Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

# 3 Office and accommodation

ตัดเรื่องกระบวนการทำ Visa จัดการตั๋วเครื่องบินและการเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหลายตามกระบวนการราชการนะคะ คือ ถ้ารู้แต่แรกว่าต้องทำอะไรเอง เดินเอกสารเอง หาข้อมูลหลายๆอย่างเอง...อย่างนี้ ตูไม่สมัครไปเด็ดขาด

ต่อเครื่องบินจนหวิดตกเครื่องบินเพราะประตูเครื่องบินการบินไทยเปิดไม่ออกร่วม 20 นาที เฮ้อ

ภาพของเมือง Wellington จากเครื่องบิน



ตัดตอนมาที่ไปถึงสนามบิน Wellington ดีกว่า สนามบินเมืองหลวงของ New Zealand แต่เงียบยิ่งกว่าสนามบินเชียงใหม่บ้านเราอีก Director คนที่สัมภาษณ์ฉันมารับด้วยสภาพ...กางเกงขาสั้น เสื้อยืด รองเท้าแตะ ไอ้ภาพชุดสูทผูกไทแบบวันนั้นน่ะหายไปจนฉันจำแทบไม่ได้ นึกถึงว่าจะมี Director เมืองไทยที่ไหนทำได้แบบนี้หรือเปล่านะ คือ ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์การแต่งกาย แต่เสียเวลาวันพักผ่อน (วันอาทิตย์) มารับด้วยตัวเอง ตรงรี่มาช่วยถือ Carry On อย่างคนที่ไม่ถือตัวว่าทำงานตำแหน่งอะไร

ต่อไปจะเรียกคุณ Director คนนี้ว่า Steve นะคะ ไม่ใช่ชื่อสมมติแต่ก็ไม่ใช่ชื่อจริงซะทีเดียว เผื่อเขาฟ้องร้องฉันข้ามประเทศน่ะค่ะ

Steve ตัวสูงมากค่ะ น่าจะประมาณ 190 เซนติเมตร อายุ 40 ต้นๆ ความสูงใหญ่และอายุที่ยังไม่มากเกินไป ทำให้เขาสามารถยกกระเป๋าเดินทางฉันออกมาจากสายพานได้แบบ...สบาย สบาย หิ้วแค่มือเดียวเหมือนเราหิ้วถุงกับข้าวเลยค่ะ โอ้โฮ อยากให้ two thumbs up จัง

เขาจัดตารางการมาของ Secondee ได้ดีมากๆ เพราะมี Secondee จากอินโดนีเซียทั้งหมด 5 คนมาไฟลท์พร้อมๆกับฉันแต่คนละสายการบิน ปีนี้ หน่วยงานเขารับ Secondee จากเอเชียรวม 6 คนค่ะ ฉันคนไทย 1 คนแนะนำตัวกับคนอินโด เพราะเราต้องเจอกันไปอีก 7 เดือนนับจากนี้ไป Secondee จากอินโดมีผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 2 คนค่ะ ใน 5 คนนี้ จะมีผู้ชายและผู้หญิงอย่างละคนที่จะอยู่ที่ Wellington ส่วนที่เหลือจะไปทำงานที่ Christchurch และ Auckland เพราะหน่วยงานนี้มีสาขาตามเมืองใหญ่ทั่ว NZ ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Wellington

Steve พาพวกเราไปพักที่ Apartment ใกล้กับ Office เดินข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว ดีจัง เดินข้ามไปอีกถนนก็เป็น New World เป็น Supermarket ขนาดใหญ่ให้เราได้ซื้ออะไรมาทำกิน

Apartment ที่เราอยู่กันนี่เป็นที่อยู่ชั่วคราวซึ่งหน่วยงานที่เราจะทำงานออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ หลังจาก 2 อาทิตย์แรก เราต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นตามแต่เราจะหาได้ Full Furnished Apartment ก็ช่วยให้เราทำอะไรสะดวกมากเพราะมีทั้งตู้เย็น ทีวี วิทยุ ตู้เสื้อผ้า เตาไฟฟ้า หม้อ กะทะ เครื่องปรุงต่าง ๆ ชา กาแฟ รวมไปถึงเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า แล้วก็ได้อยู่ 1 คนต่อ 1 ห้อง ดีมากๆ ค่ะ

