ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ฝ้าย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร คว้า มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014

ฝ้าย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร อดีตพิธีกรรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก คว้า มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014

missuniversethai-28

…..การประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 รอบตัดสินว่าใครคือสาวงามที่จะครองมงกุฎและ เป็นตัวแทนสาวไทยเข้าร่วมงานประกวดระดับโลก บนเวที มิสยูนิเวิร์ส 2014 นั่นคือ สาวเมืองกาญจน์ นส. เวฬุรีย์ ดิษยบุตร ผู้เข้าประกวดหมายเลข 17 ส่วนรางวัลรองอันดับ 1 ได้แก่ หมายเลข 27 แอลลี่ พิมพ์บงกช จันทร์แก้ว และรางวัลรองอันดับ 2 ได้แก่ หมายเลข 39 น้ำเพชร สุณัณณิการ์ กฤษณสุวรรณ และรางวัล ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน ได้แก่ นางสาวชนาพร เจริญสุข หมายเลข 31
…..ซึ่งการประกวดรอบตัดสิน มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ นั้นจัดขึ้นที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ 1-2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีสาวงามผู้เข้าประกวดที่ผ่านเข้ารอบ 40 คนสุดท้าย มาร่วมอวดโฉมกัน ในชุดราตรี และ ชุดว่ายน้ำ ให้ได้ชมกัน ก่อนที่จะประกาศผลให้ทราบว่า ใครคือผู้ที่ครองมงกุฎ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 นั่นคือ น้องฝ้าย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร อายุ 22 ปี ส่วนสูง170 ซม น้ำหนัก 54.5 กก. สัดส่วน 32.5-25-35 นิ้ว กำลังศึกษาปริญญาตรี ปี 3 คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ม.เกษตรศาสตร์ ที่มีดีกรีเป็นอดีตพิธีกรรายการสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก ทางช่อง3

missuniversethai-30 missuniversethai-32 missuniversethai-31 missuniversethai-27

missuniversethai-34

ฝ้าย เวฬุรีย์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014

missuniversethai-106-400x600

ฝ้าย เวฬุรีย์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014

missuniversethai0




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 18 พฤษภาคม 2557 21:36:09 น.   
Counter : 1940 Pageviews.  

8 นาทีกับ โยคะ บนที่นอน

ปกติแล้วการออกกำลังกายก่อนนอนจะทำให้ร่างกายตื่นตัวและนอนไม่หลับ แต่ Exercise Issue ฉบับนี้ ขอประเดิมการกลับมาอีกครั้ง ด้วย โยคะ 5 ท่า เพื่อการนอนหลับสนิทแสนสบาย ทำง่ายในเวลาเพียง 8 นาที ที่สำคัญคือทำบนเตียงนอนก็ได้ ทำเสร็จก็หลับปุ๋ยไปได้เลยค่ะ
133848816

นาทีที่ 1-2 ด้วยการนอนยกขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น ขยับตัวให้ขาและสะโพกแนบชิดกับผนัง หงายฝ่ามือขึ้น อยู่ในท่านี้จนรู้สึกว่าขาและแผ่นหลังเริ่มตึง

นาทีที่ 3 ด้วยการนั่งขัดสมาธิบนที่นอน วางมือขวาไว้บนหัวเข่าซ้าย หันหน้าและบิดลำตัวไปพร้อมๆ กับวาดมือซ้ายไปท้าวไว้ด้านหลังสะโพก แขนเหยียดตรง ทอดสายตามองข้ามหัวไหล่ หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก ทำสลับอีกข้าง

นาทีที่ 4 – 5 เริ่มต้นจากท่าศพ คือ นอนหงาย กางขาออกช่วงห่างประมาณความกว้างของไหล่ กางแขนออกจากลำตัวเล็กน้อย หงายฝ่ามือขึ้น ปล่อยตัวตามสบาย จากนั้นงอเข่าเข้ามาเล็กน้อยจนฝ่าเท้าประกบกันได้ หากรู้สึกเมื่อยขาให้นำหมอนมารองใต้เข่าทั้งสองข้าง

