Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

#13 กับใครที่ประทับใจที่นั่น

มีผู้คนไม่กี่คนที่ผ่านเข้ามาให้ระลึกถึงได้แม้ในยามที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาหลายปี

มีเพื่อนของเพื่อนที่ฉันได้ใกล้ชิดสนิทสนมด้วย คนหนึ่งเป็นผู้หญิงชาวฟิจิ เชื้อสายอินเดีย ตัวใหญ่ ดื่มเหล้าเก่งมากและมาดนักเลงพอตัว เพื่อนที่เมืองไทย (อดีต Secondee) ได้ฝากฝังให้เธอช่วยดูแลฉัน แต่เธอลาออกจากที่ทำงานแห่งนี้ไปแล้ว เราเลยไม่ได้มีโอกาสอันดีที่จะมาเจอกันจนกระทั่งวันคล้ายวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่ง มีเพื่อนที่มีเชื้อสายสิงคโปร์ในออฟฟิศชวนฉันไปงานวันเกิดของคนคนหนึ่งที่ฉันไม่ได้รู้จักอะไรเลย แต่งานนี้ทำให้ฉันได้พบกับ Minnie ผู้หญิงชาวฟิจิคนนั้น

หลังจากนั้น เราก็ติดต่อกันเรื่อยมา บางที Text ข้อความหากันจนมือไม้จะหงิกเพราะช่วงเสาร์ อาทิตย์เป็นโปรโมชั่นของ Vodafone ให้ส่งข้อความฟรี นึกขำอยู่บางครั้งที่ส่ง Text หากันอยู่ได้ทั้งที่โทรหากันก็ไม่ได้เสียค่าโทรศัพท์เพราะโทรศัพท์บ้านเหมาจ่ายอยู่แล้ว เรานัดดูหนังกันบ้าง ไปเล่นพูลกันบ้าง (ฉันหัดเล่นพูลได้ 3-4 ครั้งก็ชักจะมีฝีมือพอต่อสู้กันได้ จนคนสอนโวยวายว่า เธอหลอกชั้นใช่ม้ายว่าไม่เคยเล่นมาก่อน อ้าว...คนมันมีทักษะกีฬาดีนี่นา ช่วยไม่ได้จ้า ) ฉันไปนั่งดูเธอกินเหล้า (อ้อ...แล้วก็ถูกหัดให้กินเล็กน้อยแต่พองาม จะได้เข้ากับบรรยากาศ ) พร้อมกับเชียร์ทีม All Black ขวัญใจของเธอบ้างหรือเวลาเธอจะไปซื้อของที่ชานเมืองที่ขายของถูกกว่าในเมืองโดยต้องขับรถไป เธอก็จะหยิบยื่นน้ำใจอันดีหอบหิ้วฉันกับ Flat Mate ของฉันไปด้วย

Minnie ชอบทำตัวเป็นพี่สาวทั้งที่อายุอ่อนกว่าฉัน 3 ปี ครั้งหนึ่งที่เจอกับหนุ่มแปลกหน้า เป็นวิศวกรชาวศรีลังกาที่ทำงานอยู่ตึกใกล้ๆกัน เขาเคยโทรมาตอนที่ฉันอยู่กับ Minnie เท่านั้นแหละ ยัยนี่ก็ซักแล้วซักอีกว่าเป็นยังไงมายังไง เตือนไม่ให้ฉันวางใจคนแปลกหน้า เรื่องไม่ได้จบแค่ตรงนั้น เราส่ง sms หากันทั้งวันด้วยเรื่องนี้ ส่งไปส่งมากลายเป็นทะเลาะกันแล้วเธอก็บอกว่าเธอจะไม่มายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉันอีก ก็...ซึมน่ะสิ ไม่เข้าใจว่าจะต้องห่วงอะไรกันมากมาย เธอทำเหมือนฉันเป็นเด็กเล็กและดูแลตัวเองไม่เป็น แต่สุดท้าย ฉันก็เลิกติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้น คนที่ใกล้ชิดทางกายกันมากที่สุดแค่เดินจูงมือข้ามถนน ไม่ใช่เพราะ Minnie แต่เพราะรู้ว่ามีความแตกต่างหลายอย่างระหว่างเรา อย่างไรก็ตาม ยัยสาวฟิจิก็พออกพอใจที่เราเลิกรากันไปได้นั่นล่ะ

นึกถึงตอนนี้ ถ้ายัย Minnie อยู่ใกล้ๆ คงบอกว่า เห็นมั้ยล่ะ ชั้นบอกแล้วว่าไว้ใจไม่ได้ ^ ^ แต่ก็นั่นล่ะ ฉันนึกถึงว่า เวลาที่ฉันจะเลิกรากับใคร มันต้องมาจากการตัดใจของฉันเอง ทุกสิ่งเริ่มที่ใจเราเองทั้งนั้น จะผูกพันกับใคร จะยึดสายใยที่เคยมีกับใครไว้ หรือจะปล่อยให้มันผ่านไป เกิดจากใจของเราเอง ถ้าใจไม่วาง เวลาที่ผ่านไปอาจจะช่วยบรรเทาอาการนั้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเราวางมันลงอย่างสนิทใจ เมื่อมีเหตุให้คลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้นมาใหม่ ปัญหานั้นก็ยังคงอยู่ ต่อเมื่อได้วาง...วางด้วยความรู้สึกตัว วางด้วยความเต็มอกเต็มใจแล้วต่างหาก ถึงจะรู้ว่าความสบายใจคืออะไร

