ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

ยาสลบบนรถแท็กซี่ ป้ายยาสลบ มีจริงไหม มาอ่านความคิดเห็นจาก หมอดมยา

เรื่องเล่าประเภท “ โดนแท็กซี่มอมยา ” “ โดน ป้ายยาสลบ แล้วปลดทรัพย์จนหมดตัว ” “ รับนามบัตรจากคนแปลกหน้า แล้วโดนยาที่ป้ายบนแผ่นพับเล่นงานเอา” นั้นเป็นไปได้หรือไม่ ในความเห็นของวิสัญญีแพทย์หรือหมอดมยานั้นบอกว่า “ไม่มีหรอก ถ้ามียาแบบนี้ก็ดี หมอคงทำงานง่ายขึ้นอีกเยอะ” จะเป็นยาอื่นที่หมอดมยาไม่รู้จัก ก็ไม่ควรจะเป็นไปได้ และถึงจะมียาลับจริง แต่ก็ต้องใช้กลไกการนำยาเข้าสู่ร่างกายแบบเดียวกับยาอื่นๆ

woman with headache, migraine, stress, insomnia, hangover, asian caucasian indoor scene

1. ปรกติจะทำให้คนๆ หนึ่งหลับหรือสลบได้นั้น ทำอย่างไร
การออกฤทธิ์ของยานอนหลับหรือยาสลบนั้นออกฤทธิ์ที่สมอง ยาจำพวกยานอนหลับ เช่น diazepam, ฝิ่นและอนุพันธุ์ของมันนั้น มีโปรตีนตัวรับของยาอยู่ที่สมอง เมื่อยาไปจับกับโปรตีนตัวรับเหล่านี้จะออกฤทธิ์ระงับความรู้สึก เช่น เสริมฤทธิ์การทำงานของ GABA receptor ทำให้เพิ่มระดับของ GABA ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสมอง หรือมีผลต่อ neurotransmitter ทำให้นำกระแสประสาทไม่ดี
การให้ยาสลบที่ได้ผลรวดเร็วและแน่นอน คือ สลบแน่ๆ คือการฉีดเข้าเส้นเลือด (intravenous anesthesia) ซึ่งตัวที่หลับเร็วที่สุดคือ thiopenthal เมื่อฉีดแล้วใช้เวลาเพียง 1 arm-brain circulation (ประมาณ 10-15 วินาที) คนไข้ก็สลบแล้ว เพราะยาในกระแสเลือดไปออกฤทธิ์ที่สมองโดยตรง แต่ถ้าใช้วิธีอื่น เช่น สูดยาดมสลบ (inhalation anesthesia) ฉีดเข้ากล้าม (intramuscular injection) จะใช้เวลานานกว่านี้มาก มักจะทำในกรณีเปิดเส้นน้ำเกลือไม่ได้ ดังนั้นในการดมยาสลบทั่วไปจึงนิยมฉีดเข้าเส้นให้สลบก่อน จึงใช้ยาดมสลบ maintenanceต่อ เพื่อความรวดเร็ว และใช้ยาร่วมกันหลายๆ ตัว ได้แก่ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดกลุ่มมอร์ฟีน เพื่อบาลานซ์ผลข้างเคียงซึ่งกันและกัน

anesthetic-4

2. การมอมยา โดยการรมผ่าน หน้ากากแอร์ นั้น เป็นไปได้หรือไม่
ยาสลบถ้าสูดผ่านจมูกเข้าไป จากนั้นต้องไปที่ปอด ถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดที่ปอด เส้นเลือดจากปอดไหลเวียนผ่านไปที่สมอง ดังนั้นต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว ยาจึงจะไปออกฤทธิ์ที่สมองได้

การจะสลบช้า-เร็ว จึงขึ้นกับความเข้มข้นของยาสลบที่ใช้ การละลายได้ดีในไขมัน สมัยก่อนจึงมีการคิดค้นวิธีที่จะทำให้คนไข้หลับเร็วที่สุด ยาสลบตัวแรกๆ ได้แก่ Ether ซึ่งจะให้ยาสลบโดยหน้ากาก (mask) ซึ่งมีผ้ากอซ (gauze) หุ้มไว้ประมาณ 4-5 ชั้น และขวดยาอีเธอร์ สำหรับหยดลงบนหน้ากากให้ผู้ป่วย ซึ่งอีเธอร์นี้ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าผู้ป่วยจะหลับ และกลิ่นแย่มากๆ กระตุ้นทางเดินหายใจให้หดเกร็งและเสมหะเยอะ เวลาต่อมามีผู้คิดค้น chloroform ซึ่งกลิ่นดีกว่า ใช้ปริมาณน้อยและหลับเร็วกว่าแค่ 2-5 นาที แต่ต่อมาพบว่ามันกดหัวใจมากๆ ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้บ่อยๆเลยหยุดใช้ไป

ปัจจุบันเราใช้เครื่องดมยาสลบ ซึ่งสามารถควบคุมจำนวนออกซิเจนไอระเหย (vapor) ของยาดมสลบได้ในระดับที่จะทำให้ผู้ป่วยหลับตามที่ต้องการ มีท่อยางต่อออกจากเครื่องดมยาสลบนำออกซิเจนและยาดมสลบที่เป็นก๊าซหรือไอระเหยไปสู่คนไข้
ยาดมสลบที่มีในปัจจุบัน ถึงใช้ตัวที่ทำให้หลับเร็วที่สุด เปิดด้วยความเข้มข้นสูงที่สุดจากเครื่อง ยังใช้เวลาเป็นนาทีกว่าคนไข้จะสลบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ยาที่บอกว่าพ่นมาจากช่องแอร์แท็กซี่จะทำให้หมดสติได้ (โดยที่คนขับไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน)
บางคนเคยดมยาสลบแล้วคิดว่าดม gas ไม่กี่วินาทีก็หลับ จริงๆ แล้วที่หลับนั้นหลับจากยานำสลบที่ฉีดทางสายน้ำเกลือ gasที่ให้ดมผ่านหน้ากากมักเป็นออกซิเจน ถ้าให้ผู้ใหญ่ดม gas เพียวๆ เพื่อให้หลับจะกินเวลานานกว่าเด็กเล็กๆ

Taxi driver

3. การมอมยา ด้วยยาป้าย ป้ายยาสลบ มีจริงไหม?

