สวัสดีครับหลังจากห่างหายกันไปนานถึง 5 เดือนก็กลับมาเขียนใหม่ครับ ที่หายไปนานเพราะมีงานมารุมเร้ามากมายเหลือเกินและข้อสำคัญมีปัญหาให้แก้ไขกันมากมาย ทั้งเรื่องคนงานไม่ยอมลงงานบ้าง ทำผลงานไม่ได้ตามที่ตกลงกันบ้าง มากมายจิปาถะพอเผลอแป๊ปเดียวผ่านไป 5 เดือนแล้ว ในความเป็นจริงผมก็มาที่ไซต์งานนี่ทุกๆอาทิตย์แหล่ะครับแต่เนื่องจากไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้าแบบเป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดีตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วเลยมีอะไรให้เขียนหน่อย
เริ่มจากสวนกลางบ้านตอนนี้ต้นไม้เริ่มออกใบ เติบโตดีแล้วรอบทางเดินก็ขึ้นฝ้าระแนงเรียบร้อยแล้ว เรื่องฝ้าระแนงนี่จริงๆต้องวางแผนกันให้ดีน๊ะครับมิฉะนั้นอาจปวดหัวอย่างผมได้ ขอเริ่มเล่าเลยแล้วกันครับ
ฝ้าเรียบภายในบ้านขึ้นเรียบร้อยแล้วตำแหน่งที่เห็นเป็นรูอยู่คือรอสกัดเสาเพื่อฝังท่อน้ำทิ้งเพิ่มเข้าไปเพราะหลังจากที่ฝนตกหนักๆพบว่ารางน้ำระบายน้ำไม่ทันทำให้น้ำไหลย้อนเข้าไปที่ flashing และรั่วลงมาที่ฝ้าครับ คนที่จะทำรางน้ำแนะนำให้ทำทางลงของน้ำเยอะๆครับโดยเฉพาะถ้าพื้นที่รับน้ำมาก เมื่อไหร่ที่พื้นที่รับน้ำมากและ slope ของหลังคามากอาจเกิดปรากฎการณ์น้ำกระเฉาะได้ครับ เมื่อน้ำกระแทกเข้ากับรางน้ำแรงๆมันจะกระเฉาะ ลองจินตนาการดูว่า ก่อนที่ช่างจะยึดหลังคา metal sheet ช่างก็จะวางรางน้ำก่อน หลังจากวางรางน้ำเสร็จแล้วก็จะยึดหลังคา metal sheet โดยให้หลังคา metal sheet วางตัวอยู่บนรางน้ำ แล้วช่างก็จะยิงซิลิโคนยึดระหว่างรางน้ำและขอบของแผ่นหลังคา metal sheet เอาไว้(ซิลิโคนที่ว่านี้อายุการใช้งานโดยปกติก็จะไม่เกิน 2 ปี)คราวนี้หากรางน้ำตื้นหรือกว้างไม่เพียงพอที่จะรองรับน้ำได้แล้วน้ำล้นรางออกมาหลังจากที่ซิลิโคนหมดอายุแล้วมันก็จะรั่วลงมาใส่ฝ้าให้เห็นเป็นดวงๆครับ
ฝ้าทางเดินก็ปูเกือบจะเสร็จแล้วเหลือแค่แนวเศษร่องเดียวซึ่งจากการคำนวณดูแล้วน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที เรื่องเวลานี่ผมไม่ได้โม้น๊ะครับฝ้านี่เค้าขึ้นกันเร็วมากๆ คนนึงช่วยยกอีกคนยิง ปื๊ดๆ เสร็จครับ
ฝ้าทางเดินด้านนี้ยึดเสร็จแล้วแต่เหมือนตกท้องช้าง พอลองเอาซีไลน์วางทาบจากด้านใต้ท้องเพื่อตรวจสอบระดับดู มันตกท้องช้างจริงๆ เลยบอกให้ช่างแก้
ช่างไฟเจาะช่องไฟสำหรับทางเดินไว้เรียบร้อยแล้วโผล่สายมารอเตรียมใส่โคมครับ
ในห้องนอนปูพื้นไม้เป็นที่เรียบร้อย ทางบริษัทปกป้องพื้นไม้ด้วยการปูด้วยกระดาษลูกฟูกแต่ผมว่ามันยังไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่เลยสั่งไม้อัดมาวางทับหน้ากระดาษลูกฟูกอีกที
พื้นไม้ที่ปูคือพื้นไม้โอ๊คสีธรรมชาติ อันที่จริงนี่พื้นไม้ผมสั่งมาประมาณ ปีกว่าๆแล้วมัดจำไปแล้วด้วยครึ่งนึงอยากได้ solid oak wood แต่เชื่อไม๊ครับช่วงที่จะติดตั้งโทรบอกทางบริษัทพื้นไม้ให้เตรียมเข้ามาวัดพื้นที่จริง บริษัทบอกผมว่าพื้นไม้ที่ผมสั่งจองไว้ไม่ทำแล้วตอนนี้ที่บริษัทมีเพียงพื้นไม้สักซึ่งมันไม่เข้ากับบ้านอย่างแรงแต่ราคายิ่งแรกกว่าความไม่เข้ากันอีกครับ เอ่อลืมเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพื้นไม้ไปครับ