Minnie ทำเรื่องดีๆให้หลายเรื่อง เป็นเพื่อนคุยที่ดีไปกระทั่งการเอื้อเฟื้อให้ฉันไปพักค้างคืนที่ห้องของเธอช่วงที่ฉันคืนห้องก่อนกลับเมืองไทยประมาณสองสัปดาห์และคิดว่าคงต้องไปเช่าโรงแรมอยู่แทน การได้ไปค้างกับเธอ ทำให้ความใกล้ชิดสนิทสนมมีมากขึ้น ฉันนอนคนเดียวมาตั้งแต่ชั้นประถม แทบไม่ได้นอนเตียงเดียวกับใครนานมากแล้วเว้นแต่ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่นั่นก็แค่ไม่กี่คืน การได้นอนเตียงเดียวกับ Minnie นานติดต่อกันขนาดนั้น ใครพลิกอีกฝ่ายก็รู้สึก ก็แปลกๆดีเหมือนกัน

ไปนั่งให้เธอทำกับข้าวให้กิน นั่งดื่มไวน์ด้วยกัน เช่าหนังมาดูที่ Mini theater ในคอนโดของเธอ ยังไม่นับการเกาหลังให้เธอก่อนนอน (ทำหน้าที่ผู้อาศัยที่ดีนะนี่ ) วันที่เธอไปส่งฉันที่สนามบิน เรานั่งเงียบๆรอเครื่องบินออก จนได้เวลาขึ้นเครื่องก็กอดกันครั้งสุดท้ายก่อนจากกัน น้ำตาแทบหยดแน่ะ ^ ^ ฉันถือว่าการได้รู้จักกับใครสักคนบนโลกใบนี้ ได้มอบน้ำจิตน้ำใจที่ดีให้แก่กัน ช่างเป็นเรื่องที่ดีงามซึ่งระลึกถึงเธอครั้งใดก็มีความสุขทุกครั้งไป Minnie ทำให้ฉันมีความสุขทุกครั้งไม่ว่าจะส่ง email หรือเขียน Postcard หาก็ตาม

รูปถ่ายในห้อง Minnie มีแต่เธอกับฉัน มีอยู่รูปเดียวตรงห้องครัวที่ไม่มีใคร ไม่กล้าเอารูปเธอมาลงอ่ะ เดี๋ยวเจ้าแม่ผ่านมาเห็นเข้า ต้องโดนยำข้ามประเทศแน่ ก็บอกแล้วว่านักเลง ของจริง


นอกจาก Minnie แล้วก็ยังมี Mary สาวที่มีเชื้อสายชาวสิงคโปร์แต่กลับพูดได้ภาษาเดียวคือ ภาษาอังกฤษ Mary เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกคนหนึ่ง เธอค่อนข้างปิดตัวเอง กว่าเราสองคนจะสนิทสนมกันได้ก็ใช้เวลานานอยู่หลายเดือน เธอเป็นคนที่ค่อนข้างตามใจคนโดยเฉพาะเจ้านาย เป็นคนที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง สั่งให้ทำอะไรก็ทำ บางทีฉันก็อึดอัดใจแทนแต่งานใครงานมัน เราไม่ก้าวก่ายกัน เผอิญว่าบ้านพักของฉันอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมาก เดินไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น หลายๆครั้งที่ฉันรู้ว่าเธอต้องทำงานอยู่เย็นหรือต้องมาทำงานวันหยุด ฉันจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ นั่งเล่น Internet บ้างหรือทำอะไรอื่นฆ่าเวลาไปบ้าง บางทีก็ซื้อ Subway แบบ Foot long มาแบ่งกัน มิตรภาพของฉันกับ Mary เป็นไปอย่างช้าๆแต่มั่นคง ถึงตอนนี้ เธอก็มี Hi5 ให้ฉันไปนั่ง ‘ment เล่นอยู่คนเดียว เราส่ง email และ Postcard หากันบ้าง ทุกวันเกิดจะต้องส่งคำอวยพรถึงกัน ทักทายกันได้บ่อยๆตามวิธีสื่อสารที่เราจะเลือกใช้
(We eat Subway because we want to collect stamps .. to exchange for one sandwish and then start collecting stamp again )

