Welcome to Ricola ร่าเริง Bloggang

My way… Norway # 5... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ... ((( นั่งรถไฟเมืองฟลัม สู่ เมืองวอส)))

My way… Norway  # 5...


Smiley Smiley ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ... Smiley  Smiley 
(((
นั่ง
รถไฟ เมืองฟลัม สู่ เมืองวอส)))


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

รถไฟนำเที่ยว สายโรแมนติค ฟลัมบานา จอดรออยู่ที่สถานีรถไฟแล้ว...ซึ่งก็คือที่ท่าเรือนั่นแหล่ะค่ะ... เมื่อนักท่องเที่ยวลงจากรถไฟนำเที่ยว ก็ไปขึ้นเรือชมฟยอร์ดต่อได้ทันที...



สำหรับกรุ๊ฟพวกเรา ขึ้นจากเรือ ก็มาต่อขึ้นรถไฟได้เลยเหมือนกัน...อยู่ที่เดียวกัน...

แหม...รีบแทบแย่กลัวรถติดอ่ะค่ะ...



รถไฟนำเที่ยว ฟลัมบานา เป็นขบวนรถรูปแบบคลาสสิคโบราณ



แต่สภาพใหม่ สวยงาม สะอาด น่าใช้บริการ



หัวรถจักรก็เป็นแบบโบราณ เหมื๊อน เหมือนที่บ้านเราที่ยังใช้งานอยู่เลยค่ะ ... คุ้น ซ๊ะ คิดว่านั่งรถไฟที่หัวลำโพงเสียอีก...



ภายในตู้โดยสารค่ะ มีแต่คนไทยทั้งตู้

....สะอาด เบาะนั่งนิ่มสบาย หน้าต่างเป็นกระจก ใสแจ๋ว ยามถ่ายภาพไม่ต้องกลัวว่าทำไมกล้องชั้นถ่ายภาพออกมาไม่ชัดเสียที มัวๆพิกล......



เส้นทางนำเที่ยวทางรถไฟสายโรแมนติคนี้ ใช้เวลาสร้างถึง 20 ปี เป็นเส้นทางสายลาดชันที่สุดจากภูเขาสู่หุบเขา เป็นการโชว์ผลงานด้านวิศวกรรมได้อย่างดีเยี่ยม

โดยการเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขา มากถึง 20 แห่ง เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในการไปชมความงามของหุบเขา ทะเลสาบ ฟยอร์ด และน้ำตก ค่ะ

ถ่ายภาพจากรถไฟ เห็นแนวถนนเลียบหุบเขาค่ะ

ทั้งประเทศ นอร์เวย์มีอุโมงค์ที่ขุดเจาะทะลุภูเขาเป็นพันแห่งสำหรับการเดินทางติดต่อเชื่อมโยงกันภายในประเทศ ทั้งทางรถยนต์ และ ทางรถไฟ



เส้นทางตลอดสองฟากฝั่งทางรถไฟผ่านเมืองฟลัม ( Flam ) ซึ่ง อยู่ห่างจาก Oslo 350 ก.ม.

ฟลัมเป็นเมืองเล็กๆซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาเพื่อนั่งรถไฟขึ้นไปชมวิวบนภูเขา และผ่านหมู่บ้านที่ทาสีแดง เหลือง เขียวสดๆ ตัดกันอย่างสวยงาม



เมื่อถึงน้ำตก Kjosfossen รถไฟได้จอด ให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายภาพกันค่ะ...

น้ำตกแห่งนี้ ว่ากันว่าสวยงาม ยิ่งใหญ่ตระการตางดงามตลอดฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน...

แต่ช่วงที่ไป น้ำคงเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว เลยมีน้ำเป็นสายน้ำกระจิ๋วหลิว น่าเอ็นดู๊



นั่งรถไฟชมวิวนี้ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงหนึ่งค่ะ

เส้นทางนี้ได้ชื่อว่าเป็นรถไฟสายโรแมนติกที่สุดของโลก มีระยะทาง 20.20 กิโลเมตร



ในการนั่งรถไฟชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติฟยอร์ดอันเกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งปกคลุมเหนือพื้นดิน ภาพของหิมะที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาเส้นทางรถไฟจะผ่านอุโมงค์ลอดภูเขา สะพานข้ามหุบเขาและแม่น้ำ ตลอดจนภูมิทัศน์อันงดงามของฟยอร์ดที่มีอยู่มากมาย



และที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวชนบทมาช้านานกว่า 4,900ปีก่อนคริสตกาล



รถไฟสายฟลัมบานา เดินทางจากเมืองฟลัมซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 2 เมตร

แล่นผ่านน้ำตก Kjosfossen ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 669 เมตร แล่นไต่เขาขึ้นไป สิ้นสุดที่สถานีไมดาล

ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและขุนเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 867 เมตร

น่าทึ่งมากค่ะ รถไฟไต่เขาสูงเกือบพันเมตร...



เมื่อถึงสถานีไมดาล เราต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟจากรถนำเที่ยว ไปขึ้นรถไฟโดยสารอีกขบวน เพื่อเดินทางไปเมืองวอสค่ะ เพราะว่าที่สถานีไมดาลนี้อยู่บนเขาสูง รถบัสขึ้นไปรับนักท่องเที่ยวไม่ได้ค่ะ...

ได้นั่งรถไฟถึง 2 ขบวน เพลิดเพลินดีจัง...สนุกมากค่ะ...



ภายในขบวนรถไฟโดยสาร NSB เหมือนนั่งเครื่องบินเลยค่ะ เดินทางไปสู่เมืองวอสค่ะ



ถึงเมืองวอสแล้วค่ะ... แหม สี่โมงกว่าเองนะคะ... จะค่ำเสียแล้ว....



มิสเตอร์ไกด์พาลูกทัวร์ไปขึ้นรถโค้ชที่มารอรับที่สถานีวอส ที่นี่...

เดินๆ...อ้อมไปหลังสถานีรถไฟค่ะ...เป็นขบวนยาวเชียว...หอมสัมภาระอีรุงตุงนังตัวอ้วนกลมกันทุกคน ขึ้นไปนั่งบนรถกันครบถ้วนแล้ว...



