~~~ R e d - A p p l e ~~~
 

เรียน Scuba Diving ที่เกาะเต่า

อยากไปเรียนดำน้ำแบบ scuba มานานแล้ว แต่หาเพื่อนเรียนไม่ได้ซักที จนมาปีนี้ที่ได้ฤกษ์ค่ะ เข็นเพื่อนๆ ไปงาน Dive Expo 2007 เพื่อหาที่เรียนจนได้

แพคเกจเรียนดำน้ำ Scuba Diving (PADI) ที่เกาะเต่า ของ Blue Diamond Resort ซื้อจากงาน Dive Expo 2007 ราคา 9,900 บาท

ตามแพคเกจนี้เราจะได้ค่าเดินทาง กทม. - เกาะเต่า, ที่พักห้องพัดลม 4 คืน, อาหาร 10 มื้อ, คอร์สดำน้ำพร้อมออกสอบในทะเล, บัตรดำน้ำ, Go Dive, Log Book และของที่ระลึกเป็นเสื้อสีสดใส 1 ตัว นับว่าคุ้มทีเดียวค่ะ แล้วก็ถือโอกาสเที่ยวไปด้วยเลย หลังจากเคลียร์ตารางทำงานกันได้ก็ตกลงว่าจะไปช่วง 11-15 ส.ค. 50 แต่ก่อนเดินทางไม่กี่วัน มีพายุฝนเข้ามาปั่นป่วนทำเอาพวกเรา 3 คนที่จะไปต้องลุ้นกันจนวันสุดท้าย แต่เมื่อออกเดินทางกลับพบว่าอากาศดีอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ

เริ่มจากไปรอรถบัสหน้าบริษัท ลมพระยา ตรงแถววงเวียนบางลำพูตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า รถออกสายเล็กน้อยมุ่งตรงไปชุมพรเลยโดยไม่แวะพัก ปวดห้องน้ำจนทนไม่ไหว ต้องใช้ห้องน้ำบนรถ (ปกติจะไม่ยอมใช้เลยถ้าไม่จำเป็น) ขอเตือนว่าถ้ารถหยุดอย่าทำธุระเด็ดขาดค่ะ อาจจะเป็นการอนาจารตัวเองได้ ใช้เวลา 6 ชั่วโมงพอดีเป๊ะก็มาถึงท่าเรือทุ่งมะขามน้อยของลมพระยาเพื่อขึ้นเรือรอบ 13.00 น. เรือของลมพระยานี่เป็นเรือแบบสะเทิ้นน้ำที่เรียกว่า catamaran ตรงกลางท้องเรือจะเป็นช่อง เค้าว่าจะทำให้ไม่กระเทือนเวลาเจอคลื่นปะทะ เกือบ 2 ชั่วโมงก็ถึงท่าเรือเกาะเต่า แบกกระเป๋าลงมาก็เจอพนักงานของรีสอร์ทมารอรับพอดีค่ะ เค้าพาไปขึ้นรถไปรีสอร์ทซึ่งก็อยู่บนหน้าหาดที่เป็นท่าเรือนั่นแหละ (หาดแม่หาด) ที่จริงถ้าเดินไปยังอาจจะถึงก่อนเลย หุหุ

สำหรับที่พักของเราซึ่งเป็น รร สอนดำน้ำด้วยคือ Blue Diamond Resort เป็นบ้านพักอยู่บนเนินเล็กๆ มีระเบียงให้ด้วย แต่ค่อนข้างอับลมหน่อยเพราะตึกด้านหน้าบังลม แต่เดิน 20 ก้าวก็ถึงชายหาด อาหารทุกมื้อก็สั่งทานได้จากเมนูของร้านเลยค่ะ อาหารเช้าที่นี่อร่อยดี ส่วนอาหารจานเดียวอื่นๆ ก็อร่อยแต่ติดเค็มไปหน่อย นอกจากนั้นเรายังได้ไปทานพิซซ่าตรงถนนหลักแถวท่าเรือ อร่อยและถูกดี และก็ไปกินส้มตำรสแซบซึ่งอยู่ระหว่างทางนั่งรถมาที่พักด้วย

