|
Work Indicator
จะเปลี่ยนงานดีมั้ย เห็นคำถามแบบนี้มาหลายกระทู้แล้ว เคยเข้าไปตอบแล้วก็...น่าบันทึกเก็บไว้ว่าเราเห็นอย่างไร
งานน่าทำมั้ย ท้าทายความสามารถหรือเปล่า อันนี้คงมาเป็นอันแรก แน่นอนว่าเงินเดือนเป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งไม่แพ้ตัวงาน เขาเสนอเงินเดือนให้เท่าไหร่ มีค่าตำแหน่งอีกหรือเปล่า โบนัสเฉลี่ยกี่เดือน ค่าโน่นค่านี่อีก Provident Fund อัตราเท่าไหร่ คืนกลับมาให้ในปีใด เบิกค่ารักษาพยาบาลได้มั้ย มีค่าอะไรจิปาถะอีก ทั้งค่าน้ำมันถ้าต้องเดินทาง มีค่าครองชีพรายเดือนให้มั้ย บางที่ ถ้าเป็นผู้บริหารแล้วเขาไม่ให้น่ะ อัตราการขึ้นของเงินเดือนเป็นอย่างไร
ยังมีเรื่องวันหยุด วันลาอีก ชอบจังที่ที่มีวันลาพักผ่อนให้เยอะๆ ยังไม่เคยทำที่ไหนที่ให้สัก 12 วันต่อปีขึ้นไปเลย เราใช้ได้หมดจริงๆนะ ชอบพักผ่อน มีพาไปเที่ยวประจำปีหรือเปล่า ส่งเสริมให้พนักงานเล่นกีฬาทางไหนบ้าง โอ๊ย..มากมาย ขึ้นอยู่กับความสนใจของคนสมัครด้วยว่าให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง
แต่มีเรื่องหนึ่ง หลังจากที่เปลี่ยนงานมาแล้ว พบว่าน่าจะเอามาเป็นตัวชี้วัดว่าเรามีความสุขกับการทำงานหรือเปล่า นั่นคือผลจาก Medical Health Check อันนี้เป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่บริษัทมีให้นอกเหนือไปจากค่ารักษาพยาบาล และมันคงใช้วัดล่วงหน้าไม่ได้หรอกว่าบริษัทที่จะเลือกเข้าไปทำงานจะทำให้สุขภาพเราดีขึ้นหรือเปล่า แต่มันวัดผลว่าเรามีสุขภาพที่ดีขึ้นมั้ยเมื่อมาทำงานที่ใหม่ นั่นคือ เปรียบเทียบกับงานเดิมที่เราเคยทำ
ส่วนตัวชี้วัดการมีความสุขจากงาน เราใช้ 3 อย่างหลักๆ คือ
1. สุขภาพทางการเงิน: รายได้ (อันนี้รวมทั้งหมด เพราะการทำงานที่หนึ่ง อาจจะมีเวลาว่างมากพอไปรับงานพิเศษอย่างอื่นทำได้อีก เพราะไม่ต้องทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ หรือไม่ต้องเลิกงานดึก เป็นต้น) รายจ่าย สุทธิแล้วเหลือเท่าใด แต่ละไตรมาส เราจะทำตัวเลขพวกนี้เก็บไว้ เล่าให้เพื่อนฟัง มันบอกว่าเวอร์จริงๆ แต่เราใช้เวลาทำตัวเลขไม่ถึง 15 นาที เพราะรวมยอดตัวเลขรายรับซึ่งมีไม่กี่รายการ แล้วก็แค่รวบรวมตัวเลขสิ้นงวดของเงินฝากในที่ต่างๆ (บางที่ต้องเอามาทั้งราคาทุนกับราคาตลาดด้วย ^ ^) ก็จะได้ตัวเลขรายจ่ายออกมา พอถึงสิ้นปี ก็ทำตัวเลขทั้งปีออกมา แจงรายจ่ายหลักๆว่าใช้อะไรไปบ้าง ประมาณการว่าปีหน้า cash flows จะเป็นอย่างไร เคยทำ cash flows ของตัวเองไปถึงอายุ 70 ด้วยซ้ำ คร่าวๆมากเพราะไม่รวมอัตราเงินเฟ้อ (เขาว่าปีนี้จะวิ่งไปถึง 2 หลัก วิ่งเก่งจัง) ไม่รวม future value ตอนนั้นคิดหนักเพราะตัดสินใจว่าหากไปเป็นอาจารย์อยู่ต่างจังหวัด ฐานะทางการเงินจะเป็นอย่างไร ก็สนุกดีนะ cash flows ชีวิตตัวเองทำง่าย ถ้าเป็นของบริษัทนี่ยุ่งน่าดู
2. สุขภาพจิต: ความพออกพอใจกับชีวิตตัวเอง อันนี้วัดยากจัง แต่เราประเมินตัวเองว่าคนรอบตัวเราเขารู้สึกดีกับเรามั้ย เขาทำดีกับเรามั้ย แล้วเรามีความสุขกับการอยู่ร่วมกับผู้คนเหล่านั้นหรือเปล่า เวลาที่มีให้กับผู้คนรอบข้าง ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูงรวมถึงเวลาที่มีให้กับตัวเอง การได้อ่านหนังสือมากขึ้น ดูหนังบ่อยขึ้น มีเวลาทำสิ่งที่ตัวเองชอบมากขึ้น อันนี้ไม่ได้ทำตารางจดว่าวันไหนไปหาใคร ใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานเท่าไหร่ แต่ประเมินออกมาคร่าวๆก็พอจะรู้ได้ในระดับหนึ่งว่าเราใช้เวลากับคนที่เรารักมากกว่าเดิมหรือเปล่า และเราใช้เวลาทำในสิ่งที่เรารักนานแค่ไหน
