อย่าตัดสินหนังสือจากปก จงเปิดอ่านดูด้านในก่อน

บ่อคลึง - เก้าโจน - แก่งส้มแมว - ห้วยคอกหมู

โครงการทีแรกว่าจะไปเที่ยวทะเล แต่พอถามเพื่อนสมาชิกที่บ้านแล้ว ปรากฏว่าไม่อยากไปทะเลซะงั้น
อยากจะเที่ยวป่าเที่ยวเขา (ไอ้กระผมล่ะเบื่อ ตัวผมเกิดมาก็อยู่กับป่ามาตลอด)
ก็เลย เอ้า อยากไปไหนก็ไป หาข้อมูลมาละกัน อย่าไกลมากล่ะ
ในที่สุดก็มาลงตัวแผนท่องเที่ยวตอนตีหนึ่งครึ่งคืนวันเสาร์
เป้าหมายคือ สวนผึ้ง ราชบุรี ที่ที่ในคณะผมยังไม่มีใครเคยไปกันสักคน
โดยหาข้อมูลจากในเน็ตแล้ววางโปรแกรมว่าจะไปเช้ากลับเย็น
1. ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ต่อด้วย
2. น้ำตกเก้าโจน แล้วไปต่อที่
3. แกงส้มแมว เอ้ย แก่งส้มแมว แล้วไปต่อที่
4. จุดชมวิวห้วยคอกหมู จากนั้นแวะ
5. ภโวทัย

เอาล่ะ 7.30 น. วันอาทิตย์เริ่มออกเดินทางจากมีนบุรี มุ่งหน้าสวนผึ้ง
โดยการตั้งโปรแกรมให้ GPS นำทางไป พร้อมปริ้นท์แผนที่คร่าวๆไปแผ่นนึง

เจอม๊อบ

ตอนเช้าก่อนหลุดจากกรุงเทพฯก็เจออุปสรรคซะแล้ว คือ ผมกะว่าจะไปขึ้นสะพานพระราม 8 แต่ก็ขึ้นไม่ถูกเนื่องจากไปเจอม๊อบ (ทางอื่นผมก็ไม่เคยไป)
ก็เลยต้องขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าแทน

เจอ Jazz ไล่

ผมก็ขับไปเรื่อยๆความเร็วประมาณ 120 แต่ไปถึงช่วงนึงก่อนที่จะเข้าเพชรเกษมสักไม่กี่กม.
ผมก็ขับอยู่เลนขวา แซงชาวบ้านเขาไปเรื่อยๆ แต่พอเหลือบมองกระจกหลังก็เห็นว่ามี่ Jazz ป้ายแดงอยู่คันนึงมาอย่างไวเลย มาจ่อตูดแล้ว
อ่ะ ผมจะเข้าซ้ายให้ก็ไม่ได้ รถเลนซ้ายวิ่งช้า ก็เลยเหยียบหนีไปเรื่อยๆ
ประมาณ 160 ได้มั้ง พอมีช่องว่างทางซ้าย ผมก็หลบให้ ปรากฏว่าพวกไม่ยอมแซง เข้าซ้ายตาม

ไอ้นี่ จะเล่นนี่หว่า ผมก็เลยเข้าขวาเหยียบนีไปอีก พวกก็ตามมา
แป้บนึงเท่านั้น ผมเห็นข้างหน้าไกลๆ รถเบรคกันมากคาดว่าจะเกิดอุบัติเหตุ
ผมก็ยังไม่เบรค ไอ้เจ้า Jazz ก็ยังไม่รู้ตัวว่าจะโดนผมแกล้ง พอใกล้ๆคันหน้าผมกะระยะว่าเบรคแล้วไม่ชนแน่
ผมก็กดเบรคหัวทิ่มหัวตำเลยครับ
เหอๆ ไอ้เจ้า Jazz ก็เบรคตัวโก่งเหมือนกัน เสียงเอี๊ยดดังลั่น ไม่รู้เบรค Jazz หรือเบรครถผม แต่ไม่ชน เกือบไป กะว่าจะเปลี่ยนกันชนหลังใหม่ซะหน่อยอดเลย
Razz
สรุปแล้วตรงนั้นมีอุบัติเหตุจริงๆ รถกระบะชนมอเตอร์ไซค์ กระเด็นจากหน้ารถไปประมาณ 10 เมตร รอยเบรคของกระบะยาวประมาณ 4-5 เมตร
หลังจากนั้น Jazz มันไม่เข้ามาใกล้ผมเลย Razz