สำหรับการเรียนดำน้ำ วันแรกที่ไปถึงก็ศึกษาจากวีดีโอและหนังสือช่วงบ่ายก่อน แล้วถึงได้เจอกับครูชื่อครูมี่ เป็นคนไทยใจดี ครูก็มาตรวจแบบฝึกหัดก่อนจะนัดแนะการลงใต้น้ำครั้งแรกของพวกเราในวันรุ่งขึ้น ตื่นเต้นจัง

วันที่สอง วันนี้เราได้เรียนกับวีดีโอช่วงเช้าก่อนจะไปลงทะเลตอนบ่ายเป็นครั้งแรก ยังตื่นๆ กันอยู่ ต้องใส่เข็มขัดตะกั่วกันตั้ง 5-6 ก้อนถึงจะจมลงพื้นทะเลได้ โดยที่แรกที่ไปหัด skill พื้นฐานคือ Japanese Garden ที่เกาะนางยวนที่ความลึก 5 เมตรและน้ำใสมาก ไปหัดทำ skill เช่นการเคลียร์หน้ากาก การลอยตัว ถอดและใส่ BCD ใต้น้ำ แล้วก็กลับที่พัก

วันที่สามตอนบ่ายหลังจากสอบภาคทฤษฎีตอนเช้าแล้ว เป็นการดำน้ำ 2 ไดฟ์เริ่มจาก Twin Rocks เหนือเกาะนางยวนแต่คลื่นแรงมาก การลงน้ำวันนี้เป็นแบบลงด้วยเชือก พอเจอคลื่นแรงๆ ตีเข้ามาทำให้เชือกโยนไปมาจนตัวลอยเลยทีเดียว กว่าจะพ้นช่วงผิวน้ำ 4-5 เมตรไปได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แถมเรายังมีปัญหาในการเคลียร์หูเมื่อลงไปได้ 7-8 เมตร ต้องเคลียร์อยู่ตลอดเวลาตั้งนานกว่าจะลงไปถึงข้างล่างได้ก็เป็น 20 นาที จากนั้นก็ลงไปวนไปวนมาสักพักที่ความลึก 12 เมตร พอตอนกลับขึ้นเรือก็เหนื่อยหอบอีกเพราะน้ำแรงคลื่นตีจนว่ายไม่ไหว ต้องลอยนิ่งๆ ให้เรือมารับ ทำเอาทุกคนหมดแรง เพื่อนเราถึงกับเมาอ้วกไปเลย

จากนั้นจึงเปลี่ยนจุดมาดำแถวๆ Japanese Garden ติดกับเกาะนางยวนซึ่งคลื่นสงบ และช่วงนี้เองเราก็เจอเรื่องตื่นเต้นใต้น้ำครั้งแรก คือ ถูกจู่โจมโดยปลาวัว Trigger fish ที่ตรงรี่มากัดเรา โชคดีที่มันกัดที่ฟินและเราสะบัดขาว่ายออกหนีมาได้ แต่พอขึ้นมาผิวน้ำแล้วเจอกับฝรั่งอีกกลุ่มที่มาเรียนดำน้ำที่เดียวกัน ถึงรู้ว่าที่มันไม่ว่ายตามเรามาเพราะกลุ่มนี้ว่ายมาอีกด้านพอดี มันเลยผละไปตามไล่กัดเค้าจนฟินหลุดหายไปเลย แต่ก็ปลอดภัยดีไม่มีบาดแผลอะไร ครูเคยเล่าให้ฟังก่อนลงน้ำเมื่อวานว่า ปลาวัวที่เกาะเต่านี่เป็นวัวบ้า ชอบไล่กัดนักดำน้ำ ปกติปลาวัวที่วางไข่และมีลูกอยู่ที่รังของมันจะคอยเฝ้าและจะขับไล่อะไรก็ตามที่เข้ามาใกล้รังเป็นรัศมีทรงกรวย ดังนั้นการว่ายหนีจะต้องไปในแนวราบไม่ใช่แนวดิ่ง