ภายในห้องพักชั่วคราว มีครบทุกอย่าง














Office ที่จะเป็นที่ทำงานชั่วคราวของ Secondee อย่างฉัน 7 เดือนนับแต่นี้ไป อยู่ในตึกแห่งหนึ่งเยื้องกับ Beehive หรือตึกทรงรังผึ้งซึ่งเป็นรัฐสภาของ New Zealand อีกฟากหนึ่งของ Office มองออกไปเห็น New World หันองศาไปอีกนิดเป็นอ่าวแล้วค่ะ วิวสวยมาก มองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ

Beehive มองจากมุมสูง ตึกทรงรังผึ้ง




อาคารที่ทำงานด้านหน้า ใกล้ๆกัน




จากที่ทำงาน มองออกไปด้านหลังที่เป็นอ่าว





การตกแต่งใน Office ก็เก๋ดีค่ะ มีรูปภาพศิลป์นิดๆ ติดตามที่ต่าง ๆ มีครัวให้ชงอะไรต่อมิอะไรกินกัน มีอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานให้อย่างพอเพียง เครื่องเขียนนี่หยิบกันได้เลย ไม่ต้องเขียนเบิก ทั้ง Post It, Highlight สีต่างๆ ต่างกับของไทยมากโดยเฉพาะหน่วยงานราชการไทย แค่ปากกาธรรมดายังต้องเขียนเบิกกันเลยค่ะ แต่นั่นล่ะ ขืนให้เราหยิบกันเองแบบนั้น คงมีไม่พอให้หยิบแน่เลย (มั้ง)

การรักษาความปลอดภัยก็ดีมาก พนักงานทุนคนต้องมี Key Card รูดก่อนขึ้นลิฟต์ ถ้าเข้าลิฟต์แล้วไม่รูดบัตรผ่าน จะกดชั้นที่ทำงานของเราไม่ได้ค่ะ ออกมาจากลิฟต์แล้วใช่ว่าจะผ่านเข้าไปได้ ต้องรูดบัตรอีกรอบก่อนเข้า บางคนอาจสงสัยว่าแล้วคนนอกที่มาติดต่อทำยังไง ชั้นรับแขกอยู่อีกชั้นหนึ่งค่ะ คนนอกกดชั้นนั้นได้ เดินเข้าไปหาประชาสัมพันธ์ที่ชั้นนั้นได้ แต่จะเดินขึ้นบันไดหนีไฟมาชั้นที่เราทำงานและเก็บเอกสารสำคัญไม่ได้ เพราะจะออกจากบันไดหนีไฟมาชั้นทำงานก็ต้องใช้บัตรผ่านอีกเหมือนกัน ที่ทำงานของแต่ละหน่วยงานจะมีการล็อคชั้นของตนเองและต้องใช้บัตรผ่านของหน่วยงานตัวเองเท่านั้น จะเดินไปไหนเลยต้องมีบัตรผ่านเหน็บกระเป๋าติดไว้ตลอด

ระหว่าง 2 สัปดาห์แรกนั้น ฉัน Beni (หนุ่มอินโด) และ Nan (สาวอินโด) ตกลงกันว่าเราจะหาที่พักที่อยู่ร่วมกัน 3 คนเพราะเรามีช่วงเวลาทำงานเท่ากัน การลงทุนซื้อของใช้ในบ้าน (ทีวี อุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์ทำความสะอาด) จะได้ประหยัดกว่าไปอยู่คนเดียว แน่นอนว่าแม่ฉันไม่รู้หรอกว่าลูกสาวโสดสนิทของแม่ต้องไปอยู่ร่วมบ้านกับผู้ชาย และแน่นอนว่ายังไงฉันก็บอกให้แม่กลุ้มใจเรื่องนี้ไม่ได้แม้ว่าฉันจะไม่ได้กลุ้มใจอะไรเลย