นับหัวลูกทัวร์ อ่ะ...ครบ...เพื่อจะพาไปชมโรงแรมฟลิทซ์เชอร์ คร้าบบบ...

โรงแรมที่พระพุทธเจ้าหลวง ร.5 ของเราเคยมาประทับเมื่อครั้งเสด็จประพาสนอร์เวย์...

ขอเชิญทุกท่านลงจากรถ โรงแรมอยู่ตรงหน้าท่านคร้าบบบ...



อิ อิ ...โรงแรมอยู่ข้างสถานีรถไฟเองค่ะ...

เอ้า...ลงรถใหม่อีกรอบ...เดินๆๆๆ

โรงแรม ฟลิทซ์เชอร์ (Fleischer Hotel) ที่มีอายุเก่าแก่และเคยต้อนรับคณะของรัชกาลที่ 5 มาแล้ว



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนนอร์เวย์ในปีคริสต์ศักราช 1907 (พ.ศ.2450) หรือ ร.ศ. 126 ของเดือนกรกฎาคม และได้เสด็จประทับ ณ โรงแรมแห่งนี้...



ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวชาวไทยได้ไปเยือนนอร์เวย์จำนวนมากขึ้น และได้ดำเนินรอยเส้นทางตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง พร้อมทั้งได้ไปชมลายพระหัตถ์ของ รัชกาลที่ 5 ที่โรงแรมแห่งนี้ด้วย



ทางโรงแรมได้นำลายพระหัตถ์พร้อมลายเซนต์คณะผู้ตามเสด็จ ใส่กรอบแสดงไว้ที่ลอบบี้ชั้นสองของโรงแรม

ซึ่งถ่ายภาพได้ไม่ชัดเลย เพราะเปิดแสงไฟสลัวมาก



นอกจากนี้ก็มีลายเซนต์ของบุคคลสำคัญที่ได้มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ด้วย

แต่ถ่ายภาพไม่ชัดเช่นกัน แสงสลัวมากจริงๆ...เอาภาพวาดโรงแรมมาลงแทนแล้วกันค่ะ



แปลกๆดีค่ะ มีโชว์ส้วมในยุคร้อยปีที่แล้วให้ชมด้วย...



ออกมาด้านหน้าโรงแรม...เจอพระจันทร์ดวงโต๊ โต...เดือนครึ่งดวง ส่องแสงนวล ยามห้าโมงเย็นเหนือแมกไม้และขุนเขา

Smiley  พระจันทร์ขั้วโลกเหนือ Smiley  นี่...อยู่ใกล้เพียง Smiley มือคว้าได้...

ดวงใหญ่ และ เสี้ยวเดือนแปลกตา ว่าไหมคะ เมืองเราพระจันทร์นอน เมืองนอร์ท พระจันทร์ตั้ง อันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของการที่เงาโลกทาบบังดวงจันทร์ทำนองนี้



เช้าอีกวันหนึ่ง ณ เมืองวอส... Smiley  Smiley

ตื่นขึ้นมาชมแสงเหนือกันหน่อยค่ะ...

ความจริงไม่ใช่แสงเหนือ (แสงเหนือต้องขึ้นไปดูที่นอร์ทเคป ในฤดูหนาว)

แต่เป็นแสงอาทิตย์ยามเช้าขึ้นสาดส่อง ณ ดินแดนแห่งขั้วโลกเหนือ ที่เราไม่เคยมีโอกาสได้เห็นความสวยงามของลำแสงอาทิตย์ที่ฉาดฉายเป็นรัศมีแบบนี้ค่ะ...



ความจริง 7 โมงนี่ สำหรับเราก็เช้าแล้ว แต่ที่นั่น บ้านเมืองยังหลับใหลนิทรากันอยู่ค่ะ...



หนาวเย็น เงียบสงัด แต่เราก็ยังออกไปโต้ลมหนาว ขอกดภาพสวยๆหน่อยค่ะ



โต๊ะเก้าอี้ไม้ เย็นเฉียบจนเนื้อไม้กลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว...



วันนี้ รับประทานอาหารเช้าในโรงแรมเช่นเคย ที่นี่มีเนื้อปลาดองอย่างนึงที่ตักเป็นเครื่องเคียง อร๊อย อร่อย ทานเข้าไปไม่รู้เลยว่าเป็นเนื้อปลา ลักษณะเป็นชิ้นๆ หมักอยู่ในน้ำดอง ออกเปรี้ยวๆเค็มๆหวานๆ ดูแล้วไม่น่ากิน แต่พอตักไปทานกับพวกแฮม ชีส ไส้กรอก พวกนี้ อร่อยมากมาย ค่ะ ต้องย้อนกลับไปตักเพิ่ม อิ อิ...



เช้าแล้ว....ได้เวลาออกเดินทางจากเมืองวอสแล้วค่ะ นั่งรถชมเมืองเสียหน่อย



เราจะเดินทางไปเมืองเบอร์เก้นค่ะ ไปชม เมืองสวย เมืองมรดกโลกค่ะ
ในตอนต่อไปนะคะ...



::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

Smiley SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::










:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::





 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 22:04:33 น.
Counter : 2110 Pageviews.  

My way… Norway # 4... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ... (((กุดวาเก้น...ล่องเรือชมฟยอร์ด)))

My way… Norway  # 4...


Smiley Smiley ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ...Smiley Smiley (((กุดวาเก้น...ล่องเรือชมฟยอร์ด)))


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
กู้ดมอร์นิ่ง...อีกเช้าหนึ่งค่ะ...

...ถึงเมืองกุดวาเก้น (Gudvagen) แล้ว เราจะไปล่องเรือชมฟยอร์ดกันค่ะ...

พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศนอร์เวย์เป็นฟยอร์ด ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ หุบเขา ภูเขา และหน้าผาสูงชันที่ปกคลุมไปด้วยหิมะค่ะ SmileySmileySmiley



นอร์เวย์มีพื้นที่ราว ๆ สองในสามของไทย ลักษณะเป็นรูปปลา แล้วแต่ใครจะมองว่าเป็นปลาอะไรก็ได้ค่ะ ที่มองเผินๆจะเห็นว่าหัวปลาว่ายน้ำมาทางใต้ หางชี้ไปที่ขั้วโลก...



