ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

รุ้งกินนํ้ากลับหัว...ลางร้ายกลียุด

รุ้งกินน้ำกลับหัว...ลางร้ายกลียุค Share
11

เมื่อ เกิดรุ้งกินน้ำหลังฝนตก ในยามเช้า หรือ เย็น วงโค้ง รุ้งกินน้ำ ซึ่ง มีอยู่ 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เหลือง แสด แดง จะโค้งไปตามส่วนโค้งของ เปลือกโลก

แต่ในภาพ เป็นรุ้งกินน้ำมีวง โค้งตรงกันข้ามกับรุ้งกินน้ำธรรมดา เป็นโค้งกลับด้าน ซึ่งแน่นอนว่า ปรากฎการณ์ เช่นหาดูได้ยากยิ่ง

การ ปรากฏของรุ้งกินน้ำ ส่วนใหญ่ เป็นช่วงเวลาสดใส นกส่งเสียงร้องพร้อม กับอากาศดีบริสุทธิ์ แต่เมื่อใดรุ้งกินน้ำ ปรากฏกลับด้านจึงเป็นสัญญาณเตือนว่า กลียุคกำลังบังเกิด

รุ้งกลับ หัวกลับหาง ทีศัพท์ทางอังกฤษ เรียกว่า เซอร์คม เซนิฮัล อาร์ค (Circumge nithal Arc) หรือ วงแหวนครึ่งขอบฟ้าซึ่ง มีคำอธิบายโดยนักปราชญ์ เมื่อ 100 กว่าปีก่อน นี่คือรอย แสยะยิ้มพญายม (Cruach"s Grin)

ทักเกอร์ แม็คคาร์ทนีย์ นักมนุษย์ วิทยาชาวอเมริกัน ที่ฟิลลาเดลเฟีย อธิบายว่า "ครู แอ็ค" เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาว เซลติกโบราณ (บรรพบุรุษชาวอังกฤษ)เป็น แห่งความตาย และการทำลายล้าง การสร้าง รุ้งกินน้ำกลับด้านขึ้นบนท้องฟ้าจึงเป็นคำ เตือนจากเทพเจ้าครูแอ๊คว่า วาระสุดท้าย ของโลกกำลังมาถึงแล้ว

หรือในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์ ได้วาดภาพรุ้งกินน้ำกลับด้านเอาไว้ โดยระบุว่า เป็นลางบอกเหตุว่าโลกกำลังเกิดสงครามระหว่าง ธรรมะ กับ อธรรมขึ้นแล้ว

คำ ทำนายจากยุคโบราณหาก นำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของโลกใน ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าเข้าเค้า โดยเฉพาะปรากฏการณ์โลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น อาจนำพาไปสู่วาระสุดท้ายของโลกของ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้

นักอุตุนิยมวิทยาในยุคปัจจุบัน ก็มีคำอธิบายถึงการเกิดรุ้งกลับหัวว่าเกิด จากภาวะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง ไปอย่างรุนแรง

การเกิดรุ้งกินน้ำธรรมดา เกิดขึ้นโดย แสงแดดสาดส่องผ่านละอองน้ำ หรือ อากาศชื้น ในชั้นบรรยากาศ

แต่ รุ่งกินน้ำกลับหัวเกิดจากการ ผสมผสานอย่างผิดธรรมชาติ นั่นคือการ ผสมปนเป ระหว่างอากาศร้อนกับอากาศหนาว เหนือชั้นบรรยากาศ แล้วสะท้อนกลับมาเหมือน กระจก จึงเกิดรุ้งกินน้ำกลับหัวขึ้นมา

ดร.แจ็คเกอลีน มิตตอง นักดารา ศาสตร์ อวกาศแห่งแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ถ่ายภาพรุ้งกินน้ำกลับหัว ภาพนี้ได้จาก ท้องฟ้าใกล้บ้านพัก

"จับไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มา ก่อน จับอายุ 60 ปี แล้วยังแปลกใจกับ ปรากฎการณ์ประหลาด"

รุ้ง กินน้ำกลับหัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีแสง สว่างมากกว่ารุ้งกินน้ำธรรมดา หลายเท่า เชื่อกันว่าวงโค้งกลับหัวเกิดจากการสะท้อน แสงมาจากวงแหวน ฮาโลหรือฉัพพรรณรังสีของดวงอาทิตย์

รุ้งกลับหัวที่วอชิงตัน


รุ้งกลับหัวที่อังกฤษ ปี 2010


รุ้งกลับหัวที่อ่าว Sunset เมื่อปี 2010




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2554   
Last Update : 15 สิงหาคม 2554 23:21:17 น.   
Counter : 1787 Pageviews.  

พยานาคมีจริงมั้ย!!!!