เราหาข้อมูลที่พักตามหนังสือพิมพ์ จากนั้นนัดนายหน้าแต่ละที่ แค่เช่า apartment ยังต้องผ่านนายหน้าเลยค่ะ Manager คนหนึ่งใจดีมาก ช่วยขับรถพาเราไปดูตามที่ต่าง ๆ สุดท้ายพวกเราก็ถูกใจที่พักบนเนินเขาแห่งหนึ่ง วิวสวยค่ะ มองไปด้านหน้าบ้านออกไปไกลๆจะเห็นอ่าว มองไปด้านหลังก็เห็นแนวต้นสนทึบเชียว บางวันมีเฮลิคอปเตอร์บินมาแถวนั้นเพราะปีก่อนหน้ามีพายุ ทำให้ต้นไม้หลายต้นล้มโค่นลงมาด้วยแรงลม เฮลิคอปเตอร์เลยมาตามเก็บท่อนไม้เหล่านั้น เฮ้อ วันดีคืนดี นอนๆอยู่ ท่อนซุงพวกนั้นจะกลิ้งมาอยู่บนตัวเรามั้ยนะ เราคุยกันอย่างตลกๆอย่างนี้ตลอดล่ะค่ะ แต่ฉันก็นอนสวดมนต์ภาวนาขอให้ปลอดภัยทุกคืนค่ะ

บ้านของเรา



บ้านเช่าของเรามี 2 ชั้นค่ะ ต้องขึ้นบันไดไป ใต้ถุนเป็นโรงจอดรถ จอดได้ 1 คันแต่ว่างโล่งเพราะพวกเราไม่มีรถ ข้างบนเป็นห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางและห้องครัว ด้านหลังเป็นสวนเล็ก ๆ ที่เจ้าของบ้านเช่าจะมารดน้ำ ตัดต้นไม้อาทิตย์ละครั้ง ในสวนมีดอกไม้สวย มีดอกลิลลี่และดอกอะไรต่อมิอะไร เพื่อนคนอินโดไม่ค่อยสนใจแต่ฉันดูจนอิ่มตาได้บ่อยๆค่ะ ส่วนชั้นบนมี 2 ห้องนอนใหญ่ 1 ห้องนอนเล็กและ 1 ห้องน้ำ ฉันนอนห้องอยู่ทางปีกห้องน้ำ เพื่อนอินโดนอนฝั่งตรงข้ามห้องน้ำ Beni หนุ่มอินโดที่ภรรยาที่อยู่ที่อินโดกำลังตั้งท้องลูกคนแรกเป็นผู้เสียสละยอมนอนห้องเล็กแทน Nan สาวอินโดที่เพิ่งแต่งงานได้ 1 เดือนก่อนมาที่นี่นอนห้องใหญ่ติดกับห้องของ Beni เราเลยหารค่าห้อง Beni น้อยลง

ดอกไม้ในสวนหลังบ้าน ดอกลิลลี่บานเท่าหน้าคนเชียว









ค่าไฟที่นี่แพงหูดับเลยล่ะ พวกเราไม่รู้และคิดไม่ถึงว่าจะแพงขนาดนั้น เราเสียค่าไฟกันเดือนละหลายร้อยเหรียญเพราะเราใช้ Heater กับเครื่องอบผ้ากันอย่างสบายอกสบายใจ มารู้ก็ต่อเมื่อผ่านไป 2 เดือน Heater ก็เปิดน้อยลง ใช้ผ้าห่มไฟฟ้าแทน ผ้าก็เลิกอบแต่เอาไปตากที่สวนหลังบ้านแทน เราไม่เคยตระหนักว่าเราจะเสียค่าไฟมากเพราะ Beni เคยอยู่ New York มาก่อนและ Nan เคยอยู่ Brisbane มาก่อนก็ไม่เคยเจอว่าการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบนี้จะต้องเสียค่าไฟมากเท่าที่ New Zealand เป็นประสบการณ์ราคาแพงเชียวล่ะกับเรื่องค่าไฟที่นั่น




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2551    
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 18:15:06 น.
Counter : 582 Pageviews.  