ธารน้ำร้อนบ่อคลึง
ผมก็ขับไปเรื่อยๆ 195 กม. ก็ถึงธารน้ำร้อนบ่อคลึง ซึ่งเป็นที่ของชาวบ้าน(มั้ง)
เพราะเก็บค่าเข้าดูคนละ 5 บาท
แต่หากจะลงอาบน้ำก็คนละ 30-50 บาท แล้วแต่ความหรู
ซึ่งภายในก็จะมีบ่อน้ำอุ่นอยู่ 2 บ่อ เป็นบ่อดิน กับบ่อปูน บ่อดินก็ถูกหน่อย
บ่อปูนก็แพงหน่อย
แล้วก็จะมีบริการร้านอาหาร ของฝาก นวดตัว ฯลฯ แล้วแต่ชอบ

น้ำในบ่อลองเอาเท้าจุ่มๆดูแล้ว แค่อุ่นๆ

ผมเดินดูรอบๆ เห็นป้ายบอกว่าเดินขึ้นเนินเขาไป 150 เมตรจะเป็นต้นน้ำร้อน
เอาล่ะไหนๆก็มาถึงแล้วขอเดินขึ้นไปดูซะหน่อย เดินขึ้นไปได้เหงื่ออยู่เหมือนกัน
เพราะทั้งอากาศร้อนและเหนื่อยด้วย
พักเดียวก็ถึงจุดที่เป็นต้นน้ำ เป็นน้ำที่ผุดมาจากใต้ดินใต้หิน ไม่เยอะมากแต่มีออกมาตลอด



ขอบอกว่าน้ำตรงนี้ร้อนมาก เอามือแตะได้ไม่เกิน 2 วินาที ต้มไข่น่าจะสุก
สำนวน "น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย" คงหลอกแน่ๆเลย ฮ่าๆ เพราะไม่เห็นมีปลาซักตัว
สรุปสำหรับที่นี่ผมและคณะไม่ได้ลงเล่นน้ำ ได้แค่เดินดูรอบๆ และอุดหนุนสินค้าท้องถิ่นเท่านั้น
ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าไม่เคยเห็น

น้ำตกเก้าโจน
"ขนาดโจรเดียวก็ยังแย่แล้ว นี่ตั้งเก้าโจรทำไงล่ะเนี่ย" คำพูดติดตลกของผู้ร่วมเดินทาง คนละโจรกันล่ะจ้า อันนี้เขาใช้ "โจน" เหอๆ สงสัยคนไม่ค่อยไปเที่ยวกันก็เพราะชื่อนี่แหล่ะ เขาเลยเปลี่ยนชื่อเป็น"น้ำตกเก้าชั้น"

ระยะทางห่างจากธารน้ำร้อนเพียง 1 กม.โดยประมาณเท่านั้น เปิดแอร์ยังไม่ทันเย็นเลย
จอดรถเสียค่าคุ้มครองไป 20 บาท แล้วก็เดินต่อไปยังน้ำตกอีกประมาณ 1/2 กม.
ขอเตือนว่าถ้าใครไปเที่ยว พอเดินไปเจอสะพานแขวน ให้ข้ามไปอีกฝั่งนึงของสะพานนะ
เพราะว่าผมไม่ได้ข้ามไป ฝั่งที่ผมไปหาที่ปูเสื่อนั่งยากมากเลย ร่มไม้ก็ไม่ค่อยมี ที่ราบก็ไม่ค่อยมี
กว่าจะหาที่นั่งได้ก็เดินไปลึกมาก แต่ก็ยังอยู่ในชั้นที่ 1-2 นี่แหล่ะ
ถ้าใครอยากเดินให้ครบทั้ง 9 ชั้น ต้องใช้เวลาเดินขึ้น 2.30 ชม. ใช้เวลาเดินลง 45 นาที