พื้นไม้มีหลายชนิดมากครับถ้าจะให้ผมแบ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าจะแบ่งโดยใช้หลักเกณฑ์อะไรดี แต่ถ้าเอาในแบบที่ผมพอเข้าใจก็สามารถแบ่งพื้นไม้ออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆครับคือ
1 พื้นไม้เทียม
พื้นไม้เทียมหมายความว่าไม่มีส่วนที่เป็นไม้ชนิดนั้นจริงๆอยู่เลยเป็นสิ่งที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้เหมือนกับพื้นไม้จริงๆ ในปัจจุบันที่เราๆท่านๆใช้กันก็จะมี
กระเบื้องลายไม้
แต่ก่อนกระเบื้องลายไม้จะไม่ค่อยเหมือนไม้เท่าไหร่เนื่องจากขนาดที่เท่ากับกระเบื้องทั่วๆไป ลายพิมพ์ที่ไม่เนียนอย่างแรงมองเห็นตั้งแต่ระยะ 5 เมตรได้ว่าเป็นกระเบื้อง ความเงาที่สะท้อนอย่างกับกระจก แต่ปัจจุบันกระเบื้องลายไม้พัฒนาไปมากโขเลยครับ เริ่มจากมีขนาดที่เท่ากับแผ่นไม้จริง ลายพิมพ์แบบ hd ตัวกระเบื้องมีผิวสัมผัสนูนสูงต่ำและการสะท้อนแสงที่เป็นลักษณะกึ่งเงากึ่งด้าน แต่ราคาก็เรียกได้ว่าแทบจะเท่ากับพื้นไม้จริงครับ ผมเชื่อว่าอีกซักหน่อยราคาน่าจะถูกลงมากเพราะปัจจุบันที่แพงเป็นเพราะค่า know how และค่าแม่พิมพ์ครับ
พื้นลามิเนต
บางบริษัทบอกว่าพื้นลามิเนตของบริษัทตัวเองแข็งแรง ทนทาน กันน้ำได้ ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยครับว่าไม่มียี่ห้อไหนกันน้ำได้แน่นอนครับ อย่าว่าแต่กันน้ำเลยครับถ้ายี่ห้อที่ไม่ค่อยดีบางๆเนื้อหลวมๆโดนแค่ความชื้นจากอากาศก็แทบจะบวมแล้วครับ แต่พื้นลามิเนตมีข้อดีตรงที่ราคาถูกและหน้าของพื้นนี่แข็งมากขนาดว่าเอาตะปู(หัวทื่อๆหน่อยน๊ะครับ)มาขีดยังไม่เป็นรอยเลยครับ ติดตั้งง่ายวันเดียวปูได้เป็นร้อยๆตรม.เลยครับเพราะระบบการติดตั้งแค่ปูโฟมบนพื้นคอนกรีตวางแผ่นแล้วตอกๆๆให้มันล็อคกันตามลิ้นที่ออกแบบมาพอถึงริมกำแพงก็ให้อีกชิ้นส่วนคั่นเอาไว้แล้วใช้บัวปิดเก็บความเรียบร้อยด้วยซิลิโคน
กระเบื้องไวนิล
คล้ายกับกระเบื้องยางสมัยก่อนครับแต่มีความแข็งมากกว่าปัจจุบันหลายยี่ห้อทำออกมาขายกันเยอะครับเนื่องจากมีข้อดีมากมายตั้งแต่ ราคาที่ถูกกว่าทั้งพื้นลามิเนตและกระเบื้องลายไม้ น้ำหนักเบา ทนฝน แต่ไม่ค่อยทนแดด ติดตั้งง่าย เพราะแค่ทากาวบนพื้นแล้ววางทับรอกาวแห้งเป็นอันเสร็จพิธี บางบริษัทเห็นมีกระเบื้องไวนิลแบบร่องลิ้นด้วยครับเค้าเคลมว่ามันติดแน่นและเรียบร้อยกว่าแต่ผมว่ามันก็คล้ายๆกันครับ
ซีเมนต์บอร์ด
ตัวแผ่นทำจากซีเมนต์ล้วนๆเลยครับไส้ในก็ซีเมนต์ไม่มีการใส่เหล็กใดๆทั้งสิ้นแต่บางยี่ห้อก็ใส่พวกไฟเบอร์เข้าไปตัวอย่างก็อย่างเช่นยี่ห้อ conwood ของอินทรี ไฟเบอร์ซีเมนต์ถ้าจะให้แน่นอนไม่แตกก็ต้องปูบนพื้นซีเมนต์ปรับระดับครับแต่บางแบบทางบริษัทก็แนะนำว่าสามารถปูบนตงได้แต่ระยะห่างตงไม่ควรเกิน 30 ซม. หลังจากปูบนซพื้นซีเมนต์แล้วก็จะต้องเจาะปุ๊กเพื่อยึดแผ่นซีเมนต์บอร์ดไว้กับพื้นหลังจากนั้นจึงใช้ยาแนวปูนนี่แหล่ะครับเก็บรอยหัวตะปูและขัดด้วยกระดาษทรายจากนั้นใช้สีทา หลังจากทาแล้วตัวซีเมนต์บอร์ดก็จะออกมาหน้าตาเหมือนกับไม้เลยครับแต่มีความแตกต่างจากไม้อยู่อย่างนึงครับคือมันจะอมความร้อนมากกว่าไม้มาก คือถ้าหากพื้นที่ทำจากซีเมนต์บอร์ดตากแดดไว้นานๆมันจะร้อนกว่าพื้นไม้มากครับ