บั้งไฟพญานาค


บั้ง ไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน





มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม




ผู้ ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ




นอก จากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง


Marfa lights




ตำนาน

เรื่อง ของพญานาคในทางพุทธศาสนา ได้กล่าวไว้ว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย แต่พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ก็เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เลิกนิสัยดุร้าย และคิดจะหันมาออกบวช แต่ก็ติดที่เป็นสัตว์ไม่สามารถบวชได้ เนื่องจากเป็นสัตว์ พญานาคจึงปวารณาตนเป็นพุทธมามะกะ




เมื่อ พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จนครบ 1 พรรษา ( 3 เดือน) และเสด็จกลับโลกมนุษย์ในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงินและบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย ส่วนมนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้เมื่อรู้ถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้จัดทำ “บั้งไฟพญานาค” และจุดเฉลิมฉลองเช่นกัน และได้กลายมาเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้





ลักษณะ

การ เกิดบั้งไฟพญานาค ลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง ลักษณะเป็นดวงไฟขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านหรือผลส้ม มีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลว ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น




โดย บั้งไฟพญานาคจะเริ่มปรากฏจากเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร พุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วจะดับหายวับไปในอากาศ ทั้งๆ ที่ดวงไฟยังโตอยู่ มิได้หรี่เล็กลงแล้วค่อยๆ ดับ และไม่มีลักษณะโค้งตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟ ซึ่งปรากฏการณ์การเกิดบั้งไฟพญานาคนี้ได้มีนักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยหลายต่อ หลายท่าน แต่ก็ยังไม่พบข้อสรุปที่ชัดเจน





การปรากฏตัวของพญานาค

พญา นาค นอกจากปรากฏในรูปของบั้งไฟพญานาคแล้ว ยังมีหลักฐาน ร่องรอยและเรื่องเล่าต่างๆ อย่างเช่น บุญจันทร์ คำมุงคุณ ผู้ใหญ่บ้านและประธานโฮมสเตย์บ้านน้ำเป กิ่งอำเภอรัตนภูมิ จังหวัดหนองคาย เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังลงเรือหาปลาอยู่ในบริเวณปากห้วยน้ำเปตอนประมาณสองทุ่ม





ก็ เห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายงูอยู่ในน้ำ คือตรงส่วนหัวนั้นไม่เหมือนงูทั่วๆ ไป คือมีลักษณะคล้ายหงอน และดวงตามีขนาดเท่าไข่ไก่เห็นเป็นสีแดง งูนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร



แอร์ ชาวอุดรธานี และเป็นคนที่มีสัมผัสที่หก ไปดูบั้งไฟพญานาคที่ริมแม่น้ำโขง จนประมาณ 3 ทุ่ม ที่บั้งไฟพญานาคลูกแรกขึ้น แอร์ก็รู้สึกวูบไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีในอีก 2 ชั่วโมงถัดมา ในลักษณะที่เท้าเหยียบอยู่ในแม่น้ำโขง มีคนหิ้วปีกอยู่ทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าหน้าร้อนมาก ตอนที่แอร์วูบไป แม่ของแอร์เล่าว่า แอร์ก็มีท่าทีแปลกๆ เริ่มพูดไม่เหมือนตามปกติ ใช้ภาษาแบบคนโบราณ เช่น ข้ากับเจ้า และนั่งชันขาเหมือนคนโบราณแล้วบอกว่า เราเป็นพญานาคชื่อสีดา ดูแลน้ำโขงช่วงนี้อยู่



ที่ มานี่เพื่อมาเตือน เพราะเห็นว่าในกลุ่มนี้มีคนที่ไม่เชื่อและพูดลบหลู่อยู่ พร้อมทั้งยังบอกว่าตนอยู่ที่นี่มาเป็นพันๆ ปีแล้ว และบั้งไฟนี้ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ จน 2 ชั่วโมงผ่านไป ถึงเวลาเกือบ 5 ทุ่ม พญานาคที่ชื่อสีดาก็บอกว่าจะกลับแล้ว ให้ช่วยไปส่งที่ริมแม่น้ำหน่อย จากนั้นแอร์ก็รู้สึกตัวขึ้น



จุมพล สายแวว นายช่างไฟฟ้าสื่อสาร 5 ได้ไปทำข่าวมา ก็ได้เห็นเป็นรอยเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน เป็นรอยขนาดใหญ่ขึ้นทั่วหลังคารถเลย หรือบางรอยก็เห็นขึ้นริมโขง และได้เกิดเหตุการณ์ ที่เขาได้เห็นกับตาและได้ถ่ายภาพวีดีโอไว้



เขา ได้เห็นภาพของสิ่งมีชีวิตลักษณะลำตัวยาวๆ ที่คาดว่ามีหลายตัว เล่นน้ำอยู่กลางลำน้ำโขง ใกล้ๆ กับพระธาตุกลางน้ำ ซึ่งเหตุการณ์เป็นข่าวครึกโครม มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และเชื่อกันว่า เป็นเหตุการณ์ที่พญานาคขึ้นมานมัสการพระธาตุ






