หูยยยย! เผ็ดมาก กางเกงในไร้สาย! แซ่บรับเทศกาลคริสต์มาส Rare Item นะคุณ นวัตกรรมเดี๋ยวนี้ก้าวไกลมากคุณขา นี่แอดมินถึงขั้นตื่นตาสุดๆ กับ กางเกงในไร้สาย หืม? อีกทีเซ่ะ ? “กางเกงในไร้สาย” แล้วจะใส่ยังไงล่ะ ? แบรนด์ SThong ออกคอลเลคชั่นใหม่ กางเกงในไร้สายสำหรับ เทศกาลคริสต์มาส ในปีนี้ โดยเป็นกางเกงในผ้าลูกไม้แบบแปะเทปกาว โดยออกมา 3 สี เขียว ,แดง และ ขาว ส่วนขนาดก็มี 3 ไซส์ คือ S　(ด้านหน้ากว้าง 10cm、ยาว 32cm、ด้านหลังกว้าง 8cm) M　(ด้านหน้ากว้าง 10cm、ยาว 34cm、ด้านหลังกว้าง8cm) L　(ด้านหน้ากว้าง 12.8cm、ยาว38cm、ด้านหลังกว้าง10.5cm) ทั้งหมดนี้ วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ //www.withus-corp.jp/sthong.html  โดยวางขายจำนวนจำกัดเพียง 250 ชุดเท่านั้น ในราคา 7,000 เยน ก็บอกแล้วว่า Rare Item! ภาพประกอบ และ ที่มาจาก prtimes.jp เรียบเรียงเนื้อหา  Women MThai Team   Create Date : 25 พฤศจิกายน 2558     0 comment Last Update : 25 พฤศจิกายน 2558 22:30:38 น.     Counter : 781 Pageviews.   Share Tweet

ปรับวิธีกินยา พาราเซตามอล ใหม่! ห้ามกินครั้งละ 2 เม็ด เมื่อปลายเดือนกันยายน 2557 ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และเครือข่ายโรงพยาบาลกว่า 50 แห่งในประเทศ ได้หารือกันในเรื่องการใช้ยา พาราเซตามอล หลังพบว่า คนไทยรับประทานยา พาราเซตามอล เกินขนาด เสี่ยงให้เกิดภาวะตับเป็นพิษได้ จึงได้หารือและเสนอให้ปรับวิธีการจ่ายยา พาราเซตามอล ใหม่ ซึ่งล่าสุดวันที่ 29 ตุลาคม ก็ได้มีการออกมาประกาศแก่ประชาชนดังนี้ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล กำหนดรูปแบบฉลากยา 11 รายการ ให้เครือข่ายโรงพยาบาลกว่า 50 แห่ง นำไปปรับใช้กับระบบของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง โดยยกกรณีการใช้ยา พาราเซตามอล เกินขนาดของคนไทยมาเป็นตัวอย่าง และย้ำห้ามรับประทานยาชนิดนี้ครั้งละ 2 เม็ด กินยา พาราเซตามอล ครั้งละ 2 เม็ด เมื่อมีอาการปวดหัวหรือเป็นไข้ เป็นความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่มนปัจจุบัน  ที่เข้าใจว่าจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้  ซึ่งขัดกับหลักเกณฑ์การใช้ยาชนิดนี้ ที่กำหนดว่าห้ามรับประทานเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งยา พาราเซตามอล  1 เม็ด เท่ากับ 500 มิลลิกรัม หากดูฉลากยาพาราเซตามอลข้างขวด ที่ระบุว่า รับประทานได้ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4 ถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งทำให้คนไทยกินยาชนิดนี้มากเกินไป คือสูงถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล จึงเห็นว่า ต้องกำหนดให้แพทย์สั่งจ่ายยา พาราเซตามอล กับผู้ป่วยเพศหญิง จำนวน 1 เม็ด รับประทานทุก 6 ชั่วโมง ส่วนผู้ป่วยชายให้พิจารณาเป็นกรณีไป และให้เขียนกำกับบนฉลากยาด้วยว่า “ห้ามใช้ยา พาราเซตามอล เกินวันละ 8 เม็ด เพราะเป็นพิษต่อตับ” นอกจากการกำหนดปริมาณยาที่เหมาะสมแล้ว การปรับรูปแบบฉลากยา ยังเป็นสิ่งจำเป็น  เครือข่ายโรงพยาบาลฯกว่า 50 แห่ง จึงกำหนดการปรับรูปแบบฉลากยา 11 รายการ เช่น ยา พาราเซตามอล ที่ต้องระบุชัดเจนว่าห้ามกินเกินวันละ 8 เม็ด  ยารักษาโรคเกาต์ ที่ควรมีฉลากเตือน “หากท้องเสียให้หยุดยาทันที” รวมถึงกลุ่มยาปฏิชีวนะ ควรเตือนเรื่องเชื้อดื้อยา เป็นต้น ซึ่งในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ทุกภาคส่วนจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อนำโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลไปสู่ภาคปฏิบัติ ให้เกิดการใช้ยาที่ถูกต้อง และเป็นรูปธรรมมากขึ้น ขอบคุณที่มาจาก : voicetv.co.th   Create Date : 23 พฤศจิกายน 2558     0 comment Last Update : 23 พฤศจิกายน 2558 23:17:35 น.     Counter : 997 Pageviews.   Share Tweet

