Group Blog
 
All blogs
 
เจ้าชายกบ [1/3]






ณ อดีตกาลอันไกลโพ้น

ในยุคที่เจ้าชาย เจ้าหญิง ปีศาจ เวทย์มนต์ยังคงมีอยู่

ในยุคที่ยังมีเงือกแสนสวยหลงไหลโลกใต้น้ำและภูติน้อยกระพือปีกอย่างหยิ่งผยองบนฟากฟ้า

แต่หากวันใดวันหนึ่งที่ปีกที่ว่าใช้การไม่ได้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น?

..

..

...


..

“นี่แน่ะๆ เจ้าขี้แยๆ เจ็บซะเถอะ เจ็บซะๆๆๆๆ”

“ฮะๆๆๆๆ คิกๆๆๆๆ สมน้ำหน้าๆๆๆๆ นี่แน่ะๆๆๆ ”

เสียงใสๆ แต่กังวานก้องที่ดังในเขตพระราชฐานของวังทำให้ร่างสูงในชุดสูงศักดิ์ที่กำลังเดินตัดสวนตรงไปหาชู้รักซักคนต้องหยุดชะงักเงี่ยหูฟังอย่างแปลกใจ เท่าที่จับได้คือเสียงของกลุ่มอะไรซักกลุ่มที่จะว่าเด็กก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง

เสียงภูติ?

“ถือว่าตัวใหญ่กว่าแล้วจะมาสั่งสอนพวกเราได้รึไง นี่แน่ะๆๆๆ ฮะๆๆ สมน้ำหน้าเจ้ายักษ์ นี่ๆๆๆ”

เสียงนั้นหากจะบอกว่าเบาก็เบา แต่หากจะบอกว่าดังก็คือดัง เพราะระดับเสียงที่จะสามารถรับรู้ได้มันขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ของผู้ใช้ และสำหรับผู้ชายตัวสูงคนนี้ที่ควบตำแหน่งจอมเวทย์ของวังควบคู่กับตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาทแล้วล่ะก็…

แม้แต่เสียงสะอื้นบางเบาของใครบางคนในนั้นเจ้าชายก็ยังได้ยินเลย!

“ทำอะไรกันน่ะ!”

เสียงทุ้มที่ปกติออกนุ่มแต่คราวนี้กลับห้าวดุเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าชายแหวกกิ่งของพุ่มดอลญ่าสีชมพูหวานออกและเห็นภาพตรงหน้าชัดถนัดตา

ภูติตัวเล็กเท่ากำปั้นสิบกว่าตัวกำลังรุมขว้างลูกวอลนัทใส่ร่างที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้ายักษ์’ ที่ก็กำลังกอดอะไรซักอย่างเอาไว้ในอกบางและก้มหน้าขดตัวอยู่กับโคนต้นไม้ใหญ่

ปีกสีขาวสะอาดที่ปกติคงงามจับตาตอนนี้กลับหักและเอียงกะเท่เร่ไปหนึ่งข้าง!


นางฟ้า?


“เจ้านั่นล่ะเป็นใคร! บังอาจมากนะที่มาขัดขวางเวลาแห่งความสุขของพวกเรา!”

“ใช่ๆๆๆ บังอาจๆๆๆ ต้องสั่งสอนๆๆๆๆ”

ภูติตัวที่ทำท่าว่าจะเป็นหัวหน้าตีปีกมาบินถลาอยู่เบื้องหน้าเจ้าชายแถมยังชี้หน้าด่าไปด้วยเรียกเสียงสนับสนุนจากพรรคพวกได้เป็นอย่างดี แต่ตัวที่เล็กกะจิ๊ดริดไม่ได้ทำให้เจ้าชายสนใจเท่าร่างเล็กในเสื้อสีครีมบางเบาที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาซักทีนั่นแน่นอน

อยากรู้เหมือนกันว่านอกจากเจ้าเพื่อนลูกครึ่งปีศาจกับเทวดาแล้ว...นางฟ้าตัวจริงจะหน้าตาเป็นเช่นไร?

เพราะเท่าที่ดูผิวขาวใสนั้นก็ทั้งบางทั้งใสจนแทบมองเห็นเส้นเลือด ผมสีน้ำตาลพริ้วฟูยาวระต้นคอก็ดูน่าจับต้อง แถมยังปากสีแดงจัดที่เจ้าตัวกำลังเม้มแน่นเพื่อสะกดกลั้นอาการบาดเจ็บอีก

หึ....มีอะไรน่าสนใจยิ่งกว่าเซเรล่าผู้หยิ่งผยองคนนั้นแล้วสิ

“เอ๊ะ! เจ้าโคตรยักษ์นี่! ถามก็ไม่ยอมตอบ อย่ามาทำเป็นเมินข้านะ!”

“ใช่ๆๆๆ อย่าเมินนะๆๆๆ ต้องลงโทษๆๆๆๆ”

คงเพราะอาการของคนที่โผล่เข้ามาแทรกเวลาแห่งความสุขที่ไม่สนใจตัวเองเลยเพราะตาเรียวเอาแต่จับจ้องคนที่พวกตนกำลังสั่งสอนไม่วางตาล่ะมั้งเจ้าภูติตัวน้อยขี้โมโหนี่ถึงเริ่มฉุนขึ้นมาบ้างแล้ว ฟันซี่เล็กๆ เข่นเขี้ยวอย่างเคืองๆ ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์เพื่อจัดการคนตรงหน้า

“หนอยยยย บังอาจไม่สนข้าเหรอ....ตายซะเถอะเจ้าโง่.......ฟิลซิโอ....ซีคา...โอ้ย!”

และยังไม่ทันที่มนต์จะถูกร่ายจบบท ตัวคนร่ายก็โดนนิ้วเรียวยาวดีดทีเดียวแต่ปลิวไปติดแนบกับต้นไม้แล้ว!

“อ้ะ! เบลลัสโดนทำร้ายๆๆๆๆ ต้องแก้แค้นๆๆๆๆ”

ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มจากฝูงภูติก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสวนทันที ใบไม้เล็กๆ รอบตัวเริ่มกระจายและปลิวว่อนอย่างแรงเมื่อมนต์ถูกร่ายพร้อมกันจากภูติทั้งฝูง สายลมแรงตีวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ และจุดศูนย์กลางแห่งการโจมตีก็มีเพียงแค่จุดเดียว


เปรี้ยง!!!!


แต่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าภาพหลังจากฝุ่นควันที่ลอยฟุ้งอยู่รอบร่างศัตรูเริ่มเลือนหายก็เหลือเพียงผู้ชายตัวสูงหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนนิ่งๆ แบบไม่สะทกสะท้านอันใดเลย!

และไม่แค่ยืนเฉยแล้วเมื่อมุมปากอิ่มกระตุกขึ้นมาอย่างเหี้ยมเกรียมเพียงชั่วครู่ก่อนปากนั้นจะพึมพำบางอย่างออกมาบางเบา... แต่ทุกความบางเบานั้นก็เหมือนจะเรียกเศษหญ้าที่มาจากแรงมนต์เมื่อครู่ให้สานใยเข้าหากัน แรงอัดจากอากาศรอบตัวบีบให้ภูติกลุ่มนี้เริ่มรวมกลุ่มกันไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวหัวหน้าที่เริ่มทำหน้าหวาดผวาขึ้นมาบ้างแล้ว

และไม่เกินชั่วอึดใจ ตาข่ายเวทย์ก็หลอมรวมกับเศษหญ้าที่ถักทอกลายเป็นร่างแหที่ห่อหุ้มกลุ่มภูติพวกนี้ไว้ได้ในชั่วพริบตา!

“ปล่อยพวกข้าออกไปนะๆๆๆๆ ปล่อยๆๆๆๆ ปล่อยสิๆๆๆๆ”

ถุงตาข่ายที่ขังเจ้าของปีกเล็กๆ ลอยมาอยู่เบื้องหน้าเจ้าชายและภูติที่ถูกขังก็เริ่มส่งเสียงประท้วงเซ็งแซ่ ปากอิ่มยังยกยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนจะหิ้วถุงนั้นเดินไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ที่นางฟ้าน้อยนั่งพิงอยู่ เศษหญ้าที่ถูกผูกไว้ด้วยกันด้วยเงื่อนที่มองไม่เห็นเริ่มคลายตัวออกเพียงเพื่อจะไล้เลื้อยไปตามกิ่งไม้ใหญ่เหนือหัวและรวมตัวกันด้วยเงื่อนที่หาจุดจบไม่เจออีกครั้ง

ถุงตาข่ายเล็กๆ ที่มีภูติตัวจิ๋วดิ้นกระแด่วๆ อยู่ภายในก็แปรสภาพกลายเป็นกรงขังที่แน่นหนาได้ในตอนนี้ล่ะ!