ผู้คนที่ Office ก็น่ารักดี ส่วนไม่ดีเราลืมไปหมดแล้ว จำได้แต่ที่ดีๆอ่ะ

มีเด็กผู้ชายที่เพิ่งจบ ท้าพนันกันในที่ทำงานด้วยเบียร์ 1 pack มั้งว่าใครจะไว้จอนและหนวดได้งามกว่าใคร ส่ง Email ไปทั่วที่ทำงาน แม้แต่ GM ก็ได้รับด้วย ที่นี่ไม่ค่อยถือลำดับชั้น เรื่องราวสนุกสนานแบบนี้หรืออย่างที่ท้าดวลเดินเร็วขึ้นเขา หรือวันเกิดใคร ก็จะส่ง email cc ไปให้ทุกคน งานประกวดหนวดและจอนไม่ต้องให้หมายเลข ให้จำหน้าและจำชื่อไว้แล้วสังเกตพัฒนาการของแต่ละคน จากนั้นก็ส่งโหวตไป คนที่แพ้ต้องออกค่าเบียร์ให้คนที่ชนะ น่ารักดี (ดีตรงที่เราได้มองชายหนุ่มแต่ละคนอย่างจังๆ โดยไม่ต้องแอบไงล่ะ 555 )


Flat Mate ชาวอินโดนีเซียสองคนของฉันก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น

ผู้หญิงอินโดชอบทำกับข้าวในขณะที่ผู้ชายอินโดก็กินเก่งและกินง่าย ผู้หญิงอินโดชอบอ่านหนังสือทำให้ฉันมีเพื่อนไปห้องสมุดและคุยกันเรื่องหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้กันได้ เราคุยกันมากมายหลายเรื่อง เป็นผู้หญิงชอบเม้าท์พอๆกัน ติดนิยาย Shopaholic เหมือนกัน และนั่งรอ Desperate Housewife เวลาค่ำเหมือนกัน Flatmate ผู้หญิงเพิ่งแต่งงานได้ประมาณหนึ่งเดือนก่อนมาที่ Wellington พอสนิทกันมาเข้า เธอก็เล่าเรื่องความรักของเธอ เล่าเรื่องสามีของเธอ เล่าลึกไปถึงคืนแรกของวันแต่งงานของเธอว่ามันเป็นยังไง สาวโสดอย่างเราเลยอมยิ้มตาโตหูผึ่ง นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจและได้รู้ว่า อืม...อะไรเป็นอะไร ก็เพื่อนสาวไทยไม่ยักจะมีใครเล่าได้ลงลึกแบบนี้เลยนี่นา แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เธอไม่ประทับใจกับเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ ถึงได้ดีใจที่ได้หนีสภาพนั้นมาอยู่ที่ Wellington ชั่วคราว

ผู้ชายอินโดก็น่ารัก เป็นเดือดเป็นร้อนว่าห้องนอนไม่มีกลอนกันเลย กลัวๆเหมือนกันล่ะ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่นา แต่พออยู่ไปก็เริ่มไว้ใจ เขาเรียบร้อยดีและไม่เรื่องมาก เว้นแต่ช่วงที่ Flate mate ผู้หญิงออกไปทำงานต่างจังหวัด ก็นึกๆว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายฉันหรือเปล่านะ เอามือถือไว้ข้างหมอน มีอะไรก็คงโทรหา Steve (Mentor ของฉันและของ Flat mate คนอินโดด้วย) หรือไม่ก็ Minnie ก่อนนั่นล่ะ ไม่รู้ว่ามองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่าน้า แต่เขาก็ดีนะ ช่วยทำให้เราอุ่นใจเวลาต้องซ่อมโน่นซ่อมนี่ในบ้าน หรือแม้แต่ห้องน้ำอุดตัน อีกอย่าง การช่างเข้าสมาคมของเขาทำให้เรารับรู้ว่าสังคมผู้ชายของคนในที่ทำงานเป็นอย่างไรกัน กลายเป็นแหล่งข่าวทั้งหลายเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆมักมาจากเพื่อนผู้ชายชาวอินโดคนนี้ รู้แม้กระทั่งผู้หญิงคนนั้นเป็นกิ๊กกับผู้ชายคนนี้ เรื่องฉาวๆ แบบ Melrose Place ไม่ได้เกิดแค่ที่ L.A. นี่นา




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2552 17:15:26 น.
Counter : 400 Pageviews.  

#12 Holidays

ที่นี่ให้วันลาเยอะดี รวมแล้วประมาณ 15 วันต่อปี ยิ่งช่วงคริสต์มาสแล้วยิ่งได้หยุดยาวเป็นอาทิตย์ แต่เราอยู่กันไม่ถึงช่วงนั้นก็กลับซะก่อน อาจเป็นเพราะวันหยุดนักขัตฤกษ์ของบ้านเขาไม่มากเท่าบ้านเราก็ได้ วันหยุดรวมอาจจะพอๆกัน แต่การได้วันลาพักผ่อนเยอะแบบนี้ ทำให้ไปเที่ยวที่ไกลๆสะดวกดี นอกจากนี้ ตอนที่ทำล่วงเวลาไป สามารถเปลี่ยนเป็นวันหยุดแทนก็ได้ เลือกได้ว่าจะเอาเป็นเงินหรือจะเอาเป็นวันหยุด ซึ่งฉันและ Flatmate ชาวอินโดขอเปลี่ยนเป็นวันหยุด ทำให้เรามีเวลาร่วมสิบวันในการเดินทางไปเที่ยวทั่วเกาะเหนือและเกาะใต้ (ก็บอกแล้วว่าเป็นจุดประสงค์หลัก )