แต่สำหรับปลาวัวเกาะเต่าบางทีก็อาจจะตามออกมานอกรัศมีได้ เรียกว่าไม่ยอมปล่อยง่ายๆ รู้สึกว่าเนื่องจากเมื่อก่อนนักดำน้ำชอบไปยุ่งแถวรังของพวกมัน มันเลยกลายเป็นวัวบ้าไปเลย ปลาวัวนี่ฟันคมและแข็งแรง ขนาดกัดเราที่ฟินยังรู้สึกกระตุกแรงเลย โชคดีจริงๆ ที่ไม่โดนเข้าที่น่อง ก่อนขึ้นก็มาสอบ skill ที่เรียนไปเมื่อวาน การสลับท่อหายใจ octopus การขึ้นสู่ผิวน้ำแบบ CESA คืนนี้กลับที่พักถึงกับหมดแรงสลบไสล

วันที่สี่ วันนี้ออกแต่เช้าไปที่กองหินชุมพรซึ่งอยู่ไกลออกไปกว่า 45 นาที ได้ข่าวว่าช่วงนี้มีฉลามเข้ามาเยอะด้วย เป็นฉลามครีบดำตัวเล็กๆ แต่ขึ้นชื่อว่าฉลามก็น่ากลัวอยู่ดีสำหรับเรา แต่สำหรับนักดำน้ำอื่นๆ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น จึงมีเรือพานักดำน้ำมามากมายหลายลำ สำหรับตรงนี้เป็นกลางทะเล น้ำลึกกว่า 25 เมตรและเวิ้งว้าง เราลงไปแบบ free descent ไม่ใช้เชือกแล้วต้องปรับหูอยู่สักพักถึงจะโอเค ส่วนเพื่อนเราอีกคนจมลงไปถึงก้นทะเลจนครูต้องไปตามขึ้นมา ระหว่างนั้นเรามองลงไปเจอฉลามด้วย และระหว่างรอครูก็เจอเจ้าฉลามตัวนึงว่ายหนีไป สรุปได้ว่าฉลามที่นี่กลัวคน ว่ายวนไปมากันสักพักก็ขึ้นเพราะลงมาลึกเกือบ 20 เมตรแล้วจะใช้อากาศเปลือง จากนั้นก็ไปที่ White Rock หน้าเกาะเต่า ครูสอนการใช้เข็มทิศแล้วก็ไปดำน้ำเล่น ที่นี่เป็นเหมือนผาหินลึกเกือบ 17 เมตร มีปะการังและปลาสวยๆ เจอปลาหมึกยักษ์ตัวจิ๋วด้วย ครูตื่นเต้นมากบอกว่าปกติในอ่าวไทยไม่ค่อยเจอ นอกจากนั้นยังเจอคนอีกเพียบ

หลังไดฟ์นี้แล้วก็ถือว่าพวกเราสอบผ่านเป็นนักดำน้ำระดับ open water แล้วค่ะ เย้ๆๆๆ สามารถดำน้ำทั่วโลกได้ที่ความลึกไม่เกิน 18 เมตร กลับมาที่พักพักผ่อนเอาแรงตามสบายแล้วไปถ่ายรูปติดบัตรดำน้ำ แล้วไปเดินเล่นรีสอร์ทหรูบนโขดหินใกล้ๆ ที่พัก คืนนี้ไปเดินเล่นดูแสงสียามราตรีก่อนกลับมานอน

วันรุ่งขึ้นเป็นวันสุดท้ายบนเกาะเต่า พักผ่อนกันสบายๆ และเล่นน้ำทะเลหน้าหาดก่อนจะเก็บของไปขึ้นเรือกลับฝั่งชุมพรตอนบ่าย แล้วต่อรถกลับถึงกรุงเทพฯ เกือบเที่ยงคืน เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้น mission นี้ค่ะ




 

Create Date : 03 กันยายน 2550    
Last Update : 8 มิถุนายน 2551 16:08:22 น.