นาทีที่ 6 – 7 นั่งบนฝ่าเท้า ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ค่อยๆ โน้มตัวลงจนหน้าผากจรดที่นอน ให้หน้าอกชิดกับหัวเข่ามากที่สุด แขนทั้งสองเหยียดตรง หายใจเข้าและออกช้าๆ

นาทีที่ 8 นอนหงาย ปลายเท้าชิด งอเข่าทั้งสองข้างขึ้นให้ปลายเท้าไขว้เข้าหากัน เอามือกอดเข่าดึงให้เข้ามาชิดหน้าอกมากที่สุด พยายามเกร็งตัวขึ้น แล้วโยกตัวไปมาเพื่อนวดกระดูกสันหลัง ทำต่อเนื่องจนครบนาที จากนั้นนอนลงแล้วค่อยๆ กางแขนขาออกอยู่ในท่าศพ ผ่อนลมหายใจจนกระทั่งหลับไป

โยคะ 8 นาทีนี้ นอกจากจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายแล้ว การหายใจเข้าและออกเป็นจังหวะช้าๆ ยังช่วยขจัดความคิดฟุ้งซ่านและปรับสภาพจิตใจให้เกิดสมดุล คุณจึงนอนหลับสนิทได้ทั้งตลอดคืนค่ะ

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine พฤศจิกายน, Issue 82




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 18 พฤษภาคม 2557 21:35:23 น.   
Counter : 1366 Pageviews.  

เซ็กซ์ รอบโลก ตอน เซ็กซ์ ท่าต่างๆ ที่ทำให้คุณสุขแทบบ้า!

เซ็กซ์ รอบโลก ตอน เซ็กซ์ ท่าต่างๆ ที่ทำให้คุณสุขแทบบ้า!

….จากผลการสำรวจ WH Version of (International) Sex ถึงท่าทางในการร่วมรักในใจหนุ่มสาวรอบโลกพบว่า ท่าที่สาวๆ ทั่วโลกชอบกันมากที่สุดคือ “วูเมนออนท็อป (Woman on Top)” และท่าที่ได้รับความนิยมจากฝ่ายชายมากที่สุดคือ “ท่าน้องหมาเหลียวหลังแบบคุกเข่า” (ส่วนท่าที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดจากคู่รัก คือ “ท่ายืน” (แต่อาจเป็นท่าโปรดของคุณในบางสถานการณ์ก็ได้ เรารู้ดี)
….แต่…ต่อให้คุณชอบท่าเมกเลิฟในดวงใจมากขนาดไหน ถ้าให้ทำแต่ท่าเดิมๆ ทุกวัน ลีลาสุดโปรดอาจทำให้คุณเบื่อสุดๆ จนถึงหน่าย เซ็กซ์ ไปเลยก็ได้ มาลองท่าใหม่ๆ ที่รับประกันความเสียวซี้ดจากรอบโลกกัน