“พวกเจ้าคงได้ออกไปแน่ถ้ามีจอมเวทย์ซักคนใจดีผ่านมาน่ะนะ...” เสียงเอ่ยอย่างกวนๆ พูดพลางนิ้วยาวก็จิ้มๆ เจ้าตัวเล็กในกรงไปพลาง “...และจอมเวทย์นั้นก็ต้องมีพลังมากกว่าข้าด้วยถึงจะคลายเวทย์ข้าได้...”

ใบหน้าดีใจที่กำลังระบายขึ้นตามหน้าเล็กๆ เริ่มเลือนหายไปเมื่อเจ้าชายพูดต่อเรื่อยๆ และแล้วใบหน้าเหล่านั้นก็กลายเป็นหวั่นวิตกทันทีที่เจ้าชายพูดจบ

“แต่จะหาคนเก่งกว่าข้าได้พวกเจ้าคงต้องรออยู่ในนี้ไปซักร้อยปีล่ะนะเจ้าพวกโง่! ฮ่าๆๆๆๆๆ”


“โฮๆๆๆๆ แงๆๆๆๆ เจ้าคนใจร้ายๆๆๆๆ ปล่อยพวกข้าออกไปนะ....ปล่อยไปนะๆๆๆ”


เสียงตัดพ้อที่ดังกระหึ่มเริ่มเลือนหายเมื่อเจ้าชายร่ายเวทย์ที่กักเก็บเสียงพวกนั้นเอาไว้ในถุงตาข่ายขึ้นมาเสริม จัดการกับภูตินิสัยเสียได้หน้าคมก็ละมามองร่างเล็กแทบเท้าที่ยังก้มหน้างุด สิ่งที่เจ้าตัวปกป้องเริ่มหาทางมุดออกมาได้แล้วและกำลังโผล่หน้าเล็กๆ ออกมาจากมือบาง

“ขอบพระคุณขอรับ”

รอยยิ้มแจ่มใสพาให้เจ้าชายยิ้มตอบนิดๆ แต่สิ่งที่สนใจมากกว่าก็เรียกเข่าแกร่งให้ทรุดลงไปและวางมือใหญ่ลงบนผมสีน้ำตาลที่นึกอยากจับเล่นตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว แต่เจ้าของก็ดูท่าจะรู้ตัวเมื่อคลายอุ้งมือปล่อยภูติน้อยให้บินออกไปและเงยใบหน้าขาวซีดขึ้นมาสบตา

แต่......พระเจ้า!

เทวดานี่!

“อะ....อึก...ขะ...ขอบคุณท่านมาก...” เสียงใสกังวานพยายามเค้นออกมาเอ่ยตอบแม้หน้าน่ารักนั้นจะทั้งขาวทั้งซีดและมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาประปรายบ้างแล้ว “...ถะ...ถ้าท่านจะกรุณา...ชะ...ช่วยส่งข่าวข้า...ส่ง...อึก....สิ่งนี้....ให้กับ...อึก....จอมเวทย์ซี.....ซี.....”

ซีอะไรล่ะ?

ที่ต้องถามอย่างนี้เพราะร่างตรงหน้าที่เค้นคำได้ไม่กี่ประโยคก็เล่นสลบล้มลงมาในอ้อมกอดเจ้าชายต่อหน้าต่อตาน่ะสิ!

“เฮ้ย! เจ้า!”

ไม่มีเสียงหรืออาการใดตอบรับเมื่อร่างนั้นแน่นิ่งไปแล้ว ตัวที่เย็นจัดของร่างในอ้อมแขนพาคิ้วเรียวให้ขมวดมุ่นอย่างหวั่นวิตก

เหงื่อและอุณหภูมิร่างกายที่ลดต่ำไม่ว่ากับเทวดาหรือปีศาจไม่ใช่เรื่องดีแน่!

ขนปีกสีขาวบางเบาจากปีกเกือบหักแต่เปล่งประกายราวกับทอแสงได้ที่เจ้าของยื่นส่งให้ตอนนี้อยู่ในอุ้งมือใหญ่เมื่อเจ้าชายยกมันขึ้นมาจ้องอย่างพิจารณา

เห็นแค่ขนเดียวถึงกับจะระบุได้ว่าเป็นใครเลยหรือ?

แต่กระนั้นมันก็คงไม่มีผลอะไรเพราะชื่อที่ได้ยินไม่ครบก็คงไม่สามารถระบุเป้าหมายได้ (เจ้าชายให้ข้ออ้างกับตัวเองอย่างนั้น) มือใหญ่จึงจับขนปีกสว่างเรืองรองนั้นยัดเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะช้อนแขนใต้ร่างเล็กและตวัดร่างน้อยปีกหักขึ้นอุ้มทันที

ปลายทางไม่แน่ชัดข้าก็คงไม่สามารถส่งข่าวให้ได้หรอกนะเทวดาน้อย ดังนั้นคงต้องรอให้เจ้าฟื้นขึ้นมาตอบเองกระมังและข้าเองก็ได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่น่าสนใจสุดๆ แล้วด้วย เพราะฉะนั้นแม้จะเป็นชายแต่ข้าจะยอมรักษาให้ก็ได้นะ

(เจ้าชายที่ไม่รู้ตัวว่าหน้าตัวเองผุดรอยยิ้มขึ้นมาบางเบาเมื่อก้มมองหน้าน่ารักในอ้อมกอดท่านให้ข้ออ้างกับตัวเองว่าอย่างนั้นจริงๆ นะ)


...


..


สามวันแล้ว

ร่างที่เจ้าชายเรียกทั้งจอมเวทย์คนอื่นและหมอหลวงในวังมาช่วยกันระดมมือรักษาสลบมาสามวันแล้ว ปีกที่หักยังไม่หายดีแต่อย่างน้อยหน้าที่เจ้าชายมานั่งจ้องได้ทั้งวันทั้งคืนไม่มีเบื่อก็เริ่มจะมีสีสันพอให้อุ่นใจได้บ้าง


...น่ารัก...


เพราะเจ้าชายท่านเองก็เสียพลังพอควรในการถ่ายไอชีวิตให้กับร่างบนเตียง ท่านเลยคิดว่านอนเฉยๆ จ้องเทวดาในห้องตัวเองน่าจะปลอดภัยกว่าการออกไปหาสาวๆ นอกวังตามนัดเพราะหากเป็นอะไรขึ้นมาจะยุ่ง(ข้ออ้างอีกข้อที่ท่านอ้างกับตัวท่าน) แต่พอนอนไปนอนมาและจ้องร่างนั้นไปท่านก็กลับยิ้มเองคนเดียวไป หลายครั้งหลายคราที่แอบแกล้งเอาดอกไม้ขนปุยมาเขี่ยๆ จมูกรั้นๆ ดูอีกคนจามเล่นบ้างล่ะ การแอบจี้เอวทั้งๆ ที่ร่างนั้นยังหลับบ้างล่ะ หรือแม้กระทั่งการแอบบีบจมูกดูสีหน้าคนหลับยุกยิกขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจไปมาบ้างล่ะ

น่าแปลกที่สิ่งเหล่านี้กลับเรียกเสียงหัวเราะจากเจ้าชายที่สวมหน้ากากเสเพลไว้แน่นให้กลับหลุดออกมาเต็มเสียงได้!