ถ้ามียาป้ายให้สลบได้จริง วิสัญญีแพทย์คงทำงานง่ายขึ้นอีกเยอะโดยเฉพาะในกรณีที่พบว่ามีปัญหาในการแทงเส้นเพื่อที่จะให้ยาสลบ เช่น ในคนไข้เด็ก หรือคนไข้ที่อ้วนมากๆ และถ้ายาแปะให้หลับหรือสลบมีจริง มันต้องออกฤทธิ์ซึมผ่านผิวหนังเข้ากระแสเลือด ไปออกฤทธิ์ที่สมอง ทุกวันนี้มีการคิดค้นยาที่จะออกฤทธิ์ผ่านทางผิวหนัง ที่เรียกว่า “Transdermal drug delivery system” แต่ทำไม่ได้ง่ายๆ มียาที่ใช้ได้ไม่กี่ตัว (สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทผ่านทางผิวหนังเท่าที่มีใช้มีแต่ Fentanyl กับ Clonidine เท่านั้น) ความยากของมันมีตั้งแต่การซึมผ่านของยาผ่านทางผิวหนัง และการควบคุมยาให้มันออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ

ผิวหนังของเราประกอบด้วยชั้นต่างๆ ที่สำคัญ 3 ชั้นได้แก่ epidermis, dermis และ subcutaneous ชั้น epidermis เป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการนำส่งยาไปยังชั้น dermis ซึ่งมีหลอดเลือดและท่อน้ำเหลืองที่สำคัญต่อการลำเลียงยาหรือสารเข้าสู่หลอดเลือด ดังนั้นยาที่สามารถใช้ได้ด้วยวิธีออกฤทธิ์ผ่านทางผิวหนังนี้จะต้องเป็นยาที่ค่อนข้างแรงและสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ดี นอกจากนี้ยาต้องใช้เวลาค่อนข้างนานจึงจะออกฤทธิ์

ยกตัวอย่าง เช่น ยาชา Xylocain หรือ lidocaine แบบแปะ ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการออกฤทธิ์ซึมผ่านผิวหนังให้ชาเฉพาะที่ ยาแผ่นแปะซึ่งภายนอกมองดูเหมือนทำง่ายๆนั้น ข้างในมันซับซ้อนมาก ถ้ายาป้ายแล้วหลับมีจริง คงเป็นที่ต้องการอย่างมากของวงการแพทย์และสร้างรายได้มหาศาล

ยา Fentanyl ซึ่งอยู่ในกลุ่ม nacrotics คืออนุพันธ์ของฝิ่นตัวเดียวที่มีใช้ในรูปแบบนี้ ละลายในไขมันได้ดีและแรงกว่ามอร์ฟีนร้อยเท่า ยังใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์เต็มที่ 12-24 ชั่วโมง ดังนั้นการป้ายยาให้คนสลบจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกว่าต้องใช้ยาปริมาณมากกว่ายาจะซึมผ่านผิวหนังไปได้ ต้องรอเป็นเวลานานกว่าจะออกฤทธิ์ อีกทั้งยังควบคุมไม่ได้ด้วยว่ายาจะออกฤทธิ์แค่ไหนอย่างไร
ส่วนยา Dormicum หรือ Midazolam ซึ่งมีการนำมาใช้ก่ออาชญากรรมจริง แต่ไม่มีการใช้ในรูปการป้ายยาหรือซึมผ่านผิวหนัง ใช้พ่นก็ไม่ได้ ในทางปฏิบัติใช้กินหรือฉีด มีบ้างที่ apply ใช้หยอดทางจมูกให้ยาซึมผ่านผิวที่เป็นเยื่อบุ (nasal mucosa) เข้าไป ซึ่งต้องใช้ปริมาณมากและรอระยะเวลานาน ใช้ป้ายผิวหนังจะป้ายเพียวๆ หรือผสมโลชันยังไงก็ไม่ออกฤทธิ์

สุดท้ายที่มักจะอ้างถึงกัน คือ แอลเอสดี (LSD : Lysergic acid diethylamide) แอลเอสดีเป็นยาเสพติดร้ายแรงประเภทที่ 1 อาจพบเป็นเม็ดยา แคปซูล หรือผสมในทอฟฟี่ รวมทั้งแผ่นกระดาษชุบสารแอลเอสดี มีความรุนแรงในการออกฤทธิ์ต่อสมองสูงคือ ใช้ในปริมาณแค่ 25 microgram (25/1 ล้านส่วนของกรัม การเสพทำได้ทั้งแบบฉีดหรือการนำกระดาษที่เคลือบแอลเอสดีอยู่มาเคี้ยวหรืออมหรือวางไว้บนลิ้น เพราะ LSD จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุภายในจมูก (nasal mucosa) ระบบทางเดินอาหารและเยื่อบุอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ผิวหนังของคนซึ่งมีการป้องกันเยอะกว่านั้นเยอะ จึงต้องใช้ปริมาณมากและรอนานเช่นกัน โดยพบว่าเมื่อให้ LSD ทางปากขนาด 2 ไมโครกรัม/ กก. จะให้ระดับความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดสูงสุด (Tmax) ที่เวลาถึง 30-60 นาที

4. Chloroform Spray มีจริงหรือไม่
จาก Forward mail ที่ว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพมาแกล้งทำทีมาขายสเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ แต่จริงๆแล้วสารในสเปรย์กระป๋องนั้นคือ คลอโรฟอร์ม ที่จะแอบฉีดใส่ทำให้สลบได้ ความจริงแล้ว chloroform ไม่ได้เป็นยาสลบที่ทำให้คนสลบง่ายขนาดนั้น ขนาดนำมาทำการสลบหนู ยังต้องเอา chloroform ใส่ปิดฝาตั้งหลายนาทีกว่าหนูจะสลบ
ยาสลบที่เป็นแบบไอระเหย (vaporizer) นั้น ก็ไม่สามารถเอามาใส่กระป๋องทำเป็นสเปรย์กันได้ง่ายๆ vaporizer ทุกตัวต้องมี chamber พิเศษสำหรับมันทั้งนั้น

