Group Blog
 
All blogs
 
Long tail marketing นวัตกรรมทางการตลาด



นำงานเขียนบทความวารสารของบริษัทที่ส่งถึงลูกค้ามา
แบ่งปันกันค่ะ

ตีพิมพ์ในคอลัมน์ "กลักไม้ขีด" วารสารกรีนนิวส์ ฉบับที่ 70
เดือนธันวาคม 2551









กลักไม้ขีดฉบับนี้ขอนำเสนอกลยุทธ์การตลาดลองเทล
(Long Tail Marketing) มาให้ท่านผู้ประกอบการทราบนะคะ

ความจริงคำศัพท์ทางการตลาดนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2547 โดย Chris Anderson บรรณาธิการของนิตยสาร “Wired Magazine” ได้เขียนบทความเรื่อง The Long Tail และได้พิมพ์หนังสือในชื่อเดียวกันออกมาในปี 2549 ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึง
ปรากฎการณ์นี้ในโลกอินเตอร์เน็ท และนำมาสู่การใช้คำ ๆ นี้ใน
แวดวงวิชาการกัน



ขอบคุณภาพจาก //www.elanso.com/.../VcVIJNUpUpP0LcUUJNNsRRIi.html





กฎของพาเรโต

ก่อนจะกล่าวถึง Long Tail ขอเกริ่นถึง “กฎของพาเรโต 80/20” ก่อน คงเคยได้ยินกันบ้างนะคะว่ากฎของพาเรโตที่นำมาใช้ในโลกธุรกิจนั้น มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่า “ยอดขาย 80%
มาจากลูกค้าชั้นดีเพียงแค่ 20%” จึงทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่มักให้ความสนใจเฉพาะลูกค้าชั้นดี

แนวคิดดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากข้อจำกัดของงบประมาณ เพราะในการสื่อสารทางการตลาดนั้น มีต้นทุนแฝงอยู่เสมอ

แต่ต่อมาที่ยุคของการเข้ามาของอินเตอร์เน็ท ทำให้ธุรกิจสามารถเผยแพร่ข้อมูลทางการตลาด (E-Marketing) ออกไปในวงกว้าง ซึ่งทำให้ต้นทุนการสื่อสารทางตลาดจะลดลง




ขอบคุณภาพจาก //www.sevista.com/why-e-marketing.html






ทำไมต้องตัดลูกค้าที่เหลือทิ้งไป?????

ดังนั้นจึงนำมาสู่แนวคิดที่ว่าการที่ธุรกิจจะให้ความสำคัญกับลูกค้าชั้นดี ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ไม่เห็นจะต้องตัดลูกค้าธรรมดาอีก 80% ทิ้งไปด้วย



ขอบคุณภาพจาก en.fotolia.com/id/4812277





Long Tail คืออะไรหรือ?????

พูดภาษาง่าย ๆ ก็คือ Long Tail เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับกฎพาเรโต ซึ่งมีหลักการอยู่ว่า “ยอดขายของบรรดาสินค้าที่ขายไม่ดี
ทั้งหลาย เมื่อรวมกันแล้วอาจจะสูงกว่ายอดขายสินค้าขายดีก็ได้”

อธิบายศัพท์ Long Tail ในภาษาสถิติ ก็คือลักษณะหนึ่งของการกระจายตัวของข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น คำที่ใช้กันในภาษาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ จะสังเกตเห็นว่าจะมีความถี่ของการใช้ไม่เท่ากัน บางคำจะถูกใช้บ่อยมาก บางคำจะมีความถี่ในการใช้น้อยลง คำที่มีความถี่ในการใช้ที่ลดลงมากขึ้น จะอยู่ทางด้านขวาของกราฟที่ลากออกมาเป็นหางยาวออกไป **




Long Tail สินค้าขายไม่ดี 80% ที่เมื่อรวมกันแล้วกลับมียอดขายสูงอย่างน่าประหลาดใจ






ตัวอย่างที่เด่นชัดของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ Long Tail คือ Amazon.com ซึ่งเป็นเวปไซด์ที่มีหนังสือหลากหลาย
สำนักพิมพ์ ซึ่งถ้าเป็นร้านหนังสือปกติคงไม่สามารถมีพื้นที่รองรับการวางหนังสือในร้านได้เต็มที่ ดังนั้นร้านค้าปกติจะมีหนังสือที่ขายดี มาวางในร้านเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าเป็นหนังสือที่มีปริมาณการขายน้อย จะเริ่มทะยอยนำออกจากร้าน ไปเก็บไว้ที่คลังสต็อค แต่ Amazon.com ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนหนังสือบนชั้น จึงได้เปรียบเพราะสามารถเปิดตลาดส่วนหาง (Long Tail) ได้สบาย ๆ




