Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

กลัว

วันนี้กระสับกระส่าย นั่งนิ่งๆอารมณ์ดีตอนเช้าได้ไม่ถึง 5 นาทีก็ไม่ไหวแล้ว ใจมันส่ายไปโน่นมานี่ มาทำงานก็ส่ายได้ทั้งวัน อ่ะนะ ดีได้ก็ร้ายได้เป็นธรรมดา ไม่ชอบใจยังไม่รู้ตัวเองอีก

ปลูกต้นอะไรๆใน Farmville เสร็จ รอเก็บผลผลิตเย็นนี้ก่อนออกเดินทางพรุ่งนี้ เอ...ที่มันกระสับกระส่ายเป็นเพราะเรื่องของเราหรือเรื่องของใครกันแน่

เรื่องของใครก็เงินของใคร จะไหลไปทางไหนคงแล้วแต่ท่านฯ ได้แต่รออาจารย์วรเจตน์ออกมาตีความ รู้ตัวว่าอ่านคำพิพากษาไปคงไม่รู้เรื่องตามเคย เบาปัญญาขนาดนี้จะไปรู้เรื่องอะไรกับใครเขาได้ ผลจะออกมาว่ายังไง บ้านเมืองยังคงคุกรุ่นด้วยไฟร้อนอยู่ดี

ส่วนเรื่องของเรา ก็...กลัว ไม่เคยคิดว่าจะเป็นคนกลัวผี เคยอยู่บ้านคนเดียวมาหลายปี ไม้ลั่นยังไงก็ไม่กลัว แต่พอไปอยู่คนเดียวในที่ที่ไม่มีไฟฟ้า มันกลัวน่ะ ไม่รู้ทำไม คราวที่แล้วก็กลัวๆๆๆมากมาย แต่คราวที่แล้วมีคนไปด้วยกัน มีอะไรก็ตะโกนเรียกใครๆได้ คราวนี้ไปคนเดียว
แค่คิดถึงเรือนไม้ลั่นเมื่อคราวก่อน ใจก็เต้นแรงแล้ว ประสาทดีแท้ แล้วยังอยากจะไปอีก ถ้าเผื่อเอาชนะความกลัวได้ จะภูมิใจมั้ยนะว่า “กูเก่ง”

แม่น่ารัก อยากได้เทียนเล่มใหญ่ๆ ไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน บอกแม่แค่นั้น เขาไปเดินเยาวราช ครั้งเดียวก็หอบเทียนเล่มโตมาให้ลูกสาวแล้ว อืม...เราว่าแม่ความจำดีมากๆๆ แม้ว่าวัยจะใกล้ 80 แล้วแต่แม่ไม่ค่อยลืม นัดอะไรกับใครก็จำได้แม่น ดีจัง เรื่องเทียนก็บอกแม่ไป 2 ครั้งเอง ซื้อมาให้แล้ว แม่ยังบอกว่า ขอแม่ไปด้วยคนสิ เฮ้อ...แม่เดินไม่ค่อยไหวนี่นา จะไปเดินขึ้นเดินลงเรือนไม้อย่างนั้นได้ยังไงกัน และที่สำคัญ ถ้าเรากลัว...อะไรก็ไม่รู้ในความมืด แม่น่ะ กลัวยิ่งกว่าเราหลายเท่า

ตอนนี้ กลัวใจตัวเอง ด้วยหรือเปล่า?
เออแฮะ กลัวมันเหมือนกันแหละ บางวันดี บางวันอาจดีมากจนเปลี่ยนใจ กลับไปทำดีกับใครเหมือนก่อนก็ได้ กลัวมันจะดีมากเกินไป อะไรที่มัน “เกิน” ไป มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักหรอก

กลับมากลัวต่อ
กลัว...กลัวการปรุงแต่งของใจตัวเอง




 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2553 17:21:58 น.
Counter : 483 Pageviews.  

