Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 
ค่าครองชีพ ที่รำลึก

ณ ปี 2553 ที่จังหวัดบ้านเกิด


ขนมครกหน้าโรงพยาบาล 6 คู่ 10 บาท
ชอบดูคุณยายพับกระทงขนมครก กระทงของคุณยายทำง่ายๆ ใบตอง 1 ใบกับกระดาษ 1 แผ่น จีบเข้ามุมกัน 2 ข้าง ร้านนี้มีเตาขนมครกอยู่ 3 เตา เป็นลูกสาวคุณยายกับสามีและกับญาติอีกคนช่วยกันแซะ ช่วยกันหยอด จริงๆร้านพี่สาวของเธออยู่ใกล้บ้านเรามากกว่าอีก แต่เราชอบกินร้านนี้มากกว่า อร่อยกว่า มันกว่านิดหนึ่ง กินแค่ 3 คู่ก็อิ่มแล้ว แทนข้าวมื้อเช้าได้เลย

คนจังหวัดเราที่ได้กินขนมครกแป้งสดจนชิน พอไปกินขนมครกที่อื่น ให้อร่อยยังไงก็ไม่รู้สึกอร่อยเหมือนขนมครกที่บ้านเกิด ใครจะว่าเรื่องมากก็ช่างปะไร


ขนมเบื้องเชิงสะพาน หน้าร้านตัดผมผู้ชาย แผ่นละ 2 บาท
ชอบไปนั่งคุยด้วยสัก 2-3 คำ ป้าเขาจะย้อนอดีตไปถึงสมัยเรียนหนังสือด้วยกันกับน้าสาวเรา แล้วก็บ่นเรื่องขาแข้งที่ไม่ค่อยดี ถามถึงแม่และกิจการที่บ้าน

เดี๋ยวนี้ป้ารับเอาขนมอื่นมาขายด้วย เช่น ถั่วกรอบแก้วถุงเล็กๆ ถุงละ 10 บาท กะหรี่ปั๊บ เพิ่มรายได้อีกทางน่ะ ป้าขนมเบื้อง ขายไม่ถึงครึ่งวันก็ปิดร้านแล้ว ขนมเบื้องของคุณป้าคงจะเป็นขนมเบื้องโบราณอย่างที่เขาขายๆกันล่ะมั้ง ไม่ใช่ขนมเบื้องแป้งบางๆมันๆ ใส่ครีมขาวเยิ้มแบบนั้น เตาก็เป็นเตาถ่าน ถาดที่ทำขนมเบื้องก็มีแตกบางจุด เก่าแต่ไม่คิดจะเปลี่ยนสักที ทำแป้งขนมได้ทีละ 2 แผ่น อร่อยมากๆตรงที่ออกจากเตาแล้วกินเลยน่ะ ก็มันทั้งหอมและกรอบนิดๆ เป็นขนมที่ทุกคนในบ้านกินกันได้กินกันดี นับแต่พี่สาว พี่ชายมาถึงรุ่นหลานๆ

มกรา 54 ป้าขนมเบื้องไปผ่าตัดสะโพกมั้ง หลายเดือนแล้ว แล้วเลยหยุดขาย...อาจจะหยุดตลอดไป เสียดายน่ะ ป้าเคยบอกพี่สาวว่า ให้มาเรียนกับแกได้ ตั้งแต่นวดแป้งตอนตี 4 พี่สาวยังไม่ได้ไปซะที สงสัยต้องชวนกันไปเรียนอย่างจริงจังแล้ว อะไรๆก็ไม่แน่นี่นะ


โรตีที่อยู่ถัดจากร้านขนมเบื้องไปที่ถนนอีกเส้น แผ่นละ 5 บาท
ลุงขายโรตีตายไปแล้ว เมื่อก่อนจะเอากระป๋องแป้งเด็กแคร์มาใส่น้ำตาล ตอนนี้ลูกชายขายต่อ ยังขายอยู่ที่จุดเดิม