ทฤษฎีและข้อสมมติฐาน

ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ณ วันนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ก็มีทฤษฎีและข้อสมมติฐานอยู่หลายทฤษฏี เช่น



นพ.มนัส กนกศิลป์ แห่งโรงพยาบาลหนองคาย อธิบายว่า บั้งไฟพญานาค เกิดจากก๊าซร้อน คือ ก๊าซที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทนและก๊าซไนโตรเจน เป็นส่วนผสมสำคัญ ซึ่งก๊าซร้อนชนิดนี้ ก็คือก๊าซชีวภาพที่ระเบิดจากหล่มอินทรียวัตถุใต้ท้องน้ำหรือในดินที่เปียก โดยมีแบคทีเรียกลุ่มมีเทนฟอร์มเมอร์ซึ่งดำรงชีวิตได้ในสภาพไร้ออกซิเจนเท่า นั้น





ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง เป็นตัวช่วยผลิตก๊าซ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะได้ก๊าชมีเทนในปริมาณมากพอที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิว ทรายอย่างน้อย 1.45 เท่า ของความดันบรรยากาศ เมื่อไปเจอความกดดันของน้ำ ความกดดันของอากาศในตอนพลบค่ำ หล่มทรายก็จะไม่สามารถรับแรงดันได้ ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ และมีการฟุ้งกระจายไปบางส่วน




โดย เหลือแกนในของก๊าซซึ่งลอยตัวขึ้นสูง เมื่อไปกระทบกับอนุภาพออกซิเจนอะตอมที่มีประจุ ที่มีพลังงานสูง ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นดวงไฟหลายสี แต่ 95% จะเป็นดวงไฟสีแดงอำพัน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็หายไป และทุกตำแหน่งที่เกิดบั้งไฟพญานาคจะอยู่ในระดับ 5-13 เมตรทั้งสิ้น



นอก จากนี้ยังพบอีกว่าความเป็นกรดและด่างของน้ำในแม่น้ำโขงก็จะสอดคล้องกับระบบ นิเวศน์ที่จะเกิดการหมักก๊าซมีเทน ซึ่งคุณหมอได้เคยไปวางทุ่นดักก๊าซในแม่น้ำโขง และค้นพบว่าก๊าซที่ดักได้ในแม่น้ำโขงสามารถนำไปจุดติดไฟ จะเกิดการพุ่งวูบขึ้นมีสีออกเป็นแดงอมชมพู ส่วนคำถามที่ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษา คุณหมอมนัสบอกว่าในคืนวันนั้นจะมีอ็อกซิเจน ก๊าซที่ช่วยให้ติดไฟสูงสุดในรอบปี ซึ่งก็เกิดจากอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงพลังงานรังสีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และโลก




ส่วน อีกสมมติฐานนึงคือ เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง โดยสมชาติ วิทยารุ่งเรือง ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต ได้หาวิธีการทำบั้งไฟพญานาคในแบบฉบับของเขามาได้ 8 วิธี โดยนพ.มนัส กนกศิลป์ ได้ออกมาถึงเหตุผลที่ว่า บั้งไฟพญานาคไม่น่าที่จะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ได้ตั้งข้อสมมติฐานแย้งเช่น





-คนที่กระทำต้องแข็งแรงมากเพราะกระแสน้ำมันแรงมาก ในขณะที่คนธรรมดากอดเสาอยู่ในน้ำยังทรงตัวไม่อยู่
-นพ.มนัส กนกศิลป์ ได้เริ่มศึกษาเมื่อปี 2522 ก็มีบั้งไฟพญานาคขึ้นมาแล้ว 120 ปี ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องเกิดขึ้นนานกว่านี้อีก เนื่องจากคนที่ทำคนนี้ต้องมีอายุมากกว่า 104 ปีแล้วต้องทำด้วยตัวเองจึงตัวเองจึงจะคุมความลับได้



-การเกิดของบั้งไฟ เกิดขึ้น 52 ตำแหน่งประมาณ 1,500 – 2,500 ลูก คนที่ทำต้องมีเงินจ้างคนไปประดาน้ำทำเรื่องนี้
-ทานกระแสน้ำที่ลึกมากและกลัวที่จะโดนเอ็ม 16 ของหน่วย นปข.ซึ่งเขาก็บอกอีกว่ามันขึ้นเฉียดเรือเขาเลย
เป็นต้น






Queen of Nagas

ภาพ ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2540 ทหารแห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา กับปลาน้ำลึกชื่อ oar fish ที่มักจะเข้าใจว่าเป็นพญานาค ภาพนี้ตีพิมพ์ซ้ำหลายต่อหลายครั้ง และยังพิมพ์เป็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่วางขายทั่วไปในประเทศไทยและลาว