นอร์เวย์มีฝั่งทะเลยาวถึง 21,300 กม. และลักษณะชายฝั่ง ส่วนใหญ่เป็นแบบ Fjord ที่ซอกซอนเข้าออกจนทำให้แทบทุกเมืองอยู่ริมน้ำกันหมด



ฟยอร์ด เกิดจากธารน้ำแข็งที่กัดเซาะชายฝั่งผืนดินให้เป็นเว้าแหว่ง และเมื่อธารน้ำแข็งละลาย น้ำทะเลเข้ามาแทนที่กลายเป็นฟยอร์ด



ภูมิประเทศแบบฟยอร์ดนี้ จะพบได้ในประเทศที่อยู่ใกล้กับขั้วโลกทั้งเหนือและใต้



นั่งเครื่องบินมานานๆ แล้วก็นั่งรถทัวร์นานนน...เปลี่ยนบรรยากาศมาล่องเรือกันค่ะ...โปรแกรมเที่ยวนอร์เวย์นี้ดีมาก ได้ท่องเที่ยวครบทุกพาหนะ เพราะต่อจากล่องเรือ แล้วก็ไปนั่งรถไฟท่องเที่ยวอีก

เวรี่กู๊ดจริงๆ...



เราโดยสารเรือสำราญหรูนำเที่ยวลำนี้ไปชมความงามของ ฟยอร์ด (Fjord) ความงามมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่รังสรรค์สร้าง อันเกิดจากการกัดเซาะแผ่นดินของธารน้ำแข็งปีแล้วปีเล่า เป็นเวลาหลายล้านปีก่อน ...



การไปขึ้นเรือไปชมฟยอร์ดนี้ ต้องไปให้ทันรอบของเรือที่กำหนดด้วย ... เราไปรอบเช้า เลยต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษในวันนี้



โปรแกรมล่องเรือชมความงามของภูมิประเทศและความงดงามของธารน้ำที่คดเคี้ยวไหลซอกซอนอยู่บนชายฝั่ง ที่เต็มไปด้วยขุนเขาสูงสลับซับซ้อน นี้ คือ การล่องเรือชม ...ซองน์ฟยอร์ด (Sogne Fjord) ที่ได้ชื่อว่า เป็น King of Fjord ที่สวยงามที่สุดในนอร์เวย์ มีความยาวถึง 204 กม.จากทะเลเข้ามาในแผ่นดินค่ะ



เราใช้เวลาล่องเรือ 2 ชั่วโมง ชมธารน้ำตก และธารน้ำแข็งกลาเซียร์ที่ยังปรากฏเป็นผืนแผ่นขาวบนทิวโตรกเขา 2 ฟากฝั่ง...ซึ่งแสนจะเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติอย่างไม่รู้เบื่อ



พอลงเรือแรกๆ ต่างก็กรูกันอยู่แต่บนดาดฟ้าเรือกันค่ะ เพื่อถ่ายรูป บันทึกความงามตามธรรมชาติแบบนี้...



พลิ้วคลื่นในน้ำยามเรือแล่นกับเงาสะท้อนของโตรกเขา...



เงาของโตรกเขาสะท้อนน้ำ ที่ใสแจ๋ว



หรือความงามราวภาพศิลป์แบบนี้.....



สวยงามทุกซีนเลยค่ะ...ประทับใจที่สุด...



ริมน้ำเชิงเขาก็มีบ้านเรือนหลังน้อยๆปลูกสร้าง เรียงรายไปตามเนิน...แนบขนานธารน้ำ



บ้านสี (Falu Red) ตั้งอยู่เรียงรายกันตามริมฟยอร์ด



มาท่องเที่ยว...ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืนและฟยอร์ด แล้ว อดนึกถึงนวนิยายในอดีต เรื่อง เต็ลมา...ไม่ได้



เพราะได้เคยอ่านและประทับใจเรื่องราวของพระอาทิตย์เที่ยงคืน นางเอกสาวน้อยอาศัยอยู่บ้านริมฝั่งฟยอร์ด ...



ซึ่งได้วาดภาพประเทศในฝันแห่งนี้ที่อยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่ง...



ธรรมชาติและบ้านเรือนตามธารน้ำ สวยงาม ประทับใจจริงๆค่ะ...



ถ่ายภาพกันได้สักระยะ ดาดฟ้าเรือก็โล่ง ร้างนักท่องเที่ยวแล้วค่ะ...หนีหนาวลงไปอยู่ชั้นล่างห้องกระจกกันหมด...สู้ความหนาวเหน็บกับลมแรงไม่ไหว...



การท่องเที่ยวชมซองน์ฟยอร์ดใช้เวลา 2 ชั่วโมง อย่างจุใจ เรือก็พาพวกเรากลับมาส่งที่ท่าเรือ ซึ่งจะต้องทำเวลา ไปขึ้นรถไฟนำเที่ยวสายโรแมนติค ฟลัมบานา ต่อ ในช่วงบ่าย....



มิสเตอร์ไกด์ จึงเร่งให้รับประทานอาหารอาหารกลางวันที่ภัตรคารที่ท่าเรือเลย...หน้าตาแบบนี้ สเต๊กปลา...อร่อยดีเหมือนกัน



รับประทานเสร็จแล้ว เตรียมไปรอขึ้นรถไฟสายโรแมนติคที่ใช้เวลาสร้างถึง 20 ปี เพื่อไปชมความงามของหุบเขา ทะเลสาบ และน้ำตก ต่อค่ะ...



ระหว่างรอ ก็ถ่ายภาพต้นแอปเปิ้ล เสียหน่อย...ในฐานะที่บ้านเราไม่มีนี่คะ...

ตอนต่อไป...ไปเที่ยวเมืองฟลัมทางรถไฟกันค่ะ



:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley










::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::




 

Create Date : 10 มกราคม 2553    
Last Update : 18 มกราคม 2553 20:20:38 น.
Counter : 3452 Pageviews.  