1. ท่าช้างจากอิตาลีและฝรั่งเศส…มันคือท่าหมาขี้เกียจดีๆ นี่เอง เริ่มด้วยการนอนคว่ำหน้า อาจใช้หมอนวางรองบริเวณท้องเพื่อยกสะโพกขึ้น จากนั้นให้เขาสอดใส่จากด้านหลัง และใช้สองแขนยันลำตัวท่อนบนขึ้น
ข้อดี ท่านี้สร้างความตื่นเต้นเร้าใจแต่แฝงด้วยความโรแมนติก “เนื้อแนบเนื้อ เขาสามารถคลอเคลีย จูบซุกไซ้ได้ถนัดนี่” เจียอา พอลโลนี (Gaia Polloni) นักจิตวิทยาและเซ็กซ์บำบัดในมิลานบอกเคล็ดลับ แถมหมอนที่รองอยู่ยังช่วยกระตุ้นจีสปอตได้เป็นอย่างดี
2. ท่าดอกบัวสวรรค์จากสเปน…นั่งลงบนตักเขา หันหน้าเข้าหากัน แยกขาโอบรัดสะโพกของอีกฝ่ายไว้เพื่อพยุงตัว (ตอนนี้รูปร่างคุณจะดูเหมือนดอกบัว) สำหรับชาวสเปนท่านี้เป็นตัวแทนของอิสรภาพทางเพศ
ข้อดี คู่รักเมืองกระทิงดุส่วนใหญ่ไม่มองตากันตอนมีเซ็กซ์ ผู้ชายมักจะหันหน้าหนีแม้จะอยู่ในท่ามิชชันนารีก็ตาม แต่กับท่าดอกบัว ยังไงคุณทั้งสองก็ต้องเผชิญหน้ากัน อย่าพยายามหลบตาอีกฝ่ายล่ะ การได้สบตากันระหว่างเมกเลิฟนั้นแสนจะลึกซึ้งตรึงใจและวาบหวิวจนเกินจะทน
3. มิชชั่นนารีที่ไม่ธรรมดาจากเนเธอร์แลนด์ …ท่าปกติที่ไม่ปกตินี้ ทำให้เซ็กซ์ธรรมดาไม่ซ้ำซากอีกต่อไป แต่คุณต้องเข้าท่านี้ ‘ด้วยการอ้าขาให้กว้างขึ้นอีกนิด (หรือกว้างมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้)’
ข้อดี ยิ่งผู้หญิงอ้าซ่ามากเท่าไหร่ (เปิดทั้งแขนและขาทั้งสองข้างด้วย) เธอก็จะยิ่งแข็งขืนได้น้อยลงเท่านั้น คุณจะเล่นบททาสสาวก็ได้และเรารับรองความอีโรติกของเซ็กซ์ในค่ำนี้อย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก…womenshealththailand.com

ภาพประกอบจาก….mendaily.com




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 17 พฤษภาคม 2557 21:27:22 น.   
Counter : 1591 Pageviews.  

ออกกำลังกาย ทำให้เซ็กส์ดีขึ้น


ออกกำลังกาย ทำให้เซ็กส์ดีขึ้น และการมีเซ็กส์ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย

ออกกำลังกายทำให้เซ็กส์ดีขึ้น

ถึงแม้ว่าคนทั่วไปทราบดีว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน แต่มีคนจำนวนมากยังไม่ให้ความสำคัญของการ ออกกำลังกาย โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเวลา เหนื่อยจากงาน และต้องใช้กำลังใจอย่างมากในการเริ่มต้นออกกำลังกายหรือออกกำลังกายให้ครบเวลาที่เหมาะสม

ซึ่งการออกกำลังกายทำให้หัวใจมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวนานขึ้น ยิ่งกว่านั้น ออกกำลังกาย ทำให้เซ็กส์ดีขึ้น โดยเราอาจกล่าวได้ว่า ถ้าออกกำลังกายสัปดาห์ละหลายครั้ง ไม่เพียงแต่ทำให้สุขภาพดีขึ้นเท่านั้น แต่ ออกกำลังกาย ทำให้เซ็กส์ดีขึ้น และพิสูจน์ได้อีกด้วย ทาง Men.MThai เราเลยอยากจะเสนอผลการศึกษาดีๆ เรื่องนี้มาให้หนุ่มชาวเมนส์เอ็มไทยได้รับรู้กัน

อีกทั้งการมีเพศสัมพันธ์อย่างเหมาะสมจะถือว่าเป็นการออกกำลังกายได้ โดยการออกกำลังกายทำให้รู้สึกเซ็กซี่หรือสามารถกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เป็นส่วนสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์ นั่นคือความรู้สึกว่าตนเองเซ็กซี่หรือความสามารถกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ

เราอาจอธิบายง่ายๆ ว่าการออกกำลังกายช่วยให้มีความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์ และทำให้เซ็กส์ดีขึ้น เพราะผู้ที่ ออกกำลังกาย จะมีรูปร่าง ที่ดีขึ้นกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย และมีสุขภาพ แข็งแรง มีความสบายของร่างกายมากขึ้น และ ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และมีการวิจัยที่น่าสนใจแสดงให้เห็นว่าผู้ชายและผู้หญิงซึ่งมีสมรรถภาพทางกายหรือความฟิตสมบูรณ์มากกว่า จะจัดอันดับความต้องการทางเพศของตนเองสูงกว่าผู้ชายและผู้หญิงซึ่งไม่ค่อย ออกกำลังกาย ในวัยเดียวกัน

