All Blog
**Review** The Sun and Her Flowers - Rupi Kaur
The Sun and Her Flower (ในมือเธอมีดอกทานตะวัน)




 
Title : The Sun and Her Flower (ในมือเธอมีดอกทานตะวัน)
Author : Rupi Kaur
Genre : Poetry
Publish : October 3rd 2017

เรื่องย่อ (ปกหลัง) :


                จากนักเขียนขายดีอันดับหนึ่ง จากนิวยอร์ก ไทมส์ เรื่อง “Milk and Honey” รูปิ คอร์ ได้รวบรวมบทกวีชุดที่สอง เล่าถึงการเดินทางเกี่ยวการเติบโต การเยียวยา การยกย่องชาติกำเนิด การลี้ภัยออกนอกประเทศ และการลุกขึ้นเพื่อหาที่พักพิงภายในตัวเรา โดยหนังสือแบ่งออกเป็น 5 บท และวาดภาพประกอบโดยคอร์เอง
                The Sun and Her Flower เป็นการเดินทางของการเหี่ยวเฉา ร่วงโรย หยั่งราก เติบโต เบ่งบาน และเฉลิมฉลองให้แก่ความรักในทุกรูปแบบ

นี่คือสูตรของชีวิต
แม่ของฉันเอ่ย
ขณะกอดฉันที่กำลังร่ำไห้ไว้ในอ้อมแขน
นึกถึงเหล่าดอกไม้ที่ลูกปลูก
ในสวนแต่ละปี
มันจะสอนลูก
ผู้คนก็เหมือนกัน
ต้องเหี่ยวเฉา
ร่วงหล่น
หยั่งราก
เติบโต
เพื่อที่จะเบ่งบาน

 
----------------------------------------------------------------

รีวิว :
 
i could be anything
in the world
but i wanted to be his

 
                หนังสือเล่มนี้เป็นบทกลอนที่กล่าวถึงประเด็นหลักๆคือ ความรัก ความฝัน และเรื่องราวของผู้เขียนกับแม่
                ในส่วนของความรัก ผู้เขียนเริ่มต้นเล่าถึงความเสียใจจากความรักที่ไม่สมหวัง เธอคร่ำครวญ และเฝ้ารอว่าคนรักเก่าจะกลับมา จนเมื่อชั่วเวลาหนึ่งผ่านไป เธอก็เริ่มทำใจได้ พบความรักครั้งใหม่ และไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนรักเก่า
                ผู้เขียนยังกล่าวถึงคำสอนของแม่ การลี้ภัยมาอยู่ในประเทศที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งแม่ของเธอแทบจะไม่เข้าใจภาษาของถิ่นฐานใหม่เลย แต่ก็พยายามใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และแม่ของเธอถึงกับต้องเสียสละตัวเองเพื่อให้เธอได้ทำตามฝันกันเลยทีเดียว...

 
----------------------------------------------------------------

คำศัพท์ : ไม่ยากจ้า

ความรู้สึกหลังอ่าน : เราค่อนข้างตั้งความหวังกับหนังสือเล่มนี้มากเว่อ เพราะมีรางวัลการันตีอยู่ (Goodreads Choice Award for Poetry (2017)) แต่แล้วก็ผิดหวังจ้า สาเหตุก็เพราะ
                1. ถึงแม้ว่าหนังสือจะแบ่งเป็นบทๆ แล้วก็เถอะ แต่การเล่าเรื่องสะเปะสะปะไปหมด คือ เดี๋ยวก็พูดถึงความรัก แปบๆไปพูดถึงแม่ แล้วก็วนมาเรื่องรักอีก เหมือนนึกอะไรได้ก็เขียนงี้ อ่านแล้วก็ขัดใจ ที่จริงน่าจะแบ่งเป็นเรื่องๆไปเลย ตอนอ่านจะได้ไม่เสียอรรถรส
                2. เราชอบกลอนเรื่องความรักบางบทนะ แต่อ่านๆไปก็ออกแนวค่ำครวญ เพ้อเจ้อ เวิ่นเว้อ -*- ก็เข้าใจอารมณ์นะว่า เออ กำลังอกหัก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำตัวบ้าบอ แต่สำหรับเรา เราว่ามันเยอะไปหน่อย
                3. บางบท เราว่ามันค่อนข้าง Personal อ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าต้องการสื่อถึงอะไร หรือถ้าไม่มีรูปภาพประกอบก็จะงงเลยว่าอ่านอะไรอยู่ฟระ! เช่น เรื่องเซ็กส์ คือมันไม่ชัดเจนแบบกลอนโล้สำเภาบ้านเรา เป็นต้น

คะแนน : 2.5/5 เราอาจจะไม่เหมาะกับหนังสือแนวนี้ล่ะมั้ง (เป็นคนไม่มีอารมณ์สุนทรี 5555+)

 



Create Date : 28 เมษายน 2562
Last Update : 28 เมษายน 2562 0:54:24 น.
Counter : 3191 Pageviews.

1 comment
**Review** Hold Still - Nina LaCour




Hold Still
by Nina LaCour





Title : Hold Still
Author: Nina LaCour
Genre : YA / Contemporary / Mental Illness
Published : September 25th, 2009

เรื่องย่อ :

ฉันเป็นเด็กสาวที่พร้อมจะระเบิดกลายเป็นความว่างเปล่า

คืนนั้น อินกริดบอกเคธลินว่า "ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน ฉันก็จะไปกับเธอ" แต่พอรุ่งเช้า อินกริดกลับจากไป และทิ้งเคธลินไว้เพียงลำพัง 
เธอต้องใช้ชีวิตที่แทบไม่คุ้นเคยต่อไป ไม่มีศิลปะ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีดนตรี และไม่มีความสุขที่เธออยากแบ่งปันกับเพื่อนสนิท 

แต่เมื่อเคธลินเจอไดอารี่ของอินกริด เธอได้รับโอกาสที่จะเรียนรู้อีกด้านซึ่งเธอไม่เคยรู้ของเพื่อนสนิท  
และไดอารี่นี้ยังเป็นเครื่องนำทางให้เคธลินสำหรับการสร้างมิตรภาพครั้งใหม่ การตามหารักแรก 
และการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากคนที่รู้จักเธอมากกว่าใครๆ...


