุยกันอยู่ก็เป็นเรื่องพวกนี้เช่นกัน ส่วนชายเจ้าของร้านร่างท้วมสูงวัยท่าทางใจดีที่นั่งหลังโต๊ะเก็บเงินหน้าร้านก็เพียงเหลือบมองมาเพียงแว่บเดียว จากนั้นก็กลอกตาไปมองป้ายไม้ยี่ห้อร้านของตน ซึ่งร้อยโซ่แขวนไว้เหนือประตู forevermore ถ้ายังมีลูกค้าปากไวไม่รู้สถานการณ์เช่นนี้บ่อยๆ สงสัยคงได้เปลี่ยนชื่อร้านแน่ หรือบางทีอาจต้องปิดร้านไปเลย
แต่ดูท่าอนาคตของร้านนี้ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง เมื่อชายผมเทาที่นั่งในโต๊ะเดียวกัน รีบเอื้อมมือมาอุดปากเจ้าสหายผมทองของตนอย่างว่องไว กลอกตามองไปรอบๆ ด้วยอาการหวาดๆ
“พูดบ้าอะไรออกมาวะ !?” เขาลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ ขณะที่โต๊ะอื่นๆก็เริ่มหันกลับไปคุยกันเบาๆ ในวงของตนเองดังเดิม “ถ้าเกิดพวกกองกำลังพิเศษของบีทเรย์ได้ยินเข้าจะทำไง วันนี้ไอ้คนที่พูดแบบแกน่ะตายไปเท่าไหร่แล้ว รู้บ้างมั้ย เวรเอ๊ย....”
“เออ ยังไม่รู้อะไรก็อย่างเพิ่งแหกปากออกมาสิวะ” เพื่อนผมแดงในโต๊ะเอ่ยออกมาบ้าง คิ้วขมวดเป็นปม ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ที่เพื่อนผมทองเกือบพางานเข้า “ใครจะไปรู้ องค์ราชาอาจจะโปรดปรานบีทเรย์มากจนยกองค์หญิงและบัลลังก์ให้ก็ได้นะ”
ชายผมทองเมื่อได้ฟังก็ต้องขมวดคิ้วออกมาบ้าง “แกคิดได้ไงวะเนี่ย” เขาโคลงศีรษะมองเจ้าเพื่อนผมแดงด้วยแววตาสมเพชแกมเวทนา “ไอ้ของแบบนี้ใครมันจะยกให้กันง่ายๆวะ ลูกสาวทั้งคน อาณาจักรทั้งอาณาจักรเลยนะ แล้วไอ้คนอย่างบีทเรย์มันมีดีอะไร ที่ได้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์และได้อวยยศจนถึงพลโทก็เพราะเป็นคนเก่าคนแก่เท่านั้นแหละ ถ้าจะยกให้กับมันนะ ชั้นว่ากลับไปรื้อสัญญาหมั้นระหว่างองค์หญิงของเรากับองค์ชายเอลโซ่แห่งบาฮามยังจะดีเสียกว่าอีก”

“ตอนนี้ทางคาร์บานซ์ก็กำลังติดต่อขอรื้อสัญญาหมั้นอยู่” เสียงเรียบๆจากสหายผมดำผู้ที่นิ่งกว่าคนอื่น ทำเอาเพื่อนทั้งสามหันกลับมามองเป็นสายตาเดียว ใบหน้าล้วนประดับด้วยเครื่องหมายคำถาม แกรู้ได้ยังไง แล้วเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?
ชายผมดำขยับยิ้มที่มุมปาก โคลงศีรษะช้าๆ เริ่มทำทีเป็นวางท่าน้อยๆ “ตอนนี้ทางจอมปราชญจีเนอาสและขุนพลวอเรียสที่ไปสำรวจเขตแดน บริเวณชายแดนซึ่งติดกับบาฮาม พอรู้ข่าวเรื่องนี้เข้า ก็เริ่มร่างจดหมาย เตรียมติดต่อกับราอูเซสเรื่องรื้อฟื้นการหมั้นหมายของสองเชื้อพระวงศ์อยู่” เขาหยุดไปครู่ท่ามกลางสายตาอันบ่งบอกถึงความสนใจอย่างยิ่งยวดากเพื่อนทั้งสาม จิบน้ำชา ก่อนเล่าต่อ “แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางบาฮามจะยังอยากให้ทั้งสองหมั้นกันอยู่รึเปล่า เพราะหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วบีทเรย์ได้บัลลังก์ขึ้นมาจริง ภายในคาร์บานซ์ก็จะต้องวุ่นวายแน่....”
“ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นบาฮามก็สามารถเข้าแทรกแซงยึดครองคาร์บานซ์ได้ง่าย” เพื่อนผมเทาเอ่ยสอดแทรกประโยคที่ยังไม่จบของสหายผู้รู้มากเกินตัว ท่าทางเข้าใจสถานการณ์ได้ก่อนเพื่อนอีกสองคนที่ทำหน้าฉงนฉงาย “โดยไม่ต้องเสียเวลามาทำเรื่องหมั้นหมายอีก เพราะเดิมทีจุดประสงค์ขของการขอหมั้น ก็คือหวังจะกลืนกินอาณาจักรคาร์บานซ์อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่มีเหตุผลให้ทำศึกสงคราม ถ้าบุ่มบ่ามไปจะยิ่งถูกต่อต้านจากคนทั่วทั้งโลก... ส่วนตอนนี้.....”
“เหตุผลให้ทำสงครามมีเพียบเลย” เจ้าสหายผมแดงที่เริ่มตามทันความคิดเสริมออกมาบ้าง หรี่ตาลงทำทีดุจผู้มีปัญญาเฉียบแหลม “ยิ่งถ้าบีทเรย์ได้บัลลังก์ไปจริง ชั้นว่าไม่เกินชั่วข้ามคืนหรอก บาฮามต้องบุกเข้าคาร์บานซ์โดยใช้เรื่องบีทเรย์ซึ่งได้เป็นราชาโดยมีเงื่อนงำเป็นขข้ออ้างกับคนทั่วโลกแน่”
เพื่อนผมดำผงกศีรษะน้อยๆ “และถ้ายึดคาร์บานซ์ได้ คนทั้งโลกก็จะมีแต่ชื่นชมบาฮามที่ช่วยให้อาณาจักรเรารอดพ้นจากเงื้อมมือของทรราช” เขาหยุดไปครู่ ทอดใจยาวออกมา “และเมื่อถึงเวลานั้น คงยากที่คาร์บานซ์จะถูกส่งมอบคืนให้กับราชวงศ์เดิม....”
“ถ้างั้นก็สู้ไปขอให้โอเดรีย่วยไม่ดีกว่ารึไง?” เพื่อนผมทองเริ่มเอ่ยขึ้นมาบ้าง หลังจากสงบเงียบไปนานสองนาน “ยังไงราชาดาเอ็ดกับราชาของเราก็เกี่ยวพันกันอยู่ เลือดมันต้องข้นกว่าน้ำอยู่แล้วน่า น้องชายมีรึจะไม่ช่วยพี่ชาย จริงมั้ย?”
เพื่อนผมเทาถอนใจออกมาบ้าง “มันก็คงได้อยู่หรอก ถ้าบังเอิญอาณาจักรที่ราดาเอ็ดทรงประทับอยู่ไม่ใช่โอเดรียล่ะนะ” เขายกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ “แกก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่าโอเดรียมันไม่เหมือนอาณาจักรอื่น ที่นั่นน่ะ ผู้หญิงเป็นใหญ่ ราชินีบราห์นคือผู้กุมนโยบายและอำนาจหลักของประเทศ ไม่ใช่ราชาดาเอ็ด”
“ตอนนี้โอเดรียเองก็เริ่มจัดทัพรอไว้แล้ว มิหนำซ้ำผู้คุมทัพมายังเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของอาณาจักรอย่างรูบิแล็คเซ่ อีกด้วยนะ” ชายผมดำเริ่มบอกข้อมูลที่น่าสนใจออกมาอีก “โอเดรียน่ะอันตรายไม่แพ้บาฮามหรอกนะ ตอนนี้ก็คงกำลังรอโอกาสอยู่เหมือนกัน ถ้าบีทเรย์ได้บัลลังก์มาเมื่อไหร่ ชั้นว่าดีไม่ดีโอเดรียจะเป็นฝ่ายกรีฑาทัพเข้าสู่ดินแดนเราก่อนบาฮามเสียอีก หนำซ้ำเหตุผลในการรบที่อ้างว่าช่วยเหลือเราเพราะความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดยิ่งน่าฟังกว่าทางบาฮามเยอะ...”
“ที่แกพูดก็ถูกนะ” เพื่อนผมแดงเอ่ยยอมรับ หันมามองสหายผมดำด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด “ว่าแต่....แกไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้ยังไงวะ? ดูมันเป็นเรื่องที่ไม่น่า....จะรู้กันง่ายๆ”
เจ้าสหายผมดำแทบซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ “ชั้นไม่เคยบอกพวกแกเหรอ” เขาเอ่ยเสียงภาคภูมิ “ชั้นมีญาติทำงานอยู่ในปราสาทคาร์บานซ์คนนึง และอีกคนนึงก็เป็นคนสนิท คอยติดตามจอมปราชญ์จีเนอาสอยู่ตลอดเวลา นถึงได้รู้เรื่องพวกนี้ไง รวมไปถึงเรื่องที่ราชาของเราทรงประชวรอยู่ด้วย”
“ประชวร!!” ทั้งสามโพล่งอุทานแทบพร้อมเพรียง ท่าทางงุนงงกับข่าวสารที่ได้รับใหม่นี้เป็นอย่างยิ่ง
“เออสิ” ชายผมดำเอ่ยต่อ ทั้งสามรีบเงียบฟัง “ไม่ประชวรเปล่านะ แถมยังถูกพวกกองกำลังพิเศษกักตัวเอาไว้อีก ถึงได้ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามผลีผลามทำอะไรลงไปตอนนี้ไงล่ะ ทุกคนห่วงความปลอดภัยขององค์ราชาด้วยกันทั้งนั้นแหละ”
ชายผมทองขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางไม่พอใจเท่าไรนัก “แล้วพวกที่อยู่นี่ไม่คิดจะทำอะไรเลยรึไงวะ” น้ำเสียงฟังแล้วหงุดหงิดพอตัว “หรือจะต้องรอให้ท่านวอเรียสกับท่านจีเนอาสกลับมาก่อนถึงจะทำอะไรได้ ถ้ามัวแต่รอแบบนี้ก็ตายสิ อย่าบอกนะว่ากลัวไอ้ยักษ์โง่โทรลลี่กัน”
สหายผมแดงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแทบจะทันที “ไม่มีใครกลัวไอ้ผู้พันโง่นั่นหรอก” เขาบอกอย่างขำๆ น้ำเสียงหยามหยันในที “ใครเขาก็รู้ว่ามันไม่มีความสามารถอะไรโดดเด่น ก็เหมือนกันกับบีทเรย์หัวหน้ามันนั่นแหละ อาศัยเลียแข้งเลียขาจนได้ดิบได้ดี ไอ้คนแบบนี้......”
พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ร่างของเจ้าสหายผมแดงก็กลับลอยขึ้นเหนือจากพื้นอย่างรวดเร็วคล้ายโดนกระชาก ก่อนที่จะถูกโยนไปกระแทกกับผนังร้านดังโครมใหญ่ ไม้ที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วถึงกับแตกเป็นรูกว้าง ส่วนคนถูกโยนก็แทบจะหมดสติไปในบัดดล
เพื่อนอีกสามคนที่เหลือหันขวับกลับมามองโดยอัตโนมัติ ปกติก็ไม่ใช่พวกใจเย็นอยู่แล้ว ใครกันที่กล้ามาหาเรื่องพวกตน เมื่อดวงตาทั้งสามคู่ประสานกับร่างใหญ่ทะมึนที่สูงร่วมสองเมตรเบื้องหลัง หัวใจที่เคยห้าวหาญก็แทบหล่นวูบหลุดหายไปจากร่าง
โทรลลี่นั้นดูท่าทางโง่งมก็จริงอยู่ แต่ร่างกายอันใหญ่โตนั้นก็น่ากลัวสมฉายาไอ้ยักษ์ช่นกัน ดวงตากลมพองจนน่ากลัวมองเขม้นทั้งสามร่างนิ่ง เบื้องหลังร่างใหญ่ปรากฏชายร่างสมส่วนอีกสี่คนในชุดสีม่วงเข้มซึ่งเป็นเครื่องแบบของหน่วยพิเศษเช่นเดียวกับโทรลลี่ ร้านอาหารที่เมื่อครู่ยังมีเสียงสนทนากลับเงียบสงัดราวป่าช้าในบัดดล
สถานการณ์ไม่อำนวย ใครเลยจะกล้าเอ่ยเอื้อน.....
มือซ้ายของเจ้ายักษ์ยังคงสงบนิ่งอยู่ที่ด้ามดาบข้างเอวของตน มันมองประเมินสถานการณ์แล้ว สำหรับสามคนนี้ เพียงมือขวาข้างเดียวก็เกินพอ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านคุกคามใดๆจากแก็งค์เจ้าหนุ่มผมสามสี พวกเขายอมตามกองกำลังพิเศษขึ้นรถลากไปแต่โดยดี
กองกำลังพิเศษออกไปนอกร้านหมดแล้ว แต่โทรลลี่ยังคงไม่ได้ออกไป มันกลอกมองเหล่าผู้คนที่นั่งก้มหน้าหลบสายตาทั่วทั้งร้าน สายตาดูมีความสุขเมื่อเห็นคนก้มหัวให้ด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วสายตาก็ต้องหยุดอยู่ที่หัวมุมด้านในสุดของร้าน ไฟบริเวณนั้นค่อนข้างสลัว อาจเพราะหลอดเริ่มเก่า ด้วยเหตุนี้เองเมื่อแรกที่เข้ามาโทรลลี่จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น...
ชายผู้นั้นตักอาหารทานอย่างแช่มช้าต่อเนื่อง ท่าทางไม่มีอาการหวาดกลัวเหมือนดังผู้อื่น โทรลลี่ไม่ชอบคนประเภทนี้เลย คนประเภทที่ไม่ใช่หากไร้ค่าอย่างยิ่งยวด ก็ต้องเป็นน่ากลัวอย่างล้นเหลือ
ผู้พันร่างใหญ่เดินไปหยุดที่เบื้องหน้าชายคนนั้น เพ่งมองสำรวจให้ชัดเจนก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มน่าจะอายุราวๆยี่สิบปี ผมสีบลอนด์คล้ายเป็นคนจากอาณาจักรทางตอนเหนืออย่างโอเดรียหรือซิเวีย ใบหน้านวลขาวราวหยก ดวงตาทั้งสองเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งที่อยู่กลางห้วงสมุทรอันโดดเดี่ยว จี้ห้อยคอสีเงินรูปดาบเปล่งประกายแวววับแม้แสงไฟรอบข้างจะสลัว ท่าทางเขาคล้ายไม่สนใจต่อการคงอยู่ของคนรอบกาย ไม่สนใจต่อการคงอยู่ของโทรลลี่แม้แต่น้อย คล้ายกับว่ารอบกายมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นตนออกจากบุคคลภายนอกอีกชั้นหนึ่ง
...เป็นกำแพงแห่งจิตใจที่สูงหนา เป็นกำแพงที่เขาก่อร่างสร้างมันขึ้นมาเอง....
ผู้พันหนุ่มยืนนิ่งชั่งใจเขม้นมองอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบมองไปทางอีกโต๊ะหนึ่งซึ่งมีชายฉกรรจ์ห้าคนนั่งอยู่ท่าทางไม่มีอะไรพิเศษ เขากระแอมไอขึ้นเบาๆสองครา คล้ายไร้ซึ่งความหมาย แต่คล้ายแฝงไว้ด้วยความนัย
กองกำลังพิเศษจากไปจนสิ้นแล้ว พร้อมทั้งโทรลลี่ แต่ชายหนุ่มผู้นั้นยังคงสามารถนั่งอยู่ในร้านได้อย่างปลอดภัย ผู้คนภายในหันมาจับกลุ่มพูดคุยกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเรื่องของชายผู้โชคร้ายทั้งสี่ที่เพิ่งถูกนำตัวไป หลายเสียงหล่นความเห็นว่าคงไม่รอด
“....เก็บเงินด้วย” นำเสียงของชายหนุ่มคนเมื่อครู่เยือกเย็นไม่แพ้สีหน้า บริกรประจำร้านปั้นหน้ายิ้มรีบกุลีกุจอเข้าหาในบัดดล เขาชำระค่าอาหารไปด้วยจำนวนพอดี จากนั้นก็เดินออกจากร้านไปทันที
เมื่อร่างของเขาพ้นจากธรณีประตู ชายฉกรรจ์ทั้งห้าที่โทรลลี่เหลือบมองเมื่อครู่ก็ผุดลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง สีหน้าสงบนิ่งชาด้าน หนึ่งในห้าซึ่งรูบร่างสูงใหญ่ไม่แพ้ผู้พันหนุ่มแห่งคาร์บานซ์วางเงินไว้บนโต๊ะเสียงดังปัง ก่อนที่จะชักชวนให้พรรคพวกเร่งรีบออกจากร้านไปโดยเร็ว ท่ามกลางสายตาอันงุนงงของผู้คนในร้าน
“เจ้าหนุ่มนั่นแย่แล้ว...” เจ้าของร้านเบิกตาค้าง กล่าวเสียงสั่น เมื่อพบเห็นว่าหนึ่งในห้าของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ออกไปเมื่อครู่นั้น มีรอยสักรูปกระต่ายสีม่วงเข้มที่บริเวณท้ายทอย มันเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังพิเศษ..