มี ผู้อ้างว่า รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 27 มิ.ย. 2511 เมื่อทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว จับสัตว์ชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ชาวลาวเรียกกันว่า "นางพยานาก" หรือนางพญานาค หรือ นางพยานาก ในภาษาลาว (Queen of Nagas) วัดความยาวได้ ประมาณ 7.80 เมตร ที่จริงแล้วก็คือ ปลาออร์" (Oarfish, Dragon of the Deep')

รูปนี้มาจากนิตยสาร All Hands ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2540




นาน มาแล้วที่ชาวเรือเล่าลือถึง "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่บรรยายว่า "มังกรทะเลมีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้า มีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง" ชาวประมงเคยพบขณะแล่นเรือหาปลาในทะเล นักชีววิทยา ค้นคว้าพบความจริงว่า ที่แท้แล้วคือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง เรียกว่า ปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น หรือ ปลาออร์




เป็น ปลาน้ำลึก มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโต ครีบบนหลังยื่นออกมายาวเลยหัว มีครีบพิเศษยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัวคล้ายใบพาย และมีลำตัวแบน ปลาชนิดนี้หาดูยาก เพราะอาศัยในระดับความลึกถึง 3,000 ฟุต ส่วนใหญ่พบในสภาพที่ตายแล้ว เพราะถ้าพลัดหลงมาน้ำตื่น จะตายทันที พบตัวใหญ่ที่สุดยาวถึง 200 ฟุต แม้มีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นอันตราย เพราะไม่มีเขี้ยวหรืออาวุธ แต่เป็นสัตว์โลกแสนสวยน่าดูมาก ดังนั้นที่มีผู้อ้างว่าจับปลาชนิดนี้ได้ที่แม่น้ำโขงจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นปลาน้ำเค็ม ซ้ำเป็นปลาน้ำลึกมาก ยืนยันได้ว่าปลาตัวนี้ ไม่ใช่พญานาค อาจเป็นไปได้ที่ผู้เริ่มเผยแพร่รูปภาพนี้มีวัตถุประสงค์แอบแฝง






จุดชมบั้งไฟพญานาค

การ ชมบั้งไฟพญานาคนั้นนอกจากจะรู้วันแล้ว ยังต้องรู้เวลา รู้สถานที่ ที่มีแนวโน้มการเกิดบั้งไฟพญานาคอีกด้วย ตำแหน่งที่บั้งไฟพญานาคมักจะปรากฏให้เห็นว่า ทั่วทั้ง จ.หนองคาย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 จุด โดยในจ.หนองคายเกิดขึ้นหลายจุด แต่จุดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้พบเห็นบ่อยครั้งเริ่มจากที่ อ.สังคม บริเวณ "อ่างปลาบึก" บ้านผาตั้ง บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสังคม ต่อมาที่บริเวณ "วัดหินหมากเป้ง" อ.ศรีเชียงใหม่




ถัด จากนั้นก็จะพบในเขตอำเภอเมืองบ้านหินโงม ต.หินโงม อ.เมือง หน้าสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเดื่อ ต.บ้านเดื่อ อ.เมือง พอเข้าสู่เขต อ.โพนพิสัยก็จะพบแทบจะตลอดลำน้ำโขง ตั้งแต่ปากห้วยหลวง ต.ห้วยหลวง อ.โพนพิสัย ในเขตเทศบาล ต.จุมพล หน้าวัดไทย วัดจุมพล วัดจอมนาง หนองสรวง เวินพระสุก ท่าทรายรวมโชค ต.กุดบง บ้านหนองกุ้ง ซึ่งที่ อ.โพนพิสัยจะพบมากที่สุด แล้วมาพบอีก ที่กิ่งอ.รัตนวาปี บริเวณ ปากห้วยเป บ้านน้ำเป วัดเปงจาเหนือ บ้านหนองแก้ว ในเขตอ.ปากคาด บ้านปากคาดมวลชล ห้วยคาด อ.ปากคาด และที่ อ.บึงกาฬ บริเวณวัดอาฮง ตำบลหอคำ อ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวหนองคายเชื่อกันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง เป็นเมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็ปรากฏบั้งไฟพญานาคให้เห็นเช่นกัน



ทาง ด้านจังหวัดอุบลราชธานี มีชาวบ้านพบเห็นมา 2-3 ปี แล้วและทางอ.โขงเจียมก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ามีจริง โดยการเข้าชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค อ.โขงเจียมปีนี้ กำหนดจุดชมไว้ 3 แห่ง คือ บ้านกุ่ม บ้านท่าล้ง และบ้านตามุย

สำหรับระยะเวลาในการขึ้นของบั้งไฟพญานาคนั้นจะขึ้น ระหว่างตะวันตกดินถึงประมาณ 23.00 น.ก็จะหมดไป






พญานาค

นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล

นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า






ตำนาน ความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู




เป็น สัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน

ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่ อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน




ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้าย รอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์