My way… Norway # 3... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ...(((Gol…Geilo ปากประตูสู่ฟยอร์ด)))

My way… Norway  # 3


Smiley Smiley ... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ... Smiley Smiley


(((Gol…Geilo ปากประตูสู่ฟยอร์ด)))


Smiley

เดินทางออกจากออสโลค่ะ...ไปเมืองกอล (Gol) เมืองแห่งปากประตูสู่ดินแดนแถบฟยอร์ด



ระหว่างทางไปเมืองกอล แวะจุดชมวิวค่ะ



ชมบ้านเรือนของชาวนอร์ท ที่นิยมปลูกหญ้าบนหลังคา

เข้าใจว่าที่เค้าปลูกหญ้าบนหลังคานั้น เวลาหน้าร้อน ต้นหญ้าบนหลังคาคงจะช่วยกันความร้อนจากแสงแดดสู่ตัวบ้านได้ และถ้าเป็นหน้าหนาวต้นหญ้าก็จะช่วยป้องกันความหนาวเย็นแก่ภายในบ้านได้ และช่วยป้องกันหลังคาไม่ให้หิมะมาเกาะได้มากด้วย



บ้านเรือนชาวนอร์ทนิยมสร้างด้วยไม้ค่ะ หลังนี้คงเป็นร้านอาหาร เราไปแวะถ่ายรูปเฉยๆ เพราะสวยดีค่ะ



ดูๆไป ค่อนข้างคล้ายบ้านเรือนเราทางเหนือค่ะ มีศิลปะการแกะสลักไม้ มีจั่วบนหลังคา เหมือนกัน



ชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆค่ะ



ถึงจุดพักผู้เดินทางอีกจุดหนึ่ง ที่จะต้องพักรถ และคนขับรถ...พวกเราก็เข้าห้องน้ำตามระเบียบ อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นไปอีก

ที่นี่ก็ปลูกหญ้าอยู่บนหลังคาเช่นกัน ส่วนใหญ่ที่พักนักเดินทาง จะสร้างอาคารแบบคงวัฒนธรรมดั้งเดิมของบ้านเมืองไว้อย่างน่านิยมสวยงามมากค่ะ



บ้านที่มีหญ้าบนหลังคา นี่สวยน่ารักมากค่ะ......

และไม่เพียง มีแต่ต้นหญ้าเท่านั้นที่ขึ้น สารพัดต้นไม้เลยค่ะ กลายเป็นสวนบนหลังคาไปแล้ว...อิ อิ...



ด้านข้างของบ้าน เป็นวิวภูเขา และ ธารน้ำกว้างใหญ่ ยามบ่ายคล้อย



ประกอบฉากเข้าด้วยกันกับต้นไม้ที่เปลี่ยนสี สู่สีเหลืองทองอร่ามทั้งต้น



งดงามมากค่ะ...สูดลมหายใจได้ลึกๆ...เต็มปอด...แต่อากาศหนาวจัง



ใบไม้สีทอง พัดแกว่งไกว ไหวพริ้ว....



ใบไม้เปลี่ยนสี อีก ต้นหนึ่ง และ อีกต้นหนึ่ง...และ อีก ต้น....



ช่วงนี้ กลางวันสั้น แต่รักฉัน เอ๊ย...กลางคืนนั้นยาววว... บ่ายแก่ๆ เริ่มมืดแล้วค่ะ



Smiley เดินทางต่อไปเมือง เกโล (Geilo) ซึ่งเป็นเมืองอีกเมืองหนึ่งที่เป็นปากประตูสู่เขตฟยอร์ดของนอร์เวย์

ดวงอาทิตย์ทำท่าจะหรี่แสงลับลาจากท้องฟ้าแล้วค่ะ...เพิ่งจะ 4-5 โมงเย็นเองนะนี่



แวะซุปเปอร์มาร์เกตระหว่างทาง ซึ่งเป็นร้านของสหกรณ์ ให้ช้อปเสบียงสำหรับเตรียมไปล่องเรือวันพรุ่งนี้ค่ะ...



มีอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภควางจำหน่าย เหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วๆไปค่ะ



เงิน โครนเน่อร์นอร์เวย์...คูณด้วย 6 ...ราคาย่อมแพงมากสำหรับคนไทยค่ะ



อู้วววย์...หิมะตกแล้วววว....ถนนลื่นๆ เดินลงไปซื้อของต้องระวัง สงสัยว่ารถวิ่งได้อย่างไรไม่ลื่น ทางก็ไม่กว้างสักเท่าไร แถมวิ่งไปตามไหล่เขาด้วย



...ถึงโรงแรมที่พักแล้วค่ะ...

...ลงไปถ่ายภาพกับหิมะกันดีกว่าค่ะ...หิมะตกเยอะเหมือนกัน บรรยากาศสวยงามมาก



อีกสักภาพหนึ่งค่ะ ... จะว่าไป ยามหิมะตก อากาศก็ไม่ได้หนาวเย็นสักเท่าไร...ออกไปถ่ายภาพได้สบายมาก



กลับเข้ามาในโรงแรม มาทาน ดินเนอร์กันค่ะ

SmileySmileySmileySmiley Smiley


Smiley 




ปิดท้ายด้วยของหวานแสนอร่อย...



Good Morning กู้ดมอร์นิ่ง...ยามอรุณรุ่ง ณ เมืองเกโล

โอ้โห...หิมะจับบ้านเรือนขาวโพลน สวยงามจังเลยค่ะ



เป็นทิวทัศน์บ้านเรือนที่ปลูกสร้างเรียงรายรอบโรงแรมที่พักค่ะ...



รอยเท้าย่ำบนปุยนุ่น....ก็ถ่ายภาพค่ะ...สวยดี...