------------------------------------------------------------------------------------------------------


รีวิว + สปอยล์ :

เคธลินช็อคจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อทราบข่าวว่า อินกริด เพื่อนสนิทของเธอฆ่าตัวตาย ทั้งที่เมื่อคืน อินกริดเพิ่งสัญญากับเธอเองว่าจะอยู่ด้วยกัน 
และตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของเคธลินก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

เคธลินเอาแต่จมอยู่กับความเศร้า ขณะเดียวกันก็เริ่มทิ้งระยะห่างกับเพื่อนที่โรงเรียน 
เธอเบื่อที่จะฟังคำพูดแสดงความเห็นใจ เพราะเธอคิดว่าไม่มีใครเข้าใจเธอจริงๆหรอก 
จนกระทั่งวันที่เคธลินได้เจอกับดีแลน เด็กสาวที่เพิ่งย้ายมาพร้อมกับข่าวลือมากมาย 
เธอรู้สึกถูกชะตากับนักเรียนใหม่คนนี้อย่างบอกไม่ถูก และกว่าจะรู้ตัว มิตรภาพครั้งใหม่ก็เริ่มเบ่งบานขึ้นแล้ว

วันหนึ่ง เคธลินบังเอิญเจอไดอารี่ของอินกริดซ่อนอยู่ใต้เตียงนอน เธอรู้สึกกลัวที่จะอ่านมัน 
แต่อีกใจก็อยากรู้เหลือเกินว่า ทำไมอินกริดถึงตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง บางทีในไดอารี่อาจจะมีจดหมายลาตายของอินกริดก็ได้...

ตัวตนที่บิดเบี้ยวของอินกริดถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรในแต่ละหน้า เคธลินรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่เคยมองเห็นความเจ็บปวดของเพื่อนสนิทเลย
 และนั่นทำให้เธอเริ่มกลัวการสร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เธอไม่อาจแบกรับความหนักอึ้งของคำว่า "เพื่อน" ได้อีก

เคธลินตัดสินใจไม่ไปกินข้าวกับดีแลน และเริ่มเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องน้ำของตึกเรียน 
ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเทเลอร์ เด็กหนุ่มที่เข้ามาถามเธอตรงๆเรื่องอินกริด ก็พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ 
เขาไม่เคยฉวยโอกาสในเวลาที่เคธลินอ่อนแอ ไม่เคยซักไซ้ เพียงแค่คอยอยู่ข้างๆตอนที่เคธลินต้องการ 

เคธลินสำนึกผิดที่ทำไม่ดีกับดีแลน เธอสารภาพเรื่องไดอารี่ และเหตุผลของการกระทำที่ผ่านมา 
และที่สำคัญ เธอไม่เคยเห็นดีแลนเป็นตัวแทนของอินกริดเลย 

อาจารย์วิชาถ่ายภาพเรียกเคธลินมาพบเรื่องการบ้าน พร้อมเอาภาพถ่ายของอินกริดให้เธอดู หนึ่งในนั้นเป็นภาพที่ชนะการประกวดซึ่งมีตัวเธอเป็นแบบ 
เคธลินไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ห้องนอนรกๆ มีนิตยสารกองเต็มพื้น และตัวเธอที่ผมยุ่งเหยิงจะทำให้อินกริดได้รับรางวัล 
และในวินาทีนั้น เธอตัดสินใจที่จะใช้ภาพถ่ายของอินกริดเป็นส่วนประกอบของโปรเจ็คท์สุดท้าย และตั้งชื่อมันว่า "Ghost"

ไดอารี่ดำเนินมาถึงหน้าสุดท้าย มันเป็นจดหมายลาอย่างที่เคธลินคาดไว้ 
อินกริดบอกให้เธอไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะมันเป็นสิ่งที่อินกริดตั้งใจไว้ จากนี้ก็ขอให้ใช้ชีวิตต่อไป และลืมอินกริดไปเสีย

มาจนถึงตอนนี้ เคธลินรู้ว่า ที่เธอข้ามผ่านความโศกเศร้านี้มาได้เป็นเพราะได้ไดอารี่ของอินกริดช่วยไว้ 
และเธอเองก็อยากใช้มันเพื่อปลดปล่อยคนอื่นๆที่รักอินกริดจากความทุกข์นี้ด้วยเช่นกัน 
เธอจึงนำไดอารี่ของอินกริดไปถ่ายเอกสาร แล้วค่อยๆส่งต่อข้อความที่อินกริดไม่มีโอกาสได้บอก...


------------------------------------------------------------------------------------------------------


การเล่าเรื่อง : เล่าในมุมมองของเคธลิน และมีหน้าไดอารี่แทรกตลอดเล่ม

คำศัพท์ : ง่ายจ้า Smiley

ความรู้สึกหลังอ่าน : คิดว่าเขียนออกมาได้ดีเลยนะ เพราะว่านิยายเกี่ยวกับพวก Mental Illness วัตถุประสงค์หลักๆคือ การที่ตัวละครสามารถจัดการกับตัวเอง ปล่อยวาง แล้วใช้ชีวิตต่อไปได้ ซึ่งเรื่องนี้มีครบจ้า *ปรบมือ*

เรื่องนี้ เราชอบความสัมพันธ์ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาระหว่างนางเอกกับเทเลอร์นะ ไม่ค่อยเจอพระเอกขี้อาย สุภาพบุรุษ ในนิยายฝรั่งเท่าไหร่ แปลกดี 55 
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เน้นความรักเลย เทเลอร์เลยออกมาน้อยมากกกก ไม่น่าจะถึง 50 หน้าเลยมั้ง =___=

ส่วนนางเอกกับดีแลน เราว่าแปลกๆ ดูเบี้ยนๆไงไม่รู้ 55 (นักเขียนคนนี้ชอบเขียนแนว LGBT) ส่วนอินกริด ตัวต้นเหตุของเรื่องนี้ เราว่านางป่วย 
ทั้งทำร้ายร่างกายตัวเอง แล้วยังไปนอนกับเด็กในโรงเรียนที่แทบไม่รู้จักอีก 
มีตอนนึงบอกว่า นางเคยไปรักษาตัว แต่ก็ไม่หาย เราคิดว่าน่าจะเพราะโรคซึมเศร้ามั้งถึงได้คิดฆ่าตัวตาย (ในหนังสือไม่ได้บอกสาเหตุตรงๆ) 

และสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในเรื่องนี้คือ ตอนที่นางเอกคิดได้ และเอาไดอารี่ไปแบ่งปันให้คนอื่นๆ
ความรู้สึกมันเหมือนฟ้าหลังฝนอะ แบบมองอะไรก็สวยไปหมด (เข้าใจเรามั้ย?) 
พออ่านถึงช่วงนี้น้ำตาคลอเบ้า เกือบจะร้องออกมาแล้ว 55 เป้็นความสุขแบบหน่วงๆยังไม่รู้

--ถ้าเรารีวิวไม่รู้เรื่อง ต้องขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้เราก็เพี้ยนๆ สงสัยอ่านแนวนี้เยอะไป 55--

คะแนน : 4/5

ถ้าใครชอบแนวนี้ เราแนะนำให้หามาอ่านจ้า 
(แต่มันออกมานานแล้วนะ ไม่รู้ว่าที่คิโนะยังมีอยู่รึเปล่า)








Create Date : 17 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2559 23:24:35 น.
Counter : 1194 Pageviews.

