Tron Legacy - ผู้สร้าง =
ผู้ทำลาย ?
เป็นเรื่องยากสำหรับวงการฮอลลีวู้ด
ที่จะหาหนังสักเรื่องที่บทและองค์ประกอบอื่นสมดุลกัน Tron Legacy ไม่ใช่หนึ่งในนั้น
Tron Legacy หนังแอคชั่นไซไฟล้ำยุคที่น่าจับตามองของปี 2010 เนื้อหาก็ต่อยอดมาจาก
Tron ภาคแรกเมื่อปี 1982 คำนิยามสั้น
ๆ ของเนื้อเรื่องก็คือ ลูกตามหาพ่อที่หายไปในโลกของคอมพิวเตอร์
โดยทั่วไปแล้วหน้าหนังอย่าง Tron
Legacy ควรจะดึงดูดสายตาผู้ชมทั้งชายหญิง
เด็กและผู้ใหญ่ แต่ในสายตาผมแล้วมันเป็นอะไรที่ยังไม่ โดน มากสักเท่าไหร่
และผมแปลกใจมากขึ้นเมื่อพบว่าเพื่อนหลายคนของผมก็พูดคำเดียวกันว่า ยังไม่โดน
ถึงแม้ว่าตัวอย่างจะเป็นอย่างไรก็ตาม
แต่ใจมันรักซะอย่าง อะไรก็ห้ามไม่ได้ สองสิ่งที่ต้องยอมรับว่าเป็นข้อดีของ Tron
Legacy คือ ภาพและเสียง
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจประการใด เพราะภาพและเสียงถือเป็นจุดขายของหนังตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าฉายเลยด้วยซ้ำ
ยิ่งถ้าคุณเคยดู Tron
ภาคแรกมาก่อนแล้วความตื่นตาตื่นใจจะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว
ภาพและเอฟเฟคของ Tron ภาคแรกถือว่าเป็นการปฏิวัติย่อม
ๆ ของภาพยนตร์ได้เลย เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่ใช้ CGI ร่วมกับคนแสดงจริง สำหรับ Tron Legacy นิยามของภาพและเอฟเฟคของเรื่องนี้คือ
ล้ำอนาคต หนังเล่นกับแสงสีและเงาได้ดีจนน่าประทับใจ
จนดูหนังจบผมอยากจะได้รถในหนังมาใช้สักคันสองคัน
หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ดูเป็นไปได้ยากในโลกปัจจุบัน
แต่เสื้อฮูดก็สวยงามและยังพอเป็นได้ คิดแล้วอยากได้จริง ๆ เลย
นึกเพ้อเจ้ออยู่ในหัวว่า อีกไม่นานไม่แน่
เราอาจจะได้เห็นรถหรือเสื้อผ้าที่เล่นแสงสีอย่างในหนังก็เป็นได้ (ได้อ่านผ่าน ๆ มาว่า
การออกแบบในหนังส่งผลต่อวงการแฟชั่นพอสมควร)
ผมไม่ใช่แฟนเพลงแนว Electronic สักเท่าไหร่ ยกเว้นจะเป็นเพลงฮิตติดชาร์ต แต่ถึงกระนั้น Daft
Punk
คุณได้แฟนเพลงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย
อย่างที่กล่าวไว้ว่าหนังประเคนโปรโมทงานเรื่องภาพและเสียงมาตั้งแต่ก่อนฉาย
ก็เพราะอัลบั้ม OST ของ Tron ติดชาร์ท iTunes มาตั้งแต่ก่อนหนังฉาย
และถ้าจำไม่ผิด ติดอันดับหนึ่งอยู่หลายวันเลย (เห็นกับตา)
แทรคหลายแทรคในหนังเล่นกับอารมณ์ Epic ได้เยี่ยม
จนบ้างเพลงดู Epic เกินไป อีกทั้งเสียงประกอบต่าง ๆ
ที่กระหึ่มมาก ๆ จนเก้าอี้สั่น โดยรวมแล้ว เพลงประกอบและเสียงเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดในเรื่อง
ด้วยทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ ดิสนีย์พิถีพิถันมากกับรายละเอียดด้านภาพ
ซึ่งต้องยอมรับว่าน่าประทับใจ แต่ถ้าเจียดทุนสร้างไปลงกับ บท
สักหน่อยคงจะน่าประทับใจมากกว่านี้
เมื่อปลายปีที่แล้วหนังที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลอย่าง
Avatar ถูกนักดูหนังและนักวิจารณ์บางส่วนสับเละเรื่องบทที่ว่าเดิม ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่
หรือแม้กระทั่ง เหมือน Pocahontas แต่สำหรับผมแล้ว Tron Legacy สมควรถูกสับมากกว่า