5. ยาป้ายที่ทำให้คนไม่รู้สึกตัว มาจากยาสลบที่ใช้ในสัตว์ได้ไหม
มียาตัวหนึ่งเป็นที่ต้องสงสัย คือ M99 หรือ Etorphine ซึ่งเป็นกลุ่มอนุพันธุ์ของฝิ่น การออกฤทธิ์เช่นเดียวกันกับ morphine แต่มีความแรงกว่าเป็นพันๆ เท่า ใช้ดมยาสลบในช้าง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาใช้ในคน เพราะแค่โดนนิดหน่อยก็คงตายแล้ว (คนป้าย ตายก่อน ) และจะควบคุมการใช้ได้อย่างไร

ยา Etorphine นี้มีราคาสูงมาก เป็นยาควบคุมตั้งแต่แหล่งผลิต ผู้จะซื้อต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลประเทศที่จะใช้ ถึงจะขายได้และรัฐบาลที่จะซื้อนั้นจะต้องมีการล็อคยาไว้ในเซฟและให้ใช้โดยสัตวแพทย์ (ยุโรป และอเมริกา) หรือผู้ชำนาญการวางยาสลบสัตว์ป่า (อัฟริกาใต้) เท่านั้น และมีการรายงานการใช้ทุกๆ มิลลิกรัม ต่อหน่วยงานควบคุม ที่ทางผู้ผลิตเอง sensitive มากๆ ก็เพราะถ้ามีคนใช้ประกอบอาชญากรรม บริษัทที่ผลิตก็จะแย่ไปด้วย ตอนนี้บริษัทที่ผลิตจำหน่ายอยู่ในอเมริกา ความจริงแล้วยา Etorphine นี้ ยังไม่มีการนำเข้ามาใช้ทั่วไปแม้แต่จากหน่วยงานทางราชการเองที่นำมาใช้วางยาสลบสัตว์ป่าอย่างถูกต้องและเป็นวิชาการ ก็ยังไม่มีการนำเข้ามาใช้ทั่วไป อีกทั้งยังเป็นยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ใช้มากถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ผู้ใช้ยานี้ก็เคยมีเสียชีวิตมาแล้ว

6. มียา Burundanga เคลือบนามบัตร จริงหรือ
จาก FW mail เตือนไม่ให้รับนามบัตรจากคนแปลกหน้า เพราะอาจจะมียา Burundanga ป้ายบนนามบัตร ให้หมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ อาจถูกขโมยของหรือข่มขืนได้เนื่องจากยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่า
ยา Burundanga เป็นชื่อยาที่ถูกนำมาใช้ก่ออาชญากรรมจริง มีรายงานว่าผู้ใช้ยาสามารถควบคุมเหยื่อได้.เหยื่อบางรายตื่นขึ้นหลายชั่วโมงหรือเป็นวันหลังโดนยา. Burundanga เป็นสารสกัดได้จากพืชดอกในสกุล Brugmansia ซึ่งถิ่นต้นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ชื่ออื่นของยา burundanga คือ scopolamine โดยที่ยา scopolamine นี้มีแบบแปะด้วย ใช้แปะตรงกกหูแก้เมารถเมาเรือ
แต่อย่างไรก็ตาม การสัมผัสนามบัตรที่อ้างว่าเคลือบยา burundanga ไว้นั้นไม่ได้ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้หรอก จะต้องใช้การผสมน้ำหรืออาหารกิน ขณะที่ยานี้ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จึงไม่อาจจะได้กลิ่นจากนามบัตรได้ตามใน forward mail

สรุปสั้นๆ ได้ว่า
1. ยาพ่นให้สลบจากหน้ากากแอร์ ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกว่าที่คนเราจะสลบด้วยวิธีนี้ได้ ต้องใช้เวลา เพราะว่าการสูดยาสลบเข้าไป จะต้องมีการดูดซึมของยาจากปอดไปสู่เส้นเลือดปอดหมุนเวียนไปที่สมอง และยาสลบจึงออกฤทธิ์ที่สมองได้ ในทางปฏิบัติทุกวัน ถ้าสูดดมยาสลบที่ความเข้มข้นสูงๆโดยตรงจากเครื่องดมยาสลบ ยังต้องใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะหลับหรือสลบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ยาที่บอกว่าพ่นมาจากช่องแอร์แท็กซี่จะทำให้หมดสติได้ โดยที่คนขับไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน
2. ยาป้าย ถ้าออกฤทธิ์ผ่านผิวหนังทำให้สลบก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากผิวหนังมีชั้นของผิวหนังที่ทำหน้าที่เป็นปราการกั้นยาตามธรรมชาติ ยาที่จะซึมผ่านไปได้นั้นต้องมีความแรงมาก ใช้เวลานาน ในทางปฏิบัติต้องใช้แผ่นแปะยาแบบพิเศษ กว่ายาจะออกฤทธิ์ก็เป็นชั่วโมง การป้ายยาให้คนสลบจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกว่าจะซึมผ่านผิวหนังไปได้ต้องใช้ยาปริมาณมาก รอระยะเวลานาน อีกทั้งยังควบคุมไม่ได้ด้วย ว่ายาจะออกฤทธิ์แค่ไหน อย่างไร

anesthetic-3

ทั้งนี้ เคยมีบทความจาก หมอแมว ได้เคยพูดถึงกรณี เกี่ยวกับ อาการมึนงง ที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อขึ้นรถแท็กซี่ไว้ได้น่าสนใจ มาลองอ่านกัน

ขึ้น TAXI แล้วเกิดอาการมึนงง เกิดจากยาป้ายยาสลบในแท็กซี่หรือเปล่า ??