ลักษณะ ของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร





นาค จำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม







ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ

พญา นาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้




พญา นาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย



พญา นาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น



พญา นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม



พญา นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน




พญา นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร



สามารถ ขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี





ความเชื่อในดินแดนต่างๆ ของไทย


นาค ล้วนมีส่วนร่วมในตำนานอย่างชัดเจน เช่น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ พญานาคแห่งแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงเฮ็ด(จุด)บั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี

และ เนื่องจากเชื่อว่าพญานาคเป็นเจ้าบาดาล เป็นผู้ให้กำเนิดน้ำ ดังนั้นเมื่อชาวนาจะทำพิธีแรกไถนา จึงต้องดูวัน เดือน ปี และทิศที่จะบ่ายหน้าควายเพื่อไม้ให้ควายลากไถไปในทิศที่ทวนเกล็ดนาค ไม่อย่างนั้นการทำนาจะเกิดอุปสรรคต่างขึ้น




ลูก ไฟแดงอมชมพู ที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง สู่ท้องฟ้าในวันออกพรรษา ที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เห็นจนชินและเรียกสิ่งนี้ว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะลูกไฟที่ว่านี้จะเป็นลูกไฟ สีแดงอมชมพู ไม่มีเสียงไม่มีควัน ไม่มีเปลว ขึ้นตรง ไม่โค้งและตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วไป จะดับกลางอากาศ สังเกตได้ง่ายจากลูกไฟทั่วไป จะเกิดขึ้นในเขตตั้งแต่ บริเวณค่าย ตชด.(อ่างปลาบึก), วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่, ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง เรื่อยลงไปจนถึง เขตบ้านน้ำเป กิ่ง อ.รัตนวาปี แต่ก่อนจะเห็นเกิดขึ้นเฉพาะท่าน้ำวัดหลวง, วัดจุมพล, วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง อ.โพนพิสัยแต่ทุกวันนี้จะเห็นเกิดที่บ้านน้ำเป, บ้านท่าม่วง, ตาลชุม, ปากคาด และ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ





ก่อน นี้คน อ.โพนพิสัย เห็นแล้วเฉยๆ เพราะเห็นประจำทุกปีในวันออกพรรษา ผู้เขียนสมัยเมื่ออายุยังน้อย เมื่อปี 2508 (เป็นคน อ.โพนพิสัย) เมื่อวันออกพรรษา ได้ไปนั่งดูอยู่ที่ท่าน้ำวัดไทย อ.โพนพิสัย และได้ลงเรือไปไหลเรือไฟด้วย เมื่อไหลเรือไฟมาถึงบริเวณท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นลูกไฟดังกล่าวพุ่งขึ้น จากแม่น้ำโขง ขึ้นสูงไม่เกิน 2-3 วา นานๆ จะพุ่งขึ้นที จะขึ้นก็ต่อเมื่อประชาชนบนฝั่งเวียนเทียนเสร็จ เงียบ ลูกไฟถึงจะขึ้นให้เห็น แต่ทุกวันนี้ เมื่อ 18.00 น. ก็ขึ้นแล้วขึ้นสูงถึง 200-300 เมตร และขึ้นแต่ละทีก็มากด้วย ตั้งแต่ 5-20 ลูกติดต่อกัน




สังเกต ว่า ลูกไฟนี้หากขึ้นกลางโขงจะเบนเข้าหาฝั่ง หากขึ้นใกล้ฝั่งจะเบนออกกลางโขง ลูกไฟนี้จะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แต่ถ้าหากวันพระไทยไม่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาว ลูกไฟนี้ก็จะไม่ขึ้น ปีไหน (วันออกพรรษา) ตรงกันทั้งไทย และ ลาว ลูกไฟนี้จะขึ้นมาก เชื่อกันว่าที่ เขต อ.โพนพิสัย มีเมืองบาดาล อยู่ใต้พื้นดินและเป็นทางออกสู่เมืองมนุษย์ เรียกว่า เป็นเมืองหน้าด่านจึงมีบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเป็นประจำที่นี้ ส่วนเมืองหลวงนั้นอยู่ที่ แก่งอาฮง อ.บึงกาฬ ที่ว่าอย่างนั้นเพราะที่แก่งอาฮง เมื่อหน้าแล้งจะมีสะดือแม่น้ำโขง ตลอดความยาวของแม่น้ำโขง ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ตรงที่ลึกที่สุดก็อยู่ที่แก่งอาฮง



เมื่อ หน้าแล้ง ชาวประมงวัดโดยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปได้ 99 วา ที่นี้จะมีลูกไฟขึ้นเป็นสีเขียวนวล บ่อยครั้งที่ชาวลุ่มแม่น้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการกระทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือ เทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษเหตุนี้เรียกว่า “เงือกกิน” “เงือก, งู” เป็นสิ่งเดียวกันกับพญานาค แต่พญานาคนั้นมีภพเป็นที่อยู่อีกมิติหนึ่ง สามารถแปลงร่างได้หลายชนิด แปลงกายเป็นมนุษย์ หรือ อะไรก็ได้ เพียงแค่คิดเท่านั้นรูปร่างก็เปลี่ยนไปแล้ว จึงได้ปรากฏอยู่บ่อยๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำ




หรือ หลายครั้งที่มีคนพบรอยประหลาดแต่ก็เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่เกิดขึ้นในเขต อ.โพนพิสัยหรือที่อื่นๆ แม้แต่กลางกรุงเทพ ฯ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่หากคิดว่าทำไมและเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น และทำไมจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น และจะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของลาวจึงเชื่อได้ว่าพญานาค มีสัญชาติเชื้อชาติ ลาว ถึงแม้จะเกิดขึ้นทางฝั่งไทยก็ตาม




นับ ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่แท้จริง เพราะลูกไฟประหลาดหรือที่เรียกว่า “บั้งไฟพญานาค” นี้เกิดขึ้นเฉพาะในเขต จ.หนองคายเท่านั้น ตามแนวแม่น้ำโขง ไม่มีขึ้นที่อื่นแม้จะอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเช่นกัน จึงนับได้ว่าหนองคายกับเวียงจันทน์ สมัยก่อนนั้นการปกครองและการสร้างเมืองโดยพญานาค จึงได้รับอิทธิพลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถูกแยกการปกครอง และแยกประเทศออกจากกัน แต่ในความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ก็เป็นพื้นที่เดียวกัน ตำนานประเพณีต่างๆ ของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง จะเกี่ยวข้องกับพญานาคกันทั้งนั้น เพราะพญานาค หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร และความเป็นอยู่ของมนุษย์




ที่ กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เพื่อ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พญานาค ก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร และ สำคัญอย่างไร กับเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ และทำไม”บั้งไฟพญานาค”จึงได้เกิดขึ้นเฉพาะเขต จ.หนองคาย เท่านั้น และที่สำคัญจะเกิดขึ้นเฉพาะวันขึ้น 15 ค่ำ ที่ตรงกันระหว่าง ไทย-ลาว หากปีไหนแปดสองหนบั้งไฟพญานาค ก็จะเลื่อนไปขึ้นในวันพระลาว (15 ค่ำ ลาว) เป็นเรื่องที่ท้าทายให้มาดูมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง





บั้ง ไฟพญานาคว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงต้องเกิดในวันดังกล่าวเท่านั้น ใครทำเพื่ออะไร และ ได้อะไรจากการกระทำดังกล่าว เชื่อว่าหลายคนยังต้องการไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์นี้อยู่ (ตำนานพระพุทธศาสนา กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา บนดาวดึงส์ ครบ 3 เดือน เมื่อเสด็จกลับโลกมนุษย์ พญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงิน ทอง เสด็จลงมา มนุษย์ เทวดา พญานาค ได้ฉลองสมโภชด้วยการจุดบั้งไฟถวาย โดยเฉพาะเหล่าพญานาค ดังนั้นต่อมาเหล่าพญานาคจึงได้ถือเอาวันออกพรรษาเป็นวันสำคัญ)





พญานาคกับตำนานปรัมปราของไทย

เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย
มี การเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี





เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล
ใน เมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2554   
Last Update : 14 สิงหาคม 2554 20:10:07 น.   
Counter : 6507 Pageviews.  

สัตว์หน้าแปลกที่พึ่งถูกค้นพบในปี2010 !!

โลกนี้มันยังกว้างใหญ่ไฟศาลนัก ไม่แปลกหรอกที่จะพบสัตว์แปลกชนิดใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ *0*


Image

1) ปลิงทีเร็กซ์
เจ้า พ่อปลิงตัวใหม่เเห่งป่า Tyrannobdella rex หรือ เจ้าพ่อปลิงสุดโหดเ้ยม นั้นถูกค้นพบในป่าอะเมซอนในเเถบเปรูในประมาณเดือนเมษายน เจ้าปลิงทีเร็กซ์นั้นยาวประมาณ 7เซนติเมตร เเละมีฟันที่ใหญ่เหมือนไดโนเสาร์ยักษ์ใหญ่ทีเร็กซ์



Image

2) หมึกสีม่วง
เจ้า หมึกสีม่วงนี้เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ใหม่จากใน11สายพันธุ์ที่ค้นพบในเดือน กรกฎาคมของการสำรวจในเขตน้ำลึกของชายฝั่งเเอตเเลนติก ประเทศเเคนาดา การสำรวจที่ยาวนาน 20วันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาความสัมพันธุ์ระหว่างปะการังน้ำเย็น เเละสัตว์ใต้ทะเลลึก