ไปเที่ยวที่ไหนกันมาบ้าง

วันว่างๆที่ไม่ได้ไปไหนไกลแต่อยากอยู่กับธรรมชาติ นอกจากสวนดอกไม้หลังบ้านแล้ว ก็ยังมี Botanic Garden ที่ใช้เวลาเดินจากบ้านไปไม่ถึง 5 นาที

รูปจาก Botanic Garden ค่ะ มีบางวันเบื่อๆ เดินไปปุ๊บก็เจอเทศกาลดอกทิวลิป ชาวบ้านชาวช่องแห่กันมาดูมากมาย เราอยู่ใกล้ๆ ยังไม่รู้เลย เด็กหลังเขาอย่างแท้จริง










อีกที่ที่ชอบมากคือ Sanctuary Life เป็นเหมือนอุทยานแห่งชาติแต่อยู่ใกล้กับเมืองมากๆๆๆ นั่งรถเมล์ไปไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว ชอบที่นี่มากค่ะ ร่มรื่นและสงบ (จริงๆแค่ Botanic Garden ก็สงบเหลือใจแล้ว) พื้นที่ก็กว้างมากๆ เหมือนป่าแห่งหนึ่งแต่เป็นป่าที่อยู่ใกล้เมือง ถ้าอยู่นาน คงทำบัตรประเภทอยากมากี่ครั้งก็มาไปแล้วล่ะ (เสียค่าธรรมเนียมการเข้า) มีทางเดินป่าหลายเส้นทาง จะเอาแบบระยะสั้นไม่กี่กิโลจนไปถึงเป็นแบบสิบกิโลเดินรอบป่าเลยก็ได้ โอย...ถูกใจ













เรื่องราวที่ไปเที่ยวเกาะเหนือและเกาะใต้ จำรายละเอียดไปค่อยได้แล้วล่ะ ขอเวลาทบทวนก่อน




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551    
Last Update : 21 ตุลาคม 2552 18:21:34 น.
Counter : 373 Pageviews.  

#11 Around Office

ใต้ถุนตึกมีร้านกาแฟและร้านขายอาหารในตัว อาหารไม่แพงมากนักแต่ก็เป็นราคาพิเศษสำหรับเราอยู่ดี กินได้เดือนละไม่เกิน 2 ครั้ง (ปกติเราจะออกไปกินอาหารนอกบ้านแบบหรูๆ คือ มื้อละ 10-15 เหรียญขึ้นไปตอนวันหยุด ส่วนวันธรรมดาเลือกแบบ 5 เหรียญหรือไม่ก็ทำเอง หุงข้าว ทำกับข้าวเอง ไม่ก็ขนมปังทาโน่นทานี่เรื่อยไป) แต่ที่นี่มี muffin อร่อยมากๆๆๆๆๆ ค่ะ Blueberry Muffin ก้อนใหญ่ อุดมไปด้วย Blueberry นี่ของโปรดของฉันเชียวล่ะ ราคา 3.50 เหรียญและเป็นอะไรที่ยอมควักกระเป๋าสตางค์จ่ายออกไปโดยไม่เสียดาย ซึ่งราคานี้จะซื้อขนมปังแถวได้ตั้ง 2 แถวเชียวนะ และความอร่อยของมันนี่ล่ะที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้เพิ่มดียามกินกับไมโลชงด้วยนมสดแทนน้ำร้อน โห..เขียนไปยังน้ำลายไหลไปเลยนะนี่

รอบๆออฟฟิศมีอะไรบ้าง

เอาเรื่องสถานที่ดีกว่า มองจากที่ทำงานออกไปก็เป็นตึกร้างแห่งหนึ่งซึ่งสถานฑูตไทยเป็นเจ้าของ ก็นึกแปลกใจว่าทำไมไม่เอาไปทำประโยชน์ ที่แถวนั้นมีราคาแพง ถ้าเอาตึกนี้ออกให้เช่า ทำร้านอาหารก็ได้หรือแม้แต่ทำที่จอดรถก็คงสร้างรายได้ให้กับสถานฑูตมากมาย แต่คุยกับเจ้าหน้าที่สถานฑูต เธอบอกว่าระเบียบอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ทำไม่ได้ จะของบประมาณมาปรับปรุงก็ไม่ได้ ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน รู้แต่ว่าทางเวลลิงตันได้ส่งจดหมายเตือนมาแล้วให้ปรับปรุงสถานที่ให้ดูน่ามอง ก็ตึกร้าง มีทั้งขี้นกและยังมีขี้ยาอาศัยอยู่อีก น่ากลัวอยู่ไม่เบาหรอก