2พื้นไม้จริง
ไม้ที่นิยมนำมาทำพื้นโดยทั่วไปในเมืองไทย คือ ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้สัก ไม้แดง ไม้โอ๊ค แต่วิธีการนำมาปูก็มีหลากหลายวิธี อีกทั้งขนาดของไม้ที่นำมาปูก็มีหลากหลายเช่นกันแต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป เอาแบบคร่าวๆที่ผมพอรู้ก็แบ่งได้ซัก 2 วิธีล่ะกันครับคือ แบบวางบนตง และแบบปูบนพื้นซีเมนต์เลย
แบบปูบนตง มีวิธีและขั้นตอนดังนี้
ยึดตงลงบนพื้นซีเมนต์
ตงที่ว่านี้ก็คือไม้เหมือนกันครับ ก่อนที่จะทำการปูไม้ลงไปบนพื้น ช่างจะทำการยึดตงลงไปบนพื้นซีเมนต์ก่อนครับ วิธีการยึดตงไม้เข้าไปบนพื้นซีเมนต์ก็มีหลายวิธีแล้วแต่ความถนัดของช่างแต่ละคน หลักการคือทำอย่างไรก็ได้ให้ตงที่ยึดลงบนพื้นซีเมนต์ได้ระดับเดียวกันทั้งผืนครับ โดยปกติช่างก็จะยิงปุ๊กลงบนพื้น เจาะไม้ตงให้เป็นรูแล้วยิงสกรูผ่านไม้ให้ยึดกับปุ๊กที่อยู่ใต้พื้น แน่นอนว่าจะต้องทำการปรับระดับของไม้ตง ดังนั้นช่างจึงจำเป็นที่จะต้องสอดเศษไม้บางส่วนลงไปตรงช่องว่างระหว่างตงไม้กับพื้นซีเมนต์เพื่อให้ตงไม้ได้ระดับกันทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องกำชับช่างที่ทำการปรับระดับตงไม้ว่าไม้ที่จะใช้สอดเข้าไปในช่องว่างระหว่างตงไม้กับพื้นซีเมนต์ควรจะต้องเป็นไม้เนื้อแข็ง ถ้าเป็นไปได้ให้เป็นชนิดเดียวกันกับตงไม้ครับ แล้วอย่าลืมทาน้ำยากันปลวกด้วยน๊ะครับ บางที่อาจใช้น๊อตตัวผู้ตัวเมียและแหวนรองตั้งระดับของตงไม้ ถ้าใช้วิธีนี้ก็ไม่ต้องใช้เศษไม้รองด้านล่างตงไม้ครับ หลังจากที่วางตงไม้ได้ระดับแล้วทั้งหมดจึงทำการยึดไม้ที่จะต้องการปูลงบนตงไม้ครับ ก่อนขั้นตอนนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะเทคอนกรีตเข้าไปในช่องว่างระหว่างตงไม้กับพื้นคอนกรีตหรือไม่ การเทคอนกรีตเข้าไปจะสามารถยึดตงไม้ไม่ให้เคลื่อนที่ได้และเสริมความแน่นหนาให้กับตัวตงไม้ ระดับที่จะเทคอนกรีตในร่องตงไม้ก็มีผลบางคนเลือกที่จะเทเต็มเสมอตงไม้เลยแต่บางคนบอกว่าเทแค่ระดับครึ่งเดียวของความสูงตงไม้เพราะต้องการให้ใต้พื้นไม้มีอากาศลดการโก่งตัวของไม้ที่จะปู
วิธีการยึดไม้ลงบนตง
ช่างนิยมทำกันมี 2 วิธีคือ 1 การยิงลงบนหน้าไม้ตรงๆให้ไปยึดกับตงไม้ครับ วิธีนี้ง่ายแน่น แม่นยำแต่เห็นหัวตะปูซึงช่างจะต้องยิงหัวตะปูให้จมลงพื้นไม้แล้วโป๊วเก็บสีเอาครับ2 การยิงตะปูลมหรือการยิงตะปูเกลียวเข้าไปในร่องรางลิ้นโดยการยิงลักษณะนี้จะต้องยิงทำมุม 45 องศากับร่องรางลิ้น เหตุผลในการยิงตะปูลักษณะนี้เพราะไม่ต้องการให้เห็นหัวตะปูโผล่ออกมาบนพื้นไม้ครับหลังจากการยึดไม้แผ่นที่ 1 เสร็จแล้วช่างก็จะเอาไม้แผ่นที่ 2 ปูต่อจากไม้แผ่นที่ 1 โดยให้ร่องรางลิ้นสอดรับกันแล้วจึงยิงตะปูเข้าร่องรางลิ้นแผ่นที่ 2 ต่อไปจะเห็นว่าการยิงตะปูจะยิงได้เพียงตำแหน่งร่องรางลิ้นเท่านั้นดังนั้นหากไม้ที่เราต้องการจะปูหน้ากว้างเกินกว่า 6 นิ้วผมแนะนำว่าอย่าใช้วิธีการยึดไม้แบบนี้ครับ วิธีการยึดไม้โดยยิงตะปูเข้าไปที่รางลิ้นนี้อาจไม่สามารถยึดพื้นไม้ให้เรียบเสมอได้ตลอดแนวเพราะไม้มีแรงบิด โก่งมากดังนั้นหลังจากที่ช่างยึดด้วยวิธียิงเข้าร่องรางลิ้นเสร็จแล้วช่างจะต้องตรวจสอบดูว่าส่วนไหนโก่ง ซึ่งช่างก็จะต้องใช้การยิงลงบนหน้าตรงๆเพื่อบังคับส่วนที่บิดโก่งให้เรียบลงครับ