แน่นอนว่าเรื่องที่ทำงาน ความขัดแย้งกับผู้คนเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เราจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นอย่างไร แล้วถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเองมากพอ ก็น่าจะบอกตัวเองได้ว่าคนที่ทำงานเขาชอบเราหรือเปล่า เขาพูดคุยกับเราดีมั้ย (ต่อให้เป็นมารยาทสังคมก็เถอะ) เขานึกถึงเรามั้ยเวลามีเรื่องที่เราสนใจ บางทีมีสายสืบช่วยสอบถามให้ ก็เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนได้อยู่เหมือนกัน
ส่วนที่บ้านและกับเพื่อนฝูง ยิ่งประเมินง่ายใหญ่ ใครไปไหนแล้วนึกถึงเรา มักจะมีของฝากมาให้ พี่สาวไปอินเดียกลับมา เอาผ้าคลุมไหล่มาให้ถึงที่ทำงาน (เพราะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน) ให้เราเลือกก่อนที่จะเอาไปฝากคนที่ทำงานเขา หรือกลับไปบ้าน ของฝากที่เราชอบก็จะรออยู่เพราะใครไปไหนๆแล้วเขานึกถึง ก็จะซื้อมาฝาก มาทิ้งไว้ให้ หรือกลับไปหาแม่กับน้าสาว ทั้งแม่ทั้งน้าจะหาแต่ของที่เราชอบมาให้กินจนพุงกาง สำหรับเพื่อนฝูง นัดเจอกันแล้วนึกถึงเราหรือเปล่า ไปเที่ยวไหนกันชวนเราไปด้วยหรือเปล่า แม้แต่โทรหากัน คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยแค่ไหน และสำหรับตัวเอง น่าจะพอทบทวนได้ว่าเรามีความสุขดีมั้ยกับแต่ละวัน นอนหลับสบายมั้ย ตื่นมาด้วยอารมณ์สดชื่นดีอยู่มั้ย โกรธใครบ่อยมั้ย ไม่พอใจแล้วอารมณ์เสียใส่ผู้คนบ่อยมั้ย และที่สำคัญ หัวเราะและยิ้มให้ใครๆบ่อยแค่ไหน
3. สุขภาพกาย : ผลการตรวจสุขภาพ ถ้าผลออกมาดี มันก็สื่อได้ว่าเราใช้งานตัวเราอย่างระมัดระวังและใส่ใจพอสมควร เพราะการจะได้ผลแบบนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าวันสองวันจะดีขึ้นได้ซะเมื่อไหร่ (ตรวจสุขภาพหลังจากเปลี่ยนงานได้ 6 เดือนแล้วก็เลยเอามาลองเปรียบเทียบกันดู)
บันทึกผลการตรวจสุขภาพของนางสาว SS ปี 48 vs 50 vs ค่ามาตรฐาน น้ำหนักเพิ่มมา 2 กก. (ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หรือว่าจะสมบูรณ์ขึ้น โชคดีที่ตอนนี้ ก.ค. 51 ลดไปเท่าเมื่อ 2 ปีก่อน)
ระดับน้ำตาล 97 81 (Std. 70-110 mg/dl) รู้สึกดีจังที่น้ำตาลน้อยลง แต่ก็ยังชอบกินอะไรหวานๆอยู่ดี พยายามกินอย่างมีสติ คือ ให้ตัวรู้มันเกิดก่อนที่จะสั่งอะไรมากิน จะได้ไม่สั่งไงล่ะ ^ ^ เพราะถ้ารู้ทีหลัง ก็มักจะเสียดายและต้องกินให้หมดทุกที หรือบางที มารู้ตอนกินหมดแล้ว ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ระดับไขมันในเลือด Cholesterol 230 200 (Std. 150-200 mg/dl) อยากจะลดให้เหลือสัก 150 คงต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้ แต่เพื่อนฝูงที่ทำงานประเภทเดียวกัน มักจะสูงไปถึง 250-300 น่ากลัวเหมือนกันแฮะ
Triglyceride 64 39 (Std. 60-70 mg/dl) อันนี้ดีๆๆๆๆ ทำให้รู้สึกว่าก้อนไขมันตัวเองมีน้อยลง
HDL Chol 58 67 (Std. > 35 mg/dl) LDL Chol 147 125 (Std. < 150 mg/dl) อันนี้ก็ดีขึ้น ทั้งตัวดีและตัวไม่ดี
ไต BUN 9 8 (Std. 5 - 23 mg/dl) Creatinine 0.8 0.8 (Std. 0.5 1.5 mg/dl)
ตับ SGOT 10 15 (Std. < 40 U/L) SGPT 21 9 (Std. < 40 U/L) Alk.Phosphatase 61 55 (Std. 30 120 U/L) Uric Acid 4.7 4.4 (Std. female 2.5 6.8 mg/dl)
เม็ดเลือด HB 11.6 12.2 (Std. female 11 14 g/dl) Hct 37 38 (Std. female 34 42%) WBC 4100 4200 (Std. 4500 - 11000) หรือเป็นเพราะเม็ดเลือดขาวน้อย เลยป่วยง่าย ??? แต่ก็ไม่ได้ป่วยบ่อยนี่นา ทำยังไงถึงจะเพิ่มค่าเม็ดเลือดขาวได้นะ??