มีคำถามเกี่ยวยาป้ายยาสลบในรถแท็กซี่ หรือยาป้ายยาสั่งที่ทำให้คนหลับนั้นมีจริงหรือเปล่า จากประสบการณ์ของบางคนที่เกิดมึนงงหรือมีแม้แต่หลับแบบไม่รู้ตัวในรถแท็กซี่ อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างนั่งรถแท็กซี่นั้นเกิดจากอะไรได้บ้าง

1. Carbon monoxide Poisoning
อาการที่พบได้บ่อยเวลาหลายๆ คนขึ้นรถแท็กซี่คือ เมื่อขึ้นไปแล้วเกิดอาการเวียนหัวมึนงง อยากจะหลับ พยายามฝืนลืมตาให้ตื่นขึ้นก็แล้ว แต่ว่าก็จะไม่ไหว หลังจากลงจากรถมาแล้วก็มึนๆ งงๆ จำเหตุการณ์ไม่ค่อยชัดเจน ไม่ว่าอาการ เวียนหัว งง ง่วง คลื่นไส้อาเจียน จำเหตุการณ์ไม่ได้ จำหน้าตาคนขับหรือทะเบียนรถไม่ได้ และ หลับไปเป็นวันๆ

อาการเหล่านี้เข้าได้กับอาการ “ถูกพิษของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์” ซึ่งก๊าซตัวนี้เกิดได้จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์รถคันนั้นและเกิดการรั่วซึมเข้ามาทางใดทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อก๊าซตัวนี้เข้าไปจับกับเม็ดเลือดแดงจะก่อให้เกิดสารที่เรียกว่า COHb (carboxyhemoglobin) ทำให้เม็ดเลือดนั้นขนส่งออกซิเจนไม่ได้ ร่างกายจะเกิดอาการของการขาดออกซิเจนขึ้นโดยอาการจะไปเกิดที่สมองเป็นอาการดังที่กล่าวมา

ในคนปกติในสังคมทั่วไปมีค่า COHb ได้ที่ 1-2% ส่วนในคนที่สัมผัสกับคาร์บอนมอนออกไซด์บ่อยๆเช่น คนที่สูบบุหรี่ ตำรวจจราจร หรือ คนขับรถที่มีรูรั่ว อาจจะมีค่า COHbได้สูงถึง 10%

ข้อสงสัยแรก : รถแท็กซี่ก็ดูดี ไม่น่ามีรั่ว คำตอบ : ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์นี้ไม่มีกลิ่นไม่มีสี ถ้ามีรูรั่วเยอะๆ นั่งรถแป๊บเดียวได้กลิ่นควันเสีย คนขับรถคงรู้ตัวและเอาไปซ่อมแล้ว แต่ถ้าหากการรั่วเกิดขึ้นช้าๆ น้อยๆ ในระดับที่เราไม่ได้กลิ่นไอเสียตัวอื่นๆ ร่วมกับเรานั่งรถเป็นระยะทางไกลๆ จะทำให้เกิดอาการได้

ข้อสงสัยสอง : ทำไมคนขับไม่เป็น แต่เราเป็น คำตอบ : คนขับแท็กซี่ขับรถทุกๆ วัน ดังนั้นหากคนขับได้รับคาร์บอนมอนออกไซด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ร่างกายก็จะมีการปรับตัวช้าๆ โดยการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากเราเอาเลือดคนขับรถที่มีการรั่วของก๊าซนี้ไปตรวจ ก็จะพบว่ามีระดับของ COHb สูงร่วมกับมีความเข้มข้นของเลือดสูงกว่าปกติ

2. เมารถ : กลิ่น อาหาร นอนไม่พอ
อาการเมารถหรือ Motion Sickness เป็นอาการที่เกิดจากการที่ระบบประสาทที่ควบคุมการทรงตัวทำงานไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งระบบการทรงตัวของคนเราจะประกอบไปด้วย “ดวงตา – เส้นประสาทที่กล้ามเนื้อ – ระบบประสาทในหู – สมอง” ในการนั่งรถ เรารับรู้ว่ารถเคลื่อนตัวโดยตาเรามองเห็นว่าเราเคลื่อนไปในทิศทางไหน ระบบประสาทกล้ามเนื้อเรารับรู้ว่าเรานั่งยังไงเอนซ้ายขวาแบบไหน ระบบประสาทในหูบอกว่าเรานั่งในมุมใดองศาใด สุดท้าย สมองของเราจะบอกประมวลผลว่าเราไปในทิศแบบไหน
กรณีที่เราจะมึนงงเมารถได้ง่ายขึ้นคือ เมื่อเราไม่ใช่คนขับ จะทำให้เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเราจะเคลื่อนต่อไปอย่างไร กล้ามเนื้อและดวงตาจึงปรับตัวไม่ทัน ส่วนคนขับจะรู้ตัวล่วงหน้าก่อนว่ารถจะวิ่งไปมาแบบไหน ดังนั้นจึงไม่งง / เมื่อคนขับขับเร่งและเบรกไม่ดี เบรกกระตุก ออกตัวแรง เล่นคลัตช์ วิ่งฉวัดเฉวียน ทำให้ดวงตาซึ่งกำลังมองไปทางด้านหน้าปรับไม่ทัน รถกระชากไปทางซ้าย กล้ามเนื้อและหูบอกว่าไปทางซ้ายแต่ตายังมองตรง พอส่งสัญญาณไปสมอง สมองก็แปลผลผิด เกิดอาการงง / ถ้ากระจกรถฝ้าหมอกมัว จะทำให้ตาของเราโฟกัสตำแหน่งการมองไม่ได้ ดังนั้นสัญญาณจากตาที่ไปสมองก็จะผิดปกติไป / ถ้ามีสิ่งรบกวนหรือสิ่งที่ทำให้อาเจียนเวียนหัวง่ายขึ้น ไม่ว่ากลิ่นในรถที่เหม็น เสียงรบกวนของเครื่องยนต์ อาหารที่กินก่อนขึ้นรถ (กินมากไปหรือกินอาหารมันๆ) รายการวิทยุเสียงดังๆ จะทำให้เราอาเจียนเวียนหัวได้ง่ายขึ้น / และบางคนอดนอนมาหลายๆวัน พอมาขึ้นรถเบาะนุ่มๆก็หลับ