รูปของตึกดังว่า










ถัดจากตึกร้างไป เป็น Supermarket ขนาดใหญ่ ฉันเป็นคนชอบเดินซื้อของ ดูของใน Supermarket ค่ะ ไม่รู้ทำไม คงจะถูกชะตากับอะไรที่กินได้มากกว่าพวก Mall หรือร้านตามห้าง ปกติจะต้องซื้อของกลับที่พักสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ไปที่ร้านขายของเอเชียในเมืองอีกเดือนละสองครั้ง แต่บางทีก็ไปได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ก็เลิกงาน เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ยิ่งถ้า flat mate มาบอกว่าของที่ฉันชอบตอนนี้ลดราคาอยู่ อาจจะเป็นกล้วยหอม กีวี แครอท น้ำผลไม้หรือนมหรือโยเกิร์ตยี่ห้อที่ชอบ ฯลฯ ก็คงต้องแวะเวียนไปมากกว่าหนึ่งครั้ง เช่นเดียวกันกับ Flat Mate ของฉันที่ต้องแวะเวียนไปเช่นกันถ้าฉันบอกเธอว่า ฉันเห็นอันโน้น อันนี้ลดราคาและรู้ว่าเป็นของโปรดของเธอ


ความที่บ้าเดิน supermarket มาก บ้าขนาดที่ว่าครั้งหนึ่งมีไฟไหม้ที่ตึก ต้องเดินลงมายืนหนาวอยู่ข้างนอก รอเขาจัดการ รอได้สักพักก็หันไปเห็น...เจ้า Super เพื่อนรัก เลยเดินไปหลบหนาวในนั้นดีกว่า กระเป๋าตังค์ก็เอาออกมาด้วย ไม่มีปัญหาสำหรับสาวนักช้อบ ว่าจะเดินดูโน่นดูนี่เฉยๆนะ เพราะจะถือถุงพลาสติคเดินเข้าไปทำงานตอนที่เขาจัดการเรื่องไฟเสร็จคงจะไม่งาม

เดินไปก็เหลือบมองที่ลานไป อ้อ...ยังมีคนยืนอยู่เพื่อรอให้ทางดับเพลิงจัดการควันที่พุ่งมาจากชั้นสาม เหลือบหลายรอบจนย่ามใจ เลือกถั่วดีกว่าว่าจะเอาแบบไหนดี ที่นั่นมีถั่วหลากหลายชนิดให้เลือก ทั้งถั่วลิสงธรรมดา ถั่วอัลมอนด์ แมคคาเดเมีย พีคอน โอ๊ย...ลายตา แต่ละแบบก็มีแบบเค็มบ้าง หวานบ้าง จืดๆบ้าง เลือกไปเลือกมาก็ได้มาสองสามแบบ แต่พอตอนจ่ายเงินแล้วเหลือบไปที่ลานอีกที เฮ้ย...คนหายไปไหนหมดแล้วหว่า ก็เลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปทำงานหลังจากที่เขาจัดการดับควันไฟไปเป็นชาติแล้ว


ส่วนอีกที่หนึ่งที่ยังไงก็ต้องพูดถึงคือ ร้านกาแฟของคุณ Jessee เขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกันที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ มีร้านกาแฟเป็นรถเคลื่อนที่แต่ไม่เคยเคลื่อนไปไหน จอดอยู่หน้าตึก วันหยุดก็ปิดร้านแล้ววางร้านกาแฟเขาไว้อย่างนั้นล่ะ ไม่เคยถามประวัติเขาหรอกนะ ก็เขาทำฉันเขินไปตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน คุณ Jessee ทักฉันว่า Hello Darling
แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาได้แทบทุกครั้งถ้าเขามองเห็นฉันและไม่มัวโม้กับลูกค้าผู้หญิงรายอื่นอยู่ My Sweet heart บ้าง ดีไม่ดีมี I love you Darling ตะโกนลั่นมาจากในร้าน ฉันถาม Flat Mate ว่าทำไมต้องเป็นฉันคนเดียวด้วยหว่า ก็เดินมาด้วยกัน หรือเป็นเพราะ Flat Mate โพกผ้า เขาเลยกลัวเรื่องการลบหลู่ทางศาสนา หรือเป็นเพราะคิดว่าทำดีกับฉันแล้วฉันจะซื้อกาแฟร้านเขา แต่ฉันเป็นแฟนของ Fuel ไปแล้วนี่นา (Hot Chocolate ของ Fuel อร่อยมาก ขอบอก) ยังไงก็แล้วแต่ ฉันยิ้มหวานให้เขาทุกครั้งล่ะ คนมีไมตรีมาทั้งที จะทำหน้าบึ้งใส่ไปใย

