|
Prologue : Ark nuclear ปัจฉิมบทโลกเก่า ปฐมบทโลกใหม่
Tales of Nemesis The Nemesis I : The start of a legend Prologue : Ark nuclear ปัจฉิมบทโลกเก่า ปฐมบทโลกใหม่
........เอกภพกว้างขวางเพียงใด ? เอกภพมีขอบเขตหรือไม่ ?........ .......มีสิ่งใดบ้างที่อยู่ในเอกภพ ? และ....เอกภพถือกำเนิดอย่างไร ?
คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักปราชญ์จากโบราณกาล และนักวิทยาศาสตร์ในยุคต่อมาซึ่งสนใจในเอกภพ ได้ครุ่นคิดถึงเป็นเวลานานนับร้อยนับพันปี
บางที.....เหตุที่พวกเขาเพียรหาบทสรุปแห่งเอกภพ อาจเป็นเพื่อตนเอง... หากเราล่วงรู้ถึงกำเนิดแห่งเอกภพ เราอาจทราบถึงเหตุผลและจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต
การทดลอง การค้นคว้า การแสวงหาคำตอบ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยเหล่าผู้ทรงปัญญาของโลกในแต่ละยุคสมัย คำอธิบายแห่งเอกภพบังเกิดขึ้นมามากมาย บ้างก็สูญหายเมื่อมีคำอธิบายใหม่มาล้มล้าง แต่บ้างก็ยังคงอยู่อย่างมั่นคงและถาวร แต่ในท่ามกลางกระแสธารแห่งการค้นหาข้อเท็จจริงนี้เอง มนุษย์ก็ได้ค้นพบอำนาจอันยิ่งใหญ่ขึ้น....
.........ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันนัก พวกเขาค้นหาสิ่งที่เป็นจุดเริ่ม แต่กลับค้นพบสิ่งที่นำไปสู่จุดจบ
ระเบิดนิวเคลียร์ {Nuclear Bomb} ถูกค้นพบขึ้นโดยบังเอิญ จากสมการค้นหาความจริงแห่งเอกภพ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การค้นหาความจริงเกี่ยวกับเอกภพก็เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา ยุคสมัยแห่งอำนาจและทุนนิยมได้เปิดขึ้นแล้ว อดีตไม่สำคัญต่อโลกใบนี้ ไม่สำคัญต่อมนุษย์อีกต่อไป ผู้เรืองปัญญาทั้งหลาย หันไปหลงเสน่ห์ของอาวุธทำลายล้าง หันหลังทิ้งขว้างทฤษฎีเอกภพอย่างไม่ใยดีไว้ให้กับบางคนที่ยังสนจะค้นหาความจริง แล้วเรื่องน่าขันก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง อาวุธทำลายล้างชิ้นสุดยอดของยุคแห่งอำนาจกลับถูกค้นพบขึ้นโดยความบังเอิญ จากคนกลุ่มน้อยที่ยังมุ่งหน้าค้นหาเอกภพ
อาร์คนิวเคลียร์ {Ark Nuclear} คือผลงานชั้นสูงของมนุษย์ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นจากระเบิดนิวเคลียร์ โดยสมการของ อัลเบิร์ต ซีนตินี่{Albert Seentini} อัจฉริยะบุคคลแห่งยุค ชายผู้เข้าใกล้ความจริงแท้แห่งเอกภพมากที่สุด
ปริมาณของอาร์คนิวเคลียร์เพียงหนึ่งกิโลกรัม สามารถจมทวีปขนาดใหญ่ได้ภายในเวลาสิบนาที หลังสัมผัสพื้นผิว สารกัมมันตภาพรังสีที่แผ่ออกมา สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์สัตว์ชั้นสูงจนไปถึงสัตว์เซลล์เดียว รัศมีทำลายล้างกินวงกว้างหลายล้านกิโลเมตร
หลายคนตั้งสมญานามให้กับอาร์คนิวเคลียร์ว่าเป็น “สัญลักษณ์แห่งความเจริญของมวลมนุษยชาติ” แต่บางคนเรียกมันว่า “สัญลักษณ์แห่งความตกต่ำของมวลมนุษยชาติ”
ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันนี้เอง ความแตกแยกจึงบังเกิดขึ้นในเผ่าพันธุ์ ซีนตินี่เคยให้สมการหนึ่งไว้ ขณะไปเป็นวิทยากรในงานประชุมความจริงแห่งเอกภพว่า D = dp2 D = Disaster d = Desire of man p = Power
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ได้ว่าสมการของเขาเป็นเช่นนั้นจริง พลังอันยิ่งใหญ่จากอาร์คนิวเคลียร์ทำให้กลุ่มอำนาจนิยมผู้เป็นเจ้าของ บังเกิดความต้องการรวบรวมทุกผืนแผ่นดินบนโลกไว้ภายใต้การปกครองของตน โดยชูธงนำเป็นคุณธรรมและความเท่าเทียม มีบางประเทศต่อต้านสู้รบจนล่มสลาย บางประเทศยอมแพ้ตั้งแต่สงครามยังไม่เริ่ม และบางประเทศที่ยังยืนกรานต่อต้านความเท่าเทียมและคุณธรรมจอมปลอม พวกเขารวมตัวกันเป็นสหพันธ์ซึ่งทำให้มีกำลังพลใกล้เคียงกับกลุ่มอำนาจนิยม โลกถูกม้วนกลับเข้าสู่เกลี่ยวคลื่นอันบ้าคลั่งแห่งการศึกสงครามอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่นานที่สุดนับแต่อดีตกาล ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกรับ ผู้คนล้มตายจำนวนมาก การพัฒนาด้านอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางทหารเริ่มหยุดชะงักลง สงครามไม่เคยหยุดดุจเดียวกับกาลเวลาที่ไหลผ่านไป จากเดือน เป็นปี เป็นสิบปี จนในที่สุดผู้นำของฝ่ายอำนาจนิยมจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ด้วยการสั่งยิงอาร์คนิวเคลียร์เข้าทำลายดินแดนของฝ่ายต่อต้าน ดินแดนและผู้คนจากทางตะวันออกซึ่งถูกโจมตี ถูกกลืนหายไปใต้ห้วงสมุทรกว้าง นับเป็นความสูญหายอันใหญ่หลวงของฝ่ายต่อต้าน แทบไม่เหลือกำลังพลที่จะสู้รบได้อีกต่อไป แต่ในเมื่อไม่มีอะไรจะต้องเสีย อาวุธลับสุดท้ายของพวกเขาก็ถูกนำมาเช่นกัน.... S.E.D.{Saraph El Dominus}อาวุธชีวเคมีขั้นร้ายแรงที่พวกเขาคิดค้นขึ้น ถูกส่งโต้ตอบกลับไปบ้าง มันได้ผล แต่บางทีอาจได้ผลจนเกินไป.....
สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนตายไปจนสิ้น นั่นคือจุดจบของโลกในยุคแรก...
แล้วเวลาก็เคลื่อนผ่าน ดุจสายธารที่หลั่งริน คล้ายรวดเร็วปานสายฟ้า แต่ก็คล้ายเชื่องช้าดั่งคืบคลาน อีกหลายพันล้านปีต่อมา โลกได้ฟื้นฟูตนเอง เพื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ธรรมชาติชำระล้างบาดแผลอันบอบช้ำของโลก สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง ทรัพยากรทั้งหลายที่ถูกทำลายหวนคืนกลับมาตามกาลเวลา ลูกแก้วสีฟ้าได้กลับมาอีกครั้ง.... แต่ช่างน่าเสียดายนัก......ในเวลาที่โลกอุดมสมบูรณ์จนถึงขีดสุดนั้นเอง มนุษย์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาดำรงชีวิต สืบสายเลือดต่อมายาวนาน จวบจนปัจจุบัน ...ทั้งหมดนื้คือเรื่องราวที่ถูกบรรจุไว้ในคัมภีร์แห่งซูส...