และยิ่งกว่านั้น 80% ของผู้ชายและ 60% ของผู้หญิงที่ออกกำลังกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ได้จัดอันดับความปรารถนาทางเพศของตนเองสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป เมื่อจำนวนวันของการออกกำลังกายต่อสัปดาห์เพิ่มขึ้น การจัดอันดับของความปรารถนาทางเพศจะสูงขึ้นตามไปด้วย

เราจึงสามารถหาข้อสรุปได้ว่า ออกกำลังกาย ทำให้เซ็กส์ดีขึ้น เพราะจากการศึกษาอื่น ๆ พบว่าผู้ชายและผู้หญิงซึ่งมีสมรรถภาพทางกายดีขึ้น จะจัดอันดับประสิทธิ ภาพทางเพศของตนเองสูงขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ในกลุ่มผู้ชายและผู้หญิงที่ออกกำลังกาย 4-5 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 88 ของผู้หญิง และร้อยละ 69 ของผู้ชาย รายงานว่าประสิทธิภาพทางเพศ ของกลุ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ สำหรับการอธิบายเหตุผลดังกล่าวแบบง่าย ๆ เช่นกันคือผู้ที่ออกกำลังกายจะมีความเชื่อมั่นเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องจากรูปร่างที่ดีขึ้นหรือเหตุผลทางสรีรวิทยา เช่น การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น มีอารมณ์ที่สดใสขึ้นนั่นเอง




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 16 พฤษภาคม 2557 21:19:44 น.   
Counter : 1155 Pageviews.  

คอเลสเตอรอล คืออะไรกันแน่?

คอเลสเตอรอล คือ ไขมันประเภทหนึ่ง มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว พบได้ในเซลล์ของอวัยวะทั่วไปในร่างกาย จินตนาการง่ายๆ ว่าส่วนประกอบที่เป็นของเหลวในตัวเรา ล้วนมีคอเลสเตอรอลแทรกซึมเป็นเจ้าถิ่นอยู่ทุกอณู ไม่เว้นแม้แต่ส่วนสำคัญที่สุดอย่างก้อนไขมันทรงประสิทธิภาพที่เรียกว่า สมอง

173362195

คอเลสเตอรอล มีบทบาทสำคัญหลายประการอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยในการส่งผ่านสารละลายต่างๆ เข้าออกเซลล์ หรือรับส่งสัญญาณมาสู่เซลล์ และยังเป็นสารตั้งต้นการสร้างน้ำดีสำหรับย่อยไขมันที่เรากินเข้าไป รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการผลิตสารจำพวกสเตียรอยด์ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่ไปควบคุมระบบเกลือแร่และการทำงานของไต เป็นต้น

ถ้าคุณคิดว่า คอเลสเตอรอล ส่วนใหญ่มาจากอาหารแล้วล่ะก็ เปลี่ยนความคิดใหม่ได้เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วตับของคุณสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมาเอง และเพราะคอเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดไม่ละลายในน้ำ ก่อนร่างกายนำไปใช้จึงต้องมีการรวมตัวเข้ากับโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ อะโพโปรตีน (apoprotein) เพื่อเปลี่ยนรูปเป็นไลโพโปรตีน (lipoprotein) หน้าตาคล้ายไข่แดงที่ถูกหุ้มด้วยไข่ขาว หลังเสร็จสิ้นการเปลี่ยนรูปร่าง คอเลสเตอรอลในรูปแบบไลโพโปรตีนจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