Jessee รู้ได้ไงว่าฉันทำงานที่ไหนก็ไม่รู้นะ แต่คนขายกาแฟอย่างเขาคงสืบได้ไม่ยาก บางวันที่เดินไปทำงานข้างนอกแล้วผ่านร้านเขา เขาก็จะถามไถ่ว่าไปไหน เราก็บอกสถานที่ที่เราจะไป แค่นั้นจบ แต่บ่ายวันหนึ่ง วันที่ฉันใกล้จะกลับเมืองไทยแล้วเดินผ่านร้านของเขา เขาเรียกฉันเข้าไปหา บอกว่ารู้แล้วว่าฉันจะกลับบ้าน (เดาว่าต้องมีใครที่ออฟฟิศบอกเขาแน่เลย) ถามว่าบ้านอยู่ไหน แล้วก็แนะนำตัวว่าเขามาจากไหน มีภรรยามีลูกแล้ว และอยากจะมอบน้ำผลไม้ให้ฉันหนึ่งแก้วเพื่อให้รำลึกถึงเขา น้ำผลไม้นี้ผสม ‘Passion Fruit’ ด้วย โอ้โห...เจอไม้นี้เข้าก็เลยต้อง Shake Hand กันสักหน่อยเพื่อบอกลา (ลืมถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกน่ะ ทำไมไม่เคยคิดจะถ่ายรูปกับเขาก็ไม่รู้สิ แย่จังเรา) เอาน้ำผลไม้แก้วนั้นไปแบ่งให้ Flat Mateที่นั่งอยู่อีกฟากของออฟฟิศให้ช่วยกิน บอกว่าเผื่อฉันเป็นอะไรไป จะได้มีเพื่อนไปโรงพยาบาลด้วยกัน

สรุปแล้ว Jessee เป็นเจ้าของร้านกาแฟหน้าตึกที่เจอกันทุกเช้าและส่งคำหวานให้ฉันได้แทบทุกวัน จริงๆเขาทำแบบนี้ให้ผู้หญิงอีกหลายๆคนค่ะ ผู้หญิงที่เขาส่งคำหวานให้เป็นพวกที่ไม่เอาเรื่องเอาราวกับเขาทั้งนั้นล่ะ ยังไม่เคยเจอลุงชงกาแฟโบราณที่ไหนในเมืองไทยโหวกเหวกและห่ามได้เท่ากับคุณ Jessee เลยค่ะ

รูปรถกาแฟของ Jessee






เยื้องๆกับออฟฟิศเป็นตึกรัฐสภา Behive หรือรังผึ้ง ไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับของบ้านเราและไม่ได้ลับลมคมในจนถึงกับห้ามผ่าน เวลาลงจากเขา (เดินจากบ้านมาในเมือง ต้องลงเขามาค่ะเพราะเป็นเด็กดอย) ก็เดินทะลุอาณาเขตรัฐสภาได้บ่อยๆ เป็นเหมือนตึกที่ทำงานตึกหนึ่งที่ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายน่ะ ถึงตอนนี้ยังนึกสงสัยว่า หากมีใครมาประท้วงยึดทำเนียบ คนที่นั่นจะทำยังไงนะ ก็เขาอยู่กันสงบมานาน อยู่กันแบบสงบๆโดยที่ไม่ต้องประกาศว่าตัวเองเป็นคนที่ “รักสงบ” จ้า




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551    
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 19:48:58 น.
Counter : 585 Pageviews.  

#10 Enjoy Eating

กระแส Innovation มาแรงค่ะ ที่ออฟฟิศก็เลยขอให้พนักงานช่วยกันคิดว่าจะทำอะไรให้เกิดเป็น Innovation ขึ้นในสำนักงานได้บ้าง ก็มีการเสนอกันไปหลายอย่าง คัดสรรว่าจะเอาอันไหนมาใช้ดี มีอันหนึ่งที่ฉันชอบมากคือ Fruit bowl มีพนักงานบอกว่า ออฟฟิศควรจะมีสวัสดิการให้กับพนักงานในเรื่องของว่าง บางทีเครียดๆก็อยากหาอะไรกินแต่จะกินพวกของขบเคี้ยวหรือช็อคโกแล็ตก็ไม่เป็นการดีต่อสุขภาพ สำนักงานจึงน่าที่จะจัดเตรียมผลไม้เอาไว้เป็นจุดๆ เวลาหิวหรือเครียด ได้กินผลไม้ก็จะช่วยบรรเทาไปได้

ข้อเสนอนี้ได้รับการอนุมัติค่ะ เราเลยได้กินผลไม้หลากหลายชนิดทุกวัน มีทั้งกล้วย ส้ม กีวี แอ๊บเปิ้ล ลูกแพร์ ฉันนึกถึงบ้านเราน่ะค่ะ ถ้าเป็นบ้านเรา อาจต้องเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่คงเอาทุเรียนมาไว้ในชามไม่ไหวมั้ง แล้วถ้าเป็นลักษณะนี้ ผลไม้ที่ว่าจะอยู่ในชามได้นานสักกี่นาที แน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีใครมุบมิบเอากลับบ้าน คนอินโดก็บอกไว้เหมือนกันว่า ถ้าเป็นบ้านเขา คนคงหอบกลับบ้านไปหลายลูก ที่นี่ก็มีค่ะ พนักงานหยิบกล้วยหรือส้มที่กินง่ายติดมือไปบ้าง อ้างว่าเอาออกไปกินตอนทำงานข้างนอก ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะตอนที่ออกไปด้วยกัน ก็เห็นเขาหยิบผลไม้ที่เก็บมาจาก Fruit Bowl ออกมากินยามพัก