3. เจอยานอนหลับ
บางคนมีความรู้สึกว่างุนงงง่วงนอนจริงๆ และสงสัยว่าเกิดจากยานอนหลับ ถ้าเป็นยานอนหลับแบบฟุ้งกระจายหรือระเหยจริง คนจะใช้คงต้องระวังเพราะว่าถ้าวางไว้ในรถแล้วตัวเองย่อมโดนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีที่บอกว่าเปิดกระจก/หันแอร์ไปทางคนนั่ง/หรือว่าออกจากรถไปฉี่ ของพวกนี้ไม่แน่นอนและมีการพูดในเชิงวิทยาศาสตร์มานานแล้วว่าเป็นไปไม่ได้

ส่วนยานอนหลับแบบกิน เช่น โรฮิปนอล ดอร์มิคุม ของพวกนี้ไม่ได้หากันง่ายๆและต้องใช้ในรูปกิน ถ้าไม่ได้รับของมากินจากแท็กซี่ ก็ไม่น่าจะเจอยานอนหลับได้ ยกเว้นแต่ไปเจอแก๊งแอบหย่อนยานอนหลับลงแก้วน้ำหรืออาหาร แล้วบังเอิญมาขึ้นแท็กซี่ต่อพอดี จึงจะเป็นไปได้

เรียบเรียงโดย Health.mthai.com

ที่มาบทความจากกระทู้ //pantip.com/topic/30208405 และ //topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7328809/X7328809.html




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2558   
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2558 21:21:25 น.   
Counter : 2944 Pageviews.  

รู้จักโรค หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท จากดราม่า VRZO

ช่วงนี้ถ้าใครได้ติดตามเรื่องราวที่กำลังเป็น ทอล์กออฟเดอะทาวน์ ช่วงนี้คงหนีไม่พ้นประเด็น ดราม่า VRZO ที่กำลังพูดถึงและถกเถียงกันอยู่ในสังคมออนไลน์อย่างจริงจัง และประเด็นที่ Health Mthai ขอนำเสนอแก่ผู้อ่านในวันนี้ ขอพูดถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ประกอบอยู่ในดราม่า ซึ่งเป็นเรื่องราวที่กลายเป็นจุดเริ่มเรื่องที่นำไปสู่ดราม่าในครั้งนี้ นั่นคือ โรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท ที่มีกระแสข่าวออกมาว่า คุณแชมป์ VRZO กำลังรักษาตัว หลังจากโหมงานหนักจนกระทั่งมีอาการของโรคนี้ และปัจจุบันก็ยังรักษาตัวอยู่

champvrzo

มาทำความรู้จัก อาการของโรค หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท
อาการอาจแสดงออกได้ทั้งบริเวณหลังและขา คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่ามีเพียงอาการปวดหลัง เพียงอย่างเดียว แต่ที่จริงแล้ว อาการที่ขานั้นสำคัญ และจำเพาะเจาะจงกับโรคนี้มากกว่า นั่นแสดงถึงว่าเกิดการรบกวนเส้นประสาทสันหลังที่วิ่งไปเลี้่ยงที่ขาแล้ว หมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมามักทำให้เกิดอาการแบบฉับพลัน เพราะมีการอักเสบที่รุนแรง

อาการที่หลัง : ปวดหลังบริเวณเอวส่วนล่าง อาจมีอาการที่หลังเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง มักมีอาการในท่านั่ง หรือมีการนั่งงอตัวไปทางด้านหน้าซึ่งเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกได้รับแรงกดทับมากที่สุด
อาการที่ขา : อาการแสดงที่ขามีได้ 3 แบบ คือ อาการปวด ชา หรือการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
อาการปวดหรือชาขาที่เกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีลักษณะคือ มีอาการตามแนวที่เส้นประสาทวิ่งไป สามารถปวดได้ตั้งแต่บริเวณเอว ต้นขา น่อง ไปจนถึงบริเวณเท้าและนิ้วเท้าได้ การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อก็มีลักษณะคล้ายอาการปวดและชา คือจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทเส้นที่ถูกกดทับนั้น

หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท

  • สาเหตุ
    การยกของหนักด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องบ่อยๆ
    น้ำหนักตัวที่มากเกินไป
    นั่งทำงานด้วยอิริยาบถที่ไม่ถูกต้องนานๆ
    อุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่อกระดูกสันหลัง
  • การรักษา
    รับประทานยาแก้อักเสบหรือยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อบรรเทาอาการปวด
    กายภาพบำบัด
    การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาท
    การผ่าตัดหมอนรองกระดูกผ่านกล้องเอ็นโดสโคป
    การผ่าตัดหมอนรองกระดูกด้วยกล้องจุลทรรศน์

ที่มาข้อมูลโรค หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท จาก //www.bumrungrad.com

ทั้งนี้ได้มีการเปิดเผยจาก อธิบดีกรมการแพทย์ว่า หนุ่มสาววัยทำงาน ยุคนี้มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการทำงานหนัก โดยไม่ดูแลสุขภาพ ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว โดยพบมากในช่วงอายุ 25-50 ปี แพทย์แนะนำว่า หากมีอาการปวดหลังมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไปให้พบแพทย์ทันที

เรื่องโดย Health.Mthai.com




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2558   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2558 21:43:19 น.   
Counter : 928 Pageviews.  

7 ข้อดีของการ ” ดูหนังโป๊กับแฟน ” วินวินทั้งคู่ งานนี้ต้องลอง !

การดูหนังโป๊ ใครบอกว่าผิด อันนี้ก็ขอเถียงนะบอกเลย เพราะการดูหนังโป๊มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลยเธอ และก็ไม่ได้ทำร้ายใครด้วย ยิ่งถ้าได้ดูกับคนรักนะ ยิ่งเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรเลยล่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่คุณจะได้ ถ้าคุณเลือกที่จะดูหนังโป๊กับแฟน!