หิมะตกหนาเหมือนกันค่ะ เมื่อคืนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไรเลย



เช้ามาก็ขาวโพลนไปหมด



อีกบรรยากาศของความสวยงามที่บ้านเราไม่มีค่ะ



วันนี้เราจะเดินทางไปเมืองกุดวาเก้น เพื่อจะไปล่องเรือชมฟยอร์ดกันค่ะ



ทิวทัศน์สองข้างทางสวย มั่ก มั่ก...งามจนตะลึง ตึง ตึง มากกกก ชอบภาพนี้มากๆ



ทิวเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ทาบขอบฟ้า ทอดสะท้อนเป็นเงาในผืนน้ำดังแผ่นกระจกใส....สวยจริงๆ



เมืองเกโล ส่วนใหญ่เป็นสกีรีสอร์ทสำหรับการเล่นสกีในช่วงฤดูหนาว

ส่วนในฤดูร้อนจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชื่นชมความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ มีกลุ่มนักเดินเขา กลุ่มนักตกปลา และการมาพักผ่อนทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ



ถ่ายภาพจากสองข้างทางที่ผ่าน ตื่นตาตื่นใจกับความงามพิสุทธิ์มาก



ทิวทัศน์ด้านนี้ก็สวย...ด้านโน้นก็สวย สวยไปหมดทั้งสองฝั่ง ผิวน้ำเริ่มจับตัวเป็นเกร็ดน้ำแข็งแล้ว



และเมื่อผ่านโตรกเขา...น้ำ กลายเป็นหยาดน้ำแข็งย้อยไปแล้วเหมือนกันค่ะ



ตอนต่อไป เราจะไปล่องเรือชมฟยอร์ดกันแล้วค่ะ...ถึงท่าเรือแล้ว...



::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::













:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::




 

Create Date : 03 มกราคม 2553    
Last Update : 3 มกราคม 2553 21:45:42 น.
Counter : 1498 Pageviews.  

My way… Norway # 2... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ...(((ออสโล ...ชมเรือไวกิ้ง)))

My way… Norway  # 2


Smiley Smiley ... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ... Smiley Smiley (((ออสโล ...ชมเรือไวกิ้ง)))


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ทันทีที่ย่างเท้าเหยียบกรุงออสโล มิสเตอร์ไกด์ก็บึ่งพามาชมเรือไวกิ้งก่อนเลยค่ะ เพื่อที่จะได้สัมผัสตัวตนของชาวไวกิ้งแบบจะ จะ...ก่อน...เพื่อชมความเจริญในอดีตที่ยิ่งใหญ่ ของบรรพบุรุษของชาวนอร์ทที่เดินทางไปทั่วยุโรปด้วยเรือไวกิ้งนี้

แต่เผอิญ กัปตันซิ่งเรือบินมาถึงเร็วไปหน่อย...พิพิธภัณฑ์ เค๊ายังไม่เปิดเลยค่ะ...อิ อิ



เลยต้องทำเนียน พาไปชมสวนวิกเกอแลนด์แทนก่อน



แล้วย้อนกลับมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกครั้ง ในตอนสายๆ



สถานที่จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ ได้รับการบริจาคที่ดิน จาก Anne Stine และ Helge Ingstad ซึ่งได้มีการปั้นรูปของทั้ง 2 พร้อมจารึกชื่อไว้เป็นอนุสรณ์ ด้านข้างอาคารทางเข้าค่ะ...



พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง (Viking Ship Museum) ถือเป็นตำนานและรากเหง้าของชาวนอร์เวย์ ที่มีอารยธรรมเจริญมาตั้งแต่อดีต พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงเกี่ยวกับเรือไวกิ้งโบราณที่สร้างจากไม้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยขุดได้จากรอบๆออสโลฟยอร์ด นอกจากนี้ยังจัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องมือในชีวิตประจำวันที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี



เรือ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในอดีต เพราะชาวไวกิ้งใช้เรือ ทั้งในเรื่องของการรบ ทำการค้า และออกสำรวจหาดินแดนใหม่ๆ ไกลกว่าค่อนโลก

ทางตะวันออกลึกเข้าไปถึงทะเลสาบแคสเบียน
ทางตอนใต้ล่องไกล ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ทางตะวันตกไปไกลถึงนิวฟาวด์แลนด์ ทวีปอเมริกา

จนมีคำกล่าวว่า ถ้าไม่มีเรือไวกิ้ง ก็จะไม่มียุคที่รุ่งเรืองที่สุดของชาวไวกิ้ง



พิพิธภัณฑ์ที่เข้าไปชมนั้นเป็นอาคารชั้นเดียว ภายในสร้างเป็นผนังโค้งๆ เหมือนอุโมงค์ มี 3 ปีก แต่ละปีก จัดตั้งแสดงเรือไวกิ้ง ปีกละ 1 ลำ รวมจำนวน 3 ลำ



เมื่อเข้าไปภายใน จะแลเห็น เรืออุสแบนนิ ตั้งแสดงไว้เด่นสง่า



เรือไวกิ้งโบราณลำนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.850 ทำด้วยไม้โอ๊ค แกะสลักลวดลาย มีหัวงอน ท้ายงอน เป็นขดกลมๆ สวย คลาสสิค...อ่ะ...



นักโบราณคดีใช้เวลาถึง 20 ปี ในการซ่อมแซม และบำรุงรักษาอย่างดีเยี่ยม ก่อนที่จะนำมาแสดงที่นี่







ประวัติคำว่า ไวกิ้ง...ย้อนไปเมื่อครั้ง Viking Age (ค.ศ. 770-1080) เริ่มด้วยชาวเหนือที่อาศัยในแถบสแกนดิเนเวีย มีพื้นที่เพาะปลูกน้อยจึงหันมายึดอาชีพการประมง และพัฒนาการต่อเรือเดินทะเล ต่อมามีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องออกทะเลเพื่อค้าขาย



แต่พวกนี้ชอบทำตัวเป็นโจรสลัด ใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนเรือและล่องเรือไปเรื่อยๆ บางทีก็ลักขโมยหรือปล้นสะดมภ์เพื่อดำรงชีวิต ผู้คนที่อาศัยในดินแดนอื่นได้เรียกชาวเหนือพวกนี้ว่ามนุษย์ “Viking”



ในจำนวนเรือไวกิ้งทั้ง 3 ลำนี้ มีเพียงลำเดียวที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์เนื่องจากจมอยู่ในโคลน อีกทั้งได้พบหลักฐานว่าไม่เคยออกทะเล แต่ใช้เป็นที่ฝังศพของหญิงสูงศักดิ์ชาวไวกิ้ง 2 คน พร้อมกับสิ่งของเครื่องใช้สำหรับผู้ตายให้เอาไปใช้ในภพหน้า