ขอบคุณภาพจาก //www.amazon.com/.../dp/B00011TQUS






Long Tail ทำให้ดีมานด์รวมกันของสินค้าส่วนหางที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก เริ่มเติบโตมากขึ้นทุกวัน และสามารถซื้อหาได้ผ่าน E-Marketing ซึ่งเท่ากับเดิมแทนที่จะสนใจเฉพาะ Mass Market (ขายคนจำนวนมาก) ไปเพิ่มการขาย Niche Market (ตลาดที่มียอดขายไม่มาก เป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่สนใจเรื่องนั้น ๆ) ซึ่งเมื่อรวม Niche Market หลายอันเข้าก็ทำให้เกิดกำไรมากขึ้น



ขอบคุณภาพจาก keng.com/2008/08/11/long-tail-keyword/

โยชิฮิโร สึงายะ ชาวญี่ปุ่นผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท MOJI Inc. ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโซลูชั่นด้านอีคอมเมิร์ช และบริการให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์
เคยเช็คเว็ปไซด์ Amazon.com และพบว่าปัจจุบัน Amazon ให้ความสำคัญกับการขายหนังสือในรูปข้อมูลดิจิทัล (Digital Content) และกำลังจะวางแผนนำเสนอต่อลูกค้าสำหรับบริการ Amazon Pages และ Amazon Upgrade








บทสรุปโดยย่อก็คือ กลยุทธ์การตลาด Long Tail คือการสร้างกลไกในการเพิ่มยอดขายอย่างสมเหตุสมผล ด้วยการนำ
ระบบสารสนเทศมาปรับใช้ในการทำงานด้านการตลาดนั่นเอง

ท้ายนี้ดิฉันขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามคอลัมน์
“กลักไม้ขีด” มาโดยตลอด และหวังว่าแนวคิดดังกล่าวอาจ
จุดประกายเพิ่มเติมเป็นแนวทางในการทำธุรกิจนะคะ

......รัชชี่.......ปลายปี 2551







อ้างอิง

1. “กลยุทธ์การตลาด Long Tail Marketing : ผู้เขียน Yoshihiro Sugaya / ผู้แปล ประวัติ เพียรเจริญ พิมพ์ปี 2551




2. Chris Anderson ต้นตำรับผู้เขียน Long Tail เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของนิตยสาร Wired ได้ผลักดันให้นิตยสารดังกล่าวขึ้นมาอยู่ในชั้นแนวหน้า และได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในสาขานิตยสารทั่วไปในปี 2548 และเป็นปีที่ตัวเขาเองได้รับการเสนอชื่อให้เป็นบรรณาธิการแห่งปีอีกด้วย



** ที่มาของแนวคิดการยกตัวอย่าง มาจากบทความของ
ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์











ส่วนเพิ่มที่เขียนไว้ แต่ไม่ได้นำลงในวารสาร เพราะพื้นที่เต็ม

"ล่าสุดดิฉันได้เข้าไปเช็คเว็บไซด์ ได้เห็นการเปิดให้บริการของ Amazon upgrade ซึ่งเป็นการนำเอาข้อดีของความอ่านง่ายของหนังสือเป็นเล่ม มาผนวกเข้ากับความสะดวกในการเรียกดูและค้นหาเนื้อหาของหนังสือในโลกดิจิทัล

ให้บริการสำหรับลูกค้าที่เคยซื้อหนังสือจาก Amazon สามารถเรียกดูเนื้อหาของหนังสือเล่มดังกล่าวบนเว็บไซด์ได้ด้วย (โดยมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม เข้าใจว่าน่าจะเล็กน้อย) เหมาะกับผู้ที่ต้องการอ่านข้อความบางส่วนโดยไม่ต้องเป็นพกหนังสือเป็นเล่ม ๆ ไปด้วย เช่นอยู่ที่ทำงาน แต่ต้องการเปิดบางหน้าของหนังสือเล่มนั้นเพื่อหาข้อมูล แต่ขณะนี้ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในอเมริกานะคะ

ส่วนบริการ Amazon Pages ขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการค่ะ ปกติพวกเราต้องซื้อหนังสือเป็นเล่ม ๆ แม้ว่าอยากอ่านเพียงบางส่วนของหนังสือ แต่ Amazon Pages เราสามารถสั่งซื้อหนังสือเป็นรายหน้าได้โดยไม่ต้องซื้อทั้งเล่ม คาดว่าคงอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องลิขสิทธ์และผลประโยชน์ของสำนักพิมพ์และผู้เขียนหนังสือค่ะ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็คงจะเปิดตัวค่ะ"

...รัชชี่....ปลายปี 2551






Eyes On Me - Faye Wong





Create Date : 02 มีนาคม 2552
Last Update : 2 มีนาคม 2552 0:08:54 น. 15 comments
Counter : 3999 Pageviews.