ก่อนไปผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่เป็นคนจอมบึงว่า น้ำจะเยอะ อันตรายนะหน้าฝนเนี่ย เขาไม่เที่ยวกันหรอก

แต่ของจริงที่ผมไปเห็น น้ำน้อยมากๆ ไม่ถึงหัวเข่า น้ำก็แดง ไม่ใช่แดงน้ำป่านะ แดงตะกอน
แต่อย่างน้อยน้ำก็เย็นแหล่ะ พอให้ไอ้เจ้าหลานตัวเล็กลงไปเล่นได้
พอพักกินข้าวเที่ยงที่เตรียมไปจนอิ่มเรียบร้อย และนั่งคุยกันอยู่พักนึง ก็เก็บเสื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไป


แก่งส้มแมว
เมื่อออกจากน้ำตกแล้วก็มุ่งหน้าสู่แก่งส้มแมว ที่เขาบอกว่าสวย มีสัตว์ป่า และพืชพรรณมากมาย
รู้สึกว่าเขาจะมีชื่อเป็นทางการว่า สวนป่าสิริกิตติ์

ขับรถออกจากน้ำตกไปประมาณ 20 กม.เห็นจะได้ โดยระหว่างทางก็มีวิวสวยๆให้ดู
และจะผ่านหมู่บ้านอะไรสักอย่าง สวยงามมาก บรรยากาศเหมือนเมืองนอกเลยครับ
มีกังหันลม โซล่าเซลล์ ลำธาร เลี้ยงแพะ ฯลฯ น่าอยู่ๆ

ตลอดทางเป็นลาดยางอย่างดี ส่วนช่วงจากถนนเข้าแก่งจะเป็นทางคอนกรีต
พอเข้าไปถึง จอดรถก็โดนเรียกค่าคุ้มครองอีก 20 บาท

แล้วก็เดินหอบเสื่อไปหาที่นั่งกินอาหารว่างกันต่อ โดยที่นี่จัดไว้ค่อนข้างสวยงาม
ทางเดินก็เดินสะดวก ร่มรื่น กลิ่นหอมของดอกจำปี(ทีแรกผมมองหาต้นยังไงก็ไม่เจอ แหงนหน้ามองข้างบน ปรากฏว่าต้นสูงมาก ผมนึกว่าจำปีจะต้นไม่สูง)




ที่นี่มีนกยูงที่เขาปล่อยไว้ให้เดินอยู่หลายตัว มีตัวสีขาวล้วนด้วย เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหล่ะ


พอได้ที่นั่ง และซัดส้มตำ เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงน้ำ ซึ่งน้ำใสมาก มีปลา

ด้วย ถ้ายืนเฉยๆปลาจะมาตอดขาจั๊กจี้ดี น้ำไม่เย็นจัดนัก กำลังสบายๆ
ดีกว่าน้ำที่น้ำตกซึ่งส่วนใหญ่จะเย็นเจี๊ยบ

น้ำที่นี่ไม่ลึก เต็มที่ประมาณแค่หน้าอก แต่ด้านล่างก็มีก้อนหินเยอะเหมือนกันนะ แต่ก็เห็นมีเด็กหลายคนโดดน้ำกันตูมๆ ไม่กลัวหัวแตกเลยรึไง??