0 comment
**Review** ROOM - Emma Donoghue


ROOM
(เด็กชายในห้องปิดตาย)
by Emma Donoghue



Title : ROOM
Author : Emma Donoghue
Genre : Adult Fiction
Published : September 13th ,2010

เรื่องย่อ (จากฉบับภาษาไทย) : 

สำหรับแจ๊ควัยห้าขวบแล้ว โลกของเขาคือห้องขนาดสิบเอ็ดคูณสิบเอ็ดฟุต ห้องคือที่ที่เขาเกิด ที่ที่เขาเล่น กิน นอน และที่ที่มีแม่ เพียงแต่เขาจะต้องเข้าไปนอนในตู้เสื้อผ้าหลังสามทุ่ม ก่อนที่เฒ่านิคจะมาหาแม่ หลังจากประตูส่งเสียง บี๊ป บี๊ป แจ๊คในตู้เสื้อผ้าอันมืดมิดจะคอยฟังว่าเฒ่านิคพูดอะไรกับแม่บ้าง และเขาทำอะไรบ้าง

สำหรับแจ๊คนั้น ห้องนี้คือโลกทั้งใบ แต่สำหรับแม่ ห้องนี้คือคุก...

ตอนสี่ขวบ แม่ไม่เคยบอกเขาว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง แต่ผู้ชายที่อายุห้าขวบนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้วและแม่ก็อยากออกไปข้างนอกแล้วด้วย...

รีวิว + สปอยล์ :

แจ๊ค เกิดมาในห้องเล็กๆ ที่เป็นโรงเก็บของของเฒ่านิค เขาไม่เคยรู้จักโลกภายนอก และเรียนรู้สิ่งต่างๆจากคำบอกเล่าของแม่ พระอาทิตย์ก็คือ ใบหน้าของพระเจ้า ผู้คนในทีวีไม่มีตัวตน สิ่งที่เป็นจริงมีเพียงตัวเขา แม่ เฒ่านิค และ 'ห้อง' เท่านั้น

ทุกๆวัน แจ๊คกับแม่จะช่วยกันตะโกนสุดเสียงออกไปทางสกายไลท์ หรือนึกพาสเวริ์ดใหม่ๆเพื่อเปิดประตูของ 'ห้อง' โดยที่แจ๊คคิดว่า มันเป็นการเล่นอย่างหนึ่ง แม่ไม่เคยเล่าความจริง เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น และแจ๊คเองก็ยังเป็นเด็ก จนกระทั่งวันที่แม่ทำให้เฒ่านิคโกรธ และตัดไฟในห้อง สองแม่ลูกต้องทนหนาว เพราะเครื่องทำความร้อนไม่ทำงาน อาหารก็เริ่มลดน้อยลงไปทุกที แม่จึงมีความคิดที่จะหนีออกจากห้องนี้อีกครั้ง 

แรกเริ่ม แม่เล่าให้แจ๊คฟังว่า เธอเคยอยู่ 'ข้างนอก' มาก่อน และถูกเฒ่านิคหลอกมาขังไว้ ตอนนั้นเธอเพิ่งอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น เธอพยายามจะหนีอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนเฒ่านิคประกาศกร้าวว่า ต่อให้ตัวเองต้องตายก็จะไม่บอกรหัสเปิดประตูให้ ตั้งแต่นั้นมา เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะหนี และเชื่อฟังคำสั่งของเฒ่านิคตลอดมา ในช่วง 2 ปีแรก เธอเคยตั้งท้องลูกมาแล้วคนหนึ่ง แต่เด็กก็แท้งไปเสียก่อน จนกระทั่งเธอมีแจ๊ค

แจ๊คคิดว่าแม่โกหก เพราะแม่เคยบอกเขาว่า ข้างนอกเป็นเพียงอวกาศที่ว่างเปล่า จนกระทั่งวันที่เขาเห็นเครื่องบินบินผ่านสกายไลท์ไป แจ๊คตื่นเต้นมาก และเริ่มเชื่อคำบอกเล่าของแม่ 

แผนการหลบหนีขั้นแรกของแม่คือ แจ๊คต้องแกล้งทำเป็นป่วยหนักเพื่อให้เฒ่านิคพาไปโรงพยาบาล และแจ๊คต้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ตามที่เขาพบ แต่แผนนี้ก็เป็นอันต้องล้มไป เมื่อเฒ่านิคยืนยันว่าจะไม่พาแจ๊คไปไหน และจะหายามาให้แทน แม่จึงเริ่มแผนสองโดยสั่งให้แจ๊คแกล้งตาย

แม่สั่งให้แจ๊คนอนนิ่งๆในพรมปูพื้นจนกว่าเฒ่านิคจะวางร่างเขาลงบนท้ายรถกระบะ จากนั้นให้ดิ้นแรงๆเพื่อออกมาจากพรม รอจนรถจอดสนิทตรงทางแยก แล้วกระโดดลงจากรถไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เขาพบเป็นคนแรก

แจ๊คดำเนินการตามแผนของแม่อย่างทุลักทุเล และพวกเขาก็ได้รับอิสรภาพมาในที่สุด แจ๊คตกเป็นข่าวใหญ่โต และกลายเป็นฮีโร่ของบรรดาคนที่ติดตามข่าว แต่แม่ก็ไม่ค่อยชอบใจที่ตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่  

แจ๊คและแม่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากมาย ในขณะที่แม่เริ่มมีอารมณ์เกรี้ยวกราดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเธอตระหนักได้ว่า ในช่วงเวลาที่เธอถูกจับขังอยู่นนั้น อะไรๆได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว ผู้คนรอบกายเธอต่างใช้ชีวิตไปข้างหน้า ส่วนตัวเธอกลับถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และการให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ทำให้เธอมีอาการเครียดหนักขึ้น จนตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง

แจ๊คถูกส่งไปอยู่กับยายช่วงที่แม่รักษาตัวในโรงพยาบาลต่อ เขาเฝ้ารอวันที่แม่จะหายป่วย ในขณะเดียวกันการใช้ชีวิตอยู่กับยายก็ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างยิ่งกว่าตอนอยู่โรงพยบาลเสียอีก แจ๊คเข้มแข็ง และกล้าเผชิญกับโลก 'ข้างนอก' ได้เพราะเขามีฟันของแม่เป็นเพื่อน และเขาเองก็อยากจะให้แม่เข้มแข็งด้วยเหมือนกัน ดังนั้น แจ๊คจึงตัดเส้นผมที่ยาวเหมือนเด็กผู้หญิงส่งไปให้แม่

หลังจากแม่ออกจากโรงพยาบาล เธอตัดสินใจพาแจ๊คไปอยู่บ้านพักของรัฐ สองแม่ลูกวางแผนที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยเริ่มจากค่อยๆเรียนรู้ไปทีละนิดว่า ตัวเองชอบ และอยากจะทำอะไรต่อไปกันแน่...



การเล่าเรื่อง : เล่าในมุมมองของแจ๊ค

คำศัพท์ : ศัพท์ง่ายมาก แต่ก็งงมากเช่นกัน อย่างที่บอกว่าเล่าในมุมมองของแจ๊ค เด็ก 5 ขวบ ดังนั้น ภาษาก็จะแปลกๆ แทม่งๆ ถ้าใครคิดจะอ่านเรื่องนี้เพื่อฝึกภาษา กรุณาคิดใหม่นะคะ เพราะแกรมม่าผิดค่อนข้างเยอะ ยกตัวอย่างเช่น รูปอดีตของ bring ก็คือ brought แต่แจ๊คดันพูดเป็น brung ซะงั้น หรือถ้าอยากอ่านก็ต้องมีสตินิดนึง เดี๋ยวไปจำอะไรผิดๆมา

ความรู้สึกหลังอ่าน : โอยยยย น่าเบื่อออออออค่ะ ประมาณครึ่งแรกนี่ไม่ไหวมาก ดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า และสไตล์การเขียนให้เหมือนเด็ก 5 ขวบ ก็น่ารำคาญสุดๆ (ไม่ได้กระแดะนะ ถ้าได้ลองอ่านจะเข้าใจความรู้สึกเรา) อ่านไปนิดนึงก็ไม่อยากอ่านต่อแล้ว เราเลยต้องไปดูหนังบิวท์อารมณ์ ซึ่งก็ช่วยได้นิดนึงงง 

เนื้อเรื่องเพิ่งจะมาน่าสนใจตอนที่แม่คิดแผนหนี ตรงช่วงนั้นทำได้ค่อนข้างดี เพราะถึงแม้จะเล่าแบบเด็ก 5 ขวบใสๆ แต่แฝงความดาร์คมาด้วยตลอด ชวนให้ผู้อ่านลุ้นว่าตกลงแจ๊คจะหนีรอดจากเฒ่านิคได้มั้ย สำหรับเราจุดนี้พีคสุดละ หลังจากนั้นก็เนื้อเรื่องก็ค่อยๆดรอปลงมาอีก

ส่วนที่เราไม่ค่อยชอบคือ วิธีการเลี้ยงลูกของแม่ สอนอะไรมั่วซั่วไปหมด แล้วมันก็ส่งผลมาถึงตอนที่แจ๊คต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก อีกอย่างคือ อามรมณ์เกรี้ยวกราดของแม่ ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว เข้าใจว่าเธอคงเครียด แต่บางทีก็ต้องแยกแยะบ้าง เพราะคนอื่นเขาก็ทำให้ด้วยความหวังดี

คะแนน : 3/5




Create Date : 10 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2559 18:52:51 น.
Counter : 1005 Pageviews.

1 comment
**Review** Let It Snow by John Green, Maureen Johnson, Lauren Myracle




Let It Snow
by Maureen Johnson, John Green, Lauren Myracle



Title : Let It Snow
Author : Maureen Johnson, John Green, Lauren Myracle
Genre : YA / Contemporary / Romance
Publication date : October 2, 2008

เรื่องย่อ :

ในค่ำคืนคริสมาสต์อีฟ เกิดพายุหิมะที่รุนแรงที่สุดในรอบทศววรรษพัดถล่มย่านพักอาศัยของเมืองเกรซทาวน์ จนทั้งเมืองต้องจมอยู่ใต้หิมะหลายฟุต เมื่อหนึ่งชีวิตทิ้งขบวนรถไฟที่แล่นไปไหนไม่ได้ และเสี่ยงออกเดินไปท่ามกลางพายุ เธอก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างราวกับลูกโซ่ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครอีกหลายๆคน ทั้งเด็กสาวที่เสี่ยงเดินไปตามทางลัดพร้อมกับเด็กหนุ่มน่ารัก ทั้งกลุ่มเพื่อนสามคนที่แข่งไปให้ถึงร้านWaffle House ก่อนใคร และเจ้าหมู Teacup ที่ตกไปอยู่ในมือของบาริสต้าที่กำลังป่วยเป็นไข้ใจ

รีวิว + สปอยล์ :

The Jubilee Express โดย มอรีน จอห์นสัน

พ่อแม่ของจูบิลี่ถูกตำรวจจับ เพราะก่อเหตุทะเลาะวิวาทขณะแย่งซื้อ โมเดลหมู่บ้านจิ๋ว เธอจึงถูกบังคับให้ไปอยู่กับปู่ย่าในช่วงวันหยุดคริสมาสต์ และนั่นทำให้เธอพลาดฉลองคริสมาสต์กับโนอาห์ แฟนหนุ่มที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คของเธอ บนขบวนรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าสู่ฟลอริด้า จูบิลี่ได้พบกับเจ๊ปที่กำลังพยายามโทรศัพท์หาแฟนสาว และกลุ่มเชียร์ลีดเดอร์ที่กำลังเดินทางไปแข่งขัน เธอรู้สึกรำคาญพวกเด็กสาวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล และเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองโดยการโทรศัพท์หาโนอาห์แทน แต่ทุกครั้ง เขาก็เอาแต่หลบเลี่ยง และให้เหตุผลว่ากำลังยุ่งอยู่ตลอดเวลา