Platelet 270000 219000 (Std. 140000 400000) Neutrophil 56 62 (Std. 45 75%) Lymphocyte 39 38 (Std. 20 50%) MCV 94 (Std. 80 - 96) MCH 26 (Std. 26 - 32) MCHC 28 (Std. 31 - 35)
ชั่วโมงออกกำลังกาย ปี 48 น้อยมากๆๆๆ เล่นโยคะสัปดาห์ละ 1.5 ชั่วโมง ปี 50 เล่นแบดมินตันสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ปี 51 กำลังจะเพิ่มการเล่นแบดเป็น 4 ชั่วโมง แต่ได้วิ่งอีกวันละ 30 นาทีอยู่ช่วงหนึ่ง กำลังจะกลับไปวิ่งต่อ ถ้าทำได้สม่ำเสมอ จะมีชั่วโมงเพิ่มเป็น 7-8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ชั่วโมงในการเดินทางไปทำงาน (รวมทั้งขาไปและขากลับ) ปี 48 วันละ 2-3-4 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและเหตุการณ์ ฝนตก มีการประท้วง รถก็ติดมากมาย บางทีก็ติดขบวน...) ปี 50 วันละ 15 นาที เลยมีเวลาเหลือให้ชมนกชมไม้และอ่านหนังสือ
ปริมาณอากาศดีรอบตัว ปี 48 อากาศใจกลางเมือง ออกมานอกที่ทำงานได้ไม่นานก็กลับไปอยู่ในห้องแอร์ดีกว่า ปี 50 อากาศนอกเมือง จะในออฟฟิตหรือนอกออฟฟิตก็ไม่ต่างกัน ในออฟฟิตมีแอร์เย็น นอกออฟฟิตมีลมธรรมชาติ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง ทำงานไปได้ยินเสียงนกหลากหลายพันธุ์มาร้องใกล้ๆห้องทำงานทุกวัน
อาหารการกิน ปี 48 มากมายจนลายตา Blueberry Cheese Cake อร่อยสุดๆ ชิ้นละร้อยก็ยังตัดใจซื้อได้ กาแฟหอมๆมีให้เลือกอยู่ทั่วไป ปี 50 น้อยมาก ไม่มีร้านขนมอร่อยๆ ต้องซื้อผลไม้เป็นกิโลมาตุนเอาไว้ ของกินน้อย ราคาก็ถูก ข้าวแกงแบบไม่พิเศษ 5 มื้อราคาเท่ากับเค๊กในเมือง 1 ชิ้น อาจเพราะกินน้อย ไขมันเลยลดลง ^ ^
ชั่วโมงการนอน ปี 48 จะเข้านอนกี่โมงก็แล้วแต่ ยังไงต้องตื่นก่อนตี 5 ครึ่ง ถ้าออกจากบ้านหลัง 6.30 เมื่อไหร่ จะใช้เวลาเดินทางเพิ่มเป็น 1.5 เท่าทันที ปี 50 อยากตื่นตี 5 ครึ่งมาวิ่งก็ได้ หรือจะเป็น 6 โมง 7 โมงก็ยังไหว 7.30 นี่เป็นเส้นแดงของการอยู่บนเตียง
พอเจอตัวเลขแบบนี้เข้า มีคนเสนองานที่ใหม่ในเมือง เงินเดือนดึงดูดใจเชียว แต่เสียดายตัวเลขสุขภาพ กลับไปเจอตัวเลขแบบเก่าหรืออาจจะแย่กว่าเดิม คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพจิตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่แลกกับรายได้ที่มากขึ้น คิดหนักจัง เพื่อนบางคนบอกว่ายังมีแรงทำงาน ก็ทำให้เต็มที่ ใช้ร่างกายให้เต็มที่ พอแก่ค่อยพักผ่อน อย่างนั้นหรือ
Create Date : 06 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 6 กรกฎาคม 2551 22:14:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 588 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
MY VIP Friends
|
|
|
|