**********************

ชายทั้งห้ายืนกระจายวงกันอยู่ที่หน้าร้าน ดวงตาของพวกเขากวาดมองรอบทิศเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ซึ่งดูจากความมุ่งมั่นแน่วแน่แล้ว น่าจะเป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญมากทีเดียว
“ทางโน้น” เสียงทุ้มจากชายร่างผอมเอ่ยขึ้น บุ้ยใบ้ไปทางทิศขวามือของตน เพื่อนทั้งสี่คนหันมามองตามเป็นสายตาเดียวกัน แล้วก็จึงพบร่างของชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาที่อยู่ในร้านเมื่อครู่....
ชายหนุ่มผู้นั้นเดินไม่ช้าและไม่เร็ว ทุกก้าวหนักแน่นมั่นคง หาใช่ไร้ระเบียบแบบแผน ทั้งหาพากันหันมาสบตากันเองวูบหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยคำออกมา แต่พวกเขาเข้าใจได้เองว่าทั้งหมดล้วนมีความเห็นตรงกัน เหยื่อในคราวนี้ไม่ใช่ธรรมดาเป็นแน่
พวกเขาแยกกระจายกันออกไป แต่ไม่ห่างกันมากนัก ทั้งหมดมุ่งตรงตามหลังายหนุ่มไปในลักษณะวงกลมที่โอบล้อม หากดูจากสายตาคนภายนอกแล้วเป็นการเดินที่ธรรมดาสามัญ แต่หากมองจากทางพิชัยยุทธ์แล้ว จะทราบได้ว่าพวกเขากำลังใช้กลยุทธ์ตีโอบ
เป้าหมายคือป้องกันการหลบหนีของเหยื่อ บีบพื้นที่การเคลื่อนไหวของเหยื่อให้จำกัด เข้ายึดพื้นที่ทีละน้อยไม่ให้เหยื่อรู้สึกตัว และที่สำคัญคือศึกษาหาจุดแข็งและจุดอ่อนของเหยื่อจากทุกทิศทาง ทุกมุมมอง
...ในตอนนี้พวกเขาพบเห็นจุดอ่อนสำคัญของเหยื่อแล้ว ชายหนุ่มนั้นไม่มีอาวุธติดตัว.....
คนถูกติดตามยังเดินคงไว้ซึ่งจังหวะเดิม ไม่ช้าจนอืดอาด และไม่เร็วจนน่าเกลียด แต่ก็ไม่ใช่จังหวะที่ทำให้บังเกิดความสบายใจเท่าไรนัก อย่างน้อยทั้งห้าที่ลอบติดตามก็คิดเช่นนั้น จังหวะการเดินของเขาทำให้พวกมันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทุกย่างก้าวนั้นคล้ายแฝงไว้ด้วยสังหรณ์แห่งอัปมงคล
ชายหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าตรอกแคบที่อยู่ระหว่างตึกหลังใหญ่สีครีมทั้งสอง มันเป็นตึกธนาคารของคาร์บานซ์ ซึ่งวันนี้หยุดทำการ เป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสมนัก ทั้งห้าแทบจะคิดออกโดยพร้อมเพรียง ตรอกแคบเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนเดินผ่านสนใจ จะมีที่ใดเหมาะแก่การสังหารมากกว่าสถานที่เช่นนี้อีก....
เหยื่อยังคงมุ่งไปเบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง คล้ายไม่ทราบเลยว่ามีนายพรานสะกดไล่ตามรอยอยู่เบื้องหลัง ระยะห่างของทั้งสองลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ไล่ล่านั้นเป็นคนในพื้นที่ จึงทราบดีว่าเมื่อพ้นตรอกแคบนี้ไปแล้วจะเป็นลานเล็กๆ ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี ปลายทางแห่งชีวิตใกล้เข้ามาทุกขณะจิตแล้ว
ในที่สุดเหยื่อก็มาถึงลานปูนเล็กๆอันรกร้าง เขาหันหน้าไปทางกำแพงคอนกรีตสูงเบื้องหน้า ขณะที่เบื้องหลัง ชายร่างเล็กสุดกลับทำทีคล้ายเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทำสัญญาณมือบอกให้ทั้งสี่กระจายออกล้อมรอบเหยื่อเอาไว้
“.....ต้องการอะไร” ชายผู้ถูกติดตามเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ยังคงไม่หันหน้ากลับมา อีกทั้งไม่มีอาการตื่นตระหนกใดๆให้สัมผัสได้ ดวงตาเย็นคู่นั้นเหม่อมองไปบนท้องนภาอันกว้างใหญ่ วันนี้ท้องฟ้าโปร่งสะอาดสว่างงดงามตานัก เพียงเสียดายที่กลับไร้เหล่าวิหคประดับไว้
ทั้งสี่เพียงชำเลืองมองชายร่างเล็ก เพื่อรอรับคำสั่งต่อไป แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความสนใจไปจากเหยื่อเบื้องหน้า และในที่สุด เมื่อหัวหน้าของตนโบกมือเบาๆคราหนึ่ง ทั้งหมดก็จึงค่อยล้วงมือหยิบเหล็กสั้นปลายแหลมคมออกมากกระเป๋ากางเกงคนละแท่ง
ปุ่มบนแท่งเหล็กถูกกดเบา กลไกภายในก็ทำงาน แท่งเหล็กสั้นกลับยืดยาวออกมาโดยพร้อมเพรียง เปลี่ยนสภาพกลับกลายเป็นดาบแบบเซเบอร์พร้อมใช้งานในทันใด พกพาง่าย ใช้สอยสะดวก จะเสียแต่ไม่มีโกร่งซึ่งไว้ป้องกันมือผู้ใช้เท่านั้น นี่คือคุณสมบัติของอาวุธซึ่งกองกำลังพิเศษ(ลับ)ของพันตรีโทรลลี่ใช้กัน เหมาะสำหรับจะพกพาเพื่อแฝงตัวเข้าตามที่ชุมนุมชนและสถานที่สาธารณะเพื่อสืบหาข่าวสาร และเพื่อการสังหาร....
ชายหนุ่มนั้นหันกลับมาเผชิญหน้าเหล่านายพรานแล้ว แต่ชายร่างเล็กยังคงไม่ตอบคำถามของเขา เนื่องเพราะการกระแอมไอสองครั้งของผู้พันย่อมหมายถึงสังหาร เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดกับคนที่จต้องตายในอีกไม่ช้านี้
สัญญาณมือจากหัวหน้าถูกส่งมาอีกครั้ง ชายผิวขาวรูปร่างสันทัดทั้งสองคนซึ่งยืนอยู่ทางซ้ายและขวา พุ่งเข้าหาเหยื่อในลักษณะกระหนาบข้างอย่างว่องไว ส่วนชายร่างผอม ชายร่างใหญ่และตัวหัวหน้าหน่วยยังคงยืนคุมเชิงอยู่ในลักษณะรูปแบบสามเหลี่ยม
ด้วยความเร็วที่เท่าเทียม ทั้งสองจึงพุ่งเข้าถึงเหยื่อโดยพร้อมเพรียง เป็นการยากนักที่จะหลบหลีกการจู่โจมเช่นนี้ได้ แต่คำว่าเป็นการยาก หาได้หมายถึงเป็นไปไม่ได้
ชายหนุ่มหันหลังให้กับชายที่เข้ามาทางด้านซ้ายมือของตน หันหน้าไปเผชิญกับอีกคนหนึ่งแทน ไม่ทราบว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือเป็นการคาดคำนวณไว้แล้ว นายพรานเมื่อเห็นเหยื่อหันหลังให้ ก็เผลอเพิ่มความเร็วของดาบโดยไม่ทันรู้ตัว ความพร้อมเพรียงเมื่อครู่ถูกทำลายในบัดดล
นาทีนั้นเอง ชายหนุ่มผู้เป็นเป้าคมดาบพลันหันกลับไปอีกทางหนึ่ง เปลี่ยนเป้าหมายโดยกะทันหัน เขาถลันวูบไปทางด้านข้าง คว้าเอาข้อมือของนายพรานผู้เผลอเร่งความเร็วเมื่อครู่ไว้อย่างแม่นยำ บิดออกโดยแรงคราหนึ่ง เสียงกระดูกลั่นกราว ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของนายพรานผู้ถูกเหยื่อแว้งกัด
เสียงปักฉึกตามมาโดยต่อเนื่อง เมื่อคมดาบจากนายพรานอีกผู้หนึ่งแทงเข้าที่กลางหลังของเหยื่ออย่างแม่นยำ คมดาบทะลุเข้าผิวเนื้อจนลึก แต่ชายหนุ่มผู้หลั่งโลหิตกลับไร้อาการเจ็บปวดใดๆ เขากลับจับข้อมือของนายพรานคนแรก ที่ยังคงเกาะกุมดาบอยู่ หมุนวกจ้วงแทงเข้าหาเจ้าของ
นายพรานคนแรกคำรามเบาๆในลำคอ เมื่อคมดาบนั้นเสียบแทงทะลุจากใต้คางไปถึงกลางกระหม่อม ร่างนั้นสั่นกระตุกน้อยๆด้วยความเจ็บปวดสุดท้ายซึ่งจะได้รับรู้ในชีวิต
ดวงตาเย็นชาเหลือบมองนายพรานที่เบื้องหลังแว่บหนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือที่เกาะกุมเจ้านายพรานคนแรกออก ร่างไร้วิญญาณเบื้องหน้าร่วงลงหล่นตุ๊บกับพื้นหิน จากนั้นชายหนุ่มจึงหมุนตัวกลับมาโดยเร็ว
ด้วยว่าเจ้าของดาบที่ปักค้างอยู่กลางหลังนั้นยังคงตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้ต้องคมดาบไม่มีทีท่าอาการเจ็บปวด มือที่เกาะกุมอาวุธคู่ใจจึงไม่มั่นคงนัก ประกอบกับเห็นเพื่อนตัวเองต้องสิ้นใจไปต่อหน้าด้วย ทำให้ดาบนั้นหลุดมือไปตามแรงหมุน
ในพริบตานั้นเอง เมื่อร่างของชายหนุ่มหมุนวนกลับมาเต็มตัว ประกายของอะไรบางอย่างก็ส่องขึ้นวูบวาบสะท้อนแสงจากดวงตะวันเบื้องบน ลำคอรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยียบไปถึงกระดูก ร่างกายสั่นระริกคล้ายไม่อาจปรบตัวได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองเบิกโปนจนแทบถลนจากเบ้า
เมื่อนายพรานผิวขาวเหลือบชำเลืองแลลงไปก็จึงพบดาบเล่มหนึ่งในมือของชายหนุ่มเบื้องหน้า เขามองไม่เห็นปลายดาบ เนื่องเพราะมันปักคาค้างอยู่กับคอหอยของตน มันเป็นดาบที่เรียวบางและเป็นสีดำสนิททั้งเล่ม...

เป็นสีดำอันมืดมิดสนิทแสง ดำกว่านิลมณีที่เลอค่า ดำกว่าสีสันแห่งรัตติกาล... เป็นสีดำที่แสนอำมหิต

โลหิตสีแดงเข้มที่ข้นและเหนียวพุ่งทะลักออกมาจากคอของมัน เมื่อชายหนุ่มกระชากดาบของตนกลับมา นายพรานรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง แต่มือซึ่งเกาะกุมลำคอสัมผัสกับโลหิตของตนนั้นกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เป็นประสบการณ์ที่ยากจะเข้าใจ และยากจะอธิบายบอกต่อ.....
ร่างนั้นล้มฟุบลงแน่นิ่งกับผืนพสุธา จิตวิญญาณกลับคืนสู่ถิ่นฐานที่จากมาอีกครั้ง โลหิตยังคงไหลหลั่งเนืองนองเต็มพื้น ส่งกลิ่นคาวชวนสะอิดสะเอียน อากาศอบอุ่นเช่นนี้คงเป็นการยากที่เลือดจะแข็งตัวได้เร็ว มือสังหารมักชมชอบอากาศเช่นนี้ เนื่องเพราะละอองและประกายแห่งโลหิตจะช่วยเติมพลังชีวิตให้กับพวกเขาได้ดียิ่งกว่าทรัพย์สมบัติและอิสตรีเสียอีก
ดวงตาเย็นคู่นั้นไม่เหลือบมองโลหิตบนพื้นแม้แต่น้อย เอื้อมมือไปกระชากดาบของศัตรูออกจากกลางหลัง ก่อนโยนทิ้งไปอย่างไม่แยแส จับจ้องมองชายร่างเล็กผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มศัตรูเบื้องหน้า
กลุ่มกองกำลังพิเศษทั้งสามยามนี้ไม่อาจเก็บอาการตื่นตระหนกไว้ได้อีก เมื่อครู่ที่เดินตามมาจากร้านอาหาร ก็เห็นอยู่ชัดเจนว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าหาได้มีอาวุธใดพกพาติดตัวมาด้วยไม่ กระเป๋าสักใบก็ยังไม่มี หากจะบอกว่าซุกซ่อนดาบไว้ในเสื้อแจ๊กเก็ตหนังสีดำที่สวมใส่ก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนัก เมื่อดูจากขนาดและความยาวมของมัน

....ถ้าอย่างนั้นดาบเล่มนี้มาจากที่ใดกัน?
และชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน?....