และอีกฝั่งของร่างบนเตียงคือภูติตัวจิ๋วนามเฟนารัสที่นอนแหมะอยู่บนหมอนเดียวกันกับร่างเล็ก จากคำให้การเจ้าตัวบอกว่าโดนภูตินิสัยเสียกลุ่มนั้นไล่แกล้งแต่เทวดาน้อยที่ตกมาจากฟ้าท่าไหนไม่รู้ก็เข้ามาช่วยทั้งที่ตัวเองบาดเจ็บ ตอนแรกกลุ่มภูติก็กลัวอยู่หรอกเพราะระดับชั้นแตกต่างกันมากระหว่างเทวดาและภูติ แต่คนมาช่วยที่ดันทรุดฮวบและไอชีวิตเริ่มหดหายพาให้พวกนั้นเปลี่ยนจากความกลัวมาเป็นการเอาคืน เจ้าตัวเลยโดนเทวดาน้อยกอดเอาไว้แน่นและโดนรุมจนเจ้าชายมาเจอนั่นล่ะ

เฟนารัสหรือชื่อที่เจ้าตัวบอกให้เรียกสั้นๆ ว่าเฟนก็ได้เล่ามายืดยาวอย่างนั้นก่อนจะหยุดเพื่อหายใจหายคอและเลยเอานิ้วเล็กๆ กุมปอยผมสีน้ำตาลนุ่มก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยกัน คำบอกเล่าจากภูติตัวเล็กบอกอะไรน้ำๆ เยอะก็จริงแต่แก่นแท้ที่เจ้าชายอยากรู้กลับไม่ได้รับคำตอบสักนิด

โดนใครไล่ล่าถึงตกลงมาพร้อมปีกที่หักอย่างน่ากลัว?

เทวดาหน้าตาอย่างนี้มีศัตรูกับคนอื่นเค้าด้วยเหรอ?

พร้อมๆ กับที่คิดอย่างนั้นเจ้าชายก็ควักเอาขนปีกในอกขึ้นมาดู ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าปีกสีขาวสะอาดที่เห็นบนที่นอนก็ทำได้แค่เห็นเพราะจะแค่จับต้องยังไม่ได้ หลายครั้งหลายคราที่เจ้าชายเผลอยื่นมือหมายจะลูบเล่นก็กลับทะลุปีกนั้นไปซะอย่างนั้น ดังนั้นความนุ่มของขนปีกที่ว่าจึงมาจากการสัมผัสได้จากขนเดียวที่เทวดาน้อยยื่นให้นั่นเอง


นี่มันครบสามวันแล้วเมื่อไหร่เจ้าจะฟื้นล่ะ?


อย่าลืมสิว่าเจ้าต้องตื่นขึ้นมาให้ข้าดูเล่นเป็นของตอบแทนนะ!


พร้อมๆ กับที่คิดอย่างนั้นศอกแกร่งก็ถูกท้าวลงบนที่นอนและร่างสูงก็ชะโงกตัวเหนือร่างเล็กจ้องหน้านั้นในระยะประชิด นิ้วแกร่งถูกยกมาเกลี่ยเส้นผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลออกให้จากแก้มใสพลางคิดไปถึงตอนที่คุยกับเพื่อนลูกครึ่งหน้าบ่อน้ำศักศิทธิ์



‘เกิดอะไรขึ้นเจ้าถึงกับเรียกข้ามาพบน่ะฮึมิคกี้...ไปหลงรักสาวคนไหนและเธอไม่ยินยอมแล้วจะให้ข้าช่วยรึไง?’

‘หึ...มีหญิงใดในโลกที่ไม่สมยอมต่อข้าอีกหรือ? ดูถูกกันเกินไปแล้ว!’

‘ฮ่าๆๆๆ ข้าลืมไปๆ ข้ากำลังคุยกับเจ้าชายเจ้าสำราญแห่งยุคอยู่นี่นะ พี่ข้าก็ออกจะเรียบร้อยรักเดียวใจเดียวแล้วเจ้าไปได้นิสัยอย่างนี้มาจากไหนกันล่ะเนี่ย...เฮ้ออออ…’


‘จากพ่อข้าไงล่ะ!’


กระแสเสียงเย็นเยียบและแววตาที่หลุดจากหน้ากากที่เก๊กไว้กลับไปเป็นสายตาเมินเฉยเหยียดหยันสิ่งรอบตัวเช่นเดิมทำให้เสียงหัวเราะจากหน้าที่ลอยบนบ่อเผลอชะงักไปเมื่อคิดว่าตัวเองได้ไปกระทบจุดซักอย่างที่ไม่ควรแตะเข้าให้แล้ว ดังนั้นน้ำเสียงกวนๆ จึงขาดหายไปเมื่อเอ่ยกับร่างตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘หลาน’ แผ่วเบา

‘พี่ข้านางสงบสุขแล้วแม้จะเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตนาง เจ้าคือสิ่งที่นางคิดว่าคุ้มที่สุดที่ได้เกิดมาใช้ชีวิตและมีความรักกับมนุษย์ แล้วใยถึงไม่รักตัวเจ้าซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่พี่ข้าหวงแหนล่ะ?’

‘......’

‘เฮ้อ....เอาล่ะ อย่างน้อยเจ้าก็เหมือนท่านพี่ตรงทิฐิสูงนี่ล่ะนะ แล้วคราวนี้มีอะไรจะให้ข้าช่วยล่ะเจ้าหลานรัก’

‘........’

‘ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็จะกลับไปทำงานล่ะนะ’

‘ข้าก็แค่....อืม....คือ...ยังไงล่ะ...คือ....แค่อยากรู้ว่าตอนนี้ที่สวรรค์หรือโลกของเจ้ามีเรื่องยุ่งๆ บ้างหรือไม่น่ะ?’

‘เรื่องยุ่งๆ ? เท่าที่ข้ารู้ไม่มีนะ...แล้วเจ้าจะอยากรู้ไปทำไม?’

‘อืม...ก็...ไม่มีอะไรหรอก...ก็แค่อยากรู้นิดหน่อย อยากรู้ธรรมดาๆ อยากรู้แบบไม่ได้พิเศษอะไร’

แต่ไอ้การอยากรู้สามแบบนี่แถวบ้านข้ามันเรียกว่าโคตรพิเศษแล้วนะมิคกี้เอ๊ย! - -*

แต่ก็งั้นแหละ กับเจ้าหลานที่กลายเป็นเพื่อนกันแล้วคนนี้ไปซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากไม่ได้ เดี๋ยวถ้ามันยัวะขึ้นมาข้าก็ข้าเถอะอาจจะเอาไม่อยู่ก็เป็นได้!

จอมปีศาจได้แต่คิดอย่างอ่อนใจเมื่อมองหน้าอีกคนที่หันหนีไปทางอื่นและยกมือลูบหัวแก้เก้ออย่างไม่อยากตอบด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

ถ้าท่านได้มีโอกาสอยู่ดูท่านคงตบหัวหล่อๆ ก่อนจะหัวเราะขำลูกชายสุดเก๊กของท่านซะล่ะมั้งพี่ข้า

‘เอาเป็นว่าข้าจะลองสืบดูให้อีกทีก็แล้วกัน เจ้าเรียกข้ามาด้วยเรื่องนี้ใช่มั้ย?’

‘อืม ขอบใจมากนะลูซ แล้ววันหลังข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็แล้วกันนะ อยู่แต่โลกปีศาจคงเหงาล่ะสิถึงได้หน้าตาห่อเหี่ยวนัก ข้าเข้าใจๆ’

ถ้าตบไหล่ข้าป้าบๆ ได้เจ้าหลานรักมันคงทำไปแล้วล่ะมั้ง!

‘เอาตัวเจ้าเองให้รอดก่อนเถอะ! แต่....เอ....เท่าที่ข้าพอจะทำนายได้ชีวิตเจ้าต่อจากนี้ต้องยุ่งเหยิงและยุ่งยากด้วยความรักเป็นแน่...ฮะๆๆ...ข้าอยากเห็นชะมัด.....’ คำทำนายที่หลุดออกมาให้หน้าคมต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจก็เพราะน้าหรือเพื่อนลูกครึ่งคนนี้เคยทำนายผิดที่ไหนล่ะ! ‘...แต่....นี่มันอะไรกัน?’

และก็แปลกที่อยู่ดีๆ หน้านั้นก็เปลี่ยนจากกวนๆ กลายมาเป็นขมวดคิ้วตามคนถูกทำนายเมื่อเจ้าตัวใช้จิตเพ่งอะไรบางอย่างที่มันกลับสามารถพาเหงื่อเม็ดเล็กๆ ให้ผุดขึ้นมาบนหน้าหล่อจัดนั้นได้!

‘นี่มัน.....มิคกี้....เจ้าอาจต้องพัวพันกับสิ่งที่น่าจะอันตรายที่สุดก็ได้นะระวังตัวด้วย ข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ ขอข้าไปสืบเรื่องที่เจ้าถามก่อนเพราะบางสิ่งกระซิบบอกว่ามันเกี่ยวข้องกัน ข้าไปล่ะ!’

และบทจะไปก็กลับไปง่ายๆ ซะงั้น!