เรื่อยเรื่อย มา เรียงเรียง

อารมณ์ดี บ้าชะมัดเลย เขามีเรื่องวุ่นวายกัน ยัยนี่ยังมีอารมณ์ดี เกิดทำนองเพลงนี้ดังขึ้นมาในหัวอยู่ได้ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มีมาเรื่อยๆ พักทีก็เข้าไปอ่านที เขาว่ากันไปถึงไหนแล้ว


นึกอยากบันทึกเรื่องราวยิบย่อยรอบตัวขึ้นมาซะงั้นแหละ

วันก่อนไปเดินหาอาม่าที่วังหลัง อาม่าขายหมวกคลุมผมอาบน้ำ ใบละ 19 ถ้าซื้อ 2 ใบ คิด 35 บาท เอาตะกร้าสี่เหลี่ยมห้อยคอแล้วยืนขายอยู่ในซอยที่พลุกพล่านนั้นแหละ ความที่เราอาศัยอยู่หลายบ้าน เลยต้องมีหมวกคลุมผมประจำไว้แต่ละบ้าน แต่ไม่ได้ซื้อทีเดียว แวะเวียนไปซื้อทุกสามเดือน คิดถึงแกน่ะ ตอนปีใหม่ ว่าจะซื้อไปแจกคนที่ทำงาน แต่หาอาม่าไม่เจอ แย่จัง อาม่าอายุ 79 แล้วล่ะ ใกล้ๆกับแม่เราเลย ไม่รู้ว่าใครทำงานหนักกว่าใคร แต่ดูอาม่าอารมณ์ดีนะ รู้สึกดีทุกครั้งที่ตามหาแกเจอแล้วได้ช่วยอุดหนุนหมวกคลุมผมน่ะ

...........

เพื่อนสนิทโทรมา เรื่องตัดสินใจเอียงไปทางที่ทำงานใหม่ เขาเสนองานตำแหน่งสูงเงินเดือนดีมาให้ แต่ยังลังเลเรื่อง work life balance ยิ่งคุยก็ดูมีแนวโน้มจะไปที่ใหม่ ตอนแรกเราใจหาย เห็นแก่ตัวเองที่จะไม่มีเพื่อนมาพูดคุยเหมือนเก่า แต่พอเวลาผ่านไปสักพักก็ชักเฉยๆ เออ...ไปเถอะ เพราะเราเองก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน มีอะไรบ้างที่แน่นอนล่ะ

................

ผู้จัดการคนหนึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อตอนบ่าย เมื่อปลายปีก่อนโน้น เขาเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด อาการแย่จนคิดว่าตายแน่แล้ว แต่กลับรอดมาได้ มีชีวิตอยู่ต่อมาได้เป็นปี โอกาสที่ใครคนหนึ่งผ่านห้วงเวลาความเป็นความตายมาแบบนั้น คงมีไม่มากนัก คงไม่เกิดกับทุกคน เขากลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเพราะไม่ได้งดแอลกอฮอร์ตามที่หมอสั่งห้ามไว้ หลังการฉลองปีใหม่ ก็ส่งผลอย่างที่เห็น เฮ้อ...น่าเสียดาย

..................


พี่ที่ทำงานเล่าให้ฟังว่า ญาติผู้ใหญ่ของเธอบ่นว่าลูกสาวแต่งงานไป ตอนนี้ที่บ้านเหลือแต่ “ตัวผู้” 2 ตัวที่ไม่ช่วยทำงานบ้านเลย ฟังแล้วก็...ทำไมเขาถึงไม่หันกลับมามองตัวเองล่ะว่าเลี้ยงลูกมายังไง ระยะเวลาที่เลี้ยงลูก ไม่ใช่แค่วันเดียว เดือนเดียว ปีเดียวซะเมื่อไหร่ เมื่อไม่ยอมสอนให้ลูกชายช่วยทำงานบ้าน จะมาบ่นเพื่ออะไร ไม่รู้ว่าเรานี่เข้าขั้น Feminist หรือ Feminuts กันแน่ แต่เรื่องงานในบ้านนี่ ไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิงฝ่ายเดียว งานในบ้าน ไม่ได้หมายความว่างานบ้าน แต่เป็นงานทุกอย่างในบ้านที่แบ่งให้ทำตามความถนัดได้ อย่างถ้าเราถูบ้าน ขัดห้องน้ำ พี่ชายต้องล้างจาน ซ่อมหลังคา ซ่อมราวผ้าม่าน ทำทางเดินสายไฟ ตัดต้นไม้ ไม่รู้ใครสอนนะ รู้แต่ว่าโตมาแบบที่ต้องช่วยกันทำงานในบ้าน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หลายครั้งที่เห็นแม่บ้านบางบ้านทำงานบ้านคนเดียว ก็นึกเซ็งๆน่ะ นี่มันไม่ใช่การรักลูกอย่างถูกทางนี่นา

.......................