และมีอยู่ลำหนึ่งเสียหายมาก เพราะโดนแทร็กเตอร์ของคนงานก่อสร้างโดยบังเอิญ





ส่วนช่วงหลังของอาคาร ใช้เป็นที่แสดงสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ที่ขุดพบในซากเรือรวมทั้งสมบัติ อัญมณี ซึ่งเคยอยู่ในเรือดังกล่าว




เป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นเยาวชนไวกิ้ง มีคุณครูพาไปทัศนศึกษาถึงรากเหง้าบรรพบุรุษของตน ด้วยการไปชมของจริง พร้อมกางโต๊ะ เก้าอี้ เปิดดิสคัสกันกลางมิวเซียม เลย น่ารักมาก ...



จบการชมเรือไวกิ้งแล้ว ออกมาด้านนอกอาคารถ่ายภาพบ้านเรือนรอบๆมิวเซียมค่ะ



ขอแถมนิยายปรำปราเรื่อง Stroll หน่อยนึงค่ะ

Stroll เป็นมนุษย์โบราณครึ่งผีครึ่งคน รูปร่างเหมือนคนแคระ หน้าตาเหี่ยวย่น เหมือนคนแก่ที่มีอายุเป็นร้อยปี มีจมูกยาวเป็นคืบ หน้าตาก็น่าเกลียดน่ากลัวมาก

เล่ากันว่า

เมื่อสมัยโบราณปู๊นนๆๆๆ...พวกสตรอลล์อาศัยอยู่ในป่าตามถ้ำตามเขา ในความมืด และกลัวแสงสว่าง ไม่รู้จักทำมาหากิน ได้แต่ลักขโมยพืชผลในไร่ของชาวบ้านกินในยามพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว จนชาวบ้านเดือดร้อนทั่วไปหมด

จนกระทั่งมีกระทาชายผู้กล้าหาญคนหนึ่ง รับอาสาปราบ โดยออกไปหลอกล่อพวกสตรอลล์ให้วิ่งไล่ตามในตอนใกล้สว่าง แล้วเขาก็แอบหนี ไม่ให้มันจับตัวได้ ปรากฏว่าวิ่งหนีจนเช้าพระอาทิตย์ขึ้น สตรอลล์ถูกแสงแดดเลยกลายเป็นหิน ...


เอ...กว่าจะทำให้สตรอลล์กลายเป็นหินหมดทุกตัว ไม่รู้ว่าต้องวิ่งหนีกันสักกี่วัน กี่เดือน....

และเมื่อเวลาผ่านไปเป็นล้าน ๆ ปี หินสตรอลล์เหล่านี้งอกเงยขึ้น....กลายเป็นภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ ขึ้นเป็นภูมิประเทศของนอร์เวย์ในปัจจุบัน ดังนี้แล...



ค่ะ ออกจากมิวเซียมแล้วเดินทางไปชมวิวสวยนอกเมือง ณ ลานกระโดดสกีจัมฟ์ ที่เนินเขา โฮเมนโคเล่น (Holmenkollen.Mountain) ชานกรุง ออสโล สถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ซึ่ง นอร์เวย์เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวในปี 1952



ขึ้นไปที่เนินเขา โฮเมนโคเล่น เพื่อไปชมลานกระโดดสกี ที่สูงตระหง่านอยู่บนยอดเขา …

วาดภาพว่า คงจะได้เห็นเค๊าเล่นสกีกัน วิ่งฉิว วิ่งฉิว พุ่งตัวลงมาจากที่สูงลงสู่สนามหิมะขาวโพลนเบื้องล่าง ...

................................................................................................
................................................................................................
................................................................................................

ที่ขึ้นไปดู มีแต่อย่างนี้แหล่ะค่ะ...



....... เค๊ากำลังปิดซ่อมบำรุงและจะเปิดใช้อีกครั้ง ปี 2011 ค่ะ เห็นว่าทุ่มทุนเป็นพันล้าน...



ขึ้นไปชมลานสกีที่กำลังก่อสร้างบนเนินเขาแล้วเจอต้นไม้สลัดใบ เหลือแต่ลูกสีแดงทั้งต้นเรียงรายไปหมด สวยงามมาก ...น่ากิ๊นนน...เรียกว่าลูก rognebaer (ร่องเนะบา)





ต้นไม้ใหญ่สลัดใบทิ้งร่วงหมดแล้ว เตรียมเข้าสู่นิทรารับความหนาวเย็น ได้บรรยากาศที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง...

Smileyเราเดินทางกันต่อค่ะ...

ไปเมืองกอล (Gol) และ เมืองเกโล (Geilo) เมืองแห่งปากประตูสู่ดินแดนแถบฟยอร์ดค่ะ... ........................



:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2552    
Last Update : 28 ธันวาคม 2552 21:35:47 น.
Counter : 2076 Pageviews.  

My way… Norway # 1... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ...(((ออสโล...ชมสวนวิกเกอแลนด์)))

Smiley Smiley ... ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ... Smiley Smiley 


(((ออสโล...ชมสวนวิกเกอแลนด์)))


นอร์เวย์ "ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน"
สมญานาม ที่เป็นดังนี้ เพราะว่าในช่วงหน้าร้อน โลกจะเอียงเอาขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ขั้วโลกเหนือได้รับแสงสว่างตลอด 24 ชั่วโมง และชาวนอร์เวย์จะเห็นดวงอาทิตย์เหนือขอบฟ้า แม้ในยามเที่ยงคืน..................

พระอาทิตย์ ตก ทาง ซ้าย แล้ว ย้าย ไป ขึ้น ทาง ขวา...