หลังจากเล่นน้ำกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับ
ทางกลับก็จะผ่านป้ายที่เขียนว่า จุดชมวิวห้วยคอกหมู
ห้วยคอกหมู
ผมก็เลยถามสมาชิกว่าจะไปดูกันมั้ย ยังไม่มืด ยังพอมีเวลา ตกลงทุกคนอยากไป งั้นโอเค ลุย


ทางเข้าเป็นทางลูกรังล่ะครับ ไม่มีรถขับตามมาซักคัน เฮ้ย หลงป่าวฟะ
แต่พอไปถึงจุดนึงน่าจะประมาณ 4 กม. จะมีบ้านอยู่หลังนึงริมถนน เปิดเป็นร้านค้า ตรงนี้จะมีรถสวนออกมา 3 คันเป็น Civic และ กระบะ 4x4 อีก 2 คัน
คนที่ร้านก็มองรถผม ผมก็ชะลอดู คิดในใจว่า ไอ้พวกรถ 3 คันนั่นมันขึ้นไปแล้วเพิ่งลงมา หรือว่ามันเปลี่ยนใจกลับบ้านฟะ
เอ้า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดินหน้าต่อไป
พอพ้นหัวโค้งเท่านั้นแหล่ะครับ ทางชันขึ้นเขาเลยครับ ผมก็เบรคเลยครับ
เอาไงดีว้า เขาก็ไม่เคยขึ้น แถมเป็นลูกรังอีกตะหาก
สมาชิกในรถก็มีทั้งอยากให้ขึ้นกับกลัวไม่อยากให้ขึ้น
แต่สรุปแล้วผมก็ตัดสินใจ ขึ้นก็ขึ้นฟะ
ก็เลยขับขึ้นเป็นเรื่อยๆ มีตื่นเต้นบ้างบางช่วง มีรถสวนลงมามั่ง ล้อฟรีมั่ง

รอบขึ้นสูงมั่ง รถไถลมั่ง ฯลฯ

ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงห้วยคอกหมู ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของ ตชด.
ต้องเดินจากจุดจอดรถไปอีก 100 เมตร ซึ่งผ่านบ้านพักของ ตชด. พี่แกกำลังสับหมูทำอาหารเย็นอยู่

เมื่อเดินไปถึงจุดชมวิว ความเหนื่อยเมื่อสักครู่ก็หมดไป เพราะวิวสวยมาก

เห็นเทือกเขาทั้งฝั่งไทยและฝั่งพม่า อากาศก็เย็น สูงระดับเดียวกับเมฆเลยโดนละอองเมฆเย็นฉ่ำ

อากาศก็ดีมากๆ คุ้มค่าครับ

แต่ก็อยู่กันไม่นาน เพราะว่าจะมืดแล้วครับ ฝนก็ทำท่าจะตก ต้องรีบลง ไม่งั้นได้ลื่นแน่ๆ
ตอนขาลงนี่สงสารรถมากเลยครับ มันดังสนั่นหวั่นไหวเลย แต่ผมพยายามไม่

ใช้เบรคกลัวเบรคไหม้ คลัชก็ไม่ค่อยใช้ กลัวคลัชไหม้

กว่าจะลงมาถึงข้างล่าง ล่อซะเหงื่อแตกเลย ขนาดว่าเปิดแอร์นะเนี่ย
ภโวทัยไม่แวะแล้วครับ (แวะไม่ได้เพราะมันมืดแล้ว)


แล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงครับ ก็พยายามไม่ขับเร็ว ขับชิดซ้ายเข้าไว้
ถึงกรุงเทพฯ 4 ทุ่มกว่า
เป็นอันจบทริป


Create Date : 13 สิงหาคม 2551
Last Update : 1 ธันวาคม 2556 23:07:55 น. 2 comments
Counter : 4737 Pageviews.  

 
รูปแรกน้ำใสดีจังคับ

ท่าทางอากาศจะเย็น


โดย: chalawanman วันที่: 13 สิงหาคม 2551 เวลา:21:39:30 น.  

 
แหม... เที่ยวซะเพลินเลย

บอกกบด้วยว่าขอบคุณที่ช่วยโทรมาปลุกแต่เช้า
พอไปถึงเมืองไทยก็คงตรงไปข้าวสารเลยเพราะไอ้ Jet lag
เอาไว้ตอนเย็นวันเสาร์หรือว่าวันอาทิตย์แล้วแต่พี่จะว่างไปกินข้าวด้วยกันนะ





โดย: แอม (schornstein ) วันที่: 15 สิงหาคม 2551 เวลา:2:35:36 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

จรวดทีม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add จรวดทีม's blog to your web]