ประเด็นถกเถียงกันเกี่ยวกับครูบาอาจารย์ที่สวนฯ ก็ตามอ่านจากหลายๆที่ ตัวละครในนิยายกำลังภายในก็พอรู้จักจากการอ่านกระทู้เก่าๆ อ่านแล้วก็...แย่จัง

หรือเราควรจะออกไปเป็นพยานบ้างว่า ชีวิตดีขึ้นจริงๆ ค่ะ มีวิธีมองทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในแง่มุมไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันไม่มีอะไรที่หนักหนาเหมือนก่อน หากไม่ได้มาศึกษาธรรมที่ท่านสอน จิตใจคงไม่พัฒนามาได้แบบนี้แน่ๆ เป้าหมายชีวิตคงไม่เด่นชัดเท่านี้แน่ ความเข้าใจต่อพุทธศาสนามีมากขึ้น ความเข้าใจต่อผู้คนรอบตัวดีขึ้น แต่จะไปถึงที่สุดของการพ้นทุกข์ในชาตินี้ เราไม่ได้หวังถึงขนาดนั้น ก็รู้ตัวว่าขี้เกียจนี่นา

ศีลบริบูรณ์ขึ้น วจีกรรมนี่ชัดเจนมากๆ ว่าพัฒนาขึ้น ทำทานด้วยความเบิกบานใจ แม้ว่าจะไปอยู่ในกล่องใสของมูลนิธิแห่งนั้นอยู่ไม่น้อย เกิดเรื่องขึ้นมาก็กลับมาถามตัวเองว่า เสียดายเงินมั้ย...อืม...ไม่ยักจะมีความเสียดายนะ ทำแล้วทำเลย ยังสุขใจอยู่เมื่อนึกไปถึงตอนที่ได้ทำ ขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่อย่างน้อยก็เคยเป็นสื่อกลางให้เราไปรับสื่อมากมาย และไปนั่งอ่านหนังสืออยู่บ่อยๆ

นึกถึงสถานที่ทั้งสองแห่งที่ไปฟังธรรมอยู่บ่อยๆ นึกถึงภาพงามตายามเห็นหลวงพ่อกราบพระที่อาวุโสกว่า แม้พระเหล่านั้นจะมาเรียนกรรมฐานกับท่านก็ตาม ใครน้า ช่างกล่าวหาเรื่องที่ท่านไม่เคารพพระที่อาวุโสกว่า ยังไม่นับคำพูดที่ท่านพูดถึงครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ถ้าไม่อคติจนหูบอด ก็รับรู้ได้ไม่ยากนักหรอกจากน้ำเสียงน่ะ

ในช่วงหนึ่ง เคยนึกสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าศรัทธาจะล้ำหน้าไปหรือเปล่า ก็เลยไปตรวจสอบคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดถึง ตามไปอ่านงานของอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านพูดถึง ถ้าไม่ได้เรียนรู้กายและใจของตัวเองมาก่อน พวกห่างวัดอย่างเราคงจะเข้าใจยากเหมือนกัน เพราะเคยอ่านอะไรอะไรมาพอสมควร แต่มันไม่ซาบซึ้ง ไม่ ‘เข้าใจ’ ได้เหมือนตอนนี้ จนแม้ไปเรียนกรรมฐานกับครูบาอาจารย์วัดป่า ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกแยกจากกันนี่ ‘ห้ามขี้เกียจ’ คำเดียวก็พอแล้วในการก้าวเดินเส้นทางนี้ต่อไป

แต่เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ได้เตือนตัวเองว่า อย่าไปคาดหวัง อย่าไปยึดติดกับครูบาอาจารย์ ท่านจะอยู่หรือท่านจะไป เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตัวเราเองก็มีวาระของตัวเองเช่นกัน จะเร็วหรือช้าก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ได้แต่เตือนตัวเองว่า...‘อย่าขี้เกียจนะ’




 

Create Date : 21 มกราคม 2553    
Last Update : 21 มกราคม 2553 20:58:14 น.
Counter : 621 Pageviews.  