น้ำชากาแฟในห้องครัวมีพร้อมอยู่ทุกวันเหมือนบ้านเราน่ะค่ะ แต่ที่นิวซีแลนด์ แทบทุกที่จะมีนมสดหลากหลายประเภทให้ ไม่ว่าจะเป็น Low fat หรือแบบธรรมดา และมีไมโลตั้งไว้คู่กันกับกาแฟ เจออย่างนี้เข้าไป คนไม่ชอบกินกาแฟอย่างฉันก็ยอมแพ้ทางให้กับไมโลแทน วิธีกินไมโลให้อร่อยยามที่มีอุปกรณ์พร้อมขนาดนี้แล้วล่ะก็ ต้องแบบนี้เลยค่ะ....

เอานมในตู้เย็นใส่ถ้วย อุ่นหนึ่งนาทีจนนมร้อน เสร็จแล้วเอานมออกมา ตักไมโลใส่ไปสามช้อนโต๊ะ แค่นี้ก็ทำให้น้ำหนักเพิ่มแบบไม่ลืมหูลืมตาแล้วล่ะค่ะ ยิ่งถ้าได้กินกับบลูเบอรี่มัฟฟินเจ้าอร่อยจากร้านใต้ตึกนะ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เป็นอย่างนั้นเลย




แต่ช่วงหลังเริ่มรู้สึกตัว กลัวว่ากลับไปเมืองไทย ต้องซื้อชุดใหม่ทั้งหมด เลยเปลี่ยนมาเป็นชาร้อน เติมนมแทน คนที่นี่ชอบกินชาใส่นม อร่อยดีนะ ชาที่ออฟฟิศเป็นชายี่ห้อ Twinings มีหลายกลิ่นหลายรสให้เลือก ทั้งสตรอเบอรี่ ทั้งมะนาว หมดจากไมโล ยังได้ดื่มชาอย่างเอร็ดอร่อยไปอีก

ชอบจังเลย สวัสดิการแบบนี้






 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551    
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 19:42:59 น.
Counter : 753 Pageviews.  

# 9 Sports Challenged

คนที่นิวซีแลนด์คลั่งใคล้กีฬาค่ะ จำได้ว่าวันแรกไปที่ออฟฟิศ ตอนที่ Steve พาไปเยี่ยมชมและให้โทรศัพท์กลับบ้าน มองออกไปที่ Stadium เห็นคนเดินเป็นแถวยาวกันไปที่นั่นเพราะมีแข่ง Rugby ยิ่งตอนที่มีการแข่งระหว่าง All Black กับ Lion (ทีมรวมจากฝั่งอังกฤษและไอร์แลนด์ ถ้าจำไม่ผิด) ผู้คนออกมาดูกีฬาตามผับตามโรงแรมกันแน่นขนัด เดินไปตามท้องถนนก็มีแต่เสื้อสีดำ (All Black) กับเสื้อสีแดง (Lion) แถมยังเดินไป ตะโกนไป All Black, All Black, All Black เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิคะ คืนนั้นเลยต้องตะโกนเชียร์ไปกับเขาด้วย จริงๆคือไปกับเพื่อนชาวกีวีน่ะค่ะ นัดกันออกไปดูเกมส์กันที่โรงแรมหนึ่ง ยังไงก็ต้องเชียร์ All Black อยู่แล้ว

ที่บอกว่าเป็นสายเลือดก็เพราะว่าเขาใกล้ชิดกับการเล่นกีฬาทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เคยมีช่วงหนึ่งที่ทำงานดึกๆ กว่าจะเลิกก็ 3 ทุ่ม เพื่อนผู้หญิงที่ทำงานด้วยกันคลายเครียดด้วยการไปเตะบอลหลังเลิกงาน สถานที่ก็เป็นที่โล่งใกล้ที่ทำงาน ไม่ต้องอาศัยสนามเตะบอลก็ได้ อายุเธอก็ประมาณ 23-24 น่ะค่ะ เพิ่งจบได้ 2 ปี เป็นผู้หญิงคล่องแคล่วที่ช่างแต่งตัว อย่ามองเธอเป็นสาวทอมไปล่ะ คงไมใช่ทุกคนที่เป็นแบบเธอหรอกนะคะ เผอิญว่าเธอเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาอยู่แล้วด้วย แต่ฉันนิยมวิธีคลายเครียดแบบนั้นจัง