Avatar ในขั้น เกือบแย่
เกือบแย่
หมายถึง ไม่แย่ซะทีเดียว ถึงแม้ความสมเหตุสมผลจะขาดๆหายๆ
การขาดความต่อเนื่อง และฉากแอคชั่นที่น้อยเกินไปนิด แต่หนังที่ยังมีส่วนอื่นที่กลบ
ความไม่สมบูรณ์แบบ นี้ แน่นอนว่ามันคือ ภาพและเสียง น่าแปลกใจจริง ๆ
ที่คนเขียนบทใช้ประเด็น ความไม่สมบูรณ์แบบ ในเนื้อเรื่อง แต่ไม่ได้ห่วงเลยว่า
ความไม่สมบูรณ์แบบ มากมายโผล่ขึ้นมาในบทภาพยนตร์
ถึงแม้การต่อสู้ของ User และ Program จะเนื้อเรื่องหลักของหนัง
แต่เนื้อเรื่องหลักอีกอันหนึ่งที่ถูก ความล้ำ กลบมิดจนเกือบจะลืมไป
ถ้าไม่มีย้อนความหลังกันท้ายเรื่องคือ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ทั้ง ๆ
ที่ผู้กำกับ Joseph Kosinski บอกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกคือเนื้อเรื่องหลักก็ตาม
Flynns คนพ่อแสดงโดย
Jeff Bridges ดารานำชายออสการ์ปีล่าสุด และ Flynns คนลูก Gerrett Hedlund ดาราหนุ่มหน้าใหม่ที่หลายคนไม่เคยพบพานมาก่อน
มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยคนลูกแสดงถึงความกล้าที่จะต่อสู้
ตั้งแต่ต้น ๆ เรื่องจนถึงท้ายเรื่อง ถึงแม้ไม่รู้เลยว่าจะต้องไปเจออะไรข้างหน้า
ในขณะที่คนพ่อแสดงถึงความกลัวไม่กล้าที่จะต่อสู้ ยอมหดขาอยู่ในที่กลบดาน
ซึ่งสุดท้ายแล้วความกล้าเท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่ง
การแสดงของ Jeff Bridges ไม่มีอะไรน่าห่วง ดูกี่เรื่องก็อินทุกเรื่อง
แต่ผิดคาดเล็กน้อยที่เรื่องนี้บทไม่ส่ง ทำให้ลุง Jeff ดูเป็นตาแก่ขี้กลัว ในขณะการแสดงของคนลูก
ต้องยอมรับว่าฉากแอคชั่นที่ทำออกมาได้ดีสุด ๆ (แต้น้อยไปนิด)
ไม่ว่าเป็นฉากสงครามดิกส์ หรือ ฉากมอเตอร์ไซค์แสง ทำให้ Gerrett Hedlund ดูเท่ได้ใจจริงๆ อีกทั้งยังเข้าคู่สุด ๆ กับสาว Olivia Wilde (Quorra) สาวสวยจากซีรี่ย์
House ที่ในเรื่องนี้เซ็กซี่กว่าเดิมหลายเท่า
สรุปข้อดีของหนัง (และเพิ่มเติม)
- ภาพที่ล้ำอนาคตจนไม่อยากกระพริบตา
- เพลงประกอบของ Daft Punk ที่ทำออกมาได้เยี่ยมจนต้องหามาฟังซ้ำ โดยเฉพาะ Track ชื่อ The Game Has Changed
- ฉากแอคชั่นที่ทำได้ออกมาได้แจ่ม
- แฟลชแบคสั้น ๆ ตอนจบสร้างอารมณ์ร่วมได้
- Olivia ที่สวยสุดๆ
- C.L.U. ทำได้เนียนจนไม่รู้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์
- Jeff Bridges ที่เท่มากในฉากคลับ End Of Line
สรุปข้อเสียของหนัง (และเพิ่มเติม)
- บทที่ไม่น่าจดจำ
- ตัวละครของ Jeff Bridges ที่ไม่ค่อยโดดเด่น
- ตัวละคร Tron ที่บอกที่มาเพียงน้อยนิด
ทำให้คนดูบางคนอาจงงว่าเขาคือใครมาจากไหน
- ฉากแอคชั่นที่อัดแน่นช่วงกลางเรื่อง และน้อยนิดในช่วงหลัง
- 3D ที่ดีเฉพาะฉากแอคชั่น ซึ่งมีน้อยมาก ในขณะที่ฉากอื่น ๆ แทบจะเป็น 2D ได้เลย เพราะฉะนั้น Digital 2D ก็พอ
ถึงแม้ว่า Tron Legacy จะมีบทที่ไมค่อยโอเค แต่ภาพ แสง สี เสียงนั้นกินขาดสุด ๆ
ถ้าไม่คิดมากอะไรเรื่อง ดูหนังเอาความบันเทิงละก็ Tron Legacy ถือเป็นความคุ้มค่าที่น่าลอง
7 เต็ม 10
ปล. ลงบลอคครั้งแรก อยากบอกว่า Text Editor ใช้ยากมาก
แต่ดูได้
ไม่รู้อธิบายยังไงฮ่าๆๆ
แต่ล้ำหน้า นางเอกสวยแจ่ม อย่างที่คุณบอกจริงๆ