Counter : 562 Pageviews.  

หอคอยลอนดอน

วันที่ 21 มี.ค. 46

เช้านี้ไปเดินเล่นแถว London Bridge และ Tower Bridge เข้าไปเที่ยวใน Tower of London ตอน 10 โมง พอดีเจอคนไทย 2 คนเลยเดินด้วยกัน หอคอยลอนดอนนี้ถือเป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในลอนดอน สร้างมาตั้งแต่ยุคกลางสมัย King Edward I (the Conqueror) ราว 800 ปีก่อน มีประวัติเก่าแก่มากมาย ตั้งแต่การสถาปนาประเทศอังกฤษ เป็นพระราชวังของกษัตริย์ยุคกลางหลายพระองค์ ที่คุมขังและประหารนักโทษตลอดจนเชื้อพระวงศ์ และตำนานเรื่องเล่าลือน่าสยองของภูตผีวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่ ณ ที่นี้ เราได้ดู Traitor's Gate ที่ใช้ล่องศพนักโทษออกไปยังแม่น้ำเทมส์, St. Thomas Tower ที่คุมขังนักโทษการเมืองดัง Sir Thomas More, Bloody Tower ที่ว่ากันว่าเจ้าชายน้อยรัชทายาทสองพระองค์ถูกปลงพระชนม์ที่นี่, White Chapel ที่คุมขังมเหสีของ King Henry VIII ก่อนถูกประหาร นอกจากนั้นยังได้เข้าไปชมเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระราชวงศ์ปัจจุบันแท้ๆ ที่เก็บรักษาไว้ที่นี่ เช่น คทาของ Queen Elizabeth II ที่มีเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก First Star of Africa ประดับอยู่สวยมาก

พอบ่ายโมงเราก็แยกกับพี่ๆ คนไทยกลับมาเอากระเป๋าที่ สนร. เพื่อเดินทางต่อไปเบลเยี่ยม แต่ซวยจริงๆ ล้อกระเป๋าพังไปข้างนึง ของหนักมากลากก็ไม่ไหว เลยต้องเรียกแท็กซี่ไปลง Waterloo เพื่อขึ้น Eurostar เสียเงินไปเกือบ 10 ปอนด์ แต่ก็มาทันจนได้ ลงรถไฟตอน 14.30 น. ลอดอุโมงค์ผ่านช่องแคบอังกฤษไปยังบรัสเซลส์ ประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึง ออกจากสถานีมาเจอพี่ที่ทำงานอยู่ที่นั่นมารับและพาไปส่งที่ Hostel พี่เค้าเตือนว่าตอนกลางคืนอย่าเดินไปไหนคนเดียว ก็เลยกินอาหารกระป๋องที่เตรียมมาอยู่ในห้องและคุยกับเด็กฮอลแลนด์เพื่อนร่วมห้อง 2 คนก่อนเข้านอน




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2550 12:25:45 น.
Counter : 313 Pageviews.  