ที่ทำงานส่งเสริมให้เล่นกีฬากันค่ะ การส่งเสริมไม่ใช่การจ่ายค่าสมาชิกสโมสรที่ไหนให้ แต่เป็นรูปแบบของการให้งบประมาณ ที่นี่ จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เราทำงานกันหนักมาก อยู่ดึกกันเป็นเดือนและหัวหูยุ่งกันเป็นแถบๆในช่วงนั้น หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่จะเริ่มทำงานดึกๆกัน พวกผู้ชายก็ทำโครงการเล็กๆเสนอ GM ของบประมาณไปซื้อเครื่องดื่ม (เบียร์เป็นรายการหลัก ) และขนมขบเคี้ยวเพื่อเล่นรักบี้กันในหมู่คนในออฟฟิศและจัดปาร์ตี้เล็กๆฉลองกันที่บ้านของพนักงานคนหนึ่งก่อนเริ่มงานหนัก ช่างเป็นข้ออ้างที่ฟังดูงั้นๆมั้ยคะ แต่กล้าขอ GM ก็กล้าอนุมัติค่ะ มีหลักฐานว่าจัดจริงเพราะคนจัดแจ้งพนักงานทุกคนในออฟฟิศให้ไปร่วมงานนี้ด้วย เพื่อนคนอินโดที่เป็นผู้ชายเขาไปมาแล้วก็มาเล่าให้ฟัง บอกว่าเล่นกีฬาตอนกลางวันและมีปาร์ตี้ตอนกลางคืนจริง

นอกจากกีฬาที่ของบประมาณเพื่อเล่นกันเองแล้ว ยังมีกีฬาที่เล่นกับคนต่างออฟฟิศด้วย มีสำนักงานอื่นที่อยู่ในแวดวงการทำงานเดียวกัน นัดกันมาในเสาร์หนึ่งเพื่อเล่นกีฬากัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างคนในวงการเดียวกันดีนะคะ และที่น่านิยมมากคือตารางเวลาในการเล่น ตอนแรกเห็นตารางเวลาแล้วก็...แปลกๆ สำนักงาน A แข่งกับสำนักงาน B เวลา 9.55 am หรือสำนักงาน A แข่งกับสำนักงาน C เวลา 10.25 am ทำไมไม่ทำให้เป็น 9.30 หรือ 10.30 ก็ได้ แต่จริงๆคือ เขารักษาเวลากันมาก แข่งตามเวลาที่กำหนดไว้ในตารางเป๊ะเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อนะ เขาพยายามจัดตารางเพื่อแข่งให้เสร็จในวันเดียวกัน การบริหารเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ส่วนกีฬาที่เล่น นอกจากฟุตซอลแล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่เล่นเหมือนแชร์บอลแต่ชู้ทลงห่วงแทนคนถือตะกร้า ไม่ได้มีการแบ่งผู้หญิงผู้ชาย เป็นทีมผสม ใครอยากเล่นก็ลงมาเล่น แถมเล่นกันแบบไม่เกรงใจด้วย คือ ผู้ชายไม่เกรงใจว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะต้องยอมให้ เพื่อนผู้หญิงคนเดิมที่บอกว่าไปเตะบอลแก้เครียดหลังเลิกงานก็ลงเล่นในงานนี้ด้วย ออฟฟิศให้งบประมาณค่าน้ำ ค่าขนมและแซนด์วิชเป็นอาหารกลางวันมาให้ค่ะ

ที่ทำงานที่เมืองไทยยังไม่ค่อยเห็นลักษณะนี้ในวงการที่ตัวเองทำงานอยู่นะ ซึ่งถ้ามีได้คงจะดี แต่เมืองไทย มักเน้นพิธีรีตองมากกว่า ใครจะมาเป็นประธานเปิดงาน ของรางวัลจะเป็นอะไร ใครจะเป็นคนมอบโล่ห์ เฮ้อ...

นอกจากเล่นกันเป็นทางการแบบนี้แล้ว มีแบบที่ไม่เป็นทางการด้วยนะ คุณ Benjamin หนุ่มหล่อกล้ามโตคนเดิมท้าผู้คนให้มาเดินแข่งกับเขา เขาส่ง email หาทุกคนใน Wellington Office ในเช้าวันหนึ่งที่อากาศเริ่มอุ่นว่า เขาได้เดินจากออฟฟิศ ผ่านไปทาง Botanic Garden และยาวไปถึงจุดโน้นจุดนี้ โดยใช้เวลา.....นาที มีใครสนใจจะลบสถิติดังว่าก็เชิญได้ อันนี้เป็นการส่งคำท้าหาทุกคนรวมถึงผู้บริหารด้วย วันถัดมา คุณ GM บอกว่าเดินไปตามเส้นทางดังกล่าวแล้ว ใช้เวลา.....นาที วันถัดมาก็มีคนโน้นคนนี้ส่งสถิติมาให้ดูกัน เป็นเรื่องที่น่ารักเรื่องหนึ่งที่ฉันประทับใจเกี่ยวกับคนที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551    
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 19:26:25 น.
Counter : 421 Pageviews.  

1  2  3  4  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.