วิธีการขัดพื้นไม้
ช่างจะใช้เครื่องขัดโดยปกติจะใช้เครื่องตัวใหญ่ๆที่เรียกว่ารถถัง ปรับระดับพื้น รถถังที่ว่านี้เป็นเครื่องขัดไม้สายพานขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ดังนั้นตอนที่ช่างกำลังขัดอยู่ก็ขอให้ท่านเจ้าของบ้านอยู่ห่างๆเลยครับเพราะนอกจากเสียงที่ดังไป 8 บ้าน 10 บ้านแล้วยังมีฝุ่นไม้และควันเสียจากเครื่องออกมาอีกครับ วิธีการขัดก็จะขัดไล่จากผ้าทรายหยาบไปละเอียดก็แล้วแต่ความชำนาญของช่างและระดับความเรียบของพื้นว่าจะใช้ผ้าทรายเบอร์อะไรครับเบอร์ที่จะช่างจะเลือกใช้ก็ประมาณ 60 80 100 120(เบอร์ยิ่งมากยิ่งละเอียดครับ) หลังจากขัดหยาบด้วยรถถังใหญ่ก็จะมาเก็บด้วยรถถังเล็กที่เป็นงานละเอียด และขัดด้วยมือในส่วนที่เครื่องเข้าไม่ถึงเพื่อให้พื้นเรียบโดยจะจบลงที่ประมาณเบอร์ 320 ครับ
วิธีการลงสารเคลือบหน้า
หลังจากขัดพื้นเสร็จแล้วก็ต้องลงสารเคลือบหน้าครับเพราะสารเคลือบหน้ามีคุณสมบัติปกป้องพื้นไม้จากอากาศพร้อมทั้งเป็นฟิลม์บางๆที่มีความแข็งแรงสูงมากๆ สารเคลือบหน้าก็มีให้เลือกหลายประเภทแต่ที่นิยมในเมืองไทยก็จะเป็นโพลียูริเทนครับยี่ห้อดังๆในตลาดก็ เบเยอร์ เคมเกรซ แล้วแต่ชอบครับ การทาโพลียูริเทนจะต้องผสมตัวทำละลายตามอัตราส่วนที่ทางบริษัทให้มาครับแต่หลักการทั่วไปคือพยายามทาบางๆเพราะหากว่าช่างทาหนาเกินไปผิวจะไม่เรียบครับ ปกติช่างจะทา 3 รอบเป็นอย่างต่ำ ในแต่ละรอบที่ทาจะต้องรอให้แห้งและขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ละเอียดตั้งแต่เบอร์ 320 ขึ้นไปสาเหตุที่จะต้องใช้กระดาษทรายขัดในทุกรอบที่ทาเป็นเพราะเมื่อไม้ถูกสารเคลือบหน้าจะทำให้เสี้ยนไม้มันเด้งตัวขึ้นมา(เสี้ยนไม้มีขนาดเล็กมากๆ)เราจำเป็นที่จะต้องใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดไปตัดเสี้ยนที่มันเด้งขึ้นมาครับ มีเทคนิคการทาอยู่นิ๊ดนึงครับคือในแต่ละรอบที่ทาทับหน้าชั้นก่อนหน้าควรจะผสมตัวทำละลายให้มากขึ้นครับกล่าวคือให้โพลียูริเทนมีความเข้มข้นน้อยลงเรื่อยๆ ในรอบสุดท้ายที่ทาเอาให้บางๆเลยครับแล้วพื้นจะเรียบเนียน ก่อนขั้นตอนการลงสารเคลือบหน้าถ้าหากคิดว่าสีไม้ที่ได้มาไม่สม่ำเสมอหรือไม่ชอบโทนสีไม้ที่ปูอยู่ก็สามารถย้อมสีไม้ได้ครับโดยช่างจะผสมสี ดำ เหลือง แดง ให้ได้เฉดสีที่เจ้าของบ้านต้องการ ถามว่าทำไมไม่ย้อมมันตั้งแต่ก่อนขัดคำตอบคือสีย้อมมันจะอยู่แค่ผิวๆขัดก็หลุดลอกออกครับ แล้วอีกอย่างก่อนทำการขัดหน้าไม้จะยังดูสีจริงๆไม่ค่อยออกครับ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบย้อมสีไม้ครับชอบที่มันเป็นสีธรรชาติ ช่างบางคนบอกว่าไม้ที่นำมาปูสีมันไม่สม่ำเสมอเลยต้องการย้อมเพื่อให้สีไม้ออกมาคล้ายกันแต่ความจริงแล้วผมว่าไม้มันสวยก็เพราะสีมันไม่เหมือนกันนี่แหล่ะครับ การที่เราไปย้อมสีไม้มันจะทำให้เห็นลายไม้ไม่ค่อยชัดด้วยครับถ้าจะย้อมก็ต้องย้อมทั้งหมดไม่อย่างนั้นมันจะหลอกตาครับ ไม้บางแผ่นลายชัด บางแผ่นลายไม่ชัด