 
มันน่าคิด


โดย: boyblackcat วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:0:22:33 น.  

 
หวัดดียามดึกค่ะคุณรัชชี่..
เพิ่งล็อกเอาท์กะลังจะปิดคอมฯ เห็นบล็อกใหม่คุณรัชชี่เลยแวะมาทักทาย...
ชื่อแปลกจังค่ะ การตลาดหางยาว สงสัยพี่จะต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมบ้างแล้ว..
สุขสันต์วันจันทร์นะคะ...


โดย: พี่มารูน.. IP: 58.8.79.125 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:0:22:35 น.  

 
เดี๋ยวนี้อะไรไก้าวหน้าจังนะคะ
แต่ก็เป็นประโยชน์กับเรามากเลย
ถ้าเมื่อไหร่เค้าเปิดบริการขายหนังสือเป้นหน้านี่
ยอดขายของอเมซอนเองคงพุ่งปรี้ดเลยแน่ๆ
ขอบคุณสำหรับสาระดีดี ที่นำมาเสนอให้ทราบค่ะ




โดย: busabap วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:0:39:26 น.  

 

น่าสนใจขอบคุณที่นำมาฝากจ้า
หลับฝันดีนะคะ



โดย: อุ้มสี วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:1:13:59 น.  

 


ดี.แวะมาส่งความคิดถึงก่อนค่ะ
เดี๋ยวดี.ไปรอหลังไมค์น๊า


โดย: d__d♥ (มัชชาร ) วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:7:42:16 น.  

 
ขอบคุณคุณรัชชี่สำหรับความรู้ใหม่ๆนะคะ

เอ..คุณรัชชี่ทำงานอยู่ในสายงานการตลาดรึเปล่าคะเนี่ย


โดย: nLatte วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:7:44:44 น.  

 
ยากจัง


โดย: จอมมารขาวดำ วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:14:56:50 น.  

 
อ้าว...ตะกี๊ไปเม้นต์บล็อกเก่า

เดี๋ยวมาอ่านอีทีค่ะ ... เรื่องนี้ไม่ถนัด


โดย: momster วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:16:12:31 น.  

 
เห็นเรื่องนี้ บอกได้คำเดียว

อย่าว่าผมนะ อ่านได้ครึ่งเดียวเอง

แฮ่...


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:17:27:00 น.  

 

ในที่สุด .. คุณรัชชี่ ก็เขียนบทความเสร็จ ดูวิชาการมากๆ เลยครับ

รูปภาพกราฟประกอบก็ดูดีครับ เดี๋ยวมีโอกาสจะมานั่งอ่านอย่างละเอียดครับ

วันนี้ก็เหนื่อยอีกวันครับผม



โดย: Mega-Batt วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:20:32:24 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่รัชชี่ไม่ได้แวะมาเยี่ยมบล็อคตั้งนานต้องขอโทษด้วยนะคะ
หนูได้อ่านจากบทความ หนูนึกไม่ออกเลยถ้าหนูไปเรียนเศรษฐศาสตร์หนูจะเป็นยังไงกันนี่ แค่การแก้เงินเฟ้อ เงินฝืด หนูก็จะเอาไม่รอดแล้วค่ะ

พี่รัชชี่คะเด๋วอีกวัน 2 วันหนูจะย้ายบล็อคใหม่แล้วนะคะ


โดย: Fai_Cotton_lonely วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:21:17:02 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่จ๊ะ
เป็นคนหนึ่งที่อ่านเรื่องราวต่างๆ ของพี่ ได้ความรู้และข้อคิดดีค่ะ จะอ่านต่อไปเรื่อยๆค่ะ
ตอนนี้อากาศร้อนมากๆ ตั้งแต่ปลายกพ. แล้ว ไม่อยากนึกเลยว่า เมย. จะเป็นอย่างไรค่ะ


โดย: Joynaja IP: 203.131.217.12 วันที่: 7 มีนาคม 2552 เวลา:14:01:04 น.  