สมัยเด็กที่กินโรตี พี่ชายจะหัวหมอ เอาไข่ไปเอง เอาจานไปเอง พวกเราก็จะได้กินโรตีใส่ไข่ในราคาเดิม เราชอบกินโรตีใส่นมเฉยๆ ไม่ใส่น้ำตาล เลยไม่ได้ใช้บริการกระป๋องแป้งของลุงเลย


แยมโรลในสภากาแฟฝั่งใกล้ๆกับบ้านเก่า ชิ้นละ 5 บาท
สภากาแฟร้านนี้เปิดมาก่อนเราเกิดอีกกระมัง ก็คงจะเกิน 40 ปีไปแล้วล่ะมั้ง เจ้าของร้านตอนนี้ไม่มีลูก สืบทอดกิจการมาอย่างดี ทำขนมปังขายนิดหน่อยพอให้ได้แกล้มกับกาแฟ ไม่รู้ว่าจะปรับตัวไปขายกาแฟสดรึเปล่านะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็ขายกาแฟสด แต่เจ้าของร้านในวัยร่วม 60 คงจะไม่เปลี่ยนใจหรอกมั้ง ลูกค้าก็ยังเป็นกลุ่มเดิม ไม่หน้าเดิมก็มีลักษณะเดิม คือ มาอ่านหนังสือพิมพ์ แล้ววิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมืองกัน

ความที่เจ้าของร้านไม่มีลูก เธอไปรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยง ไม่ใช่ญาติกันด้วย เด็กคนนั้นเติบโตไปเป็นสัตวแพทย์ ดีจริงๆ ดีทั้งเธอและเด็กคนนั้นน่ะ


ขนมจีนน้ำยาหน้ากาชาด ชุดละ 15 บาท
ร้านนี้คล้ายๆจะเป็นหาบเร่ แต่ไม่ได้หาบไปเร่ขายที่ไหน ปักหลักอยู่ที่หน้าร้านขายยาโบราณ เวลาไปรอขนมจีนก็จะได้กลิ่นยาโบราณไปด้วย ร้านนี้น่ารักเหมือนร้านขายขนมตาล คือ มาขายกันทั้งพ่อแม่และลูกสาว ขายทั้งน้ำพริก น้ำยา แกซาวน้ำและแกงไก่ กินแค่ชุดเดียวก็อิ่มไปทั้งมื้อแล้ว


เดินกลับมาอีกฟากทางตลาดริมน้ำ

หมี่กรอบสีส้มสวย อยู่ปากทางเข้าตลาดริมน้ำ ถุงละ 5 บาท ร้านนี้หลานๆชอบกิน

เดินไปอีกนิดเป็นขนมจีบ ซาลาเปาที่ครูสมัยประถมนั่งขาย ขนมจีบลูกละ 2 บาท ซาลาเปาลูกละ 3 บาท อร่อยทั้ง 2 อย่าง ครูขายแต่เช้า ทำอย่างนี้มา...30 กว่าปีแล้ว เท่าที่เราเห็นนะ ตอนนี้ขายแค่วันหยุด

จากร้านขนมจีบ เดินไปทางขวา จะมีขนมตาลในถ้วยตะไล ลูกละ 1 บาท
เหมือนกับร้านขนมจีนน้ำยา 3 คนพ่อแม่ลูกสาวช่วยกันขาย คุณป้าหยอดแป้งขนมลงเตา คุณลุงยกไปวางที่เตาแกสอีกฝั่งหนึ่ง คุณลูกสาวแซะมาใส่ถุงขาย ก็จะได้กินขนมตาลอุ่นๆตรงนั้นเลย เขาซื้อกันเยอะแยะ รอคิวกันหลายคิว ถ้าเราไปเดินตลาดคนเดียว ก็ซื้อแค่ 10 บาทพอ