Image

3) ค้างคาวโยดา
เจ้า ค้างคาวกินผลไม้ที่มีจมูกเป็นท่อนี้ได้รับชื่อจากเว็บว่า ค้างคาวโยดา ตามตัวละครของสตาร์วอร์ เจ้าค้างคาวโยดานี้เป็นหนึ่งใน 200สายพันธุ์ที่ถูกค้นพบในการสำรวจที่ปาปัวนิวกินีในปี 2009 ซึ่งค้างคาวโยดะถูกค้นพบในเดือนตุลาคม ค้างคาวโยดานี้ยังไม่ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการเหมือนค้างคาวกินผล ไม้ส่วนใหญ่ เเละเหมือนค้างคาวกินผลไม้ส่วนใหญ่ ค้างคาวโยดาช่วยพืชเเพร่พันธุ์ด้วยเมล็ดของผลไม้ที่กินลงไป ซึ่งมีความสำคัญต่อป่าฝนมาก



Image

4) ทากนินจา
เจ้า สัตว์ชนิดใหม่นี้มีหางที่ยาวกว่าหัวถึง 3เท่า พวกมันถูกพบในภูเขาสูงของประเทศมาเลเซียฝั่งเบอร์เนียวในเดือนเมษายน เจ้าทากนินจานี้ยิงคู่ของมันด้วย “ศรเเห่งความรัก” ที่ทำจากเเคลเซียม คาร์บอเนตที่เคลือบด้วยฮอร์โมน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเจ้าทากนินจาพวกนี้จะเพิ่มความสำเร็จในการผสมพันธุ์ ในภายภาคหน้า



Image

5) ลิงนักจาม
ลิง นักจามเป็นลิงสายพันธุ์ใหม่ของพม่า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่า พวกมันจะจามมากในฤดูฝน เเต่ปัญหาเรื่องจามของพวกมันนี้อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อยของมันเพราะลิงเจ้า ของรูปภาพนี้ถูกฆ่าโดยนักล่าท้องถิ่นเเละถูกจับทำกับข้าวในเวลาต่อมา



Image

6) ปลาซักเกอร์ต้นไม้
เจ้า ปลาซักเกอร์ที่กินต้นไม้เป็นอาหารนี้ถูกพบในป่าอะเมซอนเเถวๆเเม่น้ำ ซานจา อนา ในเปรู เมื่อปี 2006 ในเดือนกันยายน เจ้าปลาเเปลกพวกนี้ใช้ฟันที่โดดเด่นกัดกินเยื่อไม้ ปลาซักเกอร์ต้นไม้นี้เป็นหนึ่งใน 12สายพันธุ์ที่กินต้นไม้



Image

7) คางคกซิมพ์สัน
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 3สายพันธุ์ใหม่ ในโคลัมเบียตะวันตกในเดือนกันยายน เจ้าคางคกซิมพ์สันนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น



Image

8) กิ้งก่าก๊อปปี้ตัวเอง
อาหาร อันยอดนิยมของคนเวียดนามได้กลายเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์ยัง ไม่รู้จัก กิ้งก่าก๊ปปี้ตัวเองถูกค้นพบในพฤศจิกายน เเละได้รับชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Leiolepis ngovantrii เจ้ากิ้งก่าพวกนี้เป็นตวเมียทั้งหมดซึ่งพวกมันขยายพันธุ์โดยการโคลนนิ่งตัว เองโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของตัวผู้



Image

9) หนอนหมึก
พวก มันเป็นหนอน หรือหมึก?? เจ้าสัตว์พันธุ์ใหม่นี้มี “ไม้พาย” สำหรับการว่ายน้ำเเละหนวดที่หัว พวกมันถูกพบในเดือนพฤศจิกายน ตอนเเรก นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่าจะเรียกพวกมันว่าอะไรดี พวกเขาจึงเอาง่ายเข้าว่าเเละเรียกเจ้าสัตว์ชนิดใหม่นี้ว่า หนอนหมึก หนอนหมึกอาศัยอยู่ใน Celebes Sea ในส่วนที่ที่ลึกประมาณ 2.8กิโลเมตร เจ้าหนอนหมึกพวกนี้ได้กลายเป็นสัตว์ชนิดใหม่ในสัตว์ตระกูลหนอนปล้อง



Image

10) ปลามือสีชมพู
ปลา มือสีชมพูถูกค้นพบที่พื้นทะเลรอบเมือง โฮบาร์ท ในเกาะเทสเมเนียของประเทศออสเตรเลีย ปลามือสีชมพูใช้ครีบเพื่อเดินมากกว่าว่ายน้ำ พวกมันยาวประมาณ 10เซนติเมตร

ปล. ถ้าเกิดมีกระทู้ตั้งก่อนเเล้ว ก็ขออภัย อย่างเเรง ! !




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2554   
Last Update : 14 สิงหาคม 2554 20:07:43 น.   
Counter : 1369 Pageviews.  