‘อ้าว! เฮ้ย! ลูซ! ลูซ! เจ้าน้าบ้า อย่ามาทิ้งค้างไว้แล้วจากไปอย่างนี้สิ ลูซ! ลูซ! ลูซ! ’




และหลังจากนั้นร้องเรียกให้ตายก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เจ้าชายเลยได้แต่แบกความกังวลและสังหรณ์แปลกๆ ที่มันค้างๆ คาๆ จากคำทำนายของอีกคนกลับมาที่วังเพื่อมานอนจ้องหน้าตัวการที่ทำให้ต้องแบกหน้าไปถามนี่ล่ะ

ความรักหรือ?

เสียงในใจถามขึ้นก่อนมุมปากอิ่มจะกระตุกอย่างเหยียดหยันเมื่อจ้องใบหน้าที่นอนแน่นิ่งหลับสนิทตรงหน้าเหมือนดั่งเป็นตัวแทนคำทำนายที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดนั้น

เจ้าจะเป็นกามเทพให้ข้าได้พบรักหรือไรเทวดาน้อย?

แต่ความรักที่มีแต่น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและยังพรากชีวิตแม่ข้า ข้าไม่เคยต้องการ!

และไม่เคยจะต้องการตลอดชีวิตนี้ด้วย!!



“...อือ....”


หืม?


“...อืม.....”


เสียงงัวเงียในลำคอที่ดังขึ้นมาบางเบาช่วยดึงเจ้าชายจากภวังค์แห่งความคิดอันมืดมิดให้กลับมาสู่โลกเดิมได้ เจ้าของเสียงกำลังเอาคิ้วบางๆ ขมวดมุ่นก่อนจะยกกำปั้นเล็กๆ ขึ้นมาขยี้ตาหยีๆ

ท่าไม่ต่างจากเด็กตอนตื่นนอนเล้ย นี่เจ้าเป็นเทวดาจริงหรือเนี่ย?

หากแต่คำแรกที่เทวดาน้อยเอ่ยออกมาตอนเปิดดวงตากลมแป๋วสีน้ำตาลใสมาสบกับตาเรียวของใครอีกคนและการที่แขนเล็กกำลังจะเอื้อมไปโอบคอใครอีกคนนั้นเข้ามาจุ๊บคางแกร่งคืออะไรรู้มั้ย?


“...อืม.......ท่านพ่อ ^ ^”


ใครพ่อเจ้า!

ข้าไม่ได้หน้าแก่ขนาดนั้นนะ ถึงหลายคนจะทักว่าหน้าผากข้ามันเหมือนจะล้านนิดๆ แต่ข้าไม่แก่ขนาดนั้นแน่!

ชะรอยเจ้าของรอยยิ้มสว่างไสวนั่นจะรู้ตัวแล้วว่าทำให้คนที่เจ้าตัวยิ้มให้กำลังขุ่นมัว ไม่ใช่สิ รู้ตัวแล้วว่าคนตรงหน้าหาใช่บิดาไม่ต่างหากร่างเล็กถึงเบิกตาโตขึ้นมาเท่าตัว(เท่าที่จะโตได้) ก่อนจะอ้าปากค้างและปล่อยมือออกพร้อมขยับหนีอย่างตกใจ!

“อ่ะ....เอ๊ะ...เอ๊ะ....”

ออกเสียงได้เท่ากับเด็กทารกจะออกได้จริงด้วย - -*

“ข้าคือคนที่ช่วยเจ้าในสวนไงล่ะ เลิกทำหน้าตกใจซักที นอกจากสายตาชื่นชมแล้วข้าไม่ชินกับคนที่จ้องข้าเหมือนเห็นสิ่งแปลกประหลาดหรอกนะ!”

“อ่ะ...เอ๋......อ๋อออออออ...^ ^…”

เริ่มเปลี่ยนจากเด็กทารกเป็นเด็กน้อยแล้ว - -**

แต่เด็กน้อยที่ว่ากลับทำให้หัวใจแกร่งกร้าวของคนมองแทบกระตุกได้เมื่อปากแดงเล็กแย้มยิ้มกว้างจนตายิบหยีเปิดเผยฟันแทบทุกซี่ก่อนเสียงใสที่กังวานเพาะกว่าเสียงใครที่เคยได้ยินจะเอ่ยออกมาแผ่วเบา


“ผู้มีพระคุณ ^ ^”


เสียงเทวดามีอานุภาพบีบหัวใจคนได้จริงเหรอ?

เพราะทำไมตอนนี้ข้าถึงรู้สึกแปล๊บๆ ในอกตลอดเวลาเลยล่ะ?


“มะ...ไม่ต้องเรียกงั้นก็ได้ ข้าชื่อมิคกี้เป็นเจ้าชายของเมืองนี้แล้วเจ้าล่ะ?”

ควบคุมเสียงไม่ให้สั่นได้เสร็จก็ต้องพยายามจ้องหน้าคู่สนทนาเพื่อไม่ให้เสียมารยาทให้ได้แม้หน้านั้นจะสว่างซะจนเจ้าชายเผลอคิดไปว่าแสบตา

“ซีอา....ข้าชื่อซีอา...^ ^ ...ข้ากะว่าจะไปเยี่ยมเยียนท่านปู่ซีเซลบนภูเขาแต่กลางทางโดนแกล้งก่อนเลยตกลงมา แล้วก็เลยได้ผู้มีพระคุณมาช่วยไงล่ะ”

แกล้งบ้านเจ้านี่ถึงขั้นปีกหักเลยเรอะเทวดาน้อย!

แต่ถึงคิดเช่นนั้นเจ้าชายก็กลับไม่คิดจะซักไซ้ไล่เรียงอะไรมากกว่านี้ เรื่องส่วนตัวคนอื่นสมควรเคารพพอๆ กับที่คนอื่นต้องเคารพเรื่องส่วนตัวของท่านเช่นกัน(เคารพของท่านคือแอบไปถามเพื่อนลูกครึ่งมาก่อนนะ)

“เจ้ารู้จักจอมเวทย์ในตำนานซีเซลด้วยรึ? จอมเวทย์คนนั้นมีตัวตนอยู่จริงเหรอเนี่ย....”

“อื้อ มีสิ ^ ^ ท่านปู่ซีเซลอ่ะใจดีจะตาย ตอนเด็กๆ ช่วยสอนนั่นสอนนี่ข้าตั้งเยอะแน่ะ แต่ว่า.....” แล้วใบหน้าสดชื่นเริ่มเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงเมื่อเจ้าตัวเหลือบไปเห็นปีกที่มันเอียงหักมิหักแหล่ด้วยสายตาเศร้าๆ “...ข้าบินไม่ได้แล้วอ่ะ กว่าจะเดินไปถึงคงนานแน่เลย”

อะไรไม่รู้แต่เจ้าชายกลับไม่อยากเห็นคนตรงหน้าทำหน้าเศร้าเลยสักนิด

“ข้าพยายามจะรักษาปีกให้เจ้าแล้ว แต่ทั้งวังไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้เลย เลยได้แต่รักษาอาการภายนอกแทน”

“จริงๆ ไม่เป็นไรหรอกเพราะเดี๋ยวมันก็หายเอง แต่...ถ้าโดนมากขนาดนี้คงนานหน่อยอ่า...”

“งั้นข้าจะช่วยส่งข่าวไปให้พ่อเจ้าดีมั้ย?” ความคิดที่จะ ‘ดูเล่น’ ของเจ้าชายมันหายไปไหนท่านก็คงไม่รู้ตัวเช่นกันเพราะใบหน้าหมองๆ ของอีกคนบนเตียงตอนเจ้าตัวหันไปจ้องปีกกลับทำให้ท่านแทบร้าวในอกไปด้วย “หรือจะไปบอกท่านปู่ซีเซลของเจ้าให้ก็ได้นะ”

“ไม่เอา! เดี๋ยวถ้าท่านพ่อรู้ต้องห้ามข้าออกมาเที่ยวอีกแน่ ไม่ได้ๆ ส่วนถ้าท่านปู่รู้ก็ต้องเอาไปบอกท่านพ่อน่ะสิ ไม่ดีๆ”

ท่าทางกัดนิ้วไปคิดไปอย่างวุ่นวายใจของใบหน้าน่ารักที่ดูท่าจะติดอยู่แค่เรื่องเที่ยวเรื่องเดียวที่เป็นปัญหาพาให้รอยยิ้มเอ็นดูมันผุดขึ้นมาบนหน้าอีกคนอย่างไม่รู้ตัว และน้ำเสียงอ่อนโยนที่เจ้าชายเอ่ยออกมาดูท่าท่านก็คงจะไม่รู้ตัวอีกแน่


“งั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่จนกว่าจะหายสิ แล้วค่อยไปเยี่ยมพ่อเจ้าอย่างที่เจ้าอยากจะทำตั้งแต่แรกดีมั้ย?”