ดูหนังโป๊กับแฟน

ตามบทความในนิตยสาร Daily Dot บอกว่า 40 % ของผู้ชายและ 30% ของผู้หญิงที่มีแฟนแล้ว ยังคงช่วยตัวเองอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น การสำรวจผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ที่อ่านนิตยสารเพลย์บอย ยังบอกอีกว่า 72 % ของพวกเขายังคง ช่วยเหลือตัวเอง และ 68 % ของผู้หญิงก็ยังคงทำอยู่เช่นกัน

ซึ่งผลเหล่านี้บอกได้ว่า การจินตนาการเรื่องเซ็กซ์ หรือ การดูหนังโป๊นั้นเป็นส่วนสำคัญในความพึงพอใจถึงเรื่องเซ็กซ์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีแฟนอยู่ก็ตาม และ ผลการศึกษายังบอกอีกว่า หนังโป๊ช่วยให้คนนั้นมีอารมณ์ที่รุนแรงและก้าวร้าว และ มีอาการสับสนทางเพศ ที่อาจนำไปสู่อาชญากรรมได้ แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณ ดูหนังโป๊กับแฟน ไปเลย ลดความเสี่ยงทำร้ายคนอื่น จะทำอะไรก็ทำคุณแฟนข้างๆนี่แหละ อิอิ  ข้อดีมีเห็นๆ ไม่เชื่อลองอ่านดูสิ

1.ไม่ต้องจินตนาการให้เหนื่อย

การที่คุณได้ดูหนังโป๊กับแฟนนั้น เป็นเหมือนเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในจินตนาการของเขา และจินตนาการของตัวเองด้วย ไม่ว่าคุณจะไม่ได้สวยเหมือนนางเอกหนังโป๊ แต่คุณก็ทำให้เขาฟินได้เช่นกัน แถมคุณเองก็ไม่ต้องมโนผู้ชายในหนังให้เหนื่อย ใช้ตัวเองไปเลยผู้หญิงเองก็มีจินตนาการเหมือนก๊านนน ตราบใดที่คุณยังเกิดเป็นมนุษย์ มีอารมณ์ มีฮอร์โมน เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้เสมอ

2.คุณได้รู้ว่าแบบไหนที่คุณผู้ชายชอบ

การที่คุณผู้ชายดูหนังโป๊นี่เขาไม่ได้ป่วยหรือมีอาการผิดปกติทางจิตนะเธอ มันเป็นเรื่องที่แสนจะปกติของมนุษย์ทั่วไป และการที่คุณดูกับเขาไปพร้อมๆกัน จะทำให้คุณเข้าไปถึงจิตใจของเขาได้ ว่า เขาชอบแบบไหน และดาร์คไซด์สุดๆของเขาน่ะ แบบไหนกันแน่ ไม่แน่คุณแฟนอาจจะชอบแบบ สามคน แซนวิชก็ได้นะ ใครจะรู้ ฮุ้ว

 3.ดีกับสุขภาพของคุณทั้งคู่

หนังโป๊ดีกับสุขภาพและดีกับความสัมพันธ์นะเอ้อ ถึงแม้ว่ามันออกจะดูรุนแรง สกปรก และดูไม่ปกติเท่าไหร่ แต่อาการดิบแบบนี้แหละที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นตัวเอง โดยในการศึกษาเมื่อปี 2007 ของผู้ชาย 600 คน และ ผู้หญิง 600 คน บอกว่า ผู้ชายและผู้หญิงอายุ 18-30 ปีนั้น จะมีพฤติกรรมชอบดูหนังโป๊ฮาร์ดคอร์ เพราะสามารถช่วยเพิ่มความรู้เกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างดี และรับรู้ความต้องการของเพศตรงข้าม และทำให้การดำเนินชีวิตคู่ของคุณไม่เป็นปัญหา และทำให้ร่ายกายได้รับการตอบสนองได้อย่างปกติสุข

4.ออกจาก Comfort Zone

การที่คุณมั่นใจว่าจะดูหนังโป๊กับคุณแฟนนี่เรียกได้ว่า ก้าวผ่านคอมฟอร์ทโซนอย่างจริงจัง พราะมันทำให้คุณได้รู้จักสันดานดิบของแฟนคุณเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นนี่แหละค่ะ เรื่องดีๆที่ควรทำร่วมกัน อย่าเห็บมันไว้ในใจ ดูมันด้วยกันนี่ล่ะ เริ่ด

5.ไม่แน่ คุณอาจจะเปิดใจและชอบมันก็ได้

คุณสาวๆนี่แหละ ที่ชอบปิดกั้นและไม่เคยดู ลองเปิดใจค่ะ และดูมันพร้อมๆกับคุณผู้ชายนี่แหละ แต่เหนือสิ่งอื่นใด อายุและความพร้อมก็เป็นเรื่องสำคัญนะ เกิดยังเด็กอยู่ไม่พร้อม อันนี้ก็ไม่ไหวละเคลียร์ ถ้ายังรับผิดชอบชีวิตหรืออนาคตตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็หักห้ามใจไปก่อน แต่ถ้าคุณโตพอจะรู้เรื่องเหล่านี้และคิดว่ามันเป็นเรื่องที่คุณรับปิดชอบมันได้แล้ว ก็ลุยมันไปเลยค่ะ อย่าไปเกรง เพราะไม่แน่คุณอาจจะรู้จักตัวเองในมุมอีกมุมหนึ่งที่คุณไม่เคยรู้ก็ได้ (แอบไว้ตั้งนาน ดูทีเดียว รู้จักตัวเองอีกมุมเล้ย)

6.เรียนรู้ท่าใหม่ๆ

อ่ะ อันนี้ว่ากันตรงๆ ปกติเวลามีเซ็กซ์ก็ใช้แต่ท่าเดิมๆ ท่าที่สบายใจจะทำ ท่าที่คิดว่าทำแล้วก็วินๆกันทั้งคู่ตลอด แต่เธอจ๋าเธอ ลองเปลี่ยนท่าอะไรอย่างนี้บ้างเถอะ ไม่แน่คุณอาจจะฟินมากขึ้นกว่าเดิม แถมได้รู้ทริคต่างๆอีกแหนะ ถ้าทำแบบนี้แล้วเขาจะชอบ หรือ ทำแบบนี้แล้วคุณผู้หญิงชอบ ก็ดูๆไปเถ้อะ ได้ความรู้จะตาย ไม่ได้ลามกจกเปรตซะที่ไหน