อันดับคดีที่ยุติธรรม ?

FW mail จากเพื่อน...

Stella Awards เป็นการจัดอันดับคดีที่ชนะมาได้อย่างไม่น่าเป็นไปได้ประจำปี ของประเทศสหรัฐอเมริกา


ที่มาของ Stella Awards เริ่มมาจากคดีแรกที่คุณยาย Stella Liebeck อายุ 81 ปี วางถ้วยกาแฟ้ร้อนที่ซื้อมาจากแม็คโดนัล สาขานิวเม็กซิโก เปิดฝาแล้ววางหนีบไว้ที่หว่างขาระหว่างกำลังขับรถ โดนกาแฟลวกเข้า ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายก้อนโต... ชนะซะงั้น ก็เลยเกิดการประกวดประชันความซื่อบื้องี่เง่าของเหล่านักกฏหมาย ทนายความ ผู้พิพากษา ลูกขุน...ออกแนวประชดๆ กัน

มาดูกันว่า 7 อันดับ คดีประหลาดประจำปีนี้มีอะไรบ้าง

อันดับ 7
แคทลีน โรเบิร์ตสัน อยู่ที่ ออสติน เท็กซัส หกล้มหัวเข่าแตกในร้านขายเฟอร์นิเจอร์เนื่องจากโดนเด็กคนหนึ่งวิ่งชนเอา ฟ้องจ้าของร้านเรียกค่าเสียหาย 80,000 เหรียญ เด็กคนที่ว่านี้เป็นลูกชายของเธอเอง!!! ยุติธรรมเกินไปหรือเปล่า


อันดับ 6
คาร์ล ทรูแมน อายุ 19 อยู่ที่ ลอส แองเจลีส
พยายามขโมยฝาครอบล้อรถ ฮอนดา แอ็คคอร์ดของเพื่อนบ้าน ก้มลงไปแกะไม่ทันดูว่าเจ้าของรถเค้าอยู่บนรถ ล้อรถทับมือเข้า ฟ้องเจ้าของรถ งานนี้ได้ไป 74,000 เหรียญไม่รวมค่ารักษา


อันดับ 5
เทอเรนซ์ ดิกสัน เมืองบริสตอล เข้าไปโขมยทรัพย์สินในบ้านหลังหนึ่งแล้วออกทางโรงเก็บรถที่มีประตูอัตโนมัติ แต่กลไกมันเสียอยู่พอดี พยายามเปิดยังไงก็ไม่ได้ จะย้อนเข้าบ้านประตูบ้านก็ล็อกไปแล้วเหมือนกัน บังเอิญเจ้าของไม่ได้กลับบ้าน 8 วัน ดิกสันต้องกินอาหารหมากับเป๊บซี่ที่อยู่ในโรงรถ พอออกมาได้ ฟ้องร้องค่าเสียหายเอากับบ.ประกันของเจ้าของบ้าน
ผู้พิพากษาคงคิดว่าน่าสงสารจัง สั่งจ่ายไป ห้าแสนเหรียญค่ะ


อันดับ 4
ที่ อาร์คันซอร์ เจอรี่ วิลเลียม ปีนเข้าไปในเขตบ้านเค้า เอาหนังสติ๊กไปยิงหมาที่เค้าล่ามโซ่อยู่ โดนมันกัดก้นเอาเข้า มีหน้าไปฟ้องร้องเรียกค่าทำขวัญกะค่ายาจากเจ้าของหมาอีก ได้ไป 14,500 เหรียญ นี่ถ้าไม่ไปยิงหมาให้มันโมโหก่อน ผู้พิพากษาบอกว่าจะได้มากกว่านี้


อันดับ 3
รายนี้เป็นสาวชื่อ แอมเบอร์ คาร์สัน ทะเลาะกะแฟนในร้านอาหารที่ฟิลาเดนเฟีย เอาเครื่องดื่มสาดหน้าแฟนแล้วเดินสะบัดจากมา ลื่นล้มน้ำที่เปียกอยู่บนพื้นซะเอง ก้นกบแตก

เจ้าของร้านเป็นฝ่ายจ่ายค่าเสียหายให้ "หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยเหรียญ"อย่างงงๆ ว่า มันเกี่ยวไรกะตูเนี่ย!?!