# 2 Interview

ไม่ใช่ว่าหน่วยงานเราคัดเลือกคนมาแล้วก็จะไปทำงานที่โน่นได้เลย ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกค่ะ

ปีที่ฉันสมัครไปนั้น คล้ายเป็นปีตกรุ่น คือ เขาคิดว่าจะตัดประเทศไทยแล้ว แต่จู่ๆนึกยังไงขึ้นมาก็ไม่รู้ ให้โควต้า Secondee จากประเทศไทยสักคนก็แล้วกัน ช่างประจวบเหมาะกับที่ตัวฉันหมดภาระพอดี ไม่ต้องไปนั่งเรียนหนังสือภาคค่ำแล้ว เลยตัดสินใจสมัครไป มีคนสมัครหลายคนอยู่ล่ะ ที่ทำงาน screen แล้วก็เลือกเหลือ 3 คน จากนั้น Director ชาว NZ ซึ่งเป็นตำแหน่งรองจาก GM (ระดับสูงสุดของหน่วยงาน) ก็บินมาสัมภาษณ์ถึงเมืองไทย และเขาตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวว่าจะเอาใครไปหรือจะไม่เอาใครไปเลย

ฉันจับสลากได้เข้าสัมภาษณ์เป็นคนสุดท้ายล่ะ นั่งรอสัมภาษณ์ร่วมชั่วโมง Director คนนั้นสัมภาษณ์คนเดียวค่ะ เขาใช้เวลาสัมภาษณ์คนละครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ พอถึงรอบคิวข้าฯ เขาเดินออกมาเข้าห้องน้ำ ฉันแอบเห็นแก้วน้ำในห้ององสัมภาษณ์เลยขอน้องที่อำนวยการสัมภาษณ์ว่าขอน้ำไปดื่มระหว่างสัมภาษณ์ด้วย 1 แก้ว ไม่งั้นตูคงต้องกลืนน้ำลายดูเขาดื่มน้ำระหว่างคุยกันแน่เลย

เขากลับมาจากเข้าห้องน้ำ (เออ ฉากนี้มันสำคัญยังไงหว่า ถึงต้องใส่ ) แนะนำตัวเขาแล้วก็ให้ฉันแนะนำตัวตามลักษณะคำถามเบสิค หลังจากนั้น คาดว่าเขาคงถามคำถามวิชาการเกี่ยวกับงานที่ฉันทำ แต่เขาไม่ถามลงลึกในเนื้อหางาน อาจเป็นเพราะเห็นว่าฉันมีประกาศนียบัตรทางวิชาชีพซึ่งตรงกับลักษณะงานที่ต้องไปทำที่โน่นอยู่แล้วก็เป็นได้ เขาถามเรื่องทั่วๆไปเกี่ยวกับงานของหน่วยงานในไทย แค่นั้นก็กินเวลาไปร่วม 15 นาทีแล้ว จากนั้นก็ถามว่า

เขา: ทำไมถึงสนใจสมัครไปทำงานที่โน่น

ฉัน: ฉันอยากออกไปจากกรุงเทพฯชั่วคราว ฉันอยากรู้ว่าที่ NZ ที่ว่าเงียบสงบนั้น มันเป็นอย่างไร (ทำหน้าจริงจังมาก ไม่พูดถึงงานเลย......โปรดฟังอีกครั้ง นิ่งไปสักพัก เริ่มรู้ตัว เริ่มนึกได้ เลยบอกต่อว่า...) แล้วฉันก็อยากรู้ด้วยว่า Software xxx. ที่ทางหน่วยงานคุณใช้อยู่มันทำงานยังไง จะได้เอามาปรับใช้กับงานของฉันไงล่ะ

เขา: (ยิ้มคล้ายๆ รู้ทันน่ะ) ในใบสมัครของคุณ คุณเคยไปที่ประเทศ....(ขอปิดนะ ส่วนตัวจ้า) มาก่อน อยู่ที่โน่นไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง

ฉัน: หืม...(แอบงง) เอ่อ...เที่ยวหลายที่ เช่ารถกับเพื่อนไปเที่ยวที่.........(ก็เล่าไป...ซะ)

ระหว่างนั้น คู่สนทนาก็วาดแผนที่ตำแหน่งของเมืองที่ไปเที่ยวตามไปด้วย และเสริมเรื่องเที่ยวเป็นระยะ คล้ายว่าบางที่ เขาเคยไปมาแล้วมั้งไม่แน่ใจ และระหว่างที่เล่าไป ฉันก็จิบน้ำไป มิเสียแรงที่อุตส่าห์หยิบติดมือเข้ามาด้วย