แบบปูบนพื้นซีเมนต์ มีวิธีและขั้นตอนดังนี้
ปรับพื้น
ปรับพื้นให้ได้ระดับขัดมันฟังดูเหมือนง่ายแต่จริงๆไม่ง่ายครับการปรับพื้นให้ได้ระดับจะต้องได้ระดับจริงๆแค่ดีดเต๊าตรงแนวกำแพงแล้วปาดตรงตรงกลางห้องอาจจะเป็นแอ่งก็ได้ดังนั้นช่างจะต้องสร้างระดับในทุกๆ1 ตรม.ครับโดยอาจจะปั้นเป็นปูนหรือจะใช้ตะปูคอนกรีตตอกโดยขึงแนวเทียบจากเส้นเต๊าตรงขอบกำแพง ถ้าหากปรับแล้วพื้นยังไม่ได้ระดับก็ยังสามารถแก้ไขได้ครับโดยใช้ปูนที่สามารถสร้างระดับได้ในตัวที่ homepro มีขายครับ มีหลายยี่ห้อด้วยแต่ที่เห็นใช้ๆกันก็ lanco ครับราคาก็แพงกว่าปูนปกติอยู่มากโขทีเดียว หลักการของปูนที่สามารถสร้างระดับได้ด้วยตัวเอง(self leveling)คือมันเหลวมากกว่าปูนปกติครับคือแทบจะเป็นน้ำอยู่แล้วขั้นตอนการใช้ก็ต้องทาน้ำยาประสานก่อนแล้วจึงเท ปูน self leveling
ปูรองพื้น
โดยปกติช่างจะปูวัสดุรองพื้นก่อนที่จะทำการปูจริงเพื่อความเรียบของพื้นป้องกันปัญหาแนวแอ่งปูนที่ไม่ได้ระดับ หลายคนคงสงสัยว่าถ้ามีวัสดุรองพื้นก่อนแล้วจะต้องปรับพื้นซีเมนต์ให้ได้ระดับทำไม คำตอบคือวัสดุรองพื้นแค่ช่วยปรับระดับเล็กน้อยเท่านั้นเองครับถ้าระดับต่างกันมากๆมันย่อมไม่สามารถช่วยได้ครับ วัสดุรองพื้นก็แล้วแต่ความถนัดของช่างแต่ละคนแต่ก่อนใช้ไม้อัดทาน้ำยากันปลวก แต่เดี๋ยวนี้เห็นช่างใช้ viva board ครับเนื่องจากไม่ต้องทาน้ำยากันปลวกและปลวกก็ไม่กินด้วย ราคาอาจจะสูงกว่าไม้อัดนิ๊ดหน่อยแต่ผมว่าคุ้มครับ
ปูพื้นไม้จริง
หลังปูรองพื้นเสร็จแล้วช่างจะทากาวลงบนแผ่นไม้ที่จะปูและติดลงบนวัสดุรองพื้นเลยครับโดยกาวที่ใช้ก็จะเป็นกาวลาเท็กซ์ครับ แต่ก่อนผมคิดว่ากาวลาเท็กซ์มันจะแน่นเร้อ เอาเข้าจริงๆเชื่อไม๊ครับว่าถ้าพยายามดึงไม้ที่ติดด้วยกาวลาเท็กซ์ออกเนื้อไม้จะฉีกก่อน ไม่น่าเชื่อว่ามันยึดเกาะดีกว่าเนื้อไม้เกาะกันเองอีกครับแต่ต้องเป็นกาวลาเท็กซ์คุณภาพดีๆน๊ะครับ ปกติเห็นช่างใช้กันแค่ 2 ยี่ห้อ kot-100 กับ TOAแดง ครับ การปูพื้นไม้จริงช่างจะเว้นระยะห่างจากผนังประมาณ 1 ซม.แล้วหาเศษไม้ยัดไว้ไม่ให้ไม้ที่ปูติดชิดผนังเพื่อป้องกันการขยายตัวของไม้ครับ โดย 1 ซม.ที่ว่านี้จะเป็นระยะที่ถูกบัวไม้ปิดทับไปเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการปูพื้นไม้ แต่บางบริษัทก็ปูโดยวิธีอัดครับคืออัดเข้าลิ้นกันไปเรื่อยๆครับ วิธีนี้พื้นต้องได้ระดับจริงๆครับไม่อย่างนั้นเดินไปเดินมาไม้กระเด้งขึ้นมาแน่ๆครับ
ขัดพื้น
ขั้นตอนนี้ก็เหมือนที่เขียนมาข้างต้นในวิธีขัดพื้นไม้ จากนั้นก็ลงสารเคลือบหน้าครับ