ถ้าเดินไปทางซ้าย จะเป็นร้านทอดมันของญาติห่างๆของแม่ ชิ้นละ 2 บาท เราว่าอร่อยดี ไม่เหม็นคาว ญาติห่างยังไง ถ้าเราหรือพี่สาวไปซื้อ ก็มักจะได้ฟรีหรือไม่ก็ซื้อ 1 แถม 1 ราคานั้นเลย
ร้านนี้ตลก บางทีอยากจะไปไหน ก็ทิ้งร้านไว้อย่างนั้นแหละ เงินทองอะไรก็กองอยู่ในถัง มีตะกร้าวางปิดๆไว้นิดหนึ่ง เวลาที่เราไปแล้วไม่เห็นเขา ก็จะหยิบใส่ถุง วางเงินในตะกร้า ถ้าเจอน้าญาติผู้ใหญ่ เวลาเขาแถมหรือให้ฟรี จะไม่กล้าปฏิเสธ แต่ถ้าเจอญาติรุ่นเดียวกัน ค่อยปฏิเสธง่ายหน่อย


เดินออกจากตลาดริมน้ำไปเรื่อยๆ จะเจอแม่ค้าขายถั่วต้ม ปกติจะซื้อทีละ 20 บาท 2 กระป๋องซึ่งมาชั่งน้ำหนักเทียบแล้ว จะเท่ากับการบอกว่าซื้อครึ่งกิโล ถ้าครึ่งกิโลก็ 25 บาทน่ะ ข้อมูลนี้ ค้นพบโดยข้าพเจ้าเอง งกจิงๆ

แม่ค้าขายถั่วรับข้าวโพดต้มมาขายด้วย ข้าวโพดต้ม 3 ฝัก 10 บาท เดินไปอีกหน่อยก็เจอแม่ค้าต้มข้าวโพดอยู่ ขายเท่ากันนั่นล่ะ แล้วแต่อยากจะอุดหนุนใคร

มกรา 54 ข้าวโพดสามฝักขึ้นราคาเป็น 20 บาท

จะแวะซื้อน้ำเต้าหู้หน้าตึกแถวก็ได้ ใส่งาดำถุงละ 6 บาท ร้านนี้อร่อยดี ลูกเจ้าของร้านเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ผิดปกติ แต่เจ้าของร้านน่ารัก พูดจากับลูกชายหวานเชียว ไม่มีโมโหเลย ชอบมากๆๆ

เดินไปเข้าซอยเล็กๆที่หนึ่ง ไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่มีกล้วยหอมราคาถูกที่นั่น กล้วยหอมหวีโต หวีละประมาณ 10 -12 ลูกขึ้นไป หวีละ 15-20 บาท บางที ถ้าเป็นหน้าละมุดก็จะได้ละมุดไม่ใส่สี กิโลละ 20 บาท

ไปอีกไกลนิดหนึ่ง จะเป็นกล้วยทอดเยื้องๆวิทยาลัยเทคนิค 8 ชิ้น 10 บาท
ร้านนี้ ค้นพบโดยพี่สาว ยังไม่รู้ประวัติ แต่เห็นคุณลุง คุณป้าสองคนช่วยกันหั่น ช่วยกันทอด มีร้านกล้วยทอดอยู่ใกล้ๆกันสองร้าน ตอนแรกที่ได้ข่าวว่าแถวนั้นมีกล้วยทอดเจ้าอร่อย พี่สาวคนโตไปซื้อที่ร้านแรก ไม่ค่อยมีคน กินได้คนละชิ้นก็วาง พี่สาวบอกว่า เจ้าของร้านดูท่าดีใจมาก หยิบให้เยอะแยะเชียว พี่สาวคนรองไปสืบมาอีกที ต้องถัดไปอีกร้าน ก็เลยทำน้ำหนักกันทั่วหน้าซะ (สงสารกล้วยทอดร้านแรกนะ ถ้าทำได้ไม่อร่อยเท่า อาจต้องหาผลิตภัณฑ์อื่นมาขายน่ะ)


ข้ามแม่น้ำกลับไปฟากโรงพยาบาล

ข้าวเหนียวมูลของคุณยายที่อยู่ตึกแถวเยื้องๆกับวัด กก.ละ 80 อร่อยและนุ่มมากๆ ปีหนึ่งๆ คุณยายทำข้าวเหนียวขายช่วงหน้าข้าวเหนียวมะม่วงเท่านั้น ทั้งๆที่ข้าวเหนียวเหลือง ข้าวเหนียวสังขยาก็อร่อยไม่แพ้กัน