เขา: เพื่อนชาติอะไร

ฉัน: เพื่อนคนไทย แต่ละ trip ก็เปลี่ยนหน้าไปเรื่อย มีเพื่อนอยู่หลายที่

เขา: เวลาว่างชอบทำอะไร

ฉัน: อ่านนิยาย

เขา: นิยายเรื่องเกี่ยวกับอะไร เล่าให้ฟังหน่อย

ฉัน: (ก็เล่า....น้ำเน่าซะไม่มี)

เขา: ดูหนังหรือเปล่า

ฉัน: ดูบ้างแต่ไม่บ่อย

เขา: เรื่องสุดท้ายที่ดู เรื่องอะไร

ฉัน: The Day After Tomorrow เคยดูมั้ยคะ

เขา: เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เล่าให้ฟังหน่อย เอาแบบสรุปๆนะ (ทำหน้าแบบไม่เคยดูจริงๆ แต่คงกลัวว่าต้องฟังเรื่องยาว เลยต้องกำชับตอนท้าย )

ฉัน: เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เปิดฉากมาก็หิมะตกที่อินเดีย จบด้วยน้ำท่วมเมือง New York หิมะตกเต็มยาวไปถึง Mexico ทำให้ฉันนึกถึง Kyoto Protocol ที่บางประเทศไม่ยอมเข้าร่วมสนธิสัญญานี้

เขา: ถ้าพูดถึง New Zealand นึกถึงอะไร

ฉัน: นึกถึง Kiwi ที่เป็นได้ทั้งคน ผลไม้และนก

เขา: (เขายิ้มล่ะ) ถ้าได้ไป จะเตรียมตัวทันมั้ย (ต้องเดินทางอีก 2 สัปดาห์ถัดไป) ผมรู้ว่าทางเราตัดสินใจค่อนข้างกระทันหันที่ให้โควต้ากับประเทศไทยในปีนี้

ฉัน: ทันค่ะ (แหงล่ะ ใครๆก็ต้องตอบแบบนี้ ) ไม่ได้มีงานค้างอะไรที่นี่

เขา: ขอให้โชคดี สวัสดี

ฉัน: ขอบคุณและหวังว่าจะได้เจอกันอีก

หมดไปร่วม 45 นาที คนสุดท้ายแล้วนี่ ไม่ต้องกลัวว่าใครต้องมานั่งรอ

หลังสัมภาษณ์ ฉันไปคุยกับเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนที่เข้าสัมภาษณ์ก่อนหน้า เขาบอกว่าฟังไม่ค่อยออก สำเนียงคน Kiwi ฟังยากจริงๆ ยอมรับ แล้วคนไทยเราส่วนใหญ่ชินกับสำเนียง American เพราะดูหนัง Hollywood เยอะ ฉันเองก็ Pardon me, Again please, Do you mean….. อยู่หลายหนเหมือนกัน ส่วนลักษณะของคำถาม ก็เจอคล้ายๆ กัน เกี่ยวกับงานบ้าง นอกเรื่องบ้าง แต่พอนอกเรื่อง อีก 2 คนเขากลับตอบไม่ค่อยได้ ประมาณว่าไม่ได้เตรียมมา (ทำไมต้องเตรียมล่ะ ก็มันนอกเรื่องนี่นา)

เย็นวันนั้น อดีต Secondee หลายคนที่เคยไปทำงานที่นั่นพาเขาไปเลี้ยงข้าวเย็น ฉันมีเพื่อนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เพื่อนช่วยล้วงความลับแต่ความลับไม่ยักรั่วออกจากปาก เขาบอกว่าเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ

ยกบทสัมภาษณ์จริงที่พอจำได้มาให้ดูเป็นตัวอย่างค่ะ เผื่อว่าใครต้องสัมภาษณ์เป็นภาษาที่เราไม่ถนัด จะได้รู้ว่า พวกตะวันตก เขาจะมีคำถามนอกเรื่องมาถามด้วย




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2551    
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 19:19:52 น.
Counter : 367 Pageviews.  

# 1 Secondee คือ...

ขอเกริ่นนำ....