อันดับ 2
รายนี้ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ คารา วัลตัน ดูเหมือนว่าหลีกเลี่ยงการเข้าห้องน้ำทางประตูของไนท์คลับแห่งหนึ่งเพราะไม่อยากเสียตังค์ 3.5 เหรียญ เธอมุดเข้าทางหน้าต่าง หน้าคะมำฟันหน้าหักไปสองซี่ หน้าไม่อายฟ้องไนท์คลับค่าเสียสวย ได้ไป 12,000 เหรียญ


อันดับ 1
ซื่อบื้อสมศักดิ์ศรีรางวัลผู้ชนะมากมายค่ะ


นางอะไรเนี่ย ชื่อเหมือนรัซเซียเลย Mrs. Merv Grazinsk อยู่โอกลาโฮมา
ไปซื้อรถบ้านยี่ห้อ Winnebago รถที่เป็นบ้านด้วยน่ะค่ะ ยาวตั้ง 32 ฟุต
ไปดูฟุตบอลเสร็จก็ขับไปตามถนนหลวงเพื่อจะกลับบ้าน เกิดหิวขึ้นมา ก็เลยตั้งให้รถเป็นแบบขับความเร็วคงที่ 70ไมล์ ต่อชั่วโมง (cruise control) แล้วก็เดินไปทำแซนวิซกิน เหมือนปกติที่บ้านมั้ง คิดได้ไงเนี่ย

รถก็ตกถนนสิ พลิกคว่ำพลิกหงาย เป็นความโชคร้ายของบ.ขายรถ เธอไม่ยักเป็นไร แต่ลุกขึ้นมาฟ้องบริษัทรถ Winnebago


ฟ้องว่า.....ฟ้องว่า... ทายซิฟ้องว่าอะไร


ทำไม่ไม่ระบุไว้ในคู่มือว่า ไม่ควรละจากที่นั่งคนขับในขณะตั้งความเร็วอัตโนมัติไว้

ชนะคดีได้ 1,750,000 เหรียญ แถมได้รถคันใหม่ชดเชยมาอีกคัน
งานนี้บริษัทต้องรีบแก้ไขคู่มือเลย เพราะเกรงว่าจะมีญาติของคุณนายสติปัญญาใกล้เคียงกันจะตามมาซื้ออีกคัน 5 5 5




 

Create Date : 04 ธันวาคม 2552    
Last Update : 4 ธันวาคม 2552 20:51:40 น.
Counter : 500 Pageviews.  

จุดไฟในสายลม

ผ่านไปแถวท่าพระจันทร์ ศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์เปิดพอดี เลยเข้าไปดูหนังสือเล่มหนึ่งที่คิดๆว่าอยากอ่านมาหลายเดือนแล้ว “จุดไฟในสายลม” บทสัมภาษณ์อาจารย์วรเจตน์ เมื่อเปิดอ่าน เห็นว่าส่วนใหญ่เคยอ่านมาแล้วเพราะอยู่ใน website ของ Thaipost บ้าง ประชาไทบ้าง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เคยอ่าน โดยเฉพาะบทเกริ่นนำของผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ รวมทั้ง “ย้อนหลังมองหน้า” ที่ยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน ก็เลยตัดใจซื้อซะ

นึกสงสัยถึงที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ เพิ่งอ่านได้ไม่กี่สิบหน้า แต่เข้าใจว่ามาจากข้อความที่อาจารย์ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2548 ตรงนี้

“แน่นอนว่าวันนี้เราไปได้ แต่วันหนึ่งระบบอย่างนี้มันอาจจะไปไม่ได้เสมอไป คนส่วนใหญ่อาจจะหันมาเห็นด้วยกับฝ่ายข้างน้อยวันนี้ แล้ววันนั้น ถ้าอำนาจอยู่กับอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นข้างน้อยไปแล้วล่ะ น่าวิตก วันนี้มันยังไม่เป็นอะไร มันก็อยู่กันไป ผมเป็นฝ่ายข้างน้อยอยู่เนืองๆ ผมก็รับสภาพไป เรื่องนี้อีกไม่กี่วันมันก็สลายไปกับสายลม ไม่มีใครพูดถึง แต่หลักกฎหมายได้ถูกกัดเซาะ ผมถึงบอกว่ามันมีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกบาดแผลหนึ่ง ทิ้งริ้วรอยความบอบช้ำให้กับกฎหมายไทย จนถึงวันหนึ่งเมื่อเสียงเปลี่ยน และอำนาจอยู่ในมือฝ่ายข้างน้อย เมื่อมีแรงกดดันแล้วยังไม่ทำอะไรอีก มันอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากข้างนอกระบบกฎหมายเข้ามา ในฐานะที่ผมเป็นนักกฎหมาย ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบโดยสันติ”