“เมื่อครู่....ข้ารู้สึกว่ามันไม่ได้พกอาวุธมาด้วย” ชายร่างใหญ่เอ่ยขึ้นเสียงกังวานด้วยคำพูดแบบนักรบ มองไปทางชายร่างผอมที่อยู่ด้านตรงข้ามกับตนเป็นเชิงถามไถ่
“ชั้นก็ไม่เห็นว่ามันมีดาบเล่มนี้มาด้วย” ชายร่างผอมตอบคำเบาๆ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ทหารของหน่วยลับแห่งกองกำลังพิเศษจบชีวิตไปถึงสองนายด้วยการลงมือเพียงสองครา นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว...
เป็นหัวหน้าร่างเล็กที่ยังคงคุมความสงบไว้ได้ “เล็บของแมวมิได้กางอยู่ตลอดเวลา...” เขาบอกเตือนสติเสียงราบเรียบ มองดาบดำเล่มนั้นในมือของชายหนุ่ม “ใช้ชีวิตมาเนิ่นนาน มองเรื่องผิดไปสักเรื่องสองเรื่องจะเป็นไรไป”
คำพูดสั้นๆนั้นกลับช่วยเรียกสมาธิของลูกน้องทั้งสองกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยามนี้คำถามไม่ใช่ดาบเล่มนั้นมาจากที่ใด หรือชายหนุ่มเป็นผู้ใดมาจากไหน แต่คำถามที่แท้จริงคือ จะจัดการชายหนุ่มผู้นี้เช่นไร?
ชายร่างเล็กนิ่งสงบไปอีกครู่หนึ่ง คล้ายดั่งกำลังชั่งใจ รูปแบบแผนการรบนับร้อยที่เคยศึกษาร่ำเรียนวิ่งแล่นผ่านเมาในสมองอย่างรวดเร็ว และในที่สุด เขาก็ตัดสินใจชี้นิ้ววาดเป็นรูปสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง
สิ้นสุดคำสั่ง ชายร่างสูงใหญ่ก็ถลันเปลี่ยนมุมเข้าบังหัวหน้าตน พุ่งออกจู่โจมชายหนุ่มจากด้านหน้า ส่วนชายร่างผอมก็พุ่งหาจากด้านซ้าย ดาบในมือของทั้งสองกระชับแน่น ดวงตาสงบนิ่งเยือกเย็นคล้ายพร้อมรับทุกสถานการณ์
ชายร่างผอมเข้าถึงเป้าหมายได้ก่อน ดาบเซเบอร์ในมือแทงออกด้วยประกายคมถี่ยิบ เสียงเคร้งคร้างดังขึ้นต่อเนื่อง เมื่อดาบดำยกออกขึ้นปัดป้อง ด้านความเร็วแม้ฝ่ายนายพรานจะดูมีเปรียบ แต่ด้านกำลังกลับเป็นฝ่ายผู้ถูกล่าเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
เสียงเคร้งดังกระหึ่มขึ้นคราหนึ่ง เมื่อดาบดำสะบัดกระแทกจนดาบเซเบอร์ของชายร่างผอมปลิวกระเด็น แต่ยังไม่ทันที่ผู้ถูกล่าจะได้เข้าจู่โจมซ้ำสอง เซเบอร์อีกเล่มจากชายร่างใหญ่ก็พุ่งเข้าหาในทันที
อย่างไม่คาดคิด ชายหนุ่มกลับไม่ยอมหลบดาบนั้นอีกครั้ง คมแหลมแทงทะลุทรวงอกจนมิด แต่ดาบดำของเขาก็สะบัดฉับตัดเข้าที่ข้อเท้าของชายร่างใหญ่เช่นกัน โลหิตไหลพุ่งออกเนืองนอง ทันทีที่ร่างยักษ์นั้นทรุดลงกับพื้น ชายหนุ่มก็รีบกวาดตามองหาชายร่างเล็กในทันที แต่ก็กลับกลายเป็นว่าหัวหน้าของกลุ่มนายพรานได้หายไปเสียแล้ว
พลันแสงตะวันจากเบื้องบนกลับเลือนหายมืดมิด ชายหนุ่มเงยหน้ามองเบื้องบน แล้วจึงเห็นชายร่างเล็กกำลังพุ่งดาบเข้าหาตน ที่แท้เขาใช้ชายร่างยักษ์เพื่อบดบังสายตาชายหนุ่ม จากนั้นจึงกระโจนขึ้นจู่โจมจากด้านบน
คมแหลมจากดาบเรียวปักแทงทะลุร่างชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ดาบดำของเขาก็สะบัดฉับตวัดสวนกลับไปเช่นกัน ประกายดาบนั้นทอวูบขึ้นเพียงคราเดียว ร่างของหัวหน้ากลุ่มร่วงหล่นลงกับพื้น ดวงตาเบิกถลนค้าง สภาพร่างถูกแบ่งครึ่งเป็นสองส่วน
ประกายดาบทอประกายวูบขึ้นอีกคราหนึ่ง ศีรษะของชายร่างใหญ่ที่ทรุดนั่งอยู่พลันถูกตัดขาดสะบั้น น้ำพุโลหิตฉีดพุ่งสูงโชลมทั่วทั้งบริเวณให้เป็นสีแดงฉาน
ชายหนุ่มดึงดาบออกจากร่างตนอีกครั้ง ดวงตาอันเย็นชาไร้รู้สึกมองไปทางชายร่างสูงคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ในยามนี้เขาเก็บดาบคู่มือตนกลับมาได้แล้ว เพียงเสียดายที่ขวัญกำลังใจต่างๆได้บินหนีหายไปสิ้น...
“แก....เป็นตัวอะไรกันแน่?” ชายร่างผอมละล่ำละลักออกมาเสียงสั่นเครือแทบไม่อยากเชื่อภาพที่เห็นเบื้องหน้า หน่วยลับของกองกำลังพิเศษทั้งสี่กลับต้องจบชีวิตภายใต้เงื้อมมือของชายหนุ่มผู้หนึ่ง มิหนำซ้ำคมศาสตราใดๆ ยังไม่อาจทำอันตรายกับชายหนุ่มผู้นี้ได้อีกด้วย
ชายหนุ่มจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของนายพรานคนสุดท้าย ดวงตาคู่เย็นดุจผลึกน้ำแข็งนั้นพลันคล้ายเปลี่ยนแปรไปชั่วพริบตา “...ชั้นเองก็อยากรู้เหมือนกัน...” คำพูดนั้นราบเรียบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเหน็ดหน่ายหดหู่อย่างน่าประหลาด
ประกายดาบบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ชายร่างสูงล้มลงกับพื้นไปชั่วนิรันดร์ ชายหนุ่มกวาดตามองร่างไร้วิญญาณทั้งห้าด้วยความสงบนิ่งราบเรียบไร้รู้สึก สำหรับเขาแล้ว ในโลกนี้มีเพียงสองสิ่งซึ่งเป็นนิรันดร์
หนึ่งนั้นคืออดีต.....
ส่วนอีกหนึ่งนั้นคือความตาย......

*************************

ด้วยพื้นที่อันกว้างขวางขนาดสามสนามฟุตบอลของมัน ทำให้ลานกว้างลานกว้างโมเดียร์ฟ {Modeerf} แห่งนี้มักจะถูกใช้สำหรับจัดงานสำคัญทั้งหลายในอาณาจักรคาร์บานซ์บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเทศกาลปีใหม่ บูชาเทพเจ้า หรือฉลองการครองราชย์ และครั้งนี้เองมันก็ถูกใช้จัดงานที่ยิ่งใหญ่อีกเช่นกัน

งานสละราชบัลลังก์ของราชาเพเอซ แห่งคาร์บานซ์...