คอเลสเตอรอล หายไปไหน

นายแพทย์เจริญลาภ อุทานปทุมรส แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 3 อธิบายว่า “คอเลสเตอรอลส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสร้างเป็นน้ำดีหรือน้ำย่อย และอีกส่วนนำไปสร้างไลโพโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ วีแอลดีแอล (VLDL: Very Low-Density Lipoprotein) ซึ่งประกอบไปด้วยไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์เป็นส่วนใหญ่ มีคอเลสเตอรอลอยู่เล็กน้อยพร้อมโปรตีนที่ช่วยให้มันละลายอยู่ในเลือดได้ ระหว่างทางที่วีแอลดีแอลเดินทางในเส้นเลือด จะมีเอนไซม์ที่ย่อยเอาไตรกลีเซอร์ไรด์ไปใช้ ซึ่งไตรกลีเซอร์ไรด์นี้ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนถึง 2 เท่า ช่วยในการสร้างน้ำนม เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของกล้ามเนื้อและหัวใจ

ไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ใช้ไม่หมดจะถูกนำไปเก็บไว้ในไขมัน เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรอง เมื่อไตรกลีเซอร์ไรด์ถูกดึงออกไปจากวีแอลดีแอลหมดแล้วจะเหลือเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่สุด ในชื่อ แอลดีแอล (LDL: Low-Density Lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี แต่ยังมีประโยชน์คือ เมื่อผ่านไปถึงอวัยวะไหน ก็จะถูกดึงคอเลสเตอรอลไปใช้งานได้ทันที เมื่อวนครบทุกส่วนแล้วหากแอลดีแอลยังถูกใช้ไม่หมด ก็จะถูกลำเลียงเข้าสถานีสุดท้ายคือตับ ซึ่งตับก็จะนำแอลดีแอลที่เหลือนี้ไปสร้างเป็นวีแอลดีแอลอีกครั้ง เป็นวัฏจักรอย่างนี้เรื่อยไป

แอลดีแอล VS เอชดีแอล กำเนิดไขมันตัวร้าย ตัวดี

จริงๆแล้วทั้งแอลดีแอลและเอชดีแอลมีที่มาเหมือนกัน คือเป็นคอเลสเตอรอลในรูปไลโพโปรตีน แต่แตกต่างกันที่น้ำหนักของโมเลกุล มวลที่มีโมเลกุลคอเลสเตอรอลมากกว่า เรียกว่า แอลดีแอล หรือไขมันตัวร้ายร้าย ที่แม้จะมีข้อดีอยู่บ้างแต่ข้อร้ายที่ปรากฎคือ นำไขมันและไตรกลีเซอร์ไรด์ออกจากตับไปสะสมไว้ตามหลอดเลือด สร้างปัญหาให้แก่หลอดเลือด

คนที่กินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ คอเลสเตอรอล เมื่อรวมกับที่ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลออกมาตามปกติ จะทำให้วัฏจักรคอเลสเตอรอลในร่างกายไม่สมดุล คือมีมากจนเกินพอดี เหลือใช้ ตับทำลายไม่ทัน บางส่วนจึงเหลือรอดออกไปสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดแดงบริเวณนั้นสูญเสียการทำงาน ทั้งตีบ ตัน หรือแตก เป็นเหตุให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา

ส่วนมวลที่มีโมเลกุลของคอเลสเตอรอลน้อยกว่า เรียกว่า เอชดีแอล (HDL: High density Lipoprotein) อุดมไปด้วยฟอสโฟลิพิด มีหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือด เก็บคราบไขมันที่แอลดีแอลทิ้งไว้กลับคืนมาที่ตับ แล้วขับออกทางน้ำดี ส่วนหนึ่งจะถูกไฟเบอร์ในอาหารจับและขับออกทางอุจจาระ จะเปรียบเอชดีแอลว่าเป็นผู้พิทักษ์ความสะอาดก็คงไม่ผิดนัก

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งไขมันร้าย คอยเสริมการทำงานของแอลดีแอล นั่นคือ ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ที่คอยขัดขวางการทำงานของเอชดีแอล และเมื่อใดที่ร่างกายเรามีโรคอย่างความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน เจ้าไตรกลีเซอร์ไรด์และแอลดีแอล ก็พร้อมปฏิบัติการขั้นสุดยอด ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น จนอาจถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้