คำตอบหลังจากนั้นคงไม่ต้องบอกเพราะพอคนตัวเล็กแปลเสร็จก็อวดฟันทุกซี่ให้เจ้าชายได้เห็นด้วยรอยยิ้มยิบหยีอีกครั้ง คำขอบคุณจึงมาพร้อมกับแก้มอิ่มของเจ้าชายจะถูกลวนลามด้วยปากเล็กแดงของแขก


“ขอบคุณท่านมากผู้มีพระคุณ ^ ^”


คราวนี้หัวใจที่มันกระตุกจนเจ็บเจ้าชายคงน่าจะรู้ตัวแล้วล่ะมั้ง!






‘เปลี่ยนไป’


หลายๆ คนทักเจ้าชายเช่นนั้นจนเจ้าตัวเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เพียงแค่เริ่มอยู่ติดวังบ่อยขึ้น(ในตอนกลางคืน) และมีรอยยิ้มแปลกๆ ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาก็ทำให้นางกำนัลต่างจับกลุ่มซุบซิบกันถึงความเปลี่ยนแปลงของรัชทายาท

ถ้าถามว่าเจ้าชายที่มีรอยยิ้มเจ้าชู้นิดๆ ประดับหน้าทุกคราวที่เจอน่ะดูดีมั้ย? ร้อยทั้งร้อยก็จะบอกว่ายิ่งกว่าดูดี! แต่ถ้าถามว่าเจ้าชายที่ยิ้มกว้างและหัวเราะเสียงดังกับ ‘เพื่อน’ คนใหม่และมีรอยยิ้มที่บรรยายไม่ถูกว่าเป็นเช่นไรไม่รู้ รู้แต่มันแปลกตาเหลือเกินตอนเจ้าชายก้มลงไปยิ้มให้อาคันตุกะตัวเล็กก็กลับทำให้คนตอบแทบไม่มีเสียงตอบออกมาเลย

เพราะต่างก็เผลอจ้องจนลืมทุกสิ่งรอบตัวน่ะสิ!

ตอนแรกเจ้าชายก็นึกกลัวอยู่เช่นกันว่าการที่มีเทวดาตัวเป็นๆ มาเดินเคียงข้างจะทำให้ทุกคนแตกตื่น แต่เสียงใสๆ จากคนข้างกายที่เอ่ยบอกก็คลายความกังวลนี้ลงไปได้ง่ายๆ

‘เค้ามองไม่เห็นปีกหรอกมิคกี้ ^ ^’

งั้นที่ข้ายังมองเห็นปีกเจ้าอยู่ทนโท่นี่คืออะไรล่ะ?





หากแต่ความเปลี่ยนไปนี้มันกลับเลยไปถึงหูของคนที่เจ้าชายไม่อยากคุยด้วยมากที่สุด หลังจากที่พาเทวดาน้อยไปเดินเที่ยวพาชมท้ายวังที่บ่อยครั้งเจ้าชายชอบไปหมกตัวอยู่เงียบๆ และพาซีอาไปนอนกลางวันแล้วอยู่ๆ คำสั่งเรียกตัวกระทันหันก็พาคิ้วได้รูปให้ขมวดมุ่นก่อนร่างสูงจะห่มผ้าให้คนป่วยและเดินจากมาแผ่วเบา



“ท่านมีธุระอันใดกับข้า?”

“พ่อจะคุยกับลูกจำเป็นต้องมีธุระด้วยหรือ?”

ร่างที่นั่งสะสางงานบนโต๊ะตัวใหญ่เอ่ยตอบมาเช่นนั้นก่อนจะวางปากกาขนนกในมือลง ใบหน้าที่ไม่ถึงชั่วยามยังยิ้มแย้มหัวเราะตอนซีอาวิ่งเอาเมล็ดพันธ์ดอกไม้ที่เฟนเก็บมาให้มาอวดด้วยดวงตาสดใสบัดนี้กลับกลายเป็นราบเรียบยิ่งกว่าทะเลที่ปราศจากคลื่นลม ไหล่กว้างตั้งตรงเมื่อยืนเอามือทั้งคู่ไพล่หลังนิ่งๆ ในขณะที่ตาเรียวมองทอดออกไปยังหน้าต่างด้านข้าง

ใยอากาศภายนอกกลับอบอุ่นยิ่งกว่าความเย็นเยียบในนี้

“นานๆ จะเจอกันเจ้าไม่อยากมองหน้าพ่อเจ้าบ้างเลยหรือเจ้าชาย?”

“คาดว่าถ้าไม่มีธุระ พ่อข้าเองก็ไม่ได้พิศวาสอยากเจอหน้าข้าเช่นกันขอรับองค์กษัตริย์”

เมล็ดต้นอะไรไม่รู้ตอนนี้มันกำลังนอนนิ่งในกระถางที่ซีอาใช้ให้รัชทายาทของวังไปหามาให้ แต่ตอนนี้ถ้ามันบ่นได้คงจะบ่นแล้วล่ะว่าอย่ารักมันมากเกินไปนักเลย ไม่งั้นมันคงได้ตายเพราะได้รับน้ำมากเกินไปเป็นแน่!

“ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อฟังคำยอกย้อนหรอกนะ!”


‘เค้าไม่ตายหรอกน่า ไม่มีใครได้รับความรักเยอะๆ แล้วจะตายหรอกมิคกี้’

เสียงแหบๆ ของคนที่กอดกระถางไว้แน่นเอาหน้างอนๆ บอกอย่างนั้นหลังจากโดนเจ้าชายหัวเราะใหญ่โตที่เห็นเทวดาน้อยพยายามร่ายมนต์เรียกน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่บ่นพึมพำจนถึงแหกปากตะโกนก็แล้วน้ำก็ไม่มีมาเลยซักหยด(คาดว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าตัวน่าจะทำให้ใช้เวทย์ยังไม่ถนัด) ดังนั้นตาสีน้ำตาลจึงทั้งดีใจปนหงุดหงิดจากการเสียหน้าที่เจ้าชายยื่นเหยือกน้ำล้นปริ่มส่งให้


“เอาล่ะ ถ้าเจ้าเบื่อที่อยากคุยกับข้านักข้าก็จะเข้าเรื่องซักที เท่าที่ได้ยินมาหลายคนชมว่าพักนี้เจ้าทำตัวดีขึ้น ไม่เสเพลไปเรื่อยเหมือนแต่ก่อน”


‘เห็นมั้ย คุณต้นไม้อ่ะชอบน้ำจะตาย...เค้าดูออกหรอก มิคหยิบกิ่งไม้ตรงนั้นให้หน่อยสิข้าจะเอามาพรวนดิน’

คราวนี้เสียงใสๆ ของแขกทั้งเรียกชื่อเจ้าชายตามใจชอบแถมยังสั่งเอาดื้อๆ ซะงั้นทว่าก็กลับได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ถ้าถามเจ้าชายท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

‘โตเร็วๆ น้า...โตเร๊วววเรวววว มีดอกให้พวกเราดูเร็วๆ ล่ะคุณต้นไม้ ^ ^’


“ข้าก็เลยคิดได้ว่าปล่อยให้เจ้าทำตัวไร้สาระมานานแล้ว ไหนๆ เจ้าก็โตแล้วน่าจะเริ่มทำอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันซักทีหรือไม่ก็ควรมีคู่ครองเป็นงานเป็นการดีกว่าเถลไถลไปเรื่อย....”

แต่ตอนนี้เสียงร้องเพลงอบอุ่นจากซีอากลับไม่สามารถดึงเจ้าชายให้หลุดออกไปจากบรรยากาศเย็นจัดนี้ได้เมื่อประโยคเมื่อครู่เรียกสายตาที่ทำท่าเหม่อมองไปข้างนอกให้หันกลับมามองคนที่ลุกจากเก้าอี้เพื่อก้าวมายืนสบตาตรงหน้าตรงๆ

ตาเรียวเริ่มหรี่ลงเพราะพอจะคาดเดาถึง ‘ธุระ’ ที่ถูกเรียกมาวันนี้ได้แล้ว!