จะพบว่าขั้นตอนการขัดพื้นและทำสีจะมีปัญหาตามมามากที่สุดครับทั้งปัญหาเสียง เสียงดังจากการใช้รถถังขัดพื้น กลิ่น กลิ่นจากสารเคลือบหน้า และความเลอะเทอะ จากการขัดพื้นไม้บางท่านอาจสงสัยว่าขัดพื้นไม้มันเลอะเทอะยังไง ถ้าท่านได้ไปเห็นสภาพตอนที่ช่างขัดจะหายสงสัยทันทีครับ ฝุ่นละอองไม้ปลิวว่อนทั่วทั้งบริเวณ ผนังที่ทำสีเสร็จแล้วจะเปลี่ยนสีไปในบัดดลเนื่องจากฝุ่นไม้ หนำซ้ำฝ้าก็ยังเปลี่ยนสีอีกด้วย อาจมีคนตั้งคำถามว่าอย่างนี้รองขัดพื้นเสร็จแล้วค่อยทำสีก็แก้ปัญหาได้แล้วสิ ใช่ครับแต่ถ้าทำอย่างนั้นท่านก็ต้องเสี่ยงกับการที่ช่างสีจะทำพื้นท่านเสียหายจากนั่งร้านที่เลื่อนไปมาบนพื้นไม้ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วหรือปัญหาจากสีที่หกลงมาบนพื้นไม้ ในความเป็นจริงก็สามารถป้องกันพื้นได้ครับโดยใช้ไม้อัดปูทับหน้าป้องกันงานสีแต่ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ท่านเจ้าของบ้านก็คงต้องเลือกเอาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งครับ
ดังนั้นจึงมีคนคิดทำไม้พื้นแบบที่ขัดและลงสารเคลือบหน้าแล้วเรียกกันว่าพื้นไม้สีสำเร็จ แน่นอนครับว่าราคาก็ย่อมแพงว่าไม้ปกติอยู่มากโข อย่างเช่นถ้าเป็นไม้สักอาจจะตรม.ละ 2500-3000 บาท แต่ถ้าทำสีสำเร็จก็จะประมาณ 4000 นิ๊ดๆครับ
นอกจากพื้นไม้เทียมและพื้นไม้จริงแล้วมีพื้นไม้อีกชนิดนึงที่เป็นนวัตกรรมใหม่เป็นการประยุกต์ลดต้นทุนของพื้นไม้จริงเรียกว่า engineering floor เป็นการนำไม้จริงบางๆมาปะหน้าลงบนพื้นไม้ราคาถูกเพื่อลดราคาต้นทุนและการบิดตัวของไม้ครับ โดยปกติแล้ว engineering floor จะเป็นไม้แบบที่ทำสีสำเร็จมาแล้วครับวิธีการปูก็จะคล้ายๆกับการปูบนพื้นซีเมนต์ครับแต่มีขั้นตอนการปูโฟมเพิ่มเข้ามา คือ ปรับพื้น ปูรองพื้น ปูโฟม ปูพื้นไม้ engineering floor โดยวิธีการอัดเข้าลิ้น
หมายเหตุ
ปูโฟม
หลังจากปูรองพื้นเสร็จแล้วจะต้องปูโฟมต่ออีกชั้นเพื่อให้พื้นไม้จริงที่จะปูทับวัสดุรองพื้นแน่นครับ ช่างบางคนบอกว่าโฟมรองพื้นที่เหมาะที่จะนำมาใช้รองคือโฟมดำ EVA แต่โดยทั่วไปผมเห็นช่างจะใช้โฟมขาวๆบางๆกันครับ
ที่บ้านผมใช้พื้น engineering floor อัดเข้าลิ้นครับเหมือนในรูปจะเห็นว่าแผ่นสุดท้ายที่ติดตั้งจะต้องตัดแผ่นออกครึ่งนึงคือต้องเลือกระหว่างตัดแผ่นหน้าประตูทางเข้าหลักหรือหน้าประตูอลูมิเนียมออกสวน ผมเลือกตัดที่หน้าประตูอลูมิเนียมออกสวนครับ
ด้านขวาบนเป็นพื้นกระเบื้องภายในตัวบ้านปูระดับเสมอกับขอบประตูอลูมิเนียมส่วนด้านขวาล่างเตรียมพื้นขดมันไว้รอปูพื้นไม้เทียม conwood ครับ
ฝ้าระแนงสวนภาในตัวบ้านขึ้นเสร็จแล้ว
ภายในห้องน้ำใช้เครื่องทำน้ำร้อนแบบหม้อต้มของ stiebel หวังว่าน้ำน่าจะนิ่งเวลาตอนอาบน้ำเพราะจากประสบการณ์การอาบน้ำพบว่าถ้าใช้หม้อต้มน้ำร้อนแล้วมันชอบหนาวๆร้อนๆตามแรงดันของปั๊มถึงแม้ว่าผมจะใช้ปั๊มน้ำแบบมีหม้อพักขนาดใหญ่แล้วก็ตามแต่น้ำก็ยังไม่นิ่งเลยคิดว่าจะลองใช้เครื่องทำความร้อนแบบหม้อต้มของ stiebel ดู เผื่อว่ามันจะนิ่งจากที่เคยใช้มาเครื่องทำน้ำให้ร้อนในประเทศไทยที่ใช้กันทั่วๆไปมี 3 แบบครับคือ