เที่ยวเบอร์มิงแฮมและพิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียม

วันที่ 20 มี.ค. 46

เมื่อคืนนอนค้างที่ Hostel เอกชนห่างจากสถานีรถไฟ 20นาทีเดิน ที่พักราคาคืนละ 15 ปอนด์ สภาพสะอาดและทันสมัยดีนะ ก่อนนอนเพื่อนร่วมห้องชาวนามิเบียชื่อ Julietta ชวนไปเดินเล่นในเมือง ผ่านผับดังที่ The Beatles มาเล่นดนตรีครั้งแรกด้วย ตามกำแพงเค้าจะมีชื่อนักร้องหรือวงต่างๆ ที่เคยมาเล่นที่นี่เต็มไปหมดเลย แต่ต้องรีบกลับมานอนเพราะหนาวและหมอกจัดมาก

เช้านี้กินขนมปังในครัวแล้วก็กลับมาขึ้นรถไฟไปลงที่เบอร์มิงแฮม เมืองใหญ่อันดับสองของอังกฤษ อยู่กลางประเทศพอดิบพอดี นัดเพื่อนไว้ตอน 10.30 น. พอเจอกันแล้วก็ไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์ City Center และสวนกลางเมืองที่มีประติมากรรมแบบโมเดิร์นแปลกตาดี จากนั้นก็กิน McDonald และไปซื้อของในร้าน 1 ปอนด์ ก่อนจะนั่งรถไฟกลับลอนดอน

เรามาถึงลอนดอนตอน 16.00 น. ไปเดินเล่นต่อแถวหอนาฬิกา Big Ben โบสถ์ Westminster และสวนสาธารณะ St. James เจอขบวนประท้วงสงครามอิรักที่เพิ่งปะทุขึ้นเมื่อวานด้วยแต่ก็ไม่มีเหตุรุนแรงอะไร จากนั้นก็นั่ง tube ไปลงแถวพิพิธภัณฑ์ British Museum ตอน 6 โมงพอดี ที่นี่เข้าไปชมได้ฟรีและคุ้มกับการไปเยือนมากๆ มีของเก่าโบราณหลายพันปีทั้งนั้น เนื่องจากเวลาจำกัดเราเลยเลือกชมแค่ห้องอียิปต์และเอเชียตะวันออก อลังการมากเลย ทั้งโลงศพฟาโรห์ มัมมี่ สฟิงค์ รูปปั้น เสายักษ์แห่งอเล็กซานเดรีย รูปวาดฝาผนังและกระดาษปาปิรัส ประตูเมืองอัซซีเรียน วัตถุโบราณบาบิโลเนียน ฯลฯ น่าสนใจมากจนเวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ หมดไปอย่างรวดเร็ว ถ้ามีโอกาสจะกลับมาดูอีกแน่นอน

ออกจากพิพิธภัณฑ์ก็ไปหาเพื่อนใน Imperial's College เช็คเมล์แล้วก็ไปดูบอลยูฟ่าคัพระหว่างลิเวอร์พูลกับเซลติคที่ผับของมหาลัยนั่นแหละ แต่เพื่อนเราติดทำรายงานเลยล่ำลากันตรงนั้น ผลบอลปรากฎว่าหงส์แพ้ง่ะ ดีนะเราไม่ได้เข้าไปในสนามเมื่อวาน ไม่งั้นโดนพวกทางนี้แซวว่าเอาความซวยไปให้แน่เลย




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2550 12:01:44 น.
Counter : 376 Pageviews.  