ราชาเพเอซในยามนี้ยังทรงประทับอยู่ในปราสาทคาร์บานซ์ตามคำสั่งของนายพลบีทเรย์ โดยมีทหารจากกองกำลังพิเศษคอยควบคุมเอาไว้อย่างใกล้ชิด ไม่เปิดโอกาสให้ข้าราชบริพารคนใดได้เข้าใกล้จนกว่าที่พิธีสละราชบัลลังก์จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์
จดหมายเชิญเข้าร่วมงานถูกส่งไปให้เหล่าขุนนางซึ่งอยู่ในเมืองหลวงและเมืองเล็กโดยรอบ มีเพียงแถบชายแดนเท่านั้นที่ไม่ได้รับบัตรเชิญ ซึ่งหากพูดให้ถูกแล้วควรเรียกว่าจดหมายบังคับเข้าร่วมงานเสียมากกว่า
ท้องฟ้าเบื้องบนปลอดโปร่ง ฝูงวิหคบินตัดผ่านหมู่เมฆขาวเป็นกลุ่ม สายลมโชยเอื่อยพัดพาเอากลิ่นหอมของมวลพฤกษาแห่งคิมหันต์ฤดูมาแตะจมูก บังเกิดความรู้สึกนุ่มละมุนอบอวลชวนเคลิบเคลิ้ม
“ช่างดูฤกษ์ยามการจัดงานได้ยอดเยี่ยมเสียจริง” เสียงแค่นเป็นเชิงประชดประชันหลุดออกมาลอยลม คนพูดเป็นชายวัยยี่สิบปลายๆ แต่งตัวด้วยชุดยีนส์สไตล์ทะมัดทะแมง โพกผมด้วยผ้าผืนแดงลายจุด ดวงตาคมเข้มองอาจมองไปเบื้องบน คล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง “อากาศดีเสียจนน่าเกลียด”
“พี่คะ พอเถอะค่ะ” เสียงใสจากหญิงสาวด้านข้างขัดมาเบาๆ ดวงตากลมโตทั้งสองจับจ้องมองพี่ชายซึ่งอายุห่างกันถึงสิบกว่าปี ชุดกระโปรงตัวยาวที่สวมใส่ยิ่งทำให้หญิงสาวร่างเล็กนั้นคล้ายตุ๊กตาเข้าไปใหญ่ “เน่ว่าเรารีบเข้าไปในงานเถอะ อย่าให้มีปัญหากับใครเลย”
ดวงตากลมกวาดมองรอบข้างด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก เมื่อเห็นทหารหลายนายที่เฝ้าปากทางเข้าลานโมเดียร์ฟเริ่มหันมามองทางพวกตนทั้งสอง ขณะที่คนอื่นๆก็เริ่มทยอยกันลงทะเบียนเข้าไปข้างในงานบ้างแล้ว
พี่ชายยักไหล่น้อยๆเป็นเชิงยินยอม จากนั้นทั้งสองจึงพากันไปต่อแถวลงทะเบียน เมื่อถึงคิวของพวกตน ผู้เป็นพี่ก็จึงลงชื่อไปในช่องของพันตรีราล์ฟและช่องว่างด้านข้างก็ใส่ชื่อว่าเมเน่ลงไป
“เดี๋ยวครับผู้พัน” ทหารรับลงทะเบียนร้องเรียก เมื่อราล์ฟและเมเน่เดินผ่านทางเข้าเตรียมมุ่งสูตัวงาน เขาผุดลุกขึ้น รีบเดินเข้าหา และมองดาบของผู้เป็นพี่ชาย “เราต้องขอให้ผู้พันฝากอาวุธไว้ที่ทางเข้าด้วยครับ”
“ว่าไงนะ!?” ผู้พันหนุ่มตวาดสวนเสียงดุ คล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาคมกล้าจ้องมองไปยังทหารนายนั้นจนผู้มียศต่ำกว่าต้องก้มหน้าหลุบตาหนี “อาวุธประจำกายก็ต้องฝากไว้ที่นี่ด้วยอย่างงั้นเหรอ? กฎบ้าบออะไรกัน?”
“แล้วถ้าต้องทำตามกฏมันจะมีปัญหาอะไรนักหนารึไงราล์ฟ” เสียงแข็งกร้าวที่เอ่ยมานั้น ช่วยให้ทหารลงทะเบียนใจชื้นขึ้นมาทันที อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีคนช่วย อย่างน้อยตอนนี้โทรลลี่ก็มาแล้ว
ราล์ฟมองจ้องเพื่อนร่วมรุ่นเขม็ง ไม่มีท่าทีกริ่งเกรงเหมือนคนอื่น “แล้วแกล่ะ?” เขาย้อนถาม น้ำเสียงห้วนกระด้างอย่างชัดเจน บุ้ยใบ้ไปทางดาบข้างเอวของโทรลลี่ “ต้องฝากอาวุธไว้ที่นี่ด้วยรึเปล่า?”
ผู้พันร่างยักษ์เขยื้อนยิ้มที่มุมปาก “เราสองคนยศเท่ากันก็จริง....” น้ำเสียงที่เอ่ยคล้ายแฝงด้วยความหยามหยันอย่างเต็มที่ ดวงตาทอแววเยาะเย้ยไม่แพ้กัน “แต่ตำแหน่งมันต่างกัน ชั้นเป็นรองหัวหน้าราชองครักษ์ เพราะฉะนั้น...ชั้นมีสิทธิ์ที่จะพกอาวุธเข้าไปภายในงานได้”
คนที่ไม่ใช่รองหัวหน้าองครักษ์จ้องตอบกลับไปอย่างดุดัน “จะเอาตามนั้นก็ได้” เขาคำรามตอบเบาๆในลำคอ เลื่อนมือปลดดาบคู่กาย ยื่นกระแทกให้ทหารลงทะเบียนโดยแรง เล่นเอาหมอนั่นเซผงะไปหลายก้าว ก่อนจะหันหลังขวับเตรียมเดินเข้าไปในงาน
“สนับมือของแกด้วยราล์ฟ” โทรลลี่ร้องทักท้วงเสียงกังวาน ท่าทีจองหองพองขน คล้ายดั่งสุนัขที่อยู่ใต้ร่มเงาแห่งราชสีห์ “อย่าทำเป็นหมกเม็ดเลย เรามันก็รู้ไส้รู้พุงกันอยู่ทั้งคู่”
ราล์ฟแค่นเสียงออกทางจมูกคราหนึ่ง ล้วงหยิบสนับเหล็กสองิ้นจากเสื้อ โยนไปให้ทหารลงทะเบียนอีกครั้ง “เก็บไว้ดีๆ อย่าให้มีรอยขีดข่วนล่ะ” เขาสำทับเป็นเชิงข่มขู่ จากนั้นก็ลากน้องสาวตัวเล็กของตนให้เข้าไปในงานโดยไม่หันมามองผู้พันร่างยักษ์เบื้องหลังอีก
โทรลลี่เองก็เพียงสายตามองตามส่งไปครู่เดียว แต่ก็ไม่ได้สนใจเพื่อนร่วมรุ่นผู้นี้เท่าไรนัก เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ นายพลบีทเรย์กำลังต้องการพบเขาโดยด่วน และท่าทางอารมณ์ไม่สู้จะดีเท่าไรนักด้วย
ผู้พันหนุ่มเข้าไปในโรงแรมหรูติดกับลานกว้าง กดลิฟต์แก้วขึ้นไปชั้นบนสุด ระหว่างทางมีทหารจากหน่วยพิเศษยืนเฝ้าคุมตามจุดต่างๆมากมาย จำนวนนั้นแทบไม่แตกต่างกับในปราสาทคาร์บานซ์เท่าไรนัก
ร่างใหญ่ก้าวเดินมาถึงห้องชั้นในสุด ทหารที่เฝ้าทั้งสี่นายทำความเคารพเมื่อเห็นเขามา โทรลลี่เคาะประตูเบาๆสามครั้ง รอสักพัก ก็จึงมีเสียงตอบจากในห้องเป็นเชิงอนุญาตให้เข้าไปพบได้
ภายในห้องนั้นกว้างขวาง พื้นถูกปูไว้ด้วยพรมกำมะหยี่สีแดงสด เครื่องเรือนทุกชิ้นเป็นไม้เนื้อดีสีเข้ม หลังโต๊ะตัวยาว ร่างเล็กในชุดเครื่องแบบทหารสีขาวปลอดดูสะอาดตา ยืนเด่นเป็นสง่า มองทอดตาออกไปนอกกระจกใส ตะวันทำมุมสาดแสงเป็นสีทองจางๆ ขับเน้นความมีอำนาจขึ้นหลายส่วน
“วันนี้เป็นวันดี และเป็นวันสำคัญจริงๆ” ชายร่างเล็กผู้ยืนหันหลังส่งเสียงราบเรียบแต่เฉียบขาด ยังคงไม่ยอมหันหน้ากลับมาทางโทรลลี่ผู้ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหลัง
“เป็นวันดีอย่างยิ่งครับ” ผู้พันหนุ่มเอ่ยขึ้นเป็นเชิงเห็นด้วย สีหน้าแสดงอาการวิตกกังวลอย่างชัดเจน เมื่อยังไม่อาจคาดเดาจุดประสงค์ของผู้เป็นนายองตนได้ออก
ในที่สุดพลโทบีทเรย์ หัวหน้าราชองครักษ์แห่งคาร์บานซ์ก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับพันตรีโทรลลี่จนได้ วัยของเขาอยู่ที่ราวหกสิบเศษ ดวงตาสีเหลืองซีดเป็นรูปสามเหลี่ยม จมูกเล็กแหลม ปากบางดำ ผมตัดสั้นสีดอกเลา
“ถ้ารู้ว่าเป็นวันดี แล้วแกหายหัวไปไหนมา!?” น้ำเสียงนั้นดังจนเกือบเป็นตะคอก ดวงตาสามเหลี่ยมเพ่งมองโทรลลี่เขม็งคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ ร่างเล็กขยับเข้าหาร่างใหญ่โดยไม่กลัวเกรง สะบัดมือตบเข้าที่แก้มของผู้พันฉาดหนึ่งเสียงดังฟังชัด “เลิกสนใจพวกปลาซิวปลาสร้อยข้างนอกได้แล้ว พวกที่ต้องระวังน่ะถูกต้อนมาไว้ที่นี่หมดแล้ว!”