7.ต่างคนต่างพอใจ

เซ็กซ์ก็ยังเป็นเรื่องของความพึงพอใจของคนสองคนอยู่ดี ไม่ใช่ว่า มีแบบแผนเป็นแกนหลัก ต้องทำแบบนี้ถึงจะดี มันอยู่ที่ความพอใจค่ะ และถ้าคุณรู้ละเข้าใจถึงความพึงพอใจของคุณทั้งคู่ผ่านหนังโป๊เหล่านี้ ก็จะทำให้ชีวิตคู่ของคุณยิ่งยืนนานไปอีก เพราะเรื่องเซ็กซ์ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตคู่นะคุณ บางคนนี่นิสัยใตจคอได้หมด ปรากฏไม่ขยันทำการบ้าน อันนี้เลิกกันก็มีนะ บอกเลย เพราะฉะนั้นหาตรงกลางที่คุณทั้งคู่พอใจ และจัดมันค่ะ ฟินฟิน วินวินทั้งคู่ชัวร์

ที่มา Elitedaily
เรียบเรียงโดย Women Mthai Team




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2558   
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2558 21:42:45 น.   
Counter : 1297 Pageviews.  

แล้วนกกระจอก ก็กลับมากินน้ำซะที!

แล้วนกกระจอก ก็กลับมากินน้ำซะที!

image1

“เซ็กส์ในช่วงสัก 17-18 ปี มันโอเคกับผมอย่างมากเลย แต่ตอนนั้น คือ ไม่รู้หรอกนะเรื่องช้า เร็ว คือไม่รู้ด้วยว่าเวลาที่เราเสร็จแล้ว แฟนก็เสร็จด้วยไหม แบบว่านึกว่าไปด้วยกันทั้งคู่ กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พอรู้ความจริงจากปากเธอ ก็ถึงกับเงิบไปเหมือนกันครับ” เจมส์หนุ่มวัย 26 ปี แชร์ประสบการณ์เสียวข้างเดียวให้ฟัง

ซึ่งกลายเป็นว่า เรื่องเสียวไปสวรรค์อยู่ข้างเดียว ไม่ได้เกิดขึ้นกับชายวัยกลางคนอีกต่อไป หากแต่เกิดขึ้นกับ 1 ใน 3 ของผู้ชายใน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งหากถามว่าภาวะหลั่งเร็วคืออะไร? แล้วแบบไหนเข้าข่ายบ้าง?

เริ่มจากอาการหลั่งเร็ว Premature Ejaculation (PE) หรือ ที่เรียกกันจนติดปากว่า นกกระจอก ไม่ทันกินน้ำ หรือ ล่มปากอ่าว หมายถึง ภาวะที่ฝ่ายชายไม่สามารถควบคุมการหลั่งให้นานพอที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด ซึ่งส่งผลกระทบใน 3 ลักษณะ กล่าวคือ 1. หลั่งก่อนการสอดใส่ หรือ ช่วงเวลาระหว่างสอดใส่และการหลั่งสั้นมาก 2. ไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้  3. รู้สึกไม่มีความสุข หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักมีปัญหา

ผลกระทบของการหลั่งเร็วมีอะไรบ้าง?

ในแง่มุมของผู้ชาย นอกจากรู้สึกกังวลแล้ว  บางครั้งยังหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งหมด และฝ่ายหญิงที่ขาดความเข้าใจเองก็จะรู้สึกว่า “เฮ้ย คุณผู้ชาย เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า ที่เสร็จก่อนขนาดนี้ ขณะเดียวกันในคู่สมรสก็อาจรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไป ส่งผลกระทบต่อความใกล้ชิดสนิทสนม ลองคิดดูว่าหากเป็นคู่รักกันแล้วเกิดห่างเหินกันด้วยเรื่องบนเตียง ชีวิตจะเป็นยังไง?

image3การรักษาอาการหลั่งเร็ว

  1. ศึกษาข้อมูล เพื่อให้เข้าใจถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงก่อนในลำดับแรก  //controlpe.in.th/ข้อเท็จจริง/
  2. ปรับพฤติกรรม ได้แก่ เทคนิค “stop-start” และ “squeeze”
  3. การปรึกษาทางจิตวิทยา
  4. ลดความไวในการรับความรู้สึกขององคชาต คือการใช้ถุงยางอนามัยที่หนาขึ้น และการใช้ยาชาชนิดครีมหรือสเปรย์ ซึ่งอาจระคายเคืององคชาต และทำให้ช่องคลอดหมดความรู้สึก
  5. รักษาด้วยยา ชนิดรับประทาน สามารถใช้ได้ตามต้องการครั้งละ 1 เม็ด และมีปลอดภัยสูง

ทีนี้ใกล้ถึงวาเลนไทน์แล้ว คุณคงไม่อยากมีค่ำคืนที้สั้นจุ๊ดจู่กับคนรัก เพราะฉะนั้นถึงเวลา มาเช็คกันดีกว่าว่าคุณหน่ะ เป็นคาสโนว่าหลั่งเร็วหรือไม่?

image2

แบบทดสอบว่าคุณมีอาการหลั่งเร็วหรือไม่

Thai Premature Ejaculation Diagnostic Tool (PEDT) คือ แบบทดสอบที่ใช้วินิจฉัยภาวะหลั่งเร็วโดยให้ผู้ชายเป็นผู้ประเมินด้วยตัวเอง ประกอบด้วยข้อคำถามต่อไปนี้

1. การควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิของคุณเป็นอย่างไร

(0) ไม่ยากเลย

(1) ไม่ค่อยยากนัก

(2) ยากปานกลาง

(3) ยากมาก

(4) ยากอย่างยิ่ง

2. คุณหลั่งน้ำอสุจิก่อนเวลาที่คุณต้องการ

(0) เกือบจะไม่เคยหรือไม่เคยเลย (0%)

(1) เคยประมาณ 25%

(2) เคยประมาณ 50%

(3) เคยประมาณ 75%

(4) เกือบทุกครั้งหรือเป็นประจำ (100%)

3. คุณเคยหลั่งน้ำอสุจิเมื่อกกระตุ้นเพียงเล็กน้อย

(0) เกือบจะไม่เคยหรือไม่เคยเลย (0%)