“...เจ้าหญิงบีนีสแห่งเซเรสได้ชื่อว่ามีความงามที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใคร และนางยังเป็นธิดาคนเดียวของอาณาจักรที่มีอิทธิพลในแถบเหนือด้วย...หากเจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองจนชื่อเสียงดีพอแล้วข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้าที่ไม่ด้อยกว่าใครอื่นก็น่าจะชนะใจกษัตริย์โฮรัสได้...”


“...ด้วยจุดประสงค์เดียวกับที่ท่านกวาดเอาเจ้าหญิงแต่ละเมืองมายัดไว้ในวังนี้น่ะหรือ!”


เสียงขัดอย่างรู้ทันที่ดังขึ้นมากะทันหันก่อนคนพูดจะทันหว่านล้อมจบก็พาความตึงเครียดอันหนักหน่วงให้ครอบคลุมลงมาอีกครั้งได้ดี!


ขอโทษนะซีอาที่เสียงเพลงของเจ้ากลับช่วยอะไรข้าตอนนี้ไม่ได้


“บรรดาลูกท่านที่เกิดแก่เจ้าหญิงพวกนั้นก็มีเกลื่อนวัง อย่าต้องถึงกับลดตัวมายัดเยียดความโชคดีนี้ให้ข้าเลย...ข้าไม่มีวาสนาเพียงนั้นหรอก!”


“แต่เจ้าคือรัชทายาท!”


“ถ้านั่นคือสิ่งที่เรียกว่าเป็นข้ออ้างก็จงริบตำแหน่งนี้คืนไปซะเพราะข้าไม่เคยคิดอยากจะได้!! เอามันไปให้ลูกท่านกับสนมคนโปรดซักคนเถอะ!!!”


ข้าขอโทษจริงๆ ซีอา


“เจ้าก็รู้ดี.....ว่าไม่ควรจะขัดใจข้า!”


“หึ....เพราะไม่งั้นก็จะมีจุดจบเหมือนแม่ข้าใช่มั้ย?”


บรรยากาศไม่เพียงเงียบกริบเมื่อร่างที่สูงพอกันกำลังจ้องหน้าคุมเชิงกันนิ่งๆ ...แต่ในความนิ่งนั้นกลับถูกห่อหุ้มด้วยความอึดอัดที่ทำให้แทบหายใจไม่ออกต่างหาก เหตุการณ์ในอดีตมากมายไหลผ่านเข้ามาในความทรงจำไม่หยุดหย่อน รอยยิ้มของแม่ที่ค่อยๆ เลือนหายเมื่อเห็นสนมคนแล้วคนเล่าที่ก้าวเข้ามาในวัง จนสุดท้ายมันคือหยาดน้ำตานับหยดไม่ถ้วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวน ‘ชายา’ ของคนเป็นพ่อที่ดูเหมือนไม่มีคำว่าสิ้นสุด

ท่านยังจะยอมรับว่า ‘สิ่งนี้’ มันมีค่าที่สุดในชีวิตดังที่น้องท่านบอกจริงหรือท่านแม่?


ความเงียบก็คงจะดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างนี้เพราะไม่มีทีท่าว่าใครจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน จนในท้ายที่สุดคนเป็นลูกก็กระตุกยิ้มกดลึกให้ใบหน้าแกร่งกร้าวที่บัดนี้กลับดูเคร่งเครียดเหมือนแบกภาระทั้งปวงไว้บนไหล่กว้างทั้งสองข้างที่เจ้าชายเองก็ไม่เคยมีความคิดจะช่วยแบ่งเบา

เพราะทั้งหมดนั่นท่านทำตัวท่านเอง

“ตำแหน่งจักรพรรดิที่ผู้คนทั่วหล้าเอ่ยปากเรียกขานยังไม่ทำให้ท่านพอใจอีกหรือองค์กษัตริย์? ระวังไว้เถอะว่าหากท่านต้องการมากกว่านี้จะไม่ใช่แม่ข้าเพียงคนเดียวที่ท่านสูญเสีย....” รอยยิ้มกดลึกยิ่งกดลงไปอีกจนดูเหมือนเย้ยหยันสิ่งทั้งปวง และใบหน้านั้นก็มีเค้าแห่งความพอใจผุดขึ้นมาด้วยที่เห็นหน้าที่เคยแกร่งทรนงไม่ฟังใครกลับมีแววเศร้าปรากฎวูบในดวงตาคมกริบ


“เพราะแม้แต่ข้าเองก็ไม่ประสงค์จะยืนเคียงข้างท่านเหมือนท่านแม่เช่นกัน!”


ประโยคหนักแน่นที่เอ่ยบอกลาทิ้งท้ายก่อนเจ้าชายจะหมุนตัวกลับและก้าวออกจากห้องนั้นด้วยฝีเท้าที่มั่นคงเหลือเกินก็เหมือนจะพาอากาศทั้งมวลให้ตามออกมาด้วย


ข้าคงอาศัยความอบอุ่นจากเจ้าได้ไม่นานเท่าที่ต้องการแล้วล่ะซีอา!






หลายคืนผ่านมาแล้ว

ช่วงนี้เพื่อนใหม่ต่างส่วนสูงแปลกไปจนเทวดาน้อยชักสงสัย เจ้าชายมิคกี้ทำตัวยุ่งทั้งวันแต่สิ่งที่ยุ่งนั้นกลับไม่เกี่ยวกับเรื่องงานแม้เพียงนิดหากแต่เป็นการออกไปเถลไถลนอกวังและเข้าร่วมงานเลี้ยงไม่เว้นแต่ละคืนต่างหาก และหลังเสร็จจากงานเลี้ยงที่เจ้าชายสำราญกับสาวๆ ในงานไปทั่วก็จะหายไปกับม่ายสาวคนดังอย่างท่านหญิงเซเรล่าทั้งคืนอีก

หลายคนเลยได้แต่อ่อนอกอ่อนใจว่าเจ้าชายทำตัวดีได้ไม่เกินเดือนเอาซะเลยจริงๆ


‘มิคจะไปไหนอีกอ่ะ? ให้ข้าไปด้วยได้มั้ย?’

เสียงใสปนแหบเคยอ้อนอย่างนั้นเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ในวังบ่อยเข้าจนเจ้าตัวเริ่มเหงา แม้เจ้าชายจะสั่งนางกำนัลทั้งวังเอาไว้ว่าให้ดูแลอาคันตุกะตัวเล็กคนนี้ให้ดีแค่ไหนแต่มันก็เทียบไม่ได้กับเพื่อนที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่องอย่างเจ้าชาย

และคราวนี้หน้าเล็กๆ ที่เงยขึ้นมามองก็กลับสามารถเรียกรอยยิ้มที่หลายคนคิดว่ามันหายไปแล้วให้กลับคืนมาได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง

‘เจ้าไม่เหมาะกับที่อย่างนั้นหรอก อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว...วันนี้ข้าฝากรีสให้พาเจ้าไปเที่ยวที่เธวารัลล่า เป็นเด็กดีอย่าให้รีสปวดหัวมากนักนะ...เจ้านั่นปวดหัวกับข้ามามากพอแล้ว’

‘งั้น...งั้น...มิคจะกลับมาตอนไหนอ่ะ ข้าจะได้รีบกลับมาให้ทันก่อนมิคออกไปอีก’

และไม่เพียงแค่รอยยิ้มอ่อนโยน เสียงกังวานใสนั้นยังสามารถเรียกมือใหญ่ให้ยกไปลูบผมสีน้ำตาลของเจ้าตัวได้ด้วย

‘อย่ารอเลย คืนนี้ข้าอาจจะไม่กลับก็ได้’

หน้าน่ารักที่เมื่อครู่ยังเบิกบานกลับหงอยลงทันตาทันที!

ความรู้สึกจุกๆ ในอกที่เจ้าชายเห็นหน้าแบบนี้ท่านก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน รู้แต่มันเจ็บปวดทุกครั้งที่ออกไปแล้วจะมีภาพของเพื่อนคนใหม่ผุดเข้ามารบกวนตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงก็ตาม รอยยิ้มฉาบฉวยที่แปะอยู่บนหน้ายามทักทายผู้คนเจ้าชายก็รู้ดีว่ามันหลอกลวงแค่ไหนเมื่อสิ่งเดียวที่ในใจคำนึงถึงกลับเป็นบ้านที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดแม้แต่อยากจะกลับ

คำเรียกขานเปลี่ยนจาก ‘วัง’ กลายมาเป็น ‘บ้าน’ ได้ตอนไหนก็เป็นอีกหนึ่งคำถามที่เจ้าชายตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน


‘ยังไงวันนี้ข้าก็จะรอน้า....ข้ามีอะไรอยากให้เจ้าดูมากๆ เลย รีบๆ กลับมานะมิคกี้...’