ไปตามฝันที่ลิเวอร์พูล

วันที่ 19 มี.ค. 46

กำหนดการวันนี้ของเราคือเดินทางไปเมืองลิเวอร์พูลเพื่อไปเยือนแอนฟิลด์ (Anfield) สนามฟุตบอลของทีมโปรด เราแยกแพ็คของที่จำเป็นลงเป้เตรียมไปลิเวอร์พูล ก่อนลงมากินข้าวเช้าเป็นข้าวต้มกุ๊ยร้อนๆ ที่ทางแม่บ้านของ สนร. ทำไว้ให้ตอน 9.00 น. หลังทานข้าวเราก็เดินไปขึ้น tube

อันว่ารถไฟใต้ดินในลอนดอนนี้แบ่งเป็นโซนๆ เรียงจากใจกลางเมืองออกไปรอบนอกเหมือนเปลือกหัวหอมที่เป็นชั้นๆ แหล่งท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญส่วนมากจะอยู่ในโซน 1 ซึ่งมีขอบเขตจากถนนลิเวอร์พูลทางตะวันออกจรดน็อตติ้งฮิลล์ทางตะวันตก และจากคิงส์ครอสทางเหนือจรดวอเตอร์ลูทางใต้ การเดินทางภายในโซนเดียวกันราคาเที่ยวละ 1.50 ปอนด์ จะต่อรถไฟกี่ครั้งก็ได้ในแต่ละเที่ยว แต่ถ้าเดินทางข้ามโซนก็จะแพงขึ้น เช่น เดินทางจากสนามบินฮีทโธรว์ซึ่งอยู่โซน 2 เข้ามาในโซน 1 อย่างเราเมื่อวาน ถ้าต้องการประหยัดก็สามารถซื้อบัตรเดินทาง (Travelcard) ได้ที่ช่องขายตั๋ว บัตรเดินทางนี้ใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ และรถไฟ ไม่จำกัดเที่ยว ในราคาต่างกันตามแต่อายุของบัตร หรือจะซื้อตั๋วเป็นแพค 10 ใบที่เรียกว่า Carnet ก็ได้ สามารถใช้ได้ 10 เที่ยวภายในโซน 1 ในราคา 11.50 ปอนด์ ตกใบละ 1.15 ปอนด์เท่านั้นและมีอายุใช้ได้ถึง 1 ปี เราเลือกซื้อ carnet เพราะกะจำนวนการเดินทางแล้วว่าคงไม่เกิน 10 เที่ยวตลอดเวลา 3 วันที่อยู่ในลอนดอน

เช้านี้เรากะจะแวะเดินเล่นที่น็อตติ้งฮิลล์ก่อนไปลิเวอร์พูล แต่พอไปถึงก็งงๆ ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี เลยกลับไป tube อีกเพื่อจะต่อสายเซ็นทรัล (Central) ไปลงสถานียูสตัน (Euston) เพื่อขึ้นรถไฟ แต่โชคร้ายสายนี้ดันงดบริการเพื่อปรับปรุงซ่อมแซม เลยเสียแผนต้องย้อนมาสายวิคตอเรีย (Victoria) อีก กว่าจะถึงยูสตันซึ่งเป็นสถานีร่วมรถไฟ – รถไฟใต้ดิน ก็เสียเวลาไปเยอะกว่าที่คาดไว้ ไปเอาตั๋วรถไฟเที่ยว 10.40 น. ที่จองทางอินเตอร์เนตมาจากเมืองไทยไม่ทัน แต่เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ใจดีออกตั๋วให้ใหม่เป็นเที่ยว 11.25 น. ไปลงที่ครูว์ (Crewe) แล้วต่อรถไฟอีกสายไปลิเวอร์พูล

เราไปถึงสถานีรถไฟเมืองลิเวอร์พูล ที่ชื่อว่า Liverpool Lime Street Station เกือบบ่ายสาม เดินไปท่ารถเมล์ที่จตุรัสควีน (Queen Square) และถามทางไปแอนฟิลด์ที่ศูนย์ข้อมูลตรงนั้น เค้าให้ขึ้นสาย 17 ที่ป้าย 6 แต่ไปรอตั้งนานไม่มี ที่แท้ผิดป้ายเสียอีก ต้องไปรอที่ป้าย 7 เกือบ 30 นาทีกว่าจะมาสักคัน จ่ายค่าโดยสารกับคนขับไป 1 ปอนด์ รถพาออกชานเมืองไปทางเหนือ ผ่านถิ่นของเอฟเวอร์ตันทีมร่วมเมืองก่อน ใช้เวลา 15-20 นาทีก็ถึงสนามแอนฟิลด์ อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมากลางชุมชนเลย ดูแออัดเล็กน้อยเพราะเราเคยนึกภาพไว้ว่าอยู่ในที่โล่งกว้างขวางแบบสนามรัชมังคลาฯ แต่นี่ดูเหมือนสนามศุภฯ มากกว่า

เราลงรถตรงข้างประตูแชงค์ลี่ย์ (Shankly’s Gate) ซึ่งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์และสำนักงานทัวร์สนามพอดิบพอดี เข้าไปซื้อบัตรแต่เค้าบอกว่า ทัวร์สนามรอบสุดท้ายคือ 15.00 น. หมดไปแล้ว ฮ่วยยยย....โชคร้ายซ้ำสอง อุตส่าห์มาตั้งไกลโพ้นทะเลในวันนี้เพื่อดูสนามแล้วเชียวยังอดดู มานึกย้อนไปว่า ถ้าไม่ไปแวะน็อตติ้งฮิลล์เมื่อเช้าแล้วขึ้นรถไฟมาเลยอาจจะทันก็ได้ เสียดายมากถึงมากที่สุด แต่ไหนๆ ไปถึงแล้วได้ดูพิพิธภัณฑ์ของสโมสรก็ยังดี เค้าให้ซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ถึง 16.00 น. ราคาบัตร 5 ปอนด์ เอ้า ดูได้แค่นี้ก็ยังดีน่ะ




 

Create Date : 31 มีนาคม 2549    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2550 11:36:38 น.