1.เครื่องทำน้ำอุ่น ตัวเครื่องจะโชว์ให้เห็นกันจะๆในห้องน้ำ สมัยก่อนนิยมกันมากครับเพราะติดตั้งง่าย อุณหภูมิน้ำนิ่งมากอุณภูมิสูงสุดที่ทำได้ขึ้นอยู่กับจำนวน watt ที่ซื้อ ปัจจุบันยังคงความนิยมอยู่แต่อาจจะน้อยกว่าแต่ก่อนเนื่องจากสามารถใช้กับน้ำได้เพียงจุดเดียวอีกทั้งยังดูไม่ค่อยเรียบร้อย หลักการทำงานง่ายมากครับคือตัวเครื่องจะมีช่องทางน้ำเข้าซึ่งเป็นน้ำเย็นเมื่อน้ำเย็นผ่านเข้าไปในตัวเครื่องน้ำก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อผ่านออกมาครับ กลไกของเครื่องทำน้ำอุ่นในแต่ละบริษัทจะแตกต่างกันครับบางแบบก็ใช้แบบหม้อต้ม บางแบบใช้ขดลวด ในเครื่องทำน้ำอุ่นนี้จะมีสวิสท์วัดแรงดันน้ำอยู่ครับ ถ้าแรงดันน้ำไม่ถึงเครื่องจะหยุดการทำงานทันที ที่เป็นอย่างนี้เพราะถ้าเครื่องยังคงทำความร้อนอยู่เมื่อน้ำไหลเอื่อยๆเข้าไปอยู่ในขดลวดหรือหม้อต้มนานๆอุณหภูมิน้ำที่ออกมาอาจจะลวกคนใช้ได้ดังนั้นการตัดการทำงานของเครื่องเลยดูจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าครับ
2.เครื่องทำน้ำร้อน
ปัจจุบันน่าจะเป็นตัวเลือกที่นิยมที่มากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากสามารถใช้กับน้ำได้มากกว่า 1 จุด โดยเฉพาะสามารถใช้กับอ่างอาบน้ำได้ครับ ตัวเครื่องจะถูกเก็บซ่อนอยู่แล้วแต่ว่าเราอยากจะให้ซ่อนไว้ตรงไหนโดยส่วนใหญ่แล้วจะวางไว้ใต้อ่างล้างหน้า หลักการทำงานคล้ายกับเครื่องทำน้ำอุ่นครับคือมีช่องน้ำเย็นเข้าเมื่อน้ำเย็นผ่านเครื่องก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นครับ แต่ที่ต่างกับเครื่องทำน้ำอุ่นคือโดยปกติกำลัง watt ของเครื่องทำน้ำร้อนจะสูงกว่าและการติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนจะต้องเดินสายน้ำร้อนซ่อนเอาไว้ในผนังเพื่อไปจ่ายให้กับสุขภัณฑ์แต่ละชิ้นทำให้ค่าเดินสายน้ำดีมีราคาที่สูงขึ้นมากเพราะท่อแต่ละท่อที่ต่อไปจะต้องเป็นท่อทนความร้อน ใช้ท่อพีวีซีสีฟ้าๆไม่ได้ครับ แต่ก่อนช่างจะใช้ท่อทองแดง แต่เดี๋ยวนี้มีทางเลือกอื่นแล้วครับ ท่อ ppr ก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่ผมใช้ครับ ppr ย่อมาจาก Polypropylene Random Copolymer สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 95 องศาเซลเซียส น้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง ข้อต่อใช้การละลายท่อเชื่อมเป็นเนื้อเดียวน่าจะไม่รั่วแต่ของผมก็รั่วครับอาจจะเพราะยังละลายได้ไม่ถึงที่ก็ได้--"แต่ต้องเป็นเส้นที่คาดสีแดงน๊ะครับถึงจะทนอุณหภูมิได้ 95 ถ้าคาดสีขาวจะทนได้ประมาณ 60 องศาเซลเซียส นอกจากท่อ ppr แล้วก็มีพวกท่อน้ำดำ pe ที่ใช้ต่อในจุดที่อาจมีการทรุดตัวได้เช่นภายนอกบ้านแต่ก็ไม่สามารถใช้กับน้ำร้อนได้ครับ
เสาในสวนที่ทำแล้วขัดมาหลายทีตัดสินใจกรุหินครับเนื่องจากช่างไม่สามารถเทคอนกรีตได้ตามขนาดที่บอกได้
สไตล์หินก็เหมือนเดิมครับคือดำอินเดียพ่นทรายปั่นแปรง หน้าตาเหมือนกระเบื้องเลยเพียงแต่ขอบก็ยังคงวัสดุหินเหมือนหน้าหินถ้าเป็นแกรนิตโต้ด้านข้างจะเห็นเลยครับว่าเป็นกระเบื้อง
เกเบียลวอลข้างบ้านเสร็จแล้วครับ ตอนนี้ช่างรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรใช้เวลาแค่ 3 อาทิตย์ก็เสร็จแล้วครับ
อีกด้านของข้างบ้านครับ
ฝ้าภายในห้องนอนปลายสุดของฝ้าก่อนถึงรางอลูมิเนียมมีร่องม่านเผื่อไว้ครับขนาดความกว้าง 20 ซม.