**************
การยิงอาร์คนิวเคลียร์ของมนุษย์ในยุคแรก ได้ทำลายผืนแผ่นดินซีกตะวันออกเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล โลกในยุคปัจจุบันจึงประกอบด้วยพื้นน้ำเป็นส่วนมาก มนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่บนแผ่นดินอันน้อยนิด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแถบเหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นไป และอยู่ระหว่างเส้นลองจิจูดศูนย์องศาถึงเส้นลองจิจูดเจ็ดสิบห้าองศาตะวันออก(บริเวณยุโรปเก่ารวมไปถึงแอฟริกาบางส่วน) อย่างไรก็ตาม นอกจากแผ่นดินซึ่งเหลืออยู่บนโลกอันน้อยนิดทางตะวันออกแล้ว โลกยังคงมีแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ฐานมั่นเก่าของกลุ่มอำนาจนิยม มนุษย์ขนานนามแผ่นดินแห่งนั้นว่า อิมเมนซัส{immnsus} เป็นภาษาของมนุษย์ยุคแรก หมายถึงกว้างไกลไร้ขอบเขตจนไม่อาจวัดได้ และเนื้อที่ของมันก็ไม่อาจวัดได้จริงๆ เนื่องเพราะรอบเกาะนั้นถูกล้อมไว้ด้วยพายุหมุนจำนวนมาก คล้ายเป็นเกราะป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าสู่ภายใน... แต่หากคิดในอีกมุมหนึ่ง.... มันอาจจะเป็นประตูที่คอยป้องกันไม่ให้อะไรบางอย่างจากภายใน ออกมาสู่โลกภายนอก ปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดทราบว่าดินแดนแห่งอิมเมนซัสนั้น แท้จริงแล้วมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่หรือไม่ ? มันยังคงเป็นปริศนาอันดำมืด เฉกเช่นเดียวกับเอกภพอันยิ่งใหญ่ มนุษย์ในยุคนี้ไม่มีการนับถือศาสนา พวกเขานับถือเทพเจ้า ซึ่งถือเป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า เขาเชื่อว่าเทพเจ้าเของตนพำนักพักอยู่เหนือยอดเขามิสเทอรี่อันลี้ลับ แห่งอาณาจักรบาฮาม และเทพเจ้าเหล่านี้เองที่เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ยุคแรกผ่านคัมภีร์แห่งซูส คัมภีร์แห่งซูสนอกจากจะบอกถึงประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ของมนุษย์ในโลกยุคแรกที่ล่มสลายแล้ว ก็ยังบอกถึงความเป็นอยู่และวิวัฒนาการทั้งหลายของพวกเขาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้นำของมนุษย์ยุคปัจจุบันจึงได้นำเทคโนโลยีต่างๆ ของมนุษย์ยุคแรกที่บันทึกไว้ในคัมภีร์แห่งซูสมาพัฒนาและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยให้ความสำคัญแก่ธรรมชาติ รถยนต์ เครื่องบิน และอีกหลายสิ่งถูกยกเลิกไป โดยมี คลาซาโร {Clarsaro} หรือรถไฟใต้ดินที่รับแหล่งพลังงานจากเครื่องดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นผิวโลกเพื่อใช้ในการเดินทางภายในอาณาจักรแทน ส่วนการเดินทางระหว่างอาณาจักรนั้น จะมีการใช้เรือโดยสาร และรถซึ่งลากโดยตัวชีราตัส {Sheeratus} เป็นพาหนะในการเดินทาง มันเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลก ลักษณะปราดเปรียวว่องไวคล้ายเสือชีต้า แต่เรี่ยวแรงความทนทานกลับมหาศาลดุจวัวกระทิง ผู้นำของอาณาจักรทั้งหลาย มักจะใช้การโดยสารเรือเมื่อจะเดินทางข้ามอาณาจักรเสียมากกว่า เนื่องเพราะอาณาจักรต่างๆในโลกนี้ล้วนมีส่วนที่ติดต่อกับมหาสมุทรทั้งสิ้น แต่ในบางครั้งเหล่าผู้นำก็จะใช้เรือเหาะซึ่งได้รับพลังขับเคลื่อนมาจากการสะสมพลังงานดวงอาทิตย์ไว้ตลอดปีในการเดินทาง ซึ่งมักจะใช้ในโอกาสสำคัญ อย่างการประชุมเร่งด่วนเท่านั้น