Counter : 488 Pageviews.  

บินเดี่ยวเที่ยวยุโรป

ที่จริงเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ได้เขียนเอาไว้เป็นปีๆ แล้ว กะว่าจะส่งไปตามสำนักพิมพ์เผื่อจะได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือนำเที่ยวกะเค้าบ้าง แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ลองส่งไปไหนเลยค่ะ เก็บขึ้นหิ้งไว้เปล่าๆ

เป็นประสบการณ์บินเดี่ยวเที่ยวยุโรปคนเดียวของเราเมื่อ 3 ปีก่อนแล้วล่ะค่ะ แต่ยังประทับใจอยู่และคิดว่าอาจจะเป็นข้อมูลหรือเรื่องราวสนุกๆ สำหรับคนอื่นที่อยากไปแบบเดียวกันได้บ้าง หรือไม่แน่อาจมีคนสนใจจะติดต่อขอไปพิมพ์เป็นหนังสือก็คงดี อิอิ

<<--- บินเดี่ยว --->>

ในฐานะแฟนบอลทีมสโมสรลิเวอร์พูลที่เหนียวแน่นคนหนึ่ง ก็อยากจะไปเยือนเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ สักครั้ง และไปเที่ยวประเทศในยุโรปอื่นๆ ที่ยังไม่เคยไปด้วย ดังนั้นเราจึงตัดสินใจจะออกเดินทางไปตามฝันเพียงคนเดียว แม้ว่าช่วงนั้นสถานการณ์โลกจะคุกรุ่นด้วยไฟสงครามสหรัฐ - อิรัก ภาค 2 ที่ร่ำๆ จะเกิดเต็มที ก็ขอให้ได้ไปก่อนล่ะ เมื่อติดต่อหาเพื่อนๆ ในยุโรปให้ช่วยเหลือเรื่องที่พักได้แล้วก็ขอร้องที่บ้าน ขออนุญาตเดินทางไปคนเดียว ทางบ้านก็ไม่อยากให้ไปนักเพราะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว แต่ก็ยอมจำนนต่อความฝันของเราในที่สุด

ก่อนออกเดินทางเรารู้สึกตื่นเต้นพอดู แม้จะไม่ใช่การบินเดี่ยวครั้งแรกแต่ครั้งนี้เราต้องไปไกลและนานถึง 10 วันทั้งที่ไม่เคยจากบ้านไปคนเดียวนานขนาดนี้มาก่อน ต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ใจเต้นตึกตักๆ กับการลุยเดี่ยวเที่ยวนี้แต่ก็ไม่ยกเลิกแน่นอนค่ะ

<<--- บินเดี่ยว --->>

วันที่ 17 มี.ค. 2546

เราออกเดินทางด้วยสายการบินอาเชียน่าของเกาหลีที่เราทำงานอยู่ ออกจากกรุงเทพฯ ตอน 22.30 น. มาถึงโซลเช้ามืด 05.30 น. ของวันรุ่งขึ้น รอต่อเครื่องไปลอนดอนอีก 7 ชั่วโมง ดีที่สนามบินอินชอนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางสะอาดสะอ้านแต่ไม่พลุกพล่าน เราเลยหามุมที่นอนได้บนโซฟาสงบๆ ที่มีฝรั่งหลายคนจับจองอยู่แล้วเพื่อนอนรอเวลาขึ้นเครื่อง และใช้บริการอินเตอร์เน็ตฟรีที่ช่วยให้หายเซ็งแถมเช็คเมล์สำคัญๆ ได้ด้วย จนได้เวลาบอร์ดดิ้ง 13.10 น. ก็ขึ้นเครื่องบินไปอีกเกือบ 13 ชั่วโมงกว่าจะถึงประเทศอังกฤษ