เมื่อรถไฟเกิดติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ จูบิลี่จึงตัดสินใจเดินไปขอไออุ่นจากร้าน Waffle house ขณะพยายามโทรหาโนอาห์อีกครั้ง  เธอได้พบกับสจ๊วต พนักงานร้าน Target ที่เดินเข้ามาโดยมีถุงพลาสติกสวมหัว และมือทั้งสองข้างเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น เขาเอ่ยปากชวนเธอไปที่บ้าน และจูบิลี่ก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล เมื่อสังเกตเห็นกลุ่มเชียร์ลีดเดอร์พากันกรูเข้ามาในร้าน

สจ๊วตพาจูบิลี่ใช้ทางลัดที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน เขาพยายามเตือนว่าสิ่งที่โนอาห์ทำกับเธอมันไม่ถูกต้อง แต่จูบิลี่ไม่อยากจะรับฟังมันเท่าไหร่นัก เธอพยายามติดต่อโนอาห์ตลอดเวลา เล่าให้ฟังว่ามาพักอยู่ที่บ้านของเด็กหนุ่มแปลกหน้า แต่โนอาห์ก็ยังไม่แสดงความห่วงใยอยู่เช่นเดิม สจ๊วตทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากเตือนอีกครั้งว่า ที่เป็นแบบนั้น เพราะโนอาห์อยากจะเลิกกับเธอ สจ๊วตรู้ดี เพราะเขาก็เคยโดนแฟนเก่าทำแบบนี้เช่นกัน

จูบิลี่ทั้งโกรธและเสียใจ เพราะคำพูดของสจ๊วตมันช่างแทงใจดำเธอเสียเหลือเกิน ที่จริง..เธอก็รู้สึกมาสักพักแล้วว่าโนอาห์ไม่เคยสนใจตัวเธอเลย สิ่งที่เขาสนใจมีแต่ตัวเองเท่านั้น เขาเอาแต่พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่เคยรับฟังเรื่องราวของเธอ เขาคบกับเธอเพียงเพราะคนอื่นๆเห็นว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันเท่านั้น เมื่อจูบิลี่ทำใจได้ เธอจึงโทรศัพท์ไปบอกเลิกกับโนอาห์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ หรือคัดค้านอะไรทั้งนั้น 

จูบิลี่ขอโทษสจ๊วตที่โมโหใส่ เขาเล่าเรื่องความรักที่ผ่านมาให้ฟังว่า เขาชอบผู้หญิงคนนั้นมาก แต่อยู่ๆเธอก็เย็นชาใส่เขา วันหนึ่ง ทั้งที่นัดกันว่าจะไปติวหนังสือด้วยกัน แต่เธอก็ไม่มา เขาออกตามหาเธอไปทั่ว จนมาเจอว่าเธอกำลังอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่ร้านสตาร์บัค แฟนสาวของเขาโวยวายใหญ่ และหาว่าเขาทำตัวเป็นสต๊อคเกอร์ และเลิกกับเขาต่อหน้าลูกค้าที่อยู่กันเต็มร้าน

จูบิลี่รู้สึกเห็นใจสจ๊วต จนเผลจูบเขาไปจนได้ เธอตกใจและสับสนกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เธอไม่กล้าแม้จะสู้หน้าเขากับครอบครัวอีกต่อไป จูบิลี่จึงรีบหนีออกจากบ้านของสจ๊วต เธอเดินไปท่ามกลางหิมะอย่างไร้จุดหมาย ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่สีขาวโพลน จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทาง จูบิลี่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา สจ๊วตออกตามหาเธอ และขอให้เธอกลับบ้านด้วยกัน 

แต่แล้วโทรศัพท์ของจูบิลี่ก็แผดเสียงร้องดังขึ้น โนอาห์โทรกลับมาหาเธอนั่นเอง สจ๊วตดูสีหน้าของจูบิลี่ก็รู้ได้ทันทีว่าใครอยู่ที่ปลายสาย เขาขอร้องให้เธออย่ารับ จูบิลี่อยู่ในวินาทีที่ต้องเลือก และคำตอบของเธอก็คือ เขวี้ยงโทรศัพท์นั้นทิ้ง และเดินเข้าสวมกอดเด็กหนุ่มน่ารักตรงหน้า...



A Cheertastic Christmas Miracle โดย จอห์น กรีน

 โทบินและแองจี้ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เธอมีนิสัยห้าวแบบเด็กผู้ชาย โทบินจึงไม่เคยมองเธอเหมือนเด็กสาวทั่วไป ในคืนวันคริสต์มาสที่พายุหิมะโหมกระหน่ำ โทบิน แองจี้ และเจพี ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทที่ทำงานในร้าน Waffle House ว่ามีกลุ่มเชียร์ลีดเดอร์มาชุมนุมกันที่ร้าน ให้โทบินรีบมา แล้วเอาเกม ทวิสเตอร์มาด้วยเพื่อหวังจะมัดใจสาวๆ นอกจากนั้นแล้ว นี่ยังเป็นศึกศักด์ศรีระหว่างแก๊งของโทบิน กับสองพี่น้องฝาแฝดทิมมี่ และทอมมี่อีกด้วย

โทบินและเพื่อนๆขับรถฝ่าพายุออกมา แต่ไปได้นิดเดียว รถก็ติดเข้ากับกองหิมะจนขยับไปไหนไม่ได้ ทั้งสามคนจึงต้องออกเดินอีกเป็นไมล์กว่าจะถึงร้าน Waffle House ระหว่างทางพวกเขาบังเอิญเจอเข้ากับสองพี่น้องฝาแฝดจนต้องรีบวิ่งหนี และไปให้ถึงร้านก่อนพวกฝาแฝดให้ได้

ระหว่างการเดินทางอันยากลำบาก เจพีเล่าเรื่องที่แองจี้กำลังเดทกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้โทบินฟัง แม้ว่าก่อนหน้านี้ โทบินแทบจะไม่เคยมองว่าแองจี้เป็นผู้หญิงเลยก็ตาม แต่เรื่องที่เจพีเล่าทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ซึ่งตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่

หลังจากได้แผนร้ายของเจพีช่วย กลุ่มของโทบินจึงมาถึงร้านเป็นอันดับแรก และพวกฝาแฝดก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าร้านที่เต็มไปด้วยเชียร์ลีดเดอร์

ในร้าน Waffle House เด็กหนุ่มคู่เดทของแองจี้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ด้วยความหึงหวงโทบินจึงเดินไปคุยกับพวกเชียร์ลีดเดอร์ต่อหน้าเธอ แองจี้ทนเห็นภาพนั้นไม่ได้จึงออกจากร้านไป 