ชื่อหนังสือ “จุดไฟในสายลม”
สำนักพิมพ์ Openbooks
//www.onopen.com


บางตอนจากการให้สัมภาษณ์ น่าสนใจมาก ทำให้เห็นภาพว่า ประวัติศาสตร์ในการร่างกฎหมายสัมพันธ์และมีความสำคัญกับการเมืองและนักการเมืองอย่างไร กลไกและหลักความเป็นเหตุเป็นผลถูกบิดเบือนไปอย่างไร ในยุคใด

ทำยังไงนะ ผู้คนถึงจะรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นกันมากขึ้น ??? คงจะดีถ้ามีการถ่ายทอด อธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่ายแบบนี้อีก




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2552    
Last Update : 9 มิถุนายน 2552 21:02:24 น.
Counter : 676 Pageviews.  

นั่งนึกเมนู

ผ่านไปเห็นกระทู้หนึ่งเรื่องทอดไข่ใส่บาตรทุกวัน แล้วก็นึกถึงเมนูของเราบ้าง

ช่วงหลังที่กลับไปบ้านต่างจังหวัด จะตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวใส่บาตรหน้าบ้าน พระที่เดินบิณฑบาตรที่หน้าบ้านมีประมาณ 20 รูป แต่ต้องรีบออกมาตั้งแต่ 5.45 am ถ้าออกมาซัก 6 โมงก็จะเหลือพระไม่ถึง 8 รูป ต้องวิ่งไปดักอีกฟากของถนน ถ้าหลังจาก 6.15 am ไปแล้ว อาจต้องรอพระตกค้างที่มีไม่ถึง 5 รูป การใส่บาตรหน้าบ้านจึงต้องทำเวลาพอสมควร แต่เราใส่แค่ 7-10 รูปเท่านั้นล่ะ ไม่มีแรงทำกับข้าวทีเยอะๆ อย่างผัดผัก ถ้าใส่เกิน 8 รูปต้องทำ 2 เตา ไม่ไหวน่ะ

เมื่อก่อนขี้เซามากมาย กว่าจะตื่นตี 5 ได้ก็ผลัดแล้วผลัดอีก ขอนอนต่ออีกนิด ก็มันสบายดีออก มาปีนี้ ไม่รู้เอาความตั้งใจมาจากที่ไหน ตื่นตี 5 เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งถ้ากับข้าวบางอย่างต้องใช้เวลาทำนาน ก็จะตื่นเช้าขึ้นอีกนิดเป็น 4.45 am เพื่อให้มีเวลาทำกับข้าวอย่างสบายใจ ไม่งั้นต้องวิ่งวุ่นอยู่ในครัวจนอาจลืมไปแล้วว่า ใส่น้ำปลาหรือยังน้า ใส่พริกไทยหรือยังหว่า

การทำกับข้าวใส่บาตรนี่น่าสนุก ตั้งแต่การนึกเมนู การจ่ายกับข้าวเช้าวันนี้เพื่อตุนไว้เช้าวันถัดไป เรื่องตื่นมาทำกับข้าว สมัยก่อนแม่เคยมองว่าเรื่องมาก ให้ไปซื้อกับข้าวถุงใส่ แต่เดี๋ยวนี้แม่สนับสนุนเต็มที่โดยการซื้อกับข้าวให้ บางครั้ง พี่สาวก็ช่วยเหลือโดยหั่นโน่นหั่นนี่ให้ หมักหมูหมักไก่เตรียมไว้ให้ ซื้อขนมหวานมาให้ เลยประหยัดเวลาลนลาน วิ่งวุ่นในครัวของเราไปได้มาก กลายเป็นน้าที่บ่นจังว่าใส่ด้วยของกระป๋องก็ได้ ทำไมจะต้องตื่นแต่เช้ามานั่งทำเองด้วย อืม...แปลว่านิสัยขี้เซาของเรามันทำให้ผู้ใหญ่เขายังไม่ยอมรับล่ะสิเนี่ย