ตั้งใจจะเขียนเรื่องราวที่ไปเป็น Secondee ในต่างบ้านต่างเมืองมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2005 แน่ะ เผอิญปีที่แล้ว (2550) มีคนถามในห้องสีลมว่าปีหน้าอยากทำอะไร ก็เลยคิดว่าเขียนบันทึกเรื่องนี้ลง blog ไว้ดีกว่า แต่ก็...นะ ขี้เกียจจัง เขียนสะสมมาเรื่อยๆ รอให้เหตุการณ์บางอย่างคลี่คลายถึงจะเอามาลง ว่าไปแล้วก็รอมาหลายปีอยู่น้า แต่...ดูๆแล้วคงไม่เป็นไปตามที่หวัง

บางคนที่ทำงานเอกชนมาอ่านแล้วคงงั้นๆ ประมาณว่า ของชั้นก็มีเหมือนกัน แต่ว่า...ระบบราชการบ้านเรามันไม่ค่อยมีแบบที่เห็นน่ะค่ะ คนที่เคยเป็นข้าราชการก็เลยตื่นตา ตื่นใจ...และตกใจ ว่าทำไมบ้านเรามันเป็นแบบนี้

จริงๆอยากลงเนื้อหาเกี่ยวกับงานบ้าง คิดไปคิดมาก็อย่าดีกว่า เรื่องที่เกี่ยวกับที่ทำงานเดิมคงต้องสงวนไว้เป็นความลับ มิกล้าพาดพิง ก็เลยคิดว่าเขียนอย่างอื่นที่ไม่ต้องเกี่ยวโยงก็ได้นี่ เขียนในสิ่งที่เราอยากจะจำ ว่าจะรอให้แก้ไข ให้เรื่องราวมันสมบูรณ์กว่านี้ แต่แหม! ไอ้คำว่าสมบูรณ์นี่มันก็นิยามยากเหมือนกัน แต่ละจุดเวลาก็มีความสมบูรณ์ในตัวเอง อยากแก้ไขเมื่อไหร่ ค่อยแวะเข้ามาละกัน


-----------------------------------------

นิยามของคำว่า Secondee

ได้มาจาก //www.dreye.com/tw/bbs/read.phtml?num=2&id=42580&loc=0&thread=42580

Secondee is an employee who is on temporary assignment under the terms of a formal secondment arrangement.

A secondment is where one employer ("Secondor") makes available one of its employees to another employer ("Secondee") who manages that employee as part of its business or undertaking.


ก่อนอื่น ต้องแนะนำก่อนว่า Secondee คืออะไร

Secondee คือพนักงานชั้น 2 ของ Office ค่ะ เอ๊ย ไม่ใช่ ไปเป็นพนักงานแลกเปลี่ยน ทำงานชั่วคราวกับหน่วยงานนั้นต่างหาก คือ เราก็เป็นพนักงานประจำของที่ทำงานเรา แต่เราไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน โดยทำงานกับหน่วยงานอื่นที่หน่วยงานเรามีข้อแลกเปลี่ยนด้วย งงมั้ยคะ

สมมติว่า พนักงานธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง อยากรู้ว่าระบบการตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทยนี่เขาทำกันอย่างไรนะ จะได้ทำให้ถูกต้อง ธนาคารพาณิชย์แห่งนั้น (หน่วยงานที่พนักงานคนนั้นสังกัดอยู่)ก็อาจทำความตกลงกับธนาคารแห่งประเทศไทย ขอให้พนักงานของตนไปทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสมชั่วคราวในธนาคารแห่งประเทศไทย คล้ายๆเป็น On the Job training พอพนักงานธนาคารคนนั้นได้ทำงานในระยะหนึ่ง อาจเป็น 3 เดือนหรือ 6 เดือนหรือ 9 เดือนหรือ 1 ปี แล้วแต่ระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะได้เรียนรู้ แล้วก็กลับมาทำงานที่ธนาคารของตนตามเดิม พนักงานคนนั้นจะได้ความรู้ในอีกแง่มุมหนึ่งที่ใช้สนับสนุนการทำงานของที่ทำงานตัวเองได้ ส่วนเรื่องเงินเดือน แล้วแต่ข้อตกลงเช่นกันว่าระหว่างที่ทำงานนั้น หน่วยงานไหนจะเป็นผู้จ่ายเงินเดือน