วันที่ 18 มี.ค. 2546

เรามาถึงสนามบินฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เวลา 16.40 น. ออกมาจากด้านในที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้วก็ถึงประตูด้านหน้าของสนามบิน มองหาทางลงสถานีรถไฟใต้ดินหรือ Tube อยู่สักพักจึงได้เจอลิฟต์ลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ทางขวาสุดจากประตูสนามบิน ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวจากสนามบินไปลงสถานี South Kensington ราคา 3.50 ปอนด์ ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานีตอน 18.30 น. พอดีตามที่นัดเจอเพื่อนไว้ เพื่อนคนนี้เรียนปริญญาเอกอยู่ที่ Imperial College ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสถานีนั่นเอง เค้าได้ติดต่อจองหอพักของ ก.พ. ให้เราไว้แล้วซึ่งก็อยู่เลยมหาวิทยาลัยไปนิดเดียว ใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินไปแค่ 10 นาที

หอพักของ ก.พ. หรือที่เรียกว่า สำนักงานดูแลนักเรียนไทย (สนร.) ตั้งอยู่เลขที่ 28 พรินซ์เกต ส่วนของหอพักอยู่สองชั้นบนสุด แยกเป็นหญิงชายคนละชั้น ชั้นละประมาณ 3 ห้อง แต่ละห้องมี 2-3 เตียง ให้บริการแก่นักเรียน ข้าราชการ และคนไทยที่ต้องการห้องพักราคาย่อมเยาและความเป็นกันเองแบบไทยๆ เพื่อนเราอยากให้พักที่นี่เพราะเดินทางสะดวกและปลอดภัยแน่นอน พอไปถึงก็ติดต่อจ่ายเงินค่าห้องกับป้าปุ๋ยซึ่งเป็นแม่บ้านดูแลที่นั่น แล้วเอาสัมภาระเก็บเข้าห้องพักขนาด 2 เตียงที่มีพี่คนไทยอีกคนมาพักอยู่ก่อน พอดีเพื่อนของเพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยวและทานมื้อค่ำ เพื่อนเราเลยพาเราไปด้วย จากการสังเกตของเรา ดูเหมือนว่านักเรียนไทยที่อังกฤษจะใช้ชีวิตเสรีและสำราญกว่านักเรียนไทยที่อื่นๆ ในยุโรป คืนแรกในอังกฤษของเราจบลงแค่ 4 ทุ่มเพราะง่วงและเพลียมากก็เลยขอตัวกลับมาอาบน้ำนอน

<<--- บินเดี่ยว --->>

ไว้คราวหน้าจะมาเล่าต่อนะคะว่าวันรุ่งขึ้นเราจะเริ่มต้นไปเที่ยวที่ไหน




 

Create Date : 19 มีนาคม 2549    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2550 11:34:36 น.
Counter : 438 Pageviews.  

1  2  
 
 

Red Apple
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Red Apple's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com