แหม....อยากเห็น ๆ ๆ ๆ ๆ



Smiley ไปกันค่ะ ไปเที่ยวนอร์เวย์กัน แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ได้ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน เพราะหนาวแล้ว...ก็ตาม

เราออกเดินทางด้วยเครื่องเพชรบูรณ์ค่ะ... ลำนี้ค่ะ...ที่นั่งว่างมาก ผู้โดยสารคนนึงครอง 3 ที่นั่ง นอนสบายไปเลย



อ๊า...ถึงแล้ว...หลายงีบเหมือนค่ะ...ถึงที่หมายแบบ...เอ้อ....???

11 ชั่วโมง ... ออกจาก กทม. ตีหนึ่ง ถึงออสโล 7 โมงเช้า กัปตันซิ่งมาถึงก่อนเวลานัดหมาย แถม ผ่านตรวจคนเข้าเมืองแป๊บเดียว... กระเป๋าก็มาไวดีจัง



ดังนั้นจึงต้องนั่งรอรถบัสซึ่งยังไม่มารับ ที่หน้าอาคารสนามบินไปก่อน...

หนาวดีค่ะ... เปิดกระเป๋าใหญ่ หยิบเครื่องให้ความอบอุ่นขึ้นมาสวมใส่ได้หลายชิ้น พร้อมถ่ายรูปเล่นกัน...มีเวลาเหลือเฟือทีเดียว...



เงินนอร์เวย์ เรียกว่า โครนเน่อร์ นอร์เวย์ (NOK)

1 โครนเน่อร์ ของ นอร์เวย์ วันที่แลกไป ตั้ง 6.17 บาทแน่ะค่ะ...



ทิวทัศน์ สองข้างทางของกรุงออสโล



จากทุ่งนา ป่าเขา เริ่มเข้าสู่ตัวเมืองแล้วค่ะ...



เข้าสู่ตัวเมือง ก็เจอป้ายโฆษณาตามตึกเป็นธรรมเนียม...แต่สวยคลาสสิคนะคะ...



เมื่อเข้ากรุงออสโล...เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ ก็นั่งรถชมเมือง ไซด์ ซีอิ้ง สภาพบ้านเมืองของเขาค่ะ...เช่นอาคารที่ทำการรัฐบาล อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ ฯลฯ



บ้านเมืองก็น่ารัก บ้านเรือนของชาวเมืองมักทาสีสดๆ สวยงาม และยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติ ไม่เน้นสิ่งปลูกสร้างเป็นตึกสูงระฟ้า



สิ่งปลูกสร้างแนวใหม่เป็นอาคารกระจก คือ โรงละคร โอเปร่าเฮ้าท์ ซึ่งสร้างอยู่บริเวณเดียวกันกับท่าเรือ



พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ นอร์เวย์เป็นฟยอร์ด ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ หุบเขา ภูเขา

ดังนั้น บ้านเรือนของชาวนอร์เวย์ก็จะนิยมปลูกอยู่ตามธารน้ำ และมีท่าเรือ มีเรือแบบชนิดต่างๆใหญ่น้อย จอดเรียงรายตามท่า มากมายจริงๆค่ะ



ที่ช้อบ ชอบ...รถมินิ ของออสโลค่ะ...คันเล็กติ๊ดนึง เหมาะเป็น ซิตี้คาร์มาก เขียนไว้ข้างรถว่า ผลิตในออสโล ...

และ...อุ้ย... รถราง...ที่เลือนหายไปจากเมืองไทยนานมากแล้ว ที่นี่ยังเปิดวิ่งบริการผู้โดยสารอยู่ค่ะ...แต่เป็นรุ่นใหม่ๆ น่าใช้บริการดี

ผู้คนส่วนใหญ่ นิยมใช้รถไฟฟ้า(ใต้ดิน)มาหานะเธอ ค่ะ...สะดวกรวดเร็ว

ส่วน แท็กซี่มีราคาค่อนข้างแพง เพราะเป็นเบนซ์ ชิมิคะ...คือเริ่มต้นที่ 80 NOK และ 160 NOK สำหรับช่วงกลางคืนวันสุดสัปดาห์จะมีแท็กซี่จอดรอตามที่สาธารณะต่างๆ หรือโทรเรียกได้โดยมีค่าบริการเพิ่ม

มิสเตอร์ไกด์ชอบขู่นัก ว่า ถ้าตกรถ ให้ขึ้นแท็กซี่ตาม เช่นจากโรงแรมไปสนามบิน แค่ 2,000 บาทเอ๊ง...



ออสโล ...ได้รับการกล่าวว่า แวดล้อมด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม...

ประกอบด้วย 2 ฤดู คือหนาว กับ หนาวมากที่สุด ค่ะ... สำหรับเราคนไทย น่ะค่ะ อิ อิ



คือ มีอากาศหนาวเย็น (ฤดูหนาวมากที่สุด) นานถึง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน อุณหภูมิประมาณ 0 ถึง -40 องศาเซลเซียส



ฤดูร้อน (หรือ หนาว สำหรับเราคนไทย) จากเดือนมิถุนายน ถึง เดือนสิงหาคม อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาท่องเที่ยวมากที่สุด



ช่วงที่ได้ไปเยือนนอร์เวย์ ก็ ปลายเดือนตุลาคม แล้วค่ะ...

เริ่มหนาวมากกกแล้ว บางแห่ง -4 องศา มีหิมะตกแล้วค่ะ



แต่ในออสโล ยามนี้ ยังอยู่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ เริ่มร่วง หล่น กร่น พื้น พลิ้ว ปลิว ไสว ลงแนบ คลุม พื้น แทนสนามหญ้า



ทั้งเมือง กอร์ป ด้วย แมกไม้ที่มีทั้งแดง เหลือง น้ำตาล และ เขียว แซมสลับต้นบางต้นที่ไร้ใบ เหลือเพียงกิ่งก้าน ที่เตรียมสู่นิทราหลับใหลแห่งช่วงเหมันต์...

งดงามเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์มากค่ะ



ที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงในออสโล คือ อุทยานฟร็อกเนอร์ (Frogner Park) ย่านถนนคนเดิน คาร์ล โจฮัน เกท ...