ทำไมต้องไปซื้อทองที่เยาวราช

ถ้าผ่านไปแถวร้านขายทองย่านเยาวราชในวันหยุด โดยเฉพาะช่วงปีใหม่และตรุษจีน จะเห็นลูกค้าเข้าไปอุดหนุนกันแน่นแทบทุกร้านไป ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่น่าเป็นเพียงอุปาทานหรือความเชื่อที่ฝังหัวกันมานาน แต่น่าจะมีคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่ง "ซองคำถาม" ได้คำตอบสำหรับเรื่องนี้แล้วจากหนังสือ เสน่ห์เมืองจิ๋ว ทำเลมังกรทอง โดย ประวิทย์ พันธุ์วิโรจน์ ผู้อำนวยการเขตสัมพันธวงศ์

หัวใจของทองรูปพรรณในเยาวราชอยู่ที่ตัวเลขค่าความบริสุทธิ์ที่ ๙๖.๕% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งเยาวราช ได้รับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพโดยสมาคมค้าทองคำ ซึ่งร้านค้าทองในเยาวราชส่วนใหญ่เป็นสมาชิกอยู่

บางคนอาจรู้มาว่า ทองคำบริสุทธิ์ คือทอง ๙๙.๙๙% แล้วทองเยาวราชมีค่าความบริสุทธิ์ ๙๖.๕% ทำไมจึงถือเป็นทองที่ดีมีมาตรฐาน ? คำตอบก็คือ ทอง ๙๙.๙๙% นั้นมีความอ่อนตัว ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นทองรูปพรรณ เพราะจะขาดหรือบิดงอเสียรูปได้ง่าย ตลาดซื้อขายทองคำ ๙๙.๙๙% จึงมักเป็นเหรียญหรือทองคำแท่ง ดังนั้นช่างทองในเยาวราชจึงนำทองคำบริสุทธิ์มาผสมโลหะอื่น เช่น เงิน หรือทองเหลือง ตามสูตรของแต่ละร้าน จนได้ค่าของทองคงที่ที่ ๙๖.๕% ไม่ขาดไม่เกิน ซึ่งมีความแข็งแกร่งในเนื้อทองที่เพียงพอ และสามารถรักษาสีสันและความวาววับของทองคำบริสุทธิ์ไว้ได้ ความลับข้อนี้นี่เองที่ทองเยาวราชเป็นที่นิยมของผู้ซื้อ

นอกจากนี้ การผลิตทองรูปพรรณนั้นต้องมีส่วนประกอบสองส่วน คือทองคำที่เป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งใช้ทอง ๙๖.๕% และทองประสานหรือเนื้อทองที่ใช้ต่อเชื่อมซึ่งมีค่าความบริสุทธิ์ที่ ๗๐-๘๕% แล้วแต่ลักษณะงาน ความชำนาญของช่าง และเจตนาของร้านทองแต่ละร้าน บางร้านที่ต้องการกำไรมาก ๆ ก็จะใช้ทองประสานที่มีความบริสุทธิ์ต่ำ แต่ทองเยาวราชมีความพิเศษที่ฝีมือของช่างที่ใช้ทองประสานให้น้อยที่สุด เพื่อให้ค่าความบริสุทธิ์ของชิ้นงานเบี่ยงเบนจาก ๙๖.๕% น้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ ทองรูปพรรณของร้านทองชั้นนำในเยาวราช จึงมีค่ากำเหน็จที่สูงกว่าร้านทองทั่วไปเล็กน้อย และมักไม่ค่อยยอมลดค่ากำเหน็จให้แก่ลูกค้า

ร้านทองเยาวราชแต่ละร้านจะมีระบบตรวจสอบคุณภาพ (Q.C. - quality control) ที่เคร่งครัด ทองที่ผ่านการ Q.C. แล้วทางร้านจะตอกรอยสัญลักษณ์ของร้านไว้ ซึ่งเป็นตราที่เป็นที่ยอมรับของบรรดาร้านทองด้วยกัน เป็นการรับรองมาตรฐานและประกันราคารับซื้อคืนไปในตัว ว่ากันว่าทองจากเยาวราช เมื่อนำไปขายคืนที่ไหนก็ได้ราคา

หลักประกันข้อหนึ่งสำหรับลูกค้าร้านทองในเยาวราชก็คือ แต่ละร้านต่างแข่งขันกันในเรื่องคุณภาพเพื่อดึงลูกค้า เพราะ ตระหนักว่า ชื่อเสียงที่สั่งสมกันมานานนี้ต้องรักษาไว้อย่างสุดชีวิต ด้วยเหตุนี้ความพิเศษของทองเยาวราชจึงไม่ใช่ความเชื่อที่ยึดถือกันอย่าง เลื่อนลอย ทองคำจากร้านทองเยาวราชนั้น...ของเขาดีจริง ๆ

ถ้าต้องการคำอธิบายที่ละเอียดกว่านี้ โปรดอ่านจากหนังสือเล่มดังกล่าว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ๑๐๘ ซองคำถาม

ภาพจาก : Photos.com




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2554   
Last Update : 13 สิงหาคม 2554 18:07:26 น.   
Counter : 1932 Pageviews.  

Classic Coca Cola




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2554   
Last Update : 13 สิงหาคม 2554 18:04:17 น.   
Counter : 996 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]