ถ้าคุณยายไม่ทำข้าวเหนียวขาย ตอนเช้าๆจะมานั่งเล่นอยู่หน้าร้าน คุณยายอายุมากพอสมควรล่ะ น่าจะ 80 กลางๆ แต่ใจเย็น และยังแข็งแรงดีค่ะ


ผ่านไป 2 วัดก็เจอร้านปาท่องโก๋ คู่ละ 1 บาท ร้านไหนๆก็คงราคานี้ล่ะมั้ง แต่ร้านนี้ร้านใหญ่ดี คนขายพูดจาน่ารัก แล้วเป็นเส้นทางผ่านของเราน่ะ

เดินถัดจากร้านปาท่องโก๋ จะเจอร้านก๊วยเตี๋ยวคุณลุงคุณป้า ที่เปิดร้านแต่เช้า เป็นบ้านเขานั่นล่ะ แต่ทำพื้นที่ข้างล่างขายก๊วยเตี๋ยว ชามละ 20 บาท บรรยากาศบ้านไม้เก่าๆ มีโต๊ะตั้งอยู่ประมาณ 4-5 โต๊ะ มองดูป้านั่งหั่นหมูแดงไป ดูคุณลุงทำก๊วยเตี๋ยวไป ดีมากๆเลย

วนกลับมาที่ซอยองค์การโทรศัพท์ ถ้าตอนสายๆจะมีไอติมกะทิขาย กินกับขนมปังแผ่นนุ่มๆ ขนมปังราคาชิ้นละ 5 บาทมั้ง ไอติมกิโลละ 40 บาท ปกติจะซื้อมากินที่บ้าน ไม่เคยนั่งกินน่ะ แต่ถึงบ้านก็ต้องรีบกินเพราะละลายเร็วมากๆ ละลายเสร็จก็เหมือนกินกะทิ ไม่อร่อยเท่าตอนเป็นไอติมหรอก

ลอดช่องสิงคโปร์น้ำข้น ถุงละ 10 บาท
ร้านนี้เกือบถึงบ้านแล้ว พี่สาวเฃาว่าผู้ชายเจ้าของร้านไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วเป็นหนี้เป็นสินมากมาย กลับมาขายลอดช่องนี่ล่ะ ใช้หนี้ คงจะใช้หมดแล้วมั้งเพราะตึกแถวที่ขายของก็ของเขาเอง ทั้งสามี ภรรยาช่วยกันทำมาหากินมาหลายปีแล้ว ขายดีอยู่หรอกนะ


ค่ารถโดยสารในเมือง คนละ 10 บาท ถ้านั่งรถสองแถวหวานเย็นไปนอกเมือง คิดคนละ 15 บาท แต่เส้นทางตั้งแต่ร้านขนมเบื้องวนมาจนร้านก๊วยเตี๋ยว เดินได้นะ น่าจะสัก 2-3 กิโลเมตร สบายๆ ...


ร้านช่างทำผมประจำ ทำสีผมโดยผสม Henna ไปเอง คิดครั้งละ 120 บาทพร้อมอบไอน้ำ ในร้านมีช่างคนเดียว เป็นทั้งเจ้าของร้านและเป็นทั้งผู้ช่วย จะทำผมทีต้องโทรไปจองคิว ช่างคนนี้น่ารักมากๆ

เป็นธุระพาญาติคนโน้นคนนี้ไปหาหมอในเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังดูแลแม่สามีที่เป็นอัมพฤกษ์อีก และก็กวนนะ บางวันเรานั่งทำผมอยู่ มีลูกค้าโทรมา เธอบอกยังไม่ว่าง เราก็มองหน้า บอกว่าระหว่างที่เราอบไอน้ำ เธอก็ทำผมไปได้นี่นา เธอบอกว่าขี้เกียจ เสร็จเป็นรายๆไปดีกว่า บางทีก็ขี้เกียจ เหนื่อยจนไม่อยากทำก็มี นานๆเป็นทีน่ะ บางทีโทรไปแล้วเธอบอกไม่ว่าง เลยแซวว่า ไม่ว่างจริงๆหรือไม่ว่างขี้เกียจกันแน่จ๊ะ แบบไหนก็รับได้ทั้งน้าน