โทบินตามมานั่งลงข้างแองจี้ เธอสารภาพว่าชอบโทบินมาตั้งนานแล้ว เธอไม่เคยเดทกับใคร และแม้โทบินจะไม่ได้ชอบเธอตอบ แต่ขออย่าจีบเชียร์ลีดเดอร์ต่อหน้าเธออีก ส่วนโทบินก็ยอมรับว่าที่ทำไปเพราะหึงแองจี้ และเขาเองก็ชอบเธอเช่นกัน และเรื่องราวในค่ำคืนคริสต์มาสเรื่องที่ 2 ก็จบลง



The Patron Saint of Pigs โดย ลอว์เรน มิราเคิล

แอดดี้นอนเศร้าในคืนวันคริสมาสต์ เพราะเจ๊ป แฟนเก่าของเธอไม่มาตามนัด เธอได้แต่จมอยู่กับความทรงจำในอดีต วันที่เธอได้เจอกับเจ๊ป วันที่เขาขอจูบเธอ และวันที่ทั้งสองคนทะเลาะกันจนเป็นสาเหตุแห่งการเลิกรา

แอดดี้ไม่พอใจที่เจ๊ปเป็นคนไม่ชอบแสดงความรัก และขอให้เขาเปลี่ยนเพื่อเธอ เจ๊ปโมโหและเดินแยกเข้างานปาร์ตี้ไปเพียงลำพัง แอดดี้เสียใจที่เขาทิ้งเธอและเผลอใจจูบกับเด็กหนุ่มคนอื่นในคืนนั้น เธอรู้สึกผิด และคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเจ๊ปอีกต่อไป เธอจึงตามไปบอกเลิกเขาในที่สุด

เมื่อเวลาผ่านไป แอดดี้เสียใจกับการกระทำของตัวเอง จึงส่งเมลล์ไปขอโทษเจ๊ป อธิบายเรื่องราวทั้งหมด ขอให้เขายกโทษให้ และกับมาคืนดีกันเหมือนเดิม แต่เจ๊ปกลับไม่ติดต่อกลับมา และเงียบหายไป แอดดี้คิดว่า นี่คงเป็นสัญญาณว่าเจ๊ปคงอยากเลิกกับเธอเป็นแน่ เธอจึงหาวิธีลืมความเศร้าด้วยการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เธอตัดผมยาวสลวยของตัวเองทิ้ง และย้อมเป็นสีชมพูสด และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอเสียใจกับการกระทำของตัวเอง

เพื่อสนิทของแอดดี้ต่อว่าที่เธอเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ไม่แคร์ความรู้สึกของคนรอบข้าง แอดดี้จึงอาสาไปรับลูกหมู มาเป็นของขวัญวันคริสมาสต์ให้เพื่อนของเธอด้วยตัวเอง

แม้ว่าแอดดี้จะคอยเตือนตัวเองว่า ต้องไปรับลูกหมูที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงตอน 9 โมงก็ตาม เธอก็ลืมมันจนได้ และเมื่อเธอไปถึงที่ร้านก็พบว่า เจ้าลูกหมูได้ถูกขายไปแล้ว แม้ว่าเธอจะเสียใจที่ไม่สามารถทำตามสัญญาได้ แต่ครั้งนี้ แอดดี้ไม่ใช่แอดดี้คนเดิมที่เอาแต่ถอดใจ และวิ่งหนีปัญหาอีกต่อไปแล้ว ตัวเธอคนใหม่จะต้องตามหาลูกหมูมาให้เพื่อนของเธอให้จงได้!

แอดดี้ขโมยใบเสร็จจากร้านขายสัตว์ และออกตามหาที่อยู่ของลูกค้าที่เพิ่งซื้อลูกหมูไป และพบว่า บ้านหลังนั้นอยู่ด้านหลังร้านสตาร์บัคที่เธอทำงานอยู่เท่านั้นเอง คนที่ซื้อไปเป็นหญิงชรา ที่เชื่อมั่นในเวทมนตร์ของวันคริสมาสต์ และการที่แอดดี้ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองถึงขนาดนี้ก็คือ หนึ่งในความมหัศจรรย์ของวันคริสมาสต์นั่นเอง 

หญิงชรายอมคืนลูกหมูให้แอดดี้อย่างง่ายดาย เธอรีบพามันกลับมาที่ร้านสตาร์บัค เพราะอีกไม่นานเพื่อนของเธอจะมารับมันไป เมื่อมาถึงที่ร้าน แอดดี้ได้พบกับสจ๊วต และเด็กสาวผมสั้นที่คิดว่าน่าจะเป็นแฟนใหม่ของเขา โทบิน และแองจี้เองก็นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน พอทุกคนรู้ว่าแอดดี้กำลังรอเจ๊ป ข้อความมากมายที่เจ๊ปฝากบอกเธอผ่านทุกคนก็พรั่งพรูออกมา ที่แท้เขาไม่ได้ตั้งใจผิดนัดเธอ แต่เป็นเพราะรถไฟติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะต่างหาก และโทรศัพท์ของเขาก็ดันไม่มีสัญญาณอีกด้วย

แอดดี้ดีใจมาก และเป็นเวลาเดียวกับที่เจ๊ปเดินเข้ามาในร้านพอดี เธอวิ่งเข้าสวมกอดเขา และปล่อยให้เสียงรอบข้างจางหายไป เหลือแต่เพียงเธอและเขาสองคนเท่านั้น...



คำศํพท์ : ง่าย - กลางๆ แต่มีมุกที่เราไม่ค่อยเก็ทเหมือนกันนะ

ความรู้สึกหลังอ่าน : เอิ่มมมมม... ผิดหวังอย่างแรงเลยค่ะ ตอนแรกที่เลือกมาอ่านเพราะมีข่าวว่ากำลังจะทำเป็นหนัง และพวก booktuberก็ดูจะชอบกัน แต่พออ่านเข้าจริงนี่แบบ...แย่อะ แจกแจงเป็นเรื่องๆ เลยนะ 

เรื่องที่ 1 : 3/5 คะแนน เรื่องนี้พอทน แม้ว่านางเอกจะซื้อบื้อก็ตาม เราไม่เข้าใจว่าในเรื่องจะอคติอะไรกับเชียร์ลีดเดอร์นักหนา นางเอกพยายามหนี และแสดงความรู้สึกรังเกียจตลอด ส่วนเรื่องของเธอกับแฟนก็นะ ดูเธอจะหลงแฟนเอามากๆ ดูก็รู้ว่า เขาไม่สนใจ ก็ยังจะเพ้ออยู่ได้ แต่พอเลิกก็ง่ายเกิ๊นนน งง เลิกปุ๊บมีใหม่ปั๊บ เรื่องนี้โชคดีที่พระเอก กับแม่พระเอกน่ารัก ไม่งั้นเหลือ 2 ดาวแน่ๆ