โทรลลี่ซึ่งรูปร่างสูงใหญ่กว่าเกือบเท่าตัว กลับไร้ปฏิกิริยาต่อต้านใดๆ เขาค้อมศีรษะลงเป็นเชิงรับผิด และรับคำสั่ง เหงื่อเม็ดโป้งไหลผ่านจากหน้าผากลงมาที่ปลายจมูก ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเลื่อนมือไปซับหยาดโลหิตที่มุมปาก
“ไปคุมคนของเราให้เข้าประจำตำแหน่ง” นายพลเอ่ยต่อ หันเดินกลับไปทางนอกกระจกใสอีกครั้ง ทอดสายตาลงไปยังลานกว้างซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางข้าราชบริพารของอาณาจักร “พวกมันไม่มีอาวุธ แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจไป หากใครมีทีท่าน่าสงสัย ให้เร่งจับกุมไปในทันที และหากขัดขืน ก็สังหารมันซะตรงนั้นเลย ชั้นให้สิทธิ์ขาด....”
โทรลลี่ผงกศีรษะรับคำอีกครั้ง บีทเรย์หันมายิ้มให้ เมื่อเห็นว่าในดวงตาของผู้พันหนุ่มมีแววกระหายเลือดของสัตว์ป่าแฝงอยู่ ตอนนี้เขาไม่ใช่แค่สุนัขบ้านที่คอยกัดผู้อื่นโดยหวังพึ่งบารมีของผู้เป็นนายอีกต่อไป แต่เขากลายเป็นสุนัขจิ้งจอกที่พร้อมจะเข้าตะปบเหยื่อเพื่อผู้เป็นนายแล้ว...
“ใกล้ถึงเวลาที่อาณาจักรจะผลัดเปลี่ยนใบเต็มทีแล้ว” บีทเรย์เอ่ยเสียงเรียบหันกลับเดินมาทางโทรลลี่อีกรั้ง “ไปเตรียมวางกำลังให้พร้อม ท่ามกลางข้อมูลที่สับสนคลุมเครือเช่นนี้ ทั้งข้าราชบริพารและประชาราษฏร์ คงไม่กล้าขัดขืนต่อต้านอะไรหรอก เตรียมสั่งการให้พาเลซนำตัวเพเอซมาที่ลานกว้างได้แล้ว”

****************************

ห้องบรรทมภายในปราสาทกว้างใหญ่ ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามตระการตา โคมระย้าที่ห้อยอยู่กลางห้องส่องแสงวอบแวบเป็นประกายสวย แต่แปลกที่รอบผนังห้องกลับประดับไว้ด้วยรูปวาดลวดลายแปลกประหลาดบิดเบี้ยวเกือบทุกใบ
“ภาพฝีพระหัตถ์องค์หญิงฟลอเรนซ์ 2992” ทหารในเครื่องแบบกองกำลังพิเศษพึมพำอ่านคำอธิบายใต้รูปเบาๆ เอามือลูบภาพวาดแปลกประหลาดที่คล้ายสุนัขผสมลาอันบิดเบี้ยวด้วยความฉงนฉงาย ก่อนจะหันมองไปรอบๆห้อง “ถ้าไม่มีภาพเหล่านี้ ห้องบรรทมคงจะสมเป็นห้องบรรทมมากกว่านี้”
ไม่มีใครตอบคำของเขา ทหารอีกสิบนายที่นั่งกระจายอยู่ในห้อง ยังคงสงบเงียบรอคำสั่ง บนเตียงกว้างมีร่างผอมสูงร่างหนึ่งนอนอยู่ ผมเผ้ายาวรุงรังเป็นสีขาวโพลน ใบหน้าซูบซีดคล้ายป่วยด้วยโรค ท่าท่างไร้เรี่ยวแรง เพียงแต่ดวงตานั้นกลับยังไม่อ่อนล้าเสียทีเดียว คมกล้ายังคงสถิตอยู่ในนั้น
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เรียกความสนใจของทั้งหลายให้หันมอง ทหารสองนายก้าวเข้ามาภายใน หันหน้าไปหาทหารนายหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือที่มุมห้อง ท่าทางเข้มแข็งห้าวหาญไม่เหมือนทหารชั้นผู้น้อยทั่วไป
“ผู้กองพาเลซครับ ท่านโทรลลี่มีคำสั่งให้พาองค์ราไปที่ลานกว้างตอนนี้เลยครับ”
สิ้นสุดคำรายงาน พาเลซก็ปิดหนังสือแล้ววางลง “น่าเสียดาย ยังอ่านไม่ทันจบเลย” เขากล่าวอย่างเกียจคร้าน หันไปพยักหน้าให้กับทหารอีกสองนายที่ข้างเตียง จากนั้นร่างของชายสูงวัยที่นอนอยู่บนเตียงก็ถูกหิ้วขึ้นมา จัดแจงวางนั่งบนรถเข็นเหล็กอย่างรวดเร็ว
ทหารที่ร่างสูงใหญ่ที่สุดเป็นคนเข็นรถ พาเลซนำหน้า ขนาบข้างด้วยทหารอีกสองนาย ส่วนที่เหลือกระจายล้อมรอบรถเข็นเป็นวงกลม ดาบเตรียมพร้อมอยู่ในมือของทุกคน การนำราชาเพเอซไปส่งยังลานกว้างในครั้งนี้ต้องไม่มีความผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น
กลุ่มส่งตัวเดินเลี้ยวออกจากห้องได้เพียงไม่ถึงสิบก้าว พาเลซก็ออกคำสั่งให้ทั้งหมดหยุดการเคลื่อนไหว มองไปรอบด้านที่ค่อนข้างมืดสลัวมัวแสงอย่างน่าแปลกประหลาด
“ไฟเสียรึไง” เขาถามเป็นเชิงออกคำสั่งกับทหารสองนายที่เข้ามารายงานภายในห้องเมื่อครู่ ทั้งสองหันมองกันเอง สีหน้างุนงงนั้นพอจะบอกให้ทราบได้ว่าเมื่อครู่ เบื้องนอกห้องบรรทมคงยังไม่มืดมิดถึงเพียงนี้
หนึ่งในกลุ่มส่งตัวล้วงโคมไฟฉายขึ้นมา บิดออก แสงของมันส่องสว่างไปทั่วโถงกว้าง ทั้งหมดมองไปรอบด้าน ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว ทั่วบริเวณเงียบเชียบ บางทีอาจสงบเกินเหตุจนน่าวิตกก็ว่าได้
ช่วงเวลาที่ยังไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นนั้นเอง ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องหน้า ซึ่งพ้นอาณาเขตของแสงไฟจากโคม บังเกิดเสียงแหลมเล็กระคายหูขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นก็เงียบหายไป ทั้งหมดหันมาสบากันวูบหนึ่ง ต่างทราบดีว่ามันคือเสียงอะไร
....มันคือเสียงคมศาสตราที่กรีดผ่านชั้นเนื้อหนังของมนุษย์...
พาเลซก้าวเท้านำร่างไปเบื้องหน้าอย่างไม่กริ่งเกรง ดวงตากลอกมองรอบจับสังเกตทุกความเคลื่อนไหว แล้วโสตสัมผัสก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจากเบื้องหน้า นายกองผู้เจนจัดถลาหลบอย่างว่องไว มีน้ำเหนียวข้นของอะไรบางอย่างกระเซ็นเข้าใส่ที่ใบหน้า
เสียงร้องจากเหล่าลูกน้องเบื้องหลัง ทำให้พาเลซต้องหันมองตาม แล้วจึงเห็นว่าสิ่งที่ถูกเหวี่ยงโยนเข้ามานั้นคือศีรษะของมนุษย์นั่นเอง ตา หู จมูก และปาก ล้วนมีโลหิตทะลักไหลออกมาล้นเนืองนอง แสดงว่าเหตุการณ์สยดสยองนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
พาเลซยกมือป้ายเลือดออกจากใบหน้าตน ฉายกระบอกไฟไปเบื้องหน้า ก็เห็นร่างในเครื่องแบบฟุบอยู่กับพื้นสองร่าง หนึ่งในนั้นคงเป็นเจ้าของศีรษะนี้เป็นแน่ แต่ทางเดินที่ทอดยาวนั้นกลับไม่มีผู้อื่นผู้ใดอีก แล้วใครกันที่เหวี่ยงขว้างศีรษะนี้มา
ความเงียบปกคลุมทั่วทุกทิศ ไฟฉายนับสิบกระบอกสาดส่องไปทั่วทุกทาง แต่ก็ยังไร้เงาของผู้ก่อการ ไม่มีใครกล้าเดินต่อไปเบื้องหน้าอีก
“แกเป็นใคร ต้องการอะไร !?” หนึ่งในนั้นตะเบ็งออกเสียงดังลั่น เนื่องจากไม่สามารถอดทนต่อสถานการณ์นี้ได้อีกต่อไป มือกระชับดาบแนบแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปน
รอบข้างยังคงสงบเงียบ แต่นั่นก็เพียงครู่เดียว “...ชีวิตของเพเอซ” เสียงที่ตอบกลับมาจากความมืดกลับเป็นเสียงของสตรี ทั้งหมดหันขวับไปยังเบื้องหลัง ทิศที่มาของต้นเสียง
พริบตานั้นเอง ประกายวูบวาบก็พลันบังเกิดขึ้น ดูไปคล้ายประกายกลุ่มดาวตกที่พรั่งพราวสกาวฟ้ายามค่ำคืน ทั้งถี่ยิบ ทั้งดุดัน
....เป็นดาวตกสีมรกต....
******************