เสียงใสนั้นตะโกนส่งท้ายฝุ่นจากอาชาคู่ใจที่ควบจากมา ความอึดอัดมันกำลังบีบรัดหัวใจข้างในอกจนเจ็บปวดไปหมด สิ่งที่อยากทำที่สุดตอนนี้คือวกม้ากลับไปและคว้าร่างน้อยนั่นเข้ามากอดแนบอกให้สมกับคำว่าคิดถึงตลอดหลายวันผ่านมาที่เจ้าชายพยายามกลับไปใส่หน้ากากใบเดิม


เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรกันนะท่านแม่?






แกร็กกกกกกกกก

แอ๊ดดดดดด


เสียงประตูห้องของอาคันตุกะเจ้าชายรัทยาทที่ดังขึ้นในยามวิกาลอาจทำให้หลายคนแปลกใจเล็กน้อย สิ่งที่แปลกใจไม่ใช่ใบหน้าของคนเปิดเข้าไปแต่หากเป็นทำไมคนนั้นถึงมาเปิดในเวลานี้ต่างหาก

เพราะเวลาปกติคือตอนเช้าของวันใหม่แทนที่จะเป็นเที่ยงคืนอย่างนี้น่ะสิ


“ซีอา....”


ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของห้องแม้ว่าคนเรียกที่วุ่นวายใจจนทนอยู่งานเลี้ยงไม่ได้จำต้องรีบกลับมาโดยให้ข้ออ้างกับตัวเองว่าที่ผ่านมาก็ทำได้ดีพอแล้ว คืนพรุ่งนี้ค่อยทำใหม่ แต่เตียงนอนที่ว่างเปล่าก็ชักทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นความกังวลแทนได้


“ซีอา.....”


เจ้าหายไปไหนนะ?


“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง?”

ไม่เกินอึดใจเลยที่เสียงถามจะเอ่ยออกไปและคนตอบจะรีบปรากฎตัวตรงหน้าประตูทันใจนัก

“เจ้าค่ะเจ้าชาย”

“ซีอาล่ะ?”

“ท่านชายน้อยน่าจะยังอยู่ที่ห้องเจ้าชายเจ้าค่ะ เมื่อตอนหัวค่ำท่านชายน้อยถามถึงท่านทุกชั่วยามเลยแล้วก็เหมือนจะบ่นๆ ว่าจะไปรอท่านที่นั่นเจ้าค่.....”

คำเอ่ยบอกยังไม่จบด้วยซ้ำเมื่อคนฟังก้าวยาวๆ จากไป แล้วประตูบานถัดมาที่เจ้าชายเปิดก็คือห้องตัวเองนั่นเอง


“ซี......”


แต่แล้วเสียงเรียกก็ขาดหายตรงนั้นเมื่อตาเรียวเห็นภาพในห้องนั้นชัดถนัดตา!


หลังจากใบหน้าแปลกใจหายไปก็กลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างหวานๆ ที่น้อยคนนักจะได้รับจากเจ้าชายที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลาแทน ร่างเล็กเจ้าของปีกสีขาวบริสุทธิ์ที่ราวกับเปล่งประกายได้ใต้แสงจันทร์สีขาวนวลกำลังนั่งกอดอะไรซักอย่างบนพื้นและสัปโหงกพิงกับเสาเตียงคอหักคอพับแถมบนหัวก็มีภูตน้อยเฟเนรัสที่กำลังหลับสบายบนกลุ่มไหมสีน้ำตาลด้วย

ควรจะหัวเราะหรือทำหน้าดุดีนะตอนนี้?

แต่ความรู้สึกอุ่นวาบที่มันแผ่ซ่านไปทั่วตัวนี่คืออะไรกัน?


“ซีอา....ซีอา....เซียะ....ตื่นเร็ว...กลับไปนอนที่ห้องดีๆ สิ อย่ามานอนตรงนี้เดี๋ยวเป็นหวัด”

“อืม...”

“เจ้าขี้เซาตื่นเร็วสิ...ถ้าเจ้าไม่ตื่นข้าจะอุ้มนะ....”

“อื้อ......” ท่าที่กำปั้นเล็กกำลังขยี้ตาหยีนี่ไม่ต่างจากตอนเจอกันแรกๆ เลย แล้วคำถัดมาเจ้ายังจะเรียกข้าว่าพ่ออีกมั้ยนะ


“....อือ...........มิ๊คคคคค ^ ^”


นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าคำว่าท่านพ่ออีกนะ! เรียกอย่างนี้ทำข้าเจ็บหัวใจแค่ไหนรู้มั้ยเทวดาน้อย!


“....กลับมาแล้วเหรอ ^ ^ อ้ะ....อย่าเพิ่งนอนนะ ข้ามีของมาอวดเจ้าด้วย!”


หายงัวเงียเสร็จเจ้าตัวก็หันรีหันขวางหาของจ้าละหวั่น แต่ทำไปทำมามันก็คือกระถางที่แขนเล็กกอดเอาไว้กับตัวตลอดเวลานั่นแหละ

เจ้าโตขึ้นจริงรึเปล่าเนี่ยเทวดาน้อยจอมซื่อบื้อ - -*

“นี่ไงล่า เมล็ดดอกไม้ที่เฟนเอามาให้ไงล่ะ ^ ^ ดูสิมิคดูสิ มันแตกใบอ่อนแล้วน้า เฟนบอกว่าอีกไม่นานมันก็จะบานแล้วอ่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าปลูกดอกไม้ได้เนี่ย อิยะฮะฮะ ^ ^ ”

นี่คือสิ่งที่เจ้ามานั่งขดเมื่อยเกือบครึ่งคืนเพื่อจะบอกข้าหรือ?

“ข้าบอกแล้วไงคนได้รับความรักเยอะๆ อ่าไม่ตายหรอก เจ้าต้องเปลี่ยนความคิดได้แล้วนะ”


เฮ้อ....ข้าแพ้แล้วใช่มั้ยเนี่ย?


“ขอรับๆ ข้าเปลี่ยนก็ได้ขอรับท่านเทวดา ไหนดูซิ...เจ้าดูแลเองจริงๆ เหรอไม่ใช่เฟนดูคนเดียวแล้วเจ้าเหมาตู่ตัวเองเข้าไปด้วยนะ?”

“ข้าบอกว่าข้าก็ต้องข้าสิ! ไม่เชื่อกันรึไงเล่า....”

“ฮ่าๆๆๆๆ ถามแค่นี้ต้องขึ้นเสียงด้วย....ข้าเชื่อแล้วซีอา...ข้าเชื่อ...ไม่งอนนะ...”


และนี่คือบทสนทนาที่ลอดออกมาได้ยินแผ่วๆ ในห้องนั้นทั้งคืน เสียงหัวเราะเต็มเสียงของเจ้าชายรัชทายาทเป็นสิ่งที่แปลกก็จริงแต่กลับปกติที่สุดเมื่อคู่สนทนาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นอาคันตุกะตัวเล็กจากต่างแดนคนนี้นั่นเอง

แล้วอย่างนี้เจ้าชายจะจัดการความไม่ปกติของตัวเองยังไงล่ะ?


นับวันท่านก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นทุกวันว่าท่านเปลี่ยนไป สิ่งที่เคยตั้งใจเอาไว้และทำมาได้ตลอดนับยี่สิบกว่าปีเจ้าชายก็ไม่อยากให้มันพังทลายลงวันนี้หรอกนะ ใครบางคนที่เริ่มมีบทบาทต่อตัวเองมากขึ้นทุกวันมันทั้งมอบความสุขและความหนักใจมาให้ในเวลาเดียวกัน

ข้าควรจะทำเช่นไรดี?

ทุกครั้งที่ออกไปนอกบ้านก็ต้องมานั่งคิดถึงคนในบ้าน แต่พออยู่ในบ้านก็ต้องหนักใจจากการจับตามองของคนที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน

งั้นก็ทำมันซะทั้งๆ ที่อยู่ในบ้านเลยเป็นไงจะได้ไม่ต้องมานั่งห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป!


..

..


“ช่วงนี้ท่านดูเหม่อๆ นะ?”