ส่วนช่างทำผมของแม่คิดแพงกว่า คิด 150 บาทแถมไม่อบไอน้ำให้อีก ฝีมือสู้ช่างประจำของลูกสาวไม่ได้แต่แม่ชอบไปที่ร้านนั้น ร้านที่อยู่ใกล้ๆสภากาแฟ เพราะแม่เห็นว่าเธอไม่ค่อยมีลูกค้า มีลูกสาวตัวเล็กที่ต้องดูแล บางที ก็ให้เธอทำตัวเป็นแม่ค้าคนกลาง นอกจากทำผมแล้ว ก็ให้ไปซื้อโน่นซื้อนี่มาให้แม่ขายต่อ บางที แม่ก็มีอารมณ์สงสารคนแบบนี้ล่ะ


การใช้จ่ายซื้อของกับแม่ค้าพ่อค้าแต่ละร้านในบ้านเกิด มันมีตำนานให้รำลึกถึงแบบนี้ล่ะ


เก็บไว้แค่นี้ก่อน นึกได้จะมาบันทึกต่อ

.................

8 พ.ค. 53

วันนี้ แวะไปซื้อโตเกียวร้านหน้าหอนาฬิกาในตลาด เดิมอาแปะที่ขายโตเกียวขายอยู่ที่เชิงสะพานอีกฝั่งของร้านขนมเบื้อง อาแปะเป็นเพื่อนกับพ่อเรา ตอนนี้ ผู้เฒ่าทั้งสองคนก็จากโลกนี้ไปแล้ว ลูกสาวอาแปะเป็นรุ่นน้องที่ตามกันมาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมปลาย คนที่สืบทอดกิจการคือลูกชายอาแปะ ตอนบ่าย ขายอยู่ที่จุดเดิมใกล้บ้านเขากับรถคันเดิม ตอนเย็น ย้ายมาขายในตลาด ไม่ได้ไปอุดหนุนนาน วันนี้ พบว่าลูกชายอาแปะมีลูกน้องสองคน มีเตาเพิ่มมาอีกหนึ่งเตาบนรถเข็นคันใหม่ สังขยาที่เป็นไส้โตเกียวมีเพิ่มจากเดิมสีส้มเป็นสีเขียวและสีฟ้าดอกอัญชัญ ยังขายชิ้นละหนึ่งบาทเท่าเดิม และคนก็รอกันหลายคิวเหมือนเดิม

ดีจังที่ สูตรขนมอร่อยที่อาแปะทิ้งไว้มีลูกชายมารับช่วงต่อ ดีจังเลยค่ะ


พอถึงจุดหนึ่ง เรารู้สึกว่า ทำอาชีพอะไรก็ได้ ขายของน่ะได้กำไรพอเลี้ยงตัวได้ถ้ารู้จักทำ รู้จักช่องทางที่จะขาย คนที่เราเห็นมาเมื่อหลายสิบปีก่อน แม้จะยังทำอาชีพเดิมอยู่ ก็ดูจะพอใจในงานที่มั่นคงของตัวเอง ไม่รู้ว่าในใจเขาดิ้นรนอยากจะขยับฐานะให้มันก้าวกระโดดเหมือนพวกคนในเมืองหลวงรึเปล่า ใจของใคร เราจะไปรู้ได้ยังไง แต่เราว่า เขามีความพอใจในระดับหนึ่ง ระดับที่เขาอยู่ได้อย่างสบายใจและสบายตัว

...บางที การกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด อยู่กับค่าครองชีพและสังคมเล็กๆเรียบๆแบบนี้ ก็น่าลองอยู่เหมือนกัน



Create Date : 19 เมษายน 2553
Last Update : 9 มกราคม 2554 18:21:06 น. 3 comments
Counter : 598 Pageviews.

 


โดย: Moneyjr วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:22:20:52 น.  

 
ผมว่าก็ยังโอเคอยู่ของกินเยอะแยะยังไม่แพง พอได้ๆครับ


โดย: Don't try this at home. วันที่: 20 เมษายน 2553 เวลา:0:05:36 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 20 เมษายน 2553 เวลา:5:35:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.