ตะวันสีส้มเลื่อนลอยคล้อยต่ำใกล้แตะสัมผัสเส้นขอบฟ้าเต็มที นภากว้างถูกระบายวาดแต่งแต้มด้วยสีแดงฉาน นี่คงเป็นตะวันดวงสุดท้าย ที่ราชวงศ์เก่าแห่งคาร์บานซ์จะได้เห็น ยุคสมัยใหม่ใกล้เปิดฉากขึ้นเต็มที
ภายในลานกว้างแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่บรรยากาศของงานกลับอึมครึมวังเวง เงียบเหงา ราวกับว่างานในคราวนี้คืองานศพของอาณาจักรตนอย่างไรอย่างนั้น หลายคนจับกลุ่มคุยกันเบาๆด้วยสีหน้าท่าทางหนักใจ เหล่าทหารจากหน่วยรบพิเศษยังคงออกตรวจตราสอดส่องรอบบริเวณ จำนวนของพวกเขาเกือบเท่าจำนวนแขกที่มางานก็ว่าได้
เวทีกว้างอยู่ทิศเหนือของลาน เป็นสถานที่เพื่อประกอบพิธีส่งมอบอาณาจักรและประชาราษฎร์ บีทเรย์และโทรลลี่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเวที ขณะที่ทหารอีกหลายนายกำลังขนของเข้าจัดปรัมพิธีเตรียมพร้อมด้านหลัง
ดวงตาสามเหลี่ยมทั้งสอง้องมองลงมายังเหล่าข้าราชบริพารเบื้องล่าง ในอนาคต คนพวกนี้ต้องมาอยู่ใต้อาณัติตน เวทีที่สูงเกือบห้าเมตรเช่นนี้เป็นที่โปรดปรานของบีทเรย์นัก เป็นมุมมองจากผู้ที่อยู่สูงกว่าและเหนือกว่า มุมปากของจอมทรราชย์แสยะยิ้มหยามหยันออกมาวูบหนึ่ง เป็นวูบสั้นๆที่ใครหลายคนไม่ทันสังเกต และใครบางคนสังเกตเห็น
“หากโลกใบนี้จะมีสิ่งใดที่เรารังเกียจ” กระแสเสียงที่กล่าวนุ่มนวลชวนฝัน ช่างขัดกับถ้อยกระทงความที่กล่าวนัก ร่างเล็กบางระหงในชุดราตรีสีขาวปลอดดุจพญาหงส์แนบชิดติดกระจกใส ดวงตากลมสวยเปล่งประกายเจิดจ้า จ้องมองลงไปยังเฒ่าทรราชที่เบื้องล่าง “คงไม่พ้นรอยยิ้มอันชวนสะอิดสะเอียนของนายพลผู้นั้นเป็นแน่”
“และหากจะมีสิ่งใดน่ารังเกียจยิ่งกว่ารอยยิ้มของมัน” หญิงสาวร่างเล็กอีกคนกล่าวขึ้น เดินมาใกล้สตรีชุดขาวผู้สูงสง่า ดวงตากลมโตราวไข่ห่านจ้องไปยังนายพลบีทเรย์ ด้วยความอาฆาตมาดร้าย “ก็คงไม่พ้นตัวของมันเองนั่นแหละค่ะองค์หญิง”
พญาหงส์ผู้สูงศักดิ์นิ่งเงียบไปพักใหญ่ “คงไม่ผิดอย่างที่เธอว่าหรอกนะเอลิซ่า” นางกล่าวพร้อมทอดใจยาว หันกลับมามองสหายร่างเล็กด้วยอาการเซื่องซึม “แต่จะทำอย่างไรได้ อีกไม่นานเราก็ต้องหมั้นหมายแต่งงานกับเขา....”
เอลิซ่า พระสหายคนสนิทมองตอบ ดวงตาอันสวยซึ้งใต้แพรขนตาอันงามงอน วงหน้ารูปไข่ ริมฝีปากบางเฉียบได้รูปเป็นสีชมพูระเรื่อ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดุจใยไหม ผิวพรรณสะอาดสะอ้านขาวนวลเปล่งปลั่ง เนียนละเอียดไร้ริ้วรอย ช่างแตกต่างกับนายพลเฒ่าที่เบื้องล่างนัก
รับรองได้ว่าเพียงแค่นางแย้มยิ้มเท่านั้น บุรุษทุกรายจะต้องยอมสยบลงให้แต่โดยดี เพียงเสียดายที่ยามนี้พระพักตร์ของนางกลับมิได้ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มแม้แต่น้อย พระพักตร์นางมีเพียงความเศร้าหมองประดับไว้ จะอ่างไรก็ตาม ความเศร้าทั้งหลายทั้งปวงก็ยังมิอาจบดบังความงามของนางไปได้
เอลิซ่าเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ต้องถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ เดินวนไปมาอยู่พักหนึ่ง สายตากวาดมองไปรอบห้องพักของโรงแรม “น่าจะมีดาบสักเล่มนะ” เธอบ่นอุบอิบเบาๆ “จะได้ไปจับไอ้บีทเรย์เป็นตัวประกันซะบ้าง”
องค์หญิงหันมายิ้มให้น้อยๆ “มีอาวุธก็ใช่จะจับเขาได้ง่าย” นางเอ่ยเสียงแผ่ว คล้ายเริ่มท้อแท้ที่จะหวัง “ทหารของบีทเรย์อยู่ที่นี่มากมาย อาวุธก็ครบมือ อาศัยเพียงเธอคนเดียวจะทำอะไรได้ มีแต่จะเสียเลือดเสียเนื้อโดยใช่เหตุเปล่าๆ”
สหายสนิทเมื่อได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น เดินเข้ามากุมมือเจ้าหญิงของตน “อย่าทรงตรัสอย่างท้อแท้เนนั้นสิคะ” เธอให้กำลังใจ ก่อนจะเพิ่มความมั่นใจให้อีก “ยังไงท่านพ่อกับท่านจอมปราชญ์ต้องไม่อยู่เฉยแน่ ถึงตอนนี้จะยังติดต่อพวกเขาไม่ได้ แต่คาดว่าทั้งสองคงนำกำลังเข้าใกล้เมืองหลวง พร้อมบุกเข้ามาเพื่อช่วยองค์หญิงและองค์ราชาทุกเมื่อนะคะ”
“ท่านทั้งสองจะละทิ้งชายแดนฝั่งบาฮามไว้ และนำกำลังกลับมาได้อย่างไรกันเอลิซ่า” องค์หญิงทรงตรัสตอบ ดูเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี “หากไม่มีคนดูแลทางฝั่งนั้น บาฮามต้องบุกเข้ามาแน่ ยิ่งหากเข้ามาโดยใช้ข้ออ้างเพื่อกำจัดนายพลบีทเรย์ก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่....”
“มิตรแท้ของเราไม่มีเลยรึไงนะ” เอลิซ่าทุบกระจกดังปึง ระบายลมหายใออกโดยแรง “บาฮามก็คอยจ้องจะฉกโอกาส โอเดรียเองก็เอาแต่นิ่งเฉยรอฉวยผลประโยชน์ อิเฟรียเองก็นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน ซิเวียที่ดูดีกว่าอาณาจักรอื่นก็ช่างห่างไกลกับเรานัก”
“มิตรแท้มีแค่ตัวเรา” องค์หญิงตรัสออกมาอย่างขันๆ แต่เป็นคำขันที่ช่างน่าหดหู่สำหรับนางนัก “มีใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้กับเราเช่นนี้เมื่อยังเยาว์วัย ตอนนั้นเราอ่อนต่อโลกนัก ยังแอบนึกหัวเราะคำของเขาอยู่ในใจ คิดไปว่าเขาช่างมองโลกในแง่ร้ายนัก แต่บัดนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย เพียงแต่เขามองโลกตามแบบที่มันเป็นมากกว่า ต่อให้พระเจ้ามีจริง พระองค์ก็คงไม่สามารถช่วยอะไรให้ดีไปกว่านี้หรอกเอลิซ่า”
นางค่อยๆพริ้มตาหลับลง คล้ายระลึกถึงเรื่องราวที่พ้นผ่าน ค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากถุงแพรที่เหน็บไว้ข้างเอว ดวงเนตรกลมสวยเปิดขึ้นอีกครั้ง แลมองไปที่แหวนวงหนึ่งในพระหัตถ์ ใบหน้าเริ่มบังเกิดรอยยิ้มแสนอบอุ่นขึ้นน้อยๆ
มันเป็นเพียงแหวนธรรมดาที่ดูไร้ราคาค่างวดใดๆ ตัววงทำจากทองคำขาว สามารถหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป มีแปลกก็เพียงที่เกือบรอบวงนั้นกลับถูกคลุมเคลือบไว้ด้วยสีม่วงเข้มส่องแสงสะท้อนประกายประหลาด
ครั้งแรกที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น ได้บังเกิดความสงสัยต่อลวดลายของมันนัก ว่าเหตุใดจึงมีสีม่วงเจือปนอยู่ จึงได้ตรัสถามออกไป ผู้ที่ซื้อให้ตอบมาเพียงว่าอาจมีสีที่ไหนไปตกย้อมใส่เมื่อเริ่มทำเสร็จใหม่ๆก็เป็นได้ สีจึงติดทนนานไม่ลอกออก
จากวันนั้น จวบจนถึงวันนี้ ระยะเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปเกือบสี่ปีแล้ว เมื่อแรกที่ได้แหวนวงนี้ นางยังเยาว์วัยนัก เพิ่งจะมีประชนม์มายุเพียงสิบสองันษาเท่านั้น แต่บัดนี้นางได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว
ส่วนคนที่ให้แหวนแก่นางเล่า? เขาจะเป็นเช่นไรบ้าง เขายังอยู่ดีมีสุขเหมือนเดิม หรือได้ล้มหายตายจากไปแล้ว จะได้มีโอกาสพบกับเขาอีกหรือไม่ ...หรือจะทำได้เพียงครุ่นคิดฝันถึงเท่านั้น เพราะดูท่าเขาคงจะลืมเลือนคำสัญญาเมื่อก่อนจากกันครั้งนั้นไปจนสิ้นเสียแล้ว
เนตรคู่งามอันหวานซึ้งทั้งสองเลื่อนเบือนไปที่เวทีกลางลานกว้างอีกครั้ง ในใจลึกๆ คล้ายหวังเอาไว้ว่าจะพบเขาที่นั่นสักครา ก่อนจะต้องไปหมั้นหมายกับผู้อื่นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง และเมื่อมองเหม่อลงไปเบื้องล่างนั้นเอง ก็กลับต้องอุทานออกมาอย่างตระหนกตกพระทัยเบาๆคราหนึ่ง
เอลิซ่าเมื่อได้เห็นอากัปกิริยาอันแปลกประหลาดขององค์หญิงตน ก็จึงเดินเข้าไปที่ริมกระจกเพ่งมองลงไปลานเวทีด้านล่างบ้าง แล้วเธอก็ต้องแปลกประหลาดใจไม่แพ้กัน....
สนธยาเริ่มเคลื่อนเข้าหาอย่างเงียบงัน แสงสีแดงเข้มจากดวงตะวัน ทำให้ท้องนภาคล้ายถูกโชลมไว้ด้วยสีเลือด ดูแล้วทำให้บังเกิดความรู้สึกสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก
ภายใต้ท้องฟ้าอันน่าสยดสยองนั้น ก็มีร่างของคนผู้หนึ่ง ยืนสถิตนิ่งอยู่ปลายเวที หันหลังให้อาทิตย์อัสดง แสงสนธยาส่องฉาบอาบไล้ผ้าคลุมตัวยาวสีดำสนิท ฮู้ดนั้นปิดบังใบหน้าของบุคคลลึกลับมิดชิด จะมีก็เพียงบู๊ทหนังสีเข้มเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมานอกชายผ้าคลุม
ไม่มีใครทราบว่าเขาขึ้นมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น มันคล้ายดั่งเป็นวิญญาณของภูตพรายอันลี้ลับ บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดลงยิ่งกว่าเดิม ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ร่างลึกลับนั่น ความเย็นยะเยือกพร้อมกลิ่นอายแห่งความตายแผ่กระจายออกมาจากใต้ผ้าคลุมนั้น เวลารอบข้างเดินช้าจนคล้ายหยุดนิ่ง
...เวลามักเชื่องช้าเสมอ เมื่อเผชิญกับความหวาดกลัว...