เรื่องที่ 2 : 2/5 ผิดหวังแรงสำหรับจอห์นกรีน ที่จริงคาแรกเตอร์ตัวละครจะคล้ายๆกับ TFIOS, Paper Town นะ แต่เรื่องนี้ดูไร้สาระมาก คือ อุตส่าห์ฝ่าพายุหิมะที่รุนแรงที่สุดในรอบสิบปี มาหาเชียร์ลีดเดอร์เนี่ยนะ คือเมิงบ้ารึป่าว -*- ยิ่งอ่านยิ่งขึ้น บอกตามตรง เรื่องนี้น่ารำคาญมาก เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเลย ก็แค่วิ่งแข่งกันไปให้ถึงร้าน Waffle House เท่านั้นเอง ไม่สนุกๆ

เรื่องที่ 3 : 2/5 คำแรกที่อยากด่านางเอกคือ อิบร้า ไปบอกเลิกเขา แล้วก็มาตามง้อเขาเองเนี่ยนะ มีสติกันหน่อยมั้ยคะเรื่องนี้ เป็นตัวละครบ้าบอที่สุดพอๆกับเรื่องของจอห์น กรีน เธอเอาแต่พร่ำเพ้อถึงผู้ชายจนลืมเรื่องหมู ลืมแล้วลืมอีก เนื้อเรื่องก็มีแค่วิ่งตามหาหมู มีดีตรงแค่มาผูกตรงท้ายที่ทุกคนมีข้อความจากเจ๊ปมาถึงนางเอกเท่านั้นแหละ ไม่รู้จะวิจารณ์อะไรต่อละ เพลียใจ

คะแนน : 2.5/5





Create Date : 09 ตุลาคม 2559
Last Update : 9 ตุลาคม 2559 19:02:13 น.
Counter : 1559 Pageviews.

0 comment
**Review** Anna and the French Kiss - Stephanie Perkins






Anna and the French Kiss
by Stephanie Perkins




Title : Anna and theFrench Kiss

Author : StephaniePerkins

Genre : YA /Contemporary

Published : December2nd 2010

เรื่องย่อ :

แอนนาตั้งหน้าตั้งตารอชีวิตม.ปลายปีสุดท้ายในแอตแลนต้าที่ที่เธอมีทั้งเพื่อสนิท และคนที่เธอกำลังตกหลุมรักเพราะงั้นเธอถึงได้ช็อคเมื่อตัวเองกำลังจะถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำในกรุงปารีสจนกระทั่งเธอได้พบกับ เอเตียน เซนท์ แคลร์ เขาทั้งเก่ง มีเสน่ห์ และดีเลิศกว่าใครๆใช่แล้ว.. เอเตียนมีทุกอย่าง..รวมทั้งแฟนที่คบกันแบบจริงจังด้วย!

แล้วทีนี้แอนนาจะทำอย่างไรเธอจะได้พบรักในเมืองที่สุดแสนโรแมนติกอย่างปารีสมั้ย ไปดูกัน!

รีวิว + สปอยล์

แอนนาถูกพ่อที่เป็นนักเขียนนิยายรักน้ำเน่าส่งไปอยู่โรงเรียนประจำในฝรั่งเศสเธอต้องทิ้งเพื่อนสนิท และอนาคตแฟนไว้เบื้องหลังแล้วเริ่มต้นชีวิตนักเรียนม.ปลายปีสุดท้ายในประเทศที่เธอไม่รู้แม้กระทั่งวิธีสั่งอาหารหลังจากแอนนาย้ายเข้าหอ เธอได้รู้จักกับเมเรดิธ เพื่อนสาวข้างห้องเมเรดิธดีกับเธอมาก และชวนเธอกินข้าวเช้าด้วยกันแอนนาจึงได้เข้ากลุ่มเมเรเดิธไปโดยปริยาย

ในกลุ่มของเมเรดิธมีสมาชิกอยู่ด้วยกันหลายคนและหนึ่งในนั้น ก็คือ เอเตียน เซนท์ แคลร์ เด็กหนุ่มที่ใครๆต่างก็หลงรัก เซนท์แคลร์ เป็นลูกครึ่งอเมริกัน – ฝรั่งเศส ที่พูดสำเนียงอังกฤษถึงเขาจะไม่สูงเหมือนนายแบบ แต่เขากลับดูดีในทรงผมยุ่งเหยิงนั่นและด้วยความใจดีของเซนท์ แคลร์ ที่ช่วยสอนแอนนาสั่งอาหารเช้าเธอจึงได้เข้าใจว่าทำไมสาวๆถึงได้หลงเสน่ห์เขานัก

แอนนาไม่เหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆที่คอยหาข้ออ้างเข้าหาเซนท์แคลร์ แต่เธอปฏิบัติต่อเขาเหมือนเพื่อนทั่วๆไป  นั่นทำให้เซนท์แคลร์เปิดใจกับเธอ และสนิทกันอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนมักทำอะรได้วยกันเสมอจนบางครั้งแอนนาก็กลัวว่าเมเรดิธอาจจะรู้สึกแย่ก็ได้เพราะเธอรู้ดีว่าเมเรดิธเองก็แอบมีใจให้เซนท์ แคลร์เช่นกัน

นับวันความรู้สึกที่มีต่อเซนท์แคลร์ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แอนนาพยายามกลบเกลื่อน และทำตัวเหมือนปกติเธอไม่อยากให้ความรู้สึกเกินเลยนี้ทำลายมิตรภาพระหว่างกัน และที่สำคัญ เซนท์ แคลร์เองก็มีแฟนแล้วด้วย ส่วนแอนนาเองก็ยังคงติดต่อกับคริสโตเฟอร์ เพื่อนชายที่อเมริกาเธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเซนท์ แคลร์เมาและสารภาพความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอเธอเริ่มตีตัวออกห่าง และตกลงคบกับเดฟ เพื่อนร่วมชั้นคนนึงแต่มันก็พังลงไม่เป็นท่า เพราะเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่เธอชอบมีแค่เซนท์ แคลร์คนเดียวเท่านั้น