เมนูไข่เจียวมักไม่ค่อยทำบ่อย สมัยยังอยู่มัธยมนั่นทำบ่อยมาก พอได้ไปหัดทำกับข้าวกินเอง ก็เลยพอจะพลิกแพลงทำอะไรนอกเหนือจากไข่เจียวได้นิดหน่อย แต่ไข่เจียวที่ทำ จะต้องใส่มันกุ้งหรือมันปูลงไปสักหนึ่งช้อนชา ก็มันหอมดีนะ เป็นมันกุ้งจากขวด ขวดละประมาณ 125 บาท

นั่งนึกๆเมนูว่าทำอะไรไปบ้าง ส่วนใหญ่มักจะซ้ำๆกัน แต่เพราะไม่ได้ใส่ทุกวัน แค่ช่วงวันหยุดที่ได้กลับบ้าน พระเลยยังไม่ทันเบื่อฝีมือเราล่ะมั้ง

กับข้าวส่วนใหญ่เป็นของผัดซะมาก ก็ลูกสาวคนจีนนี่นา

ทำเต้าหู้ผัดกับหมูและแครอท อันนี้คิดว่าพระแก่ๆน่าจะชอบเพราะเต้าหู้นิ่มและมีประโยชน์ออก จริงๆเพราะเราชอบกินเต้าหู้ด้วยล่ะ ทำอะไรที่ตัวเองชอบกิน ก็น่าจะอร่อยกว่าทำของที่ไม่ค่อยชอบ เคยคิดอยากทำเต้าหู้ทรงเครื่องแต่เครื่องแยะจัง ถ้ามีเวลาก็อยากหัดทำเหมือนกัน

ต้มจืดเต้าหู้ จะเปลี่ยนเป็นผักล้วนๆ หรือลูกชิ้นหมูกับผักโดยไม่ใส่เต้าหู้ก็ได้ แต่พอเห็นพระที่อุ้มบาตรโดยไม่หิ้วถุงพลาสติก เลยเปลี่ยนใจ นานๆทำต้มจืดทีหนึ่ง ท่านน่าจะร้อนมือนะ เจอทั้งข้าวเพิ่งสุกและเจอทั้งต้มจืดร้อนๆอีก วันก่อนเห็นตำลึงที่เขาขายในตลาด งามเชียว ทำน้ำต้มจืดไว้ก่อนก็ดี พอเช้าถึงใส่หมู เลือดหมูและตำลึงลงไป

ผัดผัก อันนี้มั่นใจในรสชาติโดยเฉพาะกระหล่ำปลีกับแค่รอท พอไหวนะ

ผัดสารพัดเห็ด หรือไม่ก็ผัดเห็ดกับเต้าหู้ผสมกัน ใส่แครอทนิดหนึ่งพอเป็นสีสัน

ลงท้ายจริงๆมีสามอย่าง เต้าหู้ เห็ด และผัก ไม่ผัดเฉยๆก็ทำผัดเผ็ดใส่ใบกระเพรา

อาจจะมีปลาตัวเล็กทอด ปลาอะไรก็ไม่รู้ มีหลากหลายเหลือเกินในตลาด กินเป็นแต่ไม่รู้จักชื่อ

ว้า...นึกไปนึกมา ลงอยู่แค่นี้เอง แต่ก็...ทำอะไรที่เรามั่นใจว่ากินได้และเร็ว ดีกว่าทำอะไรที่แปลกแหวกแนวแต่รสชาติรับไม่ได้ ไม่ดีกว่าเหรอ ??


เมนูต่อไป อาจเป็นผัดมักกะโรนี จะดีมั้ยน้า นึกภาพหลวงตาที่มาบิณฑบาตรต้องมาฉันอาหารฝรั่งแล้วก็..อย่าดีกว่า ทำกินเองท่าจะดี




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552    
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 20:56:49 น.
Counter : 598 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.