อันตรายจากไขมันร้าย แอลดีแอล

นพ.ธีระพร ไทยจินดา อายุรแพทย์สาขาประสาทวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เล่าว่าในคนปกติ ที่ไม่มีความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน แม้ผลตรวจร่างกายจะบอกว่าคุณมีปริมาณแอลดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง ทั้งยังมีค่าเอชดีแอลที่ต่ำ ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะเจ้าไขมันวายร้าย 2 ชนิดนี้ จะออกฤทธิ์วาดลวดลายได้ก็ต่อเมื่อร่างกายเรามีอาการของโรคสองชนิดข้างต้นเท่านั้น ถ้าเรายังแข็งแรงดีวายร้ายก็จะไม่มีพิษสงอะไรเลย แต่ถ้าคุณมีอาการของโรคใดโรคหนึ่ง หรือทั้งสองโรค กอปรกับอายุที่มากขึ้น แอลดีแอลก็จะได้ใจพร้อมทำร้ายอวัยวะสำคัญๆ อย่างหัวใจ สมอง และตับ ไต ได้อย่างน่ากลัว

คอเลสเตอรอล กับหัวใจ จากการวิจัยของต่างประเทศพบว่า คอเลสเตอรอล เริ่มสะสมตามหลอดเลือดหัวใจได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี และจะอันตรายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลมากกว่าปกติ หากพบว่ามีความเสี่ยงดังกล่าวและผลตรวจร่างกายชี้ชัดว่ามีปริมาณคอเลสเตอรอลสูง ควรรีบไปพบแพทย์

คอเลสเตอรอล กับสมอง เมื่อคอเลสเตอรอลเข้าไปสะสมในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองไม่ว่าจะบริเวณใดก็ตาม จะก่อให้เกิดความผิดปกติบริเวณนั้นๆ เช่น หากเส้นเลือดบริเวณสมองส่วนควบคุมการทรงตัวเกิดตีบ ตัน หรือแตก ร่างกายก็สูญเสียการควบคุมการทรงตัว กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตหรือพาร์คินสัน หากเกิดกับเส้นเลือดสมองส่วนควบคุมการรับรู้ อาจทำให้ความจำเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์ เป็นต้น แต่ก่อนที่อาการผิดปกติของเส้นเลือดจะส่งผลถึงสมอง มักจะเกิดขึ้นกับหัวใจก่อนเสมอ

คอเลสเตอรอล กับตับและไต หากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับหรือไตเกิดอาการตีบ แตกหรือตัน ก็อาจทำให้ตับหรือไตสูญเสียการทำงาน ถึงขั้นตับวายหรือไตวายจนเสียชีวิตได้

สรุปแล้ว คอเลสเตอรอล จะทำร้ายเราได้ต่อเมื่อเราเป็นโรคหรือเสี่ยงกับโรคอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว และโดยธรรมชาติ คอเลสเตอรอลจะไปฝังตัวเป็นคราบอยู่ตามเส้นเลือดแดงหลักที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ การที่จะเกิดอันตรายใดๆ หรือรุนแรงแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับว่าเส้นเลือดที่มีปัญหานั้นอยู่บริเวณไหนและโดนทำลายไปมากเพียงใด คำเตือนที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่าถึงเวลาลดคอเลสเตอรอลหรือยัง จะอยู่ในสมุดรายงานการตรวจร่างกายประจำปีของคุณ นอกจากนี้ วิธีการป้องกันที่สุดคือ การออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 วัน จะช่วยเพิ่มปริมาณเอชดีแอล เพื่อต่อกรกับแอลดีแอลและไตรกลีเซอร์ไรด์อย่างได้ผล

ส่วนการควบคุมอาหารและรับประทานอาหารที่ให้แอลดีแอลต่ำก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ยังให้ผลน้อยกว่าการออกกำลังกายค่ะ

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine มิถุนายน, Issue 101




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 16 พฤษภาคม 2557 21:18:38 น.   
Counter : 1274 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]