******************




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 21:18:56 น.
Counter : 250 Pageviews.  

Prologue : Ark nuclear ปัจฉิมบทโลกเก่า ปฐมบทโลกใหม่

Tales of Nemesis
The Nemesis I : The start of a legend
Prologue : Ark nuclear ปัจฉิมบทโลกเก่า ปฐมบทโลกใหม่

........เอกภพกว้างขวางเพียงใด ?
เอกภพมีขอบเขตหรือไม่ ?........
.......มีสิ่งใดบ้างที่อยู่ในเอกภพ ?
และ....เอกภพถือกำเนิดอย่างไร ?

คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักปราชญ์จากโบราณกาล และนักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมาซึ่งสนใจในเอกภพ ได้ครุ่นคิดถึงเป็นเวลานานนับร้อยนับพันปี

บางที.....เหตุที่พวกเขาเพียรหาบทสรุปแห่งเอกภพ อาจเป็นเพื่อตนเอง...
หากเราล่วงรู้ถึงกำเนิดแห่งเอกภพ เราอาจทราบถึงเหตุผลและจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต

การทดลอง การค้นคว้า การแสวงหาคำตอบ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยเหล่าผู้ทรงปัญญาของโลกในแต่ละยุคสมัย
คำอธิบายแห่งเอกภพบังเกิดขึ้นมามากมาย บ้างก็สูญหายเมื่อมีคำอธิบายใหม่มาล้มล้าง แต่บ้างก็ยังคงอยู่อย่างมั่นคงและถาวร แต่ในท่ามกลางกระแสธารแห่งการค้นหาข้อเท็จจริงนี้เอง มนุษย์ก็ได้ค้นพบอำนาจอันยิ่งใหญ่ขึ้น....

.........ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันนัก
พวกเขาค้นหาสิ่งที่เป็นจุดเริ่ม
แต่กลับค้นพบสิ่งที่นำไปสู่จุดจบ

ระเบิดนิวเคลียร์ {Nuclear Bomb} ถูกค้นพบขึ้นโดยบังเอิญ จากสมการค้นหาความจริงแห่งเอกภพ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การค้นหาความจริงเกี่ยวกับเอกภพก็เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา
ยุคสมัยแห่งอำนาจและทุนนิยมได้เปิดขึ้นแล้ว อดีตไม่สำคัญต่อโลกใบนี้ ไม่สำคัญต่อมนุษย์อีกต่อไป ผู้เรืองปัญญาทั้งหลาย หันไปหลงเสน่ห์ของอาวุธทำลายล้าง หันหลังทิ้งขว้างทฤษฎีเอกภพอย่างไม่ใยดีไว้ให้กับบางคนที่ยังสนจะค้นหาความจริง
แล้วเรื่องน่าขันก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง อาวุธทำลายล้างชิ้นสุดยอดของยุคแห่งอำนาจกลับถูกค้นพบขึ้นโดยความบังเอิญ จากคนกลุ่มน้อยที่ยังมุ่งหน้าค้นหาเอกภพ

อาร์คนิวเคลียร์ {Ark Nuclear} คือผลงานชั้นสูงของมนุษย์ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นจากระเบิดนิวเคลียร์ โดยสมการของ อัลเบิร์ต ซีนตินี่{Albert Seentini} อัจฉริยะบุคคลแห่งยุค ชายผู้เข้าใกล้ความจริงแท้แห่งเอกภพมากที่สุด

ปริมาณของอาร์คนิวเคลียร์เพียงหนึ่งกิโลกรัม สามารถจมทวีปขนาดใหญ่ได้ภายในเวลาสิบนาที หลังสัมผัสพื้นผิว สารกัมมันตภาพรังสีที่แผ่ออกมา สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์สัตว์ชั้นสูงจนไปถึงสัตว์เซลล์เดียว รัศมีทำลายล้างกินวงกว้างหลายล้านกิโลเมตร

หลายคนตั้งสมญานามให้กับอาร์คนิวเคลียร์ว่าเป็น
“สัญลักษณ์แห่งความเจริญของมวลมนุษยชาติ”
แต่บางคนเรียกมันว่า “สัญลักษณ์แห่งความตกต่ำของมวลมนุษยชาติ”

ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันนี้เอง ความแตกแยกจึงบังเกิดขึ้นในเผ่าพันธุ์ ซีนตินี่เคยให้สมการหนึ่งไว้ ขณะไปเป็นวิทยากรในงานประชุมความจริงแห่งเอกภพว่า D = dp2
D = Disaster
d = Desire of man
p = Power

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ได้ว่าสมการของเขาเป็นเช่นนั้นจริง พลังอันยิ่งใหญ่จากอาร์คนิวเคลียร์ทำให้กลุ่มอำนาจนิยมผู้เป็นเจ้าของ บังเกิดความต้องการรวบรวมทุกผืนแผ่นดินบนโลกไว้ภายใต้การปกครองของตน โดยชูธงนำเป็นคุณธรรมและความเท่าเทียม
มีบางประเทศต่อต้านสู้รบจนล่มสลาย บางประเทศยอมแพ้ตั้งแต่สงครามยังไม่เริ่ม และบางประเทศที่ยังยืนกรานต่อต้านความเท่าเทียมและคุณธรรมจอมปลอม พวกเขารวมตัวกันเป็นสหพันธ์ซึ่งทำให้มีกำลังพลใกล้เคียงกับกลุ่มอำนาจนิยม
โลกถูกม้วนกลับเข้าสู่เกลี่ยวคลื่นอันบ้าคลั่งแห่งการศึกสงครามอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่นานที่สุดนับแต่อดีตกาล ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกรับ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก การพัฒนาด้านอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางทหารเริ่มหยุดชะงักลง
สงครามไม่เคยหยุดดุจเดียวกับกาลเวลาที่ไหลผ่านไป จากเดือน เป็นปี เป็นสิบปี จนในที่สุดผู้นำของฝ่ายอำนาจนิยมจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ด้วยการสั่งยิงอาร์คนิวเคลียร์เข้าทำลายดินแดนของฝ่ายต่อต้าน
ดินแดนและผู้คนจากทางตะวันออกซึ่งถูกโจมตี ถูกกลืนหายไปใต้ห้วงสมุทรกว้าง นับเป็นความสูญหายอันใหญ่หลวงของฝ่ายต่อต้าน แทบไม่เหลือกำลังพลที่จะสู้รบได้อีกต่อไป แต่ในเมื่อไม่มีอะไรจะต้องเสีย อาวุธลับสุดท้ายของพวกเขาก็ถูกนำมาเช่นกัน....
S.E.D.{Saraph El Dominus}อาวุธชีวเคมีขั้นร้ายแรงที่พวกเขาคิดค้นขึ้น ถูกส่งโต้ตอบกลับไปบ้าง มันได้ผล แต่บางทีอาจได้ผลจนเกินไป.....

สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนตายไปจนสิ้น
นั่นคือจุดจบของโลกในยุคแรก...

แล้วเวลาก็เคลื่อนผ่าน ดุจสายธารที่หลั่งริน คล้ายรวดเร็วปานสายฟ้า แต่ก็คล้ายเชื่องช้าดั่งคืบคลาน อีกหลายพันล้านปีต่อมา โลกได้ฟื้นฟูตนเอง เพื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ธรรมชาติชำระล้างบาดแผลอันบอบช้ำของโลก สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง ทรัพยากรทั้งหลายที่ถูกทำลายหวนคืนกลับมาตามกาลเวลา ลูกแก้วสีฟ้าได้กลับมาอีกครั้ง....
แต่ช่างน่าเสียดายนัก......ในเวลาที่โลกอุดมสมบูรณ์จนถึงขีดสุดนั้นเอง มนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาดำรงชีวิต สืบสายเลือดต่อมายาวนาน จวบจนปัจจุบัน
...ทั้งหมดนื้คือเรื่องราวที่ถูกบรรจุไว้ในคัมภีร์แห่งซูส...

**************

การยิงอาร์คนิวเคลียร์ของมนุษย์ในยุคแรก ได้ทำลายผืนแผ่นดินซีกตะวันออกเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล โลกในยุคปัจจุบันจึงประกอบด้วยพื้นน้ำเป็นส่วนมาก มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่บนแผ่นดินอันน้อยนิด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นไป และอยู่ระหว่างเส้นลองจิจูดศูนย์องศาถึงเส้นลองจิจูดเจ็ดสิบห้าองศาตะวันออก(บริเวณยุโรปเก่ารวมไปถึงแอฟริกาบางส่วน)
อย่างไรก็ตาม นอกจากแผ่นดินซึ่งเหลืออยู่บนโลกอันน้อยนิดทางตะวันออกแล้ว โลกยังคงมีแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ฐานมั่นเก่าของกลุ่มอำนาจนิยม
มนุษย์ขนานนามแผ่นดินแห่งนั้นว่า อิมเมนซัส{immnsus} เป็นภาษาของมนุษย์ยุคแรก หมายถึงกว้างไกลไร้ขอบเขตจนไม่อาจวัดได้ และเนื้อที่ของมันก็ไม่อาจวัดได้จริงๆ เนื่องเพราะรอบเกาะนั้นถูกล้อมไว้ด้วยพายุหมุนจำนวนมาก คล้ายเป็นเกราะป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าสู่ภายใน...
แต่หากคิดในอีกมุมหนึ่ง....
มันอาจจะเป็นประตูที่คอยป้องกันไม่ให้อะไรบางอย่างจากภายใน ออกมาสู่โลกภายนอก
ปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดทราบว่าดินแดนแห่งอิมเมนซัสนั้น แท้จริงแล้วมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่หรือไม่ ? มันยังคงเป็นปริศนาอันดำมืด เฉกเช่นเดียวกับเอกภพอันยิ่งใหญ่
มนุษย์ในยุคนี้ไม่มีการนับถือศาสนา พวกเขานับถือเทพเจ้า ซึ่งถือเป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า เขาเชื่อว่าเทพเจ้าเของตนพำนักพักอยู่เหนือยอดเขามิสเทอรี่อันลี้ลับ แห่งอาณาจักรบาฮาม และเทพเจ้าเหล่านี้เองที่เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ยุคแรกผ่านคัมภีร์แห่งซูส
คัมภีร์แห่งซูสนอกจากจะบอกถึงประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ของมนุษย์ในโลกยุคแรกที่ล่มสลายแล้ว ก็ยังบอกถึงความเป็นอยู่และวิวัฒนาการทั้งหลายของพวกเขาอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้นำของมนุษย์ยุคปัจจุบันจึงได้นำเทคโนโลยีต่างๆ ของมนุษย์ยุคแรกที่บันทึกไว้ในคัมภีร์แห่งซูสมาพัฒนาและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยให้ความสำคัญแก่ธรรมชาติ รถยนต์ เครื่องบิน และอีกหลายสิ่งถูกยกเลิกไป โดยมี คลาซาโร {Clarsaro} หรือรถไฟใต้ดินที่รับแหล่งพลังงานจากเครื่องดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นผิวโลกเพื่อใช้ในการเดินทางภายในอาณาจักรแทน
ส่วนการเดินทางระหว่างอาณาจักรนั้น จะมีการใช้เรือโดยสาร และรถซึ่งลากโดยตัวชีราตัส {Sheeratus} เป็นพาหนะในการเดินทาง มันเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลก ลักษณะปราดเปรียวว่องไวคล้ายเสือชีต้า แต่เรี่ยวแรงความทนทานกลับมหาศาลดุจวัวกระทิง
ผู้นำของอาณาจักรทั้งหลาย มักจะใช้การโดยสารเรือเมื่อจะเดินทางข้ามอาณาจักรเสียมากกว่า เนื่องเพราะอาณาจักรต่างๆในโลกนี้ล้วนมีส่วนที่ติดต่อกับมหาสมุทรทั้งสิ้น แต่ในบางครั้งเหล่าผู้นำก็จะใช้เรือเหาะซึ่งได้รับพลังขับเคลื่อนมาจากการสะสมพลังงานดวงอาทิตย์ไว้ตลอดปีในการเดินทาง ซึ่งมักจะใช้ในโอกาสสำคัญ อย่างการประชุมเร่งด่วนเท่านั้น

แต่สิ่งที่ผู้นำทั้งหลาย ต่างเห็นพ้องต้องกัน และออกกฎห้ามอย่างเด็ดขาด สำหรับมนุษย์ทุกชีวิตในทุกอาณาจักร คือ.....
.....ห้ามเด็ดขาด ในการสร้างอาวุธทางวิทยาศาสตร์ทุกชนิด นับตั้งแต่ปืนพก อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ จวบจนไปถึงอาวุธนิวเคลียร์
ไม่มีผู้ใดต้องการให้โลกกลับไปเป็นเหมือนดั่งโลกในยุคแรกที่ล่มสลายอีก ดังนั้นกฏดังกล่าวจึงถูกออกขึ้นเพื่อป้องกัน เริ่มแรกก็มีมนุษย์บางกลุ่มลักลอบผลิตอาวุธปืน โดยลอกแบบมาจากคัมภีร์ซูสขึ้น เพื่อหวังผลประโยชน์ โดยไม่สนใจคำเตือน แต่เมื่อสภาโอลิมปัส {Olympus} ซึ่งเกิดขึ้นโดยการรวมตัวกันของห้าอาณาจักรแห่งมวลมนุษย์ กระทำการสำเร็จโทษผู้ต่อต้านอย่างรุนแรงและเด็ดขาด ก็ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนกฏนี้อีก
มนุษย์ในปัจจุบันถูกปกครองโดยห้าอาณาจักรใหญ่ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาณาจักรใหญ่ของมนุษย์ทั้งห้านั้นประกอบไปด้วย

โอเดรีย{Odria} ดาบศักดิ์สิทธิแห่งภาคกลาง

บาฮาม{Baham} มังกรแดงแห่งบูรพา

อิเฟรีย{Ifria} วิหคเพลิงแห่งทะเลทราย

ซิเวีย{Shivia} น้ำแข็งแห่งแดนเหนือ

และ คาร์บานซ์{Carbance} กระต่ายเขียวแห่งอาคเนย์

อาณาจักรคาร์บานซ์ เป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ซึ่งมีอาณาเขตทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับเขตของอาณาจักรโอเดรีย ดาบศักดิ์สิทธิแห่งภาคกลาง แต่ด้วยว่าราชาดาเอ็ด{Da-eth} แห่งโอเดรีย มีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆ ของราชาเพเอซ{Pe-ace} แห่งคาร์บานซ์ ดังนั้นชายแดนทางฝั่งนี้จึงไม่เป็นปัญหากับอาณาจักรที่รักสันติอย่างคาร์บานซ์มากนัก

ผิดกันกับทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งดูจะเป็นทิศที่คาร์บานซ์หนักใจมากที่สุด เพราะอาณาเขตทางฝั่งนี้จรดกับเขตแดนของอาณาจักรบาฮาม มังกรแดงแห่งบูรพา
...อาณาจักรที่คอยจ้องจะยึดครองอาณาจักรอื่นให้มาอยู่ใต้อาณัติอย่างเงียบๆ
การที่บาฮามมี ราชาอูเซส{Uzes} ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นราชาผู้หลักแหลม เป็นราชาในหมู่ราชันย์ และมีกองทัพอันเกรียงไกร ก็ยิ่งทำให้อาณาจักรอื่นๆต่างต้องคอยระแวดระวังอยู่เสมอ เนื่องเพราะไม่ทราบว่าบาฮามจะกรีฑาทัพเข้าใส่พวกตนเมื่อไร
คาร์บานซ์นั้นนอกจากจะมีอาณาเขตติดต่อกับสองอาณาจักรนี้แล้ว ทางทิศตะวันออกยังติดกับมหาสมุทรเซ็นทาริค{Centaric Ocean} ส่วนทางตะวันตกก็ติดกันกับมหาสมุทรอิคาริค{Ikarik Ocean} ซึ่งขวางกั้นระหว่างอาณาจักรคาร์บานซ์และอาณาจักรอิเฟรีย วิหคเพลิงแห่งทะเลทรายเอาไว้

คาร์บานซ์ภายใต้การนำทางโดยราชาเพเอซสามารถรอดพ้นหายนะทั้งหลาย และอยู่อย่างสงบสุขมาได้เป็นเวลานานแสนนาน จนผู้คนส่วนมากมีความเห็นว่าหากมีสงครามระหว่างอาณาจักรเกิดขึ้น คาร์บานซ์คงเป็นอาณาจักรแรกที่ต้องพ่ายแพ้ เนื่องจากเป็นอาณาจักรที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาหาความรู้มากกว่าเรื่องการรบพุ่ง
ด้วยเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งการศึกษานี้เอง ผู้คนส่วนมากจึงเข้ามาในอาณาจักรโดยมีจุดมุ่งหมายคือต้องการเข้ามาศึกษาเล่าเรียน แต่ก็มีคนอีกส่วนที่เข้ามาโดยหวังกอบโกยผลประโยชน์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นอาณาจักรที่อ่อนแอด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็มี นายพลบีทเรย์{Beatray} รวมอยู่ด้วย

**************************




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2551    
Last Update : 17 สิงหาคม 2551 19:15:47 น.
Counter : 225 Pageviews.  


Mr.Crimson
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จริง คือ จริง
เท็จ คือ เท็จ
จริง ไม่อาจ เท็จ
เท็จ ไม่อาจ จริง
ขึ้นอยู่กับเรารู้หรือไม่ สิ่งใด จริง สิ่งใด เท็จ
Friends' blogs
[Add Mr.Crimson's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.