ฝ้าระแนงหน้าบ้านตรงตำแหน่งเสาเว้นว่างไว้รอให้ช่างติดตั้งหินเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยมาปูต่อครับ
เสาหินหน้าบ้านอีกต้นก็เว้นฝ้าระแนงไว้ครับ เนื่องจากเสาที่หล่อออกมาล้มดิ่งไปมากทำให้ต้องสกัดคอนกรีตออก สกัดจนเจอเหล็กเลยครับ ให้วิศวกรมาดูบอกว่ายังโอเคอยู่เพราะเสาต้นนี้ไม่ได้รับน้ำหนักอะไรมากนัก
ฝ้าระแนงข้างตัวบ้านก็ติดตั้งเสร็จแล้วเช่นกันครับ ถ้าติดตั้งฝ้าระแนงแนวนี้ปัญหาจะน้อยมาก
พื้นห้องคาราโอเกะก็ปูเสร็จแล้วผนังรออิฐเทียมมาตกแต่ง แล้วไว้ค่อยมาดูกันว่าอิฐเทียมติดตั้งอย่างไรแล้วจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร
มุมครัวของบ้านครับผมลดระดับเพดานลงมา 30 ซม.ชุดครัวผมใช้ของ ikea ซึ่่งต้องเข้าไปออกแบบและเลือกวัสดุอุปกรณ์เองแต่ไม่ยากเลยครับไว้จะอธิบายวิธีการใช้คร่าวๆในครั้งถัดไปครับ
นี่คือส่วนตู้ไฟที่ถัดมาจากส่วนครัวครับกะว่าจะทำตู้กรุตู้ด้วยเฟอร์นิเจอร์ครับ
ในส่วนของครัวมีพื้นที่ที่เอาไว้เก็บของซ่อนไว้ด้านในสุดเอาไว้เก็บพวกของแห้งครับ ชั้นวางที่จะนำมาติดตั้งในนี้ก็เป็นชุดของ ikea เช่นกัน
ก่อนจะทำการสั่งตู้ ikea ก็ต้องวัดขนาดและระยะกันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
จริงๆแล้วก่อนที่จะติดตั้งหน้าต่างอลูมิเนียมผมก็วัดระยะเทียบกับขนาดของตู้ ikea แล้วแต่พอไปตรวจสอบขนาดอีกทีจึงพบว่าตู้ ikea ต้องติดตั้งขาด้วยซึ่งขาจะมีขนาดประมาณ 7-10 ซม. ขนาดตัวตู้ล่างอยู่ที่ 80ซม. ระยะท๊อปที่จะมาวางบนตัวตู้อีก 2 ซม.ระยะกระจกผมเผื่อไว้ที่ 87 ซม.เลยไม่พอครับเกินมาก 2 ซม.มันจะกินเข้าไปในวงกบ ซึ่งวงกบมีขนาดประมาณ 3 ซม.สงสัยคงต้องปู glass coat เข้าไปในทุกด้านของหน้าต่างเพื่อทำให้ระยะวงกบเหลือเพียง 1 ซม. ในทุกๆด้านแล้วครับ
ต้นไม้ที่วางถัดจากถังน้ำรอที่จะลงดินเมื่อไซต์งานเรียบร้อยครับ
ทางเข้าส่วนที่เป็นประตูตอนนี้ให้ช่างทำบานมาใส่อยู่ครับ ประตูที่ผมใช้เป็นประตูสำเร็จรูปและเลือกใช้วงกบแบบแห้งครับ วงกบจะมี 2 แบบครับคือแบบเปียกกับแบบแห้ง แบบเปียกจะขึ้นวงกบตอนที่ช่างกำลังก่อกำแพงครับโดยตอกตะปูเป็นระยะๆด้านนอกของตัววงกบแล้วเทคอนกรีตอมตะปู ตะปูจะเป็นตัวประสานระหว่างคอนกรีตกับวงกบไม้ครับโดยทั่วไปไม้ที่ใช้ก็จะเป็นไม้เต็ง หรือไม้แดงครับ แบบแห้งจะเป็นการสร้างเสาเอ็นขึ้นมาแล้วฉาบเรียบรอวงกบสำเร็จรูปมาติดครับ วิธีนี้สะดวก วงกบสะอาด และรวดเร็ว แต่การขึ้นเสาเอ็นให้ได้ขนาดเป๊ะๆเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากครับ ช่างใช้เหล็กกล่องมาทำเป็นแบบเพื่อใช้ในการฉาบไม่อย่างนั้นจะได้ฉากค่อนข้างยากโดยเฉพาะถ้าช่างไม่ค่อยมีความชำนาญด้านก่อฉาบแบบที่บ้านผมเนี่ยครับ บริษัทประตูบอกว่าอีกประมาณ 1 เดือนนับจากนี้ประตูและวงกบจะเสร็จครับ
ร่องของประตูอลูมิเนียมค่อนข้างจะหลายร่องครับเพราะตัวประตูประกอบไปด้วยบานทั้งหมด 6 บาน คือข้างละ 3 บาน ก็ต้องมี 3 ร่องโดยร่องสุดท้ายบานจะถูก fix อีก 2 รางไว้ใส่มุ้งลวดครับ แต่ที่ต้องมี 6 เพราะ spec ของบริษัทต้องเลือกแบบ 6 ร่องครับ
ผนังคอนกรีตหล่อที่ทำตั้งแต่ต้นตอนช่างโป๊วฝ้ามาโป๊วทำสีโป๊วเลอะ แต่โชคดีที่ลองเอาเกรียงขูดๆแล้วออก กำลังคิดอยู่ว่าตอนช่างสีเข้านี่จะเลอะไหมเนี่ย
เห็นแนวสีโป๊วเลอะขอบกำแพงด้านบนเพียบเลยครับ
หน้าบ้านเริ่มทำการขุดดินเพื่อจะเทฐานรากสำหรับเกเบรียนวอล์แล้วครับขุดลงไปลึกพอประมาณ
ขุดได้หน้าฉากมากสงสัยว่าถ้าฝนตกจะถล่มลงมาไม๊เนี่ย
ตรงนี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างกำแพงข้างบ้านกับกำแพงหน้าบ้านครับระดับมันค่อนข้างจะต่างกันมากครับคือต่างกันประมาณ 1 เมตรเลยทำให้มันจบลำบากครับ