หน่วยงานของรัฐก็ทำได้เช่นกัน จะแลกเปลี่ยนตัวระหว่างหน่วยงานก็ได้ แต่ไม่แน่ใจว่ามีทำแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า เช่น เอาคนกรมบัญชีกลางไปอยู่ที่กองคลังของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเพื่อเรียนรู้งานของฝ่ายที่ถูกกำหนดให้ต้องทำโน่น ทำนี่ส่งกรมบัญชีกลาง จะได้รู้หัวอกของคนที่ต้องทำรายงานส่ง เป็นต้น

ที่เคยเห็นมาจากต่างประเทศ อย่างหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นที่ทำเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ส่งคนไปเป็น Secondee ที่ ADB (Asian Development Bank) เป็นเวลา 1-3 ปีแล้วแต่ตำแหน่ง พอจบเทอมก็กลับมาทำงานที่เดิม ตำแหน่งเดิม

ที่ประเทศไทยก็มีข้อตกลงแบบนี้เช่นกัน อดีตหัวหน้าหน่วยงานที่ทำงานของฉันไปทำความตกลงแบบนี้กับอดีตหัวหน้าหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งใน New Zealand เพื่อขอให้ข้าราชการคนไทยไปเป็น Secondee ที่นั่น จะเป็น 3 เดือน 6 เดือนหรือ 12 เดือนก็แล้วแต่ความกรุณาของเขา ต้องเรียกว่าความกรุณาเพราะเราไปเรียนรู้ โดยที่เขาช่วยออกค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ให้ เขาจ้างคน NZ ทำงานย่อมดีกว่าเสียเงินมาจ้างพนักงานชั่วคราวอย่างเรา แล้วคนเอเชียที่ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษไม่ดีเท่าบ้านเขา แถมยังไม่รู้เกี่ยวกับระบบการบริหารงานทางการเงินและการคลังของบ้านเขา จะเอาไปทำงานให้หน่วยงานเขาเสียทรัพยากรทั้งเงินและเวลาในการสอนงานไปทำไม

(ขอสงวนชื่อหน่วยงานที่เคยทำงานนะคะ)

แต่โครงการนี้ก็เกิดขึ้นมาได้เกือบสิบปี ฉันเป็น Secondee คนสุดท้ายของโครงการนี้ล่ะ ทำไมถึงไม่มีรุ่นต่อจากฉัน เป็นเพราะฉันไปทำชื่อเสียให้กับหน่วยงานล่ะมั้ง ไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆนะคะ แต่เป็นเพราะว่าเขาต้องการตัดงบฯช่วยเหลือเราต่างหาก อีกทั้ง อดีตหัวหน้าทั้ง 2 หน่วยงานก็ไม่อยู่แล้ว ข้อตกลงระหว่างหน่วยงานเลยดูจะเลือนๆไปจากความทรงจำของหัวหน้าหน่วยงานคนใหม่ของทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อมิตรไมตรีเลือนหาย ผลประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ ทำไมจะต้องมาให้ความช่วยเหลือหน่วยงานเราอีก ฉันเลยกลายเป็น Secondee รุ่นสุดท้ายไปซะ

ข้อตกลงแบบนี้ เขาไม่ได้ทำกับประเทศเราประเทศเดียว เขาเคยทำกับประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซียด้วยและตัด 2 ประเทศนั้นไปหลายปีแล้วล่ะ นอกจากนี้ยังทำกับอินโดนีเซียด้วย สำหรับอินโดนีเซีย ได้ข่าวว่ายังรับทุกปีนะ แต่เป็นเพราะเขามีสัญญาใจอย่างอื่นกับทางอินโดนีเซียด้วยต่างหาก ช่างมันเถอะ สาระสำคัญที่จะเล่าคือเรื่องการบริหารจัดการและชีวิตคนทำงานที่โน่นต่างหาก อาจจะมีนอกเรื่องบ้างคงไม่ว่ากันนะ และหากหัวหน้าหน่วยงานไหนสนใจโดยเฉพาะหน่วยงานรัฐ คุณก็สามารถริเริ่มโครงการแบบนี้ได้เช่นกัน




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2551    
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 19:19:02 น.
Counter : 4488 Pageviews.  

1  2  3  4  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.