เสียงหวานเย้ายวนเอ่ยถามขึ้นเมื่อคนถามกำลังนั่งลงบนตักเจ้าชายและพิงอกกว้างนั่นทั้งตัว ผมสีทองยาวสยายไปกับแขนแกร่งและทิ้งตัวลงเบื้องหลังบดบังเอวคอดและรูปร่างยวนตาไว้รางๆ

“อยู่กับข้าแล้วยังคิดถึงคนอื่นอีกหรือ?”

นิ้วเรียวขาวถูกยกมาลูบไล้คางแกร่งและเรื่อยไปถึงปากอิ่มอย่างกระตุ้น เก้าอี้พนักสูงข้างหน้าต่างก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีเมื่อสามารถรองรับร่างสองร่างได้โดยไม่มีอาการกระตุกแม้แต่น้อย

“แต่ท่านที่ดูไร้หัวใจอย่างนี้ก็มีสเน่ห์ไปอีกแบบนะเจ้าชาย”

ไร้หัวใจหรือ?

ข้าจะไร้หัวใจได้อย่างไรกันเซเรล่าเมื่อตอนนี้เจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ มันกำลังบีบตัวจนเจ็บปวด สาเหตุมันไม่ได้มาจากการที่พาหญิงงามเข้ามาคลุกคลีในวังสร้างข่าวฉาวให้คนนินทาเล่นและให้คนที่ไร้หัวใจจริงๆ คนนั้นวุ่นวายใจซะบ้างแต่มันกลับเป็นการไพล่ไปคิดถึงอีกคนหนึ่งที่อยู่ห้องไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ต่างหาก

แม้จะให้นางกำนัลพยายามดึงใครคนนั้นไม่ให้เข้ามายุ่งไว้แล้วแต่มันกลับเผลอคิดว่าถ้าเจ้าตัวมาเห็นภาพนี้จะรู้สึกยังไง

ข้าอยากไร้หัวใจจริงๆ ซะเหลือเกินที่กลับคิดไปว่าถ้าเห็นใบหน้าน่ารักนั้นทำหน้าเจ็บปวดข้าเองก็คงเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!

“ใจร้ายจังน้า...พาข้ามาแล้วยังนั่งนิ่งอย่างนี้ได้ ข้าอุตส่าห์ยอมทิ้งชื่อเสียงเพื่อท่านแล้วท่านจะแค่นั่งดูข้าเฉยๆ หรือไรเจ้าชาย?”

หากเป็นแต่ก่อนคงไม่ต้องรอให้ฝ่ายหญิงเอ่ยปากเช่นนี้เพราะร่างสูงคงจัดการให้นางเงียบเสียงไปนานแล้ว แต่วันนี้ทุกๆ สัมผัสจากความนุ่มของอิสตรีที่ทาบทับลงมากลับเหมือนเสี้ยนเล็กๆ ที่ทิ่มแทงให้ใจมันเจ็บจนสะดุ้ง

ซีอา...

ใยข้าต้องคิดถึงเจ้าด้วย?

“เจ้าชาย.....”

นิ้วนั้นถูกผละออกมายึดหน้าคมไว้เมื่อใบหน้าหวานซึ้งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้แทนที่ ความอุ่นนุ่มที่บดเบียดเข้ามากับอกกว้างกลับไม่ดูน่าพิสมัยอย่างทุกคราวเพราะเจ้าชายกลับต้องสั่งให้ตัวเองนั่งนิ่งๆ ไม่ลุกหนี


ซีอา.....


“มิ๊คคคคคคคคคคคคคค”


นี่ข้าคิดถึงเจ้าจนหูฝาดไปหรือไร?


“พวกพี่สาวบอกว่าวันนี้เจ้าไม่ออกไปไหนช่ายม้ายยยยยยย ^ ^ ออกไปเล่นที่สวนกันเต๊อะ....”


ตัวจริง!


ร่างเจ้าชายที่สะดุ้งสุดตัวคงไม่แตกต่างจากคนที่อยู่ดีๆ ก็เปิดประตูเข้ามานักเมื่อร่างน้อยนั้นก็ชะงักพอกัน ทั้งสามคนในห้องใหญ่ต่างมองหน้ากันไปมา ใบหน้าแปลกใจของสาวงาม ใบหน้าตกใจของเจ้าชาย

และใบหน้าที่เปลี่ยนจากยิ้มกว้างอย่างที่สุดมาเป็นเรียบเฉยก่อนจะหมองลงเรื่อยๆ ของเทวดาน้อย


“แขกของเจ้าชายหรือ? หน้าตาน่ารักจังนะ”


เสียงหวานของร่างที่แนบชิดบนตักเจ้าชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู แต่คนถูกเอ็นดูกลับเงียบสนิทเมื่อเอาตาเหงาๆ นั้นจ้องร่างสูงแทบไม่กระพริบ


ทำไมหัวใจข้ามันถึงเจ็บปวดเหมือนถูกกรีดมากถึงเพียงนี้ล่ะ?


ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดมิใช่หรือไร


“ซีอาออกไปก่อนนะ ข้าจัดการธุระเสร็จจะตามออกไป”


ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างน้อยหน้าประตูหากแต่สิ่งที่เห็นก็เป็นเพียงใบหน้าอ้างว้างที่เด่นชัดบนหน้าขาวสว่างนั้น...


และท้ายสุดก็คือน้ำตาสายเล็กที่ไหลรินลงมาเงียบๆ แวบหนึ่งก่อนประตูจะถูกปิดแผ่วเบา


ท่านแม่...ความเจ็บปวดที่ท่านเผชิญมันเจ็บยิ่งกว่าข้ามั้ย?


“อ้าว...ออกไปซะแล้ว....แต่มาต่อกันนะคะเจ้าชาย”


หัวใจที่ด้านชาเหมือนถูกสาปก็พาให้ตัวแข็งตามไปด้วย ริมฝีปากอิ่มแดงเย้ายวนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากร่างสูงได้มากไปกว่าภาพของเพื่อนตัวเล็กที่ยังติดตาเมื่อครู่


เจ็บ...


มันเจ็บจนหายใจไม่ออก!



“เจ้าชาย...”



พอกันที!!


พร้อมๆ กับที่หัวใจมันสั่งบางสิ่งบางอย่างมือแกร่งก็ถูกยกมากั้นปากตัวเองและคนข้างหน้าทันทีก่อนมือนั้นจะจับเอวเล็กยกร่างบางออกจากตักพร้อมๆ ผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ใยข้าต้องสนใจคนที่ไม่เคยใส่ใจข้ากับแม่มากกว่าคนที่ข้าคิดถึงทุกชั่วยามด้วย!


คนอื่นจะคิดเช่นไรข้าไม่สนใจแล้วขอเพียงแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าใจข้า!!


“ข้าขอโทษจริงๆ แต่ข้ามีธุระรีบด่วนที่ต้องทำ ข้าจะบอกรีสให้ไปส่งเจ้าที่บ้านและจะส่งจดหมายขอโทษไปวันหลังแต่วันนี้ข้าต้องขอตัว”


พูดพลางเจ้าตัวก็รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเอ่ยบอกคนที่ยังยืนงงๆ ตรงหน้า


“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาเซเรล่า เจ้านับเป็นเพื่อนหญิงที่จริงใจที่สุดที่ข้าเคยมีมา ลาก่อน!”


และเจ้าชายก็ยิ่งทำให้อีกคนยืนนิ่งอึ้งด้วยความสงสัยหนักขึ้นเมื่อนานๆ จะเห็นเจ้าชายรีบร้อนจากไปและเปิดประตูเสียงดังอย่างไร้มารยาทเช่นนี้


ไม่เคยมีใครเห็นผู้ชายสำอางค์คนนี้หลุดขนาดนี้มาก่อนเลยนับตั้งแต่วันที่ราชีนีเรซิเฟอร์สิ้นลมหายใจ


ปังงง!!!!


แถมท้ายด้วยเสียงตะโกนก้องวังที่เอ่ยคำเพียงคำเดียวต่อไปนี้อีกก็คงยิ่งเป็นสาเหตุของความไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิมแน่


“เซียะ!!!”


แต่คาดว่าสำหรับเจ้าชายเองแล้ว ท่านคงเข้าใจตัวเองและหาคำตอบของคำถามทั้งมวลเจอแล้วกระมัง!






To be Con


Create Date : 14 มกราคม 2552
Last Update : 26 มกราคม 2552 18:49:28 น. 0 comments
Counter : 206 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ryoshin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ryoshin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.