แต่สิ่งที่ผู้นำทั้งหลาย ต่างเห็นพ้องต้องกัน และออกกฎห้ามอย่างเด็ดขาด สำหรับมนุษย์ทุกชีวิตในทุกอาณาจักร คือ..... .....ห้ามเด็ดขาด ในการสร้างอาวุธทางวิทยาศาสตร์ทุกชนิด นับตั้งแต่ปืนพก อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ จวบจนไปถึงอาวุธนิวเคลียร์ ไม่มีผู้ใดต้องการให้โลกกลับไปเป็นเหมือนดั่งโลกในยุคแรกที่ล่มสลายอีก ดังนั้นกฏดังกล่าวจึงถูกออกขึ้นเพื่อป้องกัน เริ่มแรกก็มีมนุษย์บางกลุ่มลักลอบผลิตอาวุธปืน โดยลอกแบบมาจากคัมภีร์ซูสขึ้น เพื่อหวังผลประโยชน์ โดยไม่สนใจคำเตือน แต่เมื่อสภาโอลิมปัส {Olympus} ซึ่งเกิดขึ้นโดยการรวมตัวกันของห้าอาณาจักรแห่งมวลมนุษย์ กระทำการสำเร็จโทษผู้ต่อต้านอย่างรุนแรงและเด็ดขาด ก็ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนกฏนี้อีก มนุษย์ในปัจจุบันถูกปกครองโดยห้าอาณาจักรใหญ่ ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาณาจักรใหญ่ของมนุษย์ทั้งห้านั้นประกอบไปด้วย
โอเดรีย{Odria} ดาบศักดิ์สิทธิแห่งภาคกลาง
บาฮาม{Baham} มังกรแดงแห่งบูรพา
อิเฟรีย{Ifria} วิหคเพลิงแห่งทะเลทราย
ซิเวีย{Shivia} น้ำแข็งแห่งแดนเหนือ
และ คาร์บานซ์{Carbance} กระต่ายเขียวแห่งอาคเนย์
อาณาจักรคาร์บานซ์ เป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ซึ่งมีอาณาเขตทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับเขตของอาณาจักรโอเดรีย ดาบศักดิ์สิทธิแห่งภาคกลาง แต่ด้วยว่าราชาดาเอ็ด{Da-eth} แห่งโอเดรีย มีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆ ของราชาเพเอซ{Pe-ace} แห่งคาร์บานซ์ ดังนั้นชายแดนทางฝั่งนี้จึงไม่เป็นปัญหากับอาณาจักรที่รักสันติอย่างคาร์บานซ์มากนัก
ผิดกันกับทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งดูจะเป็นทิศที่คาร์บานซ์หนักใจมากที่สุด เพราะอาณาเขตทางฝั่งนี้จรดกับเขตแดนของอาณาจักรบาฮาม มังกรแดงแห่งบูรพา ...อาณาจักรที่คอยจ้องจะยึดครองอาณาจักรอื่นให้มาอยู่ใต้อาณัติอย่างเงียบๆ การที่บาฮามมี ราชาอูเซส{Uzes} ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นราชาผู้หลักแหลม เป็นราชาในหมู่ราชันย์ และมีกองทัพอันเกรียงไกร ก็ยิ่งทำให้อาณาจักรอื่นๆต่างต้องคอยระแวดระวังอยู่เสมอ เนื่องเพราะไม่ทราบว่าบาฮามจะกรีฑาทัพเข้าใส่พวกตนเมื่อไร คาร์บานซ์นั้นนอกจากจะมีอาณาเขตติดต่อกับสองอาณาจักรนี้แล้ว ทางทิศตะวันออกยังติดกับมหาสมุทรเซ็นทาริค{Centaric Ocean} ส่วนทางตะวันตกก็ติดกันกับมหาสมุทรอิคาริค{Ikarik Ocean} ซึ่งขวางกั้นระหว่างอาณาจักรคาร์บานซ์และอาณาจักรอิเฟรีย วิหคเพลิงแห่งทะเลทรายเอาไว้
คาร์บานซ์ภายใต้การนำทางโดยราชาเพเอซสามารถรอดพ้นหายนะทั้งหลาย และอยู่อย่างสงบสุขมาได้เป็นเวลานานแสนนาน จนผู้คนส่วนมากมีความเห็นว่าหากมีสงครามระหว่างอาณาจักรเกิดขึ้น คาร์บานซ์คงเป็นอาณาจักรแรกที่ต้องพ่ายแพ้ เนื่องจากเป็นอาณาจักรที่ให้ความสำคัญแก่การศึกษาหาความรู้มากกว่าเรื่องการรบพุ่ง ด้วยเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งการศึกษานี้เอง ผู้คนส่วนมากจึงเข้ามาในอาณาจักรโดยมีจุดมุ่งหมายคือต้องการเข้ามาศึกษาเล่าเรียน แต่ก็มีคนอีกส่วนที่เข้ามาโดยหวังกอบโกยผลประโยชน์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นอาณาจักรที่อ่อนแอด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็มี นายพลบีทเรย์{Beatray} รวมอยู่ด้วย
**************************
Create Date : 17 สิงหาคม 2551 |
Last Update : 17 สิงหาคม 2551 19:15:47 น. |
|
1 comments
|
Counter : 226 Pageviews. |
|
|
|
โดย: พลังชีวิต วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:13:27:22 น. |
|
|
|
| |
|
|