 
สนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะเป็นเรืองใหม่ดีค่ะ แล้วคุณรัชชี่ก็เขียนได้ค่อนข้างดีนะคะ แต่อาจจะขาดเนื้อหาบางส่วนไปบ้าง ในภาคปฏิบัติอื่นๆซึ่งนอกเหนือจากเวปไซด์แล้ว กลยุทธ Long Tail สามารถนำมาใช้ได้จริงๆกับร้านค้าทั่วไป เรียกว่ากลไกขายแบบอัติโนมัติ ก็มีนะคะ เลยไม่อยากให้เพือนๆเข้าใจว่า Long Tail เป็นแค่การทำการตลาดบนเวปไซด์เท่านั้น แต่จริงๆแล้ว Long Tail มีกลยุทธกลวิธีอีกมากมายเพิ่มยอดขายและที่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในร้านค้าที่เปิดจริงๆ ได้ด้วยเหมือนกันค่ะ ขอบคุณ คุณรัชชี่นะคะ ที่เขียน Blog ดีๆขึ้้นมาและให้พวกเราได้มา Share Idea กัน


โดย: aeae IP: 58.8.142.190 วันที่: 22 มีนาคม 2552 เวลา:4:46:34 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณรัชชี่

มุมกลักไม้ขีดความจริงป้าเคยแวะมาเมียงๆมองๆนะคะ เพียงแต่ไม่ได้ฝากคำไว้

แนวเขียนของคุณรัชชี่จะเน้นสาระและค่อนไปทางวิชาการซึ่งจะเหมาะมากกับคนในแวดวงเดียวกัน
แต่จะหนักและต้องปีนกระไดสำหรับคนที่ไม่มีพื้นทางนี้

แต่เรื่อง…ทำตัวให้เป็นปลาเล็ก ฉบับ มี.ค. 52 แม้จะเน้นสาระก็ไม่ถึงกับต้องปีนกระได
คนนอกวงการสามารถอ่านได้เข้าใจและรับสิ่งที่คุณรัชชี่ต้องการสื่อได้

สรุปแล้วเพราะตัวตนของคุณรัชชี่คือสาระ ดังนั้นสิ่งที่สื่อออกมาจึงหนีไม่พ้นสาระ
อีกอย่างป้าเข้าใจว่าเพราะคุณรัชชี่ต้องการให้กลักไม้ขีดมีภาพลัษณ์เป็นกลักของสาระด้วย
จึงเชื่อว่า….กลักไม้ขีดจะคงคุณภาพ คงสาระเช่นนี้ตลอดไป

กลักไม้ขีด…อาจเป็นคอลัมน์เล็กๆจากวารสารขององค์กรหนึ่ง
ชื่อกลักไม้ขีด….ฟังดูน่ารัก ป้าตีความว่าคือคมปัญญาที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในกล่องเล็ก
เมื่อใดที่เปิดฝา คมปัญญานั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คน

เพียงแต่ตอนนี้กลักไม้ขีดยังซุกอยู่ในมุมหนึ่งขององค์กร การเปิดตัวจึงยังอยู่ในวงจำกัด
วันใดที่ข่ายงานขยายกว้างขึ้น และวารสารมีโอกาสเปิดตัวกับโลกนอกองค์กร
วันนั้นกลักไม้ขีดจะโตตามไปด้วย

ฝันของคุณรัชชี่แม้จะยังไม่ถึงปลายทาง แต่ก็ได้เดินออกจากเส้นสตาร์ทแล้ว

คุณรัชชี่สามารถเก็บเกี่ยวความสุขบนเส้นทางนี้ได้ ….ตลอดเวลา
โดยไม่ต้องรอตะโกนไชโยเมื่อถึงปลายทาง
ป้าเป็นกำลังใจค่ะ



โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:11:13 น.  

 
Merry Christmas Khap

Glitter Graphics






โดย: puppy_art วันที่: 25 ธันวาคม 2552 เวลา:12:33:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รัชชี่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




พี่มานิต ประภาษานนท์ เป็นผู้ชักชวนเข้าสู่วงการการเขียนบล็อก ด้วยประโยคว่า
“จ๊ะเขียนบล็อกซี"

เริ่มเขียนบล็อก : 24 ก.ย. 51




สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก






Setting program for counting visitors since 7 Nov. 2009
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add รัชชี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.