วิธีทำความสะอาดหู จงเข้าใจซะใหม่ การใช้สำลีก้านเป็นการกระทำที่ผิด!! วิธีทำความสะอาดหู จงเข้าใจซะใหม่ การใช้สำลีก้านเป็นการกระทำที่ผิด!!           คันหูไม่รู้เป็นอาราย เลยต้องเอาสำลีก้านหรือคอตตอนบัดมาปั่นซะให้หาย หลายคนเข้าใจว่าเป็นวิธีทำความสะอาดหูที่ดีเลิศเพราะมันชอนไชได้ลึก เวลาปั่นมันทั้งมันส์ขนลุกทั้งสะอาดใช่ป่ะ แต่เดี๋ยวก่อนจ้า ความจริงแล้วการใช้สำลีก้านมาปั่นหู ยิ่งลึกเท่าไหร่ยิ่งกลายเป็นผลเสียนะ            เพราะความจริงแล้ว การดันสำลีก้านเข้าไปที่รูหูกลับกลายเป็นการผลักเอาขี้หูให้เข้าไปรวมเป็นก้อนใหญ่ในรูหูชั้นในมากขึ้น ๆ ดีไม่ดีจะไปโดนเอาแก้วหู งานเข้าเลยคุณ           แล้วความจริงขี้หูน่ะ มันมีประโยชน์นะเพราะธรรมชาติสร้างมันขึ้นมาเพื่อดักจับสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปถึงหูชั้นในง่าย ๆ           สิ่งที่ร่างกายจะทำคือ ผลักดันขี้หูที่เป็นส่วนเกินออกมาที่หูชั้นนอกเอง หน้าที่เราก็แค่เช็ดมันออกบริเวณภายนอก           ดังนั้น ที่เข้าใจว่าขี้หูทำให้รูหูตัน หูเลยตึงไม่ได้ยินแฟนเรียกไปซักผ้า เกิดจากพฤติกรรมการใช้สำลีก้านดันขี้หูเข้าไปเอง ไม่ได้เกิดจากการสะสมหรอกนะ ร่างกายมันขับออกเองได้           วิธีทำความสะอาดที่ถูกต้องคือ ใช้น้ำเกลือหยอดหู โดยผสมน้ำเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่นครึ่งแก้ว เอาสำลีก้อนมาจุ่มแล้วก็นำไปหยดใส่หู เอียงอย่างนั้น 3 - 5 นาทีแล้วค่อยเอียงกลับให้น้ำเกลือไหลออก แล้วก็ซับให้แห้ง            แต่ถ้าทำความสะอาดแล้วแต่หูยังตัน ๆ ตึง ๆ ก็ไปปรึกษาแพทย์ รับรองอันนี้ชัวร์ที่สุดนะ ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก wittyfeed   Create Date : 20 พฤศจิกายน 2558     0 comment Last Update : 20 พฤศจิกายน 2558 22:50:59 น.     Counter : 1508 Pageviews.   Share Tweet

นั่งรถเมล์ทำไม ง่วงนอน หลายคนอาจจะเคยมีอาการ ง่วงนอน ตอนที่นั่งรถโดยสารประจำทาง หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะสูดดมควันจากท่อไอเสียของรถมากเกินไปจนทำให้เกิดอาการ ง่วงนอน วันนี้เรามีคำตอบมาให้คลายข้อสงสัยกันค่ะ ถาม : ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด เราก็พบกับสภาพแต่การจราจรติดขัด เมื่อขึ้นรถเมล์ต้องทนกบการแออัดยัดเยียด และทำไมเรานั่งรถเมล์ถึง ง่วงนอน ตอบ : สาเหตุแรก คือ พักผ่อนไม่เพียงพอ สาเหตุที่ 2 คือ นั่งรถเมล์นาน ถาม : จากการตั้งข้อสันนิษฐานสาเหตุของการ ง่วงนอน เกิดจากสูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ เมื่อสูดเข้าไปมาก ๆ ทำให้เกิดอาการ ง่วงนอน จริงหรือไม่ ตอบ : ไม่ได้มีการพิสูจน์ว่า ควันดำมีก๊าซพิษอะไรบ้าง แต่ถ้ามีการเผาไหม้ที่สูงเกิน 35 ส่วนในล้านส่วน จากการทำสถิติบรรยากาศของรถติดยังไม่เป็นอันตรายเพียงพอ ไม่สามารถทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ ถาม : ถ้าก๊าซหรือควันพิษออกจากรถยนต์และเข้าสู่ร่างกายทุกวันบ่อย ๆ จะเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ตอบ : แน่นอน เพราะก๊าซต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มีพิษ ถ้าสูดทุกวันสารพิษต่าง ๆ เข้าไปในร่างกาย ร่างกายจะขับ ออกมาในรูปของเสมหะ แต่ส่วนที่ขับไม่ได้ อาจไปติดอยู่ที่ถุงลมของปอดถ้าสะสมนาน ๆ ปอดจะ เสื่อมไปได้ ซึ่งเป็นผลระยะยาว สำหรับระยะสั้น ก๊าซต่าง ๆ หรือควันทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เป็นหลอดลมอักเสบ โรคระบบทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ ถาม : ถ้าควันพิษเข้าไปในร่างกายมาก ๆ ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้หรือไม่ ตอบ : ถ้าเป็นควันพิษจากอุบัติเหตุไฟไหม้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินปริมาณออกซิเจนที่ใช้อยู่ทำให้เสีย ชีวิตได้ ถาม : บุคคลที่ได้รับควันพิษจากท่อไอเสียมาก เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าเกิดอันตรายจากกลุ่มควันนี้ ตอบ : อันนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ยากแต่ถ้าสูดดมระยะยาว ๆ จะมีผลต่อร่างกายได้ และอาจมีสารกระตุ้นทำให้เนื้อเยื่อผิดปกติ ถาม : วิธีการรักษาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหรือโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุจากการสูดดมควันเข้าไป มีวิธีการรักษาหรือมาตรการป้องกันอย่างไรบ้าง ตอบ : 1. ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงและปอดแข็งแรง  2. อาจไปพักผ่อนตามต่างจังหวัดเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ขอบคุณที่มาจาก : รศ. นพ.ศุภชัย รัตนมณีฉัตร ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล //health.mthai.com/howto/health-care/4746.html   Create Date : 17 พฤศจิกายน 2558     0 comment Last Update : 17 พฤศจิกายน 2558 9:57:00 น.     Counter : 766 Pageviews.   Share Tweet

ส้นเท้าแตก เปลือกกล้วยหอม ช่วยคุณได้   วันนี้เอาใจคุณสาวๆ (รวมถึงหนุ่มๆ) ที่มักประสบพบเจอปัญหา ส้นเท้าแตก จนเจ็บแปลบมาถึงหนังหน้า เพราะว่าเห็น(หรือสัมผัส)แล้วมันให้ความรู้สึกเซ็งมั่กๆ และบางท่านอาจจะรู้สึกเสียความมั่นใจไปเลยจนไม่กล้าโชว์ผิวเนียนบนรองเท้าคู่สวย         ปัญหาส้นเท้าแตก มักเกิดจากการใส่รองเท้าแตะแบบหนีบ หรือรองเท้าเปิดส้น เพราะการใส่รองเท้าเหล่านี้นานๆ จะทำให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าถูกเสียดสี จนค่อยๆ แข็งและหนาขึ้น เป็นเหตุให้เกิดอาการแห้งแตกในที่สุด ว่าแล้วก็มาดูกันค่ะ กับวิธีแก้อาการ ส้นเท้าแตก ในแบบฉบับง่ายนิดเดียว โดยมีนางเอกของเรื่องคือ เปลือกกล้วยหอม ขอย้ำว่าเปลือกเท่านั้นนะจ๊ะ ส่วนเนื้อนวลของน้องกล้วยก็จัดเข้าปากอร่อยล้ำกันไปจะได้ไม่เปลือง ให้นำเปลือกกล้วยหอมด้านใน มาถูบริเวณส้นเท้าที่แตก ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นก็ทาครีมบำรุงตามปกติ ถ้าเป็นครีมบำรุงส้นเท้าโดยเฉพาะก็จะช่วยกันได้มาก เพียงแค่ทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง รับรองว่าส้นเท้าของคุณจะกลับมาเนียนนุ่มน่าสัมผัสอีกครั้งแน่นอน ที่มาจาก //www.ryt9.com   Create Date : 17 พฤศจิกายน 2558     0 comment Last Update : 17 พฤศจิกายน 2558 9:56:19 น.     Counter : 688 Pageviews.   Share Tweet