(1) เคยประมาณ 25%

(2) เคยประมาณ 50%

(3) เคยประมาณ 75%

(4) เกือบทุกครั้งหรือเป็นประจำ (100%)

4. คุณรู้สึกหงุดหงิดเพราะคุณหลั่งน้ำอสุจิก่อนเวลาที่คุณต้องการ

(0) ไม่เลย

(1) เล็กน้อย

(2) ปานกลาง

(3) มาก

(4) มากที่สุด

5. คุณรู้สึกกังวลเมื่อเวลาที่คุณหลั่งน้ำอสุจิแล้ว ขณะที่คู่ของคุณยังรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างมาก

กับการมีเพศสัมพันธ์

(0) ไม่เลย

(1) เล็กน้อย

(2) ปานกลาง

(3) มาก

(4) มากที่สุด

PEDT score

PEDT score >=11 : มีอาการหลั่งเร็ว

PEDT score = 9 or 10 : มีความเสี่ยงที่จะมีอาการหลั่งเร็ว

PEDT score <= 8 : ไม่มีอาการหลั่งเร็ว

เครดิต : รพ.บํารุงราษฎร์

ข้อมูลเพิ่มเติม

//controlpe.in.th/




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2558   
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2558 23:10:21 น.   
Counter : 901 Pageviews.  

นักจิตวิทยาฟันธง ! ฟังเพลงระหว่างมีเซ็กซ์ ยิ่งแซ่บ ยิ่งปลดปล่อย

นักวิจัยแห่ง McGill University  พบว่าการฟังเพลงนั้น ส่งผลกับการปลดปล่อยสารที่เรียกว่า โดพามีน ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาแล้ว มนุษย์จะมีความสุข ทำให้เคมีในสมองจะรู้สึกปลดปล่อย เหมือนเวลา เราได้รับประทานอาหารอร่อย ได้นอนเต็มอิ่ม และเช่นเดียวกัน สิ่งนั้นก็ใช้ได้กับ” เซ็กซ์” ได้ด้วยนั่นเอง

นอกจากนั้นผลการศึกษาอื่นๆ ยังพบว่า การฟังเพลงที่ปลุกเร้าอารมณ์เช่นเพลงที่มีลักษณะอ่อนไหว หรือ เพลงที่มีบีทที่หนักแน่นขึ้นมาหน่อย จะส่งผลกับการเร้าอารมณ์ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ และ การหายใจเร็วและแรง

ฟังเพลงระหว่างมีเซ็กซ์

นอกจากนั้น ยังมีข้อพิสูจน์อีกว่า เพลงน่ะมันช่วยเซ็กซ์ได้จริงนะเธอ โดยทำการสำรวจตั้งแต่ปี 2000 และ 2006 พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการฟังเพลงและออกกำลังกายนั้น หากฟังไปด้วยออกไปด้วย จะทำให้ผู้ที่ออกกำลัง รู้สึกว่า เวลาผ่านไปเร็ว และ ไม่ทรมานใจ มากกว่า คนที่ออกกำลังโดยไม่ฟังเพลง (เห็นมั้ย เพลงนี่มีพลังมากจริงๆนะ)

นั่นก็เป็นเพราะ เวลาเราฟังเพลง เราจะรู้สึกปลดปล่อย และใช้การจดจ่อในการฟัง นั่นหมายความว่า คุณจะสามารถละสิ่งรบกวนรอบข้างออกไปได้ แม้ว่าสิ่งที่ทำอยู่จะน่าเบื่อ เช่น การออกกำลัง การทำงาน เป็นต้น เช่นเดียวกันกับเซ็กซ์ เพราะเซ็กซ์ก็ทำให้คุณเหนื่อยได้เทียบเคียงกับออกกำลังกายเช่นเดียวกัน ยิ่งเซ็กซ์ดีเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้ศักยภาพของร่ายกายคุณดีขึ้นเท่านั้น ทั้งเหงื่อออก และ ใช้ความอดทนเช่นเดียวกัน

อ้ะๆ ไม่ต้องสงสัยว่าแล้วจะไปหาเพลงอะไรมาฟัง นักจิตวิทยา Daniel Mullensiefen ได้ทำการสำรวจคนอายุ 18-91 ว่าเพลงใดที่เป็นเพลงโปรดระหว่างมีเซ็กซ์บ้าง และนี่คือคำตอบค่ะ ลองไล่ฟังกันดูนะ ชอบเพลงไหน ก็จัดใส่ playlist ได้เลย

1 . “She’s Like The Wind” by Patrick Swayz

2.“Sexual Healing” by Marvin Gaye

3.“Boléro” by London Symphony Orchestra

4.“Take My Breath Away” by Berlin

5.“You See The Trouble With Me” by Barry White

6.“Let’s Get It On” by Marvin Gaye

7.“Unchained Melody” by Righteous Brothers

8.“My Heart Will Go On” by Celine Dion

9.“Je T’aime” by Serge Gainsbourg

10.“I Will Always Love You” by Whitney Houston

ส่วนนักวิทยาศาสตร์ก็บอกว่าให้ใช้บีทที่กระแทกขึ้นมาสักหน่อย ถ้าชอบแบบบีทหนักๆ ก็ลองฟังตามเพลย์ลิสเหล่านี้ได้เลย

1.“High For This” by The Weeknd (also “Wicked Games” — actually, pretty much anything by The Weeknd)

2.“Nirvana” by Sam Smith

3.“Pony” by Ginuwine

4.“Novacane” by Frank Ocean

5.“So Appalled” by Kanye West

6.“Let’s Stay Together” by Al Green

7.“French Exit” by The Antlers

8.“Do I Wanna Know” by Arctic Monkeys

9.“Instant Crush” by Daft Punk

10.“Latch” by Disclosure

งานนี้ใครที่ไม่มีเสียงเพลงในห้องนอน ต้องลองกันหน่อยแล้วล่ะ เพราะไม่แน่อาจจะทำให้คุณรู้สึกถึงรสชาติที่ต่างออกไปก็ได้นะ ใครจะไปรู้

 ที่มา Elitedaily
เรียบเรียงโดย Women Mthai Team




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2558   
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2558 23:08:58 น.   
Counter : 1514 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]