ในช่วงวันหยุดคริสมาสต์เพื่อนๆในหอต่างพากันกลับบ้าน เหลือเพียงแอนนาและเซนท์แคลร์ที่รอกลับช่วงใกล้ปีใหม่ ทั้งสองคนออกตระเวนเที่ยวกรุงปารีสทั้งวันทั้งคืนพอตกดึกก็กลับมานอนข้างกันที่ห้องของแอนนา เธอรู้ดีว่าตอนนี้เซนท์ แคลร์มีเรื่องไม่สบายใจอยู่หลายเรื่อง ทั้งแม่ที่กำลังป่วยเป็นมะเร็ง พ่อที่ไม่ยอมให้เขาไปเยี่ยมแม่และคนรักที่กำลังใช้ชีวิตนำหน้าเขาไปเสียแล้ว แอนนาหวังว่าเธอจะช่วยอะไรเขาได้บ้างแต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่คอยให้กำลังใจเขาเท่านั้น

แอนนานั่งเครื่องบินกลับมาอเมริกาพร้อมกับเซนท์แคลร์ แต่จำต้องแยกกับเขาที่สนามบิน เพราะเซนท์ แคลร์ ต้องนั่งเครื่องต่อไปอีกรัฐหนึ่งเพื่อเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลเธอรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดูวงของคริสโตเฟอร์ขึ้นแสดงในงานคอนเสริ์ตแต่มันกลับกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่หลวงคริสโตเฟอร์ประกาศกลางเวทีว่ากำลังคบกับบริดจ์เจ็ท เพื่อนสนิทที่สุดของแอนนาส่วนบริดจ์เจ็ทเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป

แอนนาเสียใจมากที่ถูกคริสโตเฟอร์กับบริดจ์เจ็ทหักหลังเธอโทรหาเซนท์ แคลร์ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และในช่วงวันหยุดปีใหม่ทั้งสองคนก็ใช้เวลาโทรศัพท์คุยกันตลอด แม้กระทั่งตอนเคาท์ดาวน์ เซนท์ แคลร์ก็ยังโทรมาหาเธอ แทนที่จะเป็นคนรักของตัวเอง

ยิ่งเวลาผ่านไปความรู้สึกที่มีต่อเซนท์ แคลร์ก็ยิ่งปิดไม่มิดแม้แอนนาจะมั่นใจว่าเขาก็มีใจให้เธอเช่นกัน แต่เซนท์ แคลร์ กลับไม่ยอมเดินหน้าต่อแล้วทีนี้แอนนาจะทำอย่างไรต่อไป และเธอจะได้สมหวังกับเซนท์ แคลร์หรือไม่ไปติดตามต่อในหนังสือนะจ๊ะ

“I love you as certain dark things are loved, 

secretly, between the shadow and the soul.”

----Pablo Neruda 

(ข้างบนนี้ เป็นกลอนที่เซนท์ แคลร์ซื้อให้แอนนา ดูโรแมนติกเนอะ

แต่พอไปดูความหมายกลายเป็นว่าผู้แต่ง แต่งให้ผู้หญิงที่เป็นชู้ แป่วววว)

คำศัพท์ : ง่าย

ความรู้สึกหลังอ่าน : ชอบมากกกกกกกกกกกคือตอนแรกว่าจะไม่อ่านแล้วนะ เพราะเห็นคนรีวิวว่า นางเอกไปแย่งแฟนชาวบ้านอะไรงี้ไม่ไหวๆ ไม่ใช่แนว แต่ด้วยความอยากรู้ว่าทำไมมันดังจังว้า เลยลองอ่านดูนิดนึงปรากฎว่าติดเจ้าค่ะ วางไม่ลงเลย เราว่าคนเขียนทำได้ดีมากเลยนะ อย่างประเด็นแย่งแฟนนี่ก็เข้าใจว่ามันต้องดราม่าแน่ๆแต่กลับเขียนออกมาได้น่ารักมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมากกก 55 เราชอบที่นางเอกให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อนมากกว่าและพยายามจะไม่หลวมตัวเวลาโดนเซนท์ แคลร์อ่อย 55 ซึ่งคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากกกกเพราะเซนท์ แคลร์น่ารักฝุดๆ อยากได้ๆ *เพ้อ*

อีกอย่างที่ชอบในเรื่องคือคนเขียนบรรยายสถานที่ต่างๆในกรุงปารีสได้โรแมนติกมากๆอ่านจบแล้วอยากจะบินไปเดี๋ยวนั้นเลย 55 บรรยากาศเหมาะแก่การตกหลุมรักยังไงไม่รู้55 ส่วนที่เราคิดว่ายังดูไม่สมเหตุสมผลคือ นิสัยของเซนท์ แคลร์ ที่ไม่กล้าเลิกกับแฟน แล้วมาเริ่มต้นกับนางเอกโดยให้เหตุผลว่ายังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตอนนี้ (WHAT?!) ทั้งๆที่นางเอกอ้าแขนรอซะขนาดนั้น-*- (ถ้าเป็นเหตุผลว่ากลัวแฟนเก่าเสียใจ ยังพอเข้าใจอยู่นะ)

แนะนำสำหรับคนที่อยากอ่านนิยายรักวัยรุ่นน่ารักๆดราม่าเบาๆ บรรยากาศดี รู้สึกว่าเหมาะแก่การอ่านตอนหน้าหนาวแฮะเสียดายที่จบแค่เล่มเดียว ส่วนเล่มต่อเป็นคู่อื่น แต่ยังมีแอนนากับเซนท์แคลร์โผล่มาแวบๆ เอาไว้ถ้าอ่านแล้วจะมารีวิวให้ฟังจ้า

คะแนน : 5/5 (ไม่หักคะแนน เพราะเซนท์ แคลร์น่ารัก Smiley




Create Date : 14 กันยายน 2559
Last Update : 9 ตุลาคม 2559 16:00:32 น.
Counter : 2389 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

Caymen51
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



Hi guys! My name is Geegee. I'm a book lover. Feel free to add me on goodreads. Let's be friends!

ฝากร้านหนังสือหน่อยจ้า https://goo.gl/e1jVlt
SHOPEE : shopee.co.th/palalees?smtt=0.0.9

G.'s bookshelf: read

In the Shadow of Blackbirds
really liked it
4.5/5
tagged: fantasy and own
The Bunker Diary
really liked it
3.5/5 SHIT! The ending was too heartbreaking. I couldn't stand it!
tagged: own and contemporary
Malice
really liked it
tagged: japanese and own
Practice Makes Perfect
liked it
3.5/5 This was a funny and fluffy story with two guys who have a secret agreement. Their relationship started with with an awkward situation which surprisingly turned out to be hilarious. I really like geeky Dev. I think it's cute when...
tagged: contemporary
Strangers
liked it
tagged: japanese and own

goodreads.com