สถานที่จัดแสดงผลงานประติมากรรมสมัยใหม่, การแกะสลักรูปเหมือนจากหินแกรนิต และการหล่อรูปคนด้วยสำริด กลางแจ้ง ในเรื่องราวเกี่ยวกับวัฎจักรชีวิตมนุษย์ กลางสวน วิกเกอแลนด์

จากฝีมือของ กุสตาฟ วิกเกอแลนด์ (Gustav Vigeland) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1869-1947 จำนวน 212 ผลงาน ใช้เวลาสร้างถึง 22 ปี



จากทางเดินเข้าประตูหน้าสวน จะผ่านรูปปั้นโลหะสำริดผสมทองแดงและ เหล็ก ปั้นเป็นมนุษย์ในอิริยาบถต่างๆ เวียน ว่าย ตั้งแต่เริ่ม เกิด...จนถึง...แก่



เป็นประติมากรรมที่แสดงวงจร สภาพชีวิต และการดิ้นรนต่อสู้ของมนุษยชาติ

ภายใต้ปรัชญา “Burden of Life” ภาระที่ต้องแบกหามของชีวิต... จัดวางตั้งแสดงเรียงราย สองฟากทางเดินกลางสวนค่ะ



ทุกรูปปั้น ไร้เครื่องนุ่งห่มปกปิด คงจะสื่อให้เห็นว่ามนุษย์เรา เกิดมาก็มีแต่ตัวกระมังคะ ยามจาก ก็จากไปแต่ตัวเหมือนกัน...



โอ้โห...ถ่ายภาพกันใหญ่เลยค่ะ...เปลือยแบบศิลปะนี่คะ...



เนื่องจากไม่ค่อยเก็ตศิลปะ เลยเลือกถ่ายภาพแบบมุมมองของเราที่ชอบๆ มานิดๆหน่อยๆ

โลหะสำริดเหล็กผสมทองแดง นานๆเข้ากลายเป็นสนิมทองแดงออกเขียวๆ (เอ๊ะ ทำไมไม่เป็นสนิมสีแดง...)...ซึ่งสวยดีค่ะ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรูปปั้นแบบนี้...



ไม่ทราบความหมายของแต่ละตัวที่เขาต้องการสื่อ...
แต่พูดโดยรวมๆ...ก็น่าสนใจเหมือนกันค่ะ



กุสตาฟ วิกเกอแลนด์ เป็นประติมากรชื่อดัง ชาวนอร์เวย์ ที่ได้รับอนุญาตให้นำผลงานมาจัดแสดงอย่างถาวรในอุทยาน ฟรอกเนอร์ แห่งนี้



ในโซนรูปปั้นคือโซนของ Vigeland parken ส่วนบริเวณที่เป็นสวนและสนามมีชื่อเรียกว่า Frogner parken



หาตั้งนาน...เจ้าหนูขี้แย ผู้นี้...

สังเกต มือข้างซ้ายด่าง เพราะเจ้าหนูถูกขโมยไป ตามกลับมาได้ แต่เจ้าหนูถูกตัดข้อมือไป...(อย่างนี้ก็มี)...เลยต้องทำมือใหม่ขึ้นมาแทน สีเลยไม่เหมือนกัน



ดูหน้าตาของเจ้าหนูซิคะ...บ่ จอย ขนาดหนัก...วิกเกอ เค๊าปั้นได้เหมือนมนุษย์ในอารมณ์นั้นมากค่ะ



รูปหล่อสำริด ชื่อ Angry Little Boy เจ้าหนูเจ้าอารมณ์นี้ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์เป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปของออสโลแล้วค่ะ...

ใครๆก็มาถ่ายรูปเจ้าหนูกันตรึม แต่ช่วงที่ไป ไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย ปล่อยให้เจ้าหนูยืนขี้แยอยู่บนแท่นโดยไม่มีใครปลอบ อิ อิ...



เดินต่อไปกลางสวน ก็จะพบรูปปั้นนี้ก่อน เป็นมนุษย์ผู้ชาย 6 คน ช่วยกันแบกถาดยักษ์



แท้ที่จริงคือ น้ำพุกลางสวน ซึ่งฤดูนี้ไม่ได้เปิดน้ำพุ เลยเห็นแต่ประติมากรรมชัดๆ ...



รายรอบน้ำพุก็เป็นมุมนี้

เดินผ่านจุดนี้ ก็จะเห็นจุดเด่นของปาร์คนี้ค่ะ....



... เสาโมโนลิธ (Monolith)



... เสาโมโนลิธ เป็นเสาแกะสลักรูปคนจากหินแกรนิต พันต่อๆ กัน

ส่วนรูปปั้นที่เรียงรายรอบเสาเป็นหินแกรนิตแกะสลักเป็นมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ในอิริยาบถต่างๆ ตั้งแต่เด็ก จน แก่...

เสาโมโนลิธ นี้ แกะสลักจากหินชิ้นเดียวกันเป็นรูปคน พันก่ายต่อกันตลอดเสา

คงสื่อให้เห็นถึงการต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์ที่จะขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด



เปรียบเสมือนวัฏจักรของชีวิตมนุษย์ จำนวน 121 คน สูง 17 เมตร ใช้เวลา 14 ปี ในการแกะสลักและออกแบบ



เมื่อย้อนกลับไปทางด้านหน้าประตูสวน จะแลเห็นยอดโบสถ์ของออสโลอยู่ไกลๆ



นอกจากสวนวิกเกอแลนด์แล้ว ออสโล ยังมีสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปเยี่ยมชม ที่ทุกคนรู้จักกันดี คือเรือไวกิ้ง ของมนุษย์ไวกิ้ง ไงคะ

ตอนต่อไปเราจะไปชมเรือไวกิ้งลำที่เก่าแก่ที่สุด ที่ยังสมบูรณ์มากที่สุด ค่ะ...



................................................................................................





 

Create Date : 26 ธันวาคม 2552    
Last Update : 28 ธันวาคม 2552 21:40:52 น.
Counter : 2940 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

Ricola ร่าเริง
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





























/* This script has been disabled for Netscape 6 due to ugly scrollbar activety. Could probably be fixed with a clipped container div but can't be bothered. */ if (!isNetscape6){ num=5; //Smoothness depends on image file size, the smaller the size the more you can use! stopafter=240; //seconds!
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Ricola ร่าเริง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.