Group Blog
 
All blogs
 

7 วิธีเลือกซื้อ โปรแกรม POS

1. ศึกษาหาข้อมูล จากแหล่งต่างๆก่อน เช่น

  • จากเพื่อนหรือคนรู้จัก
  • จากเว็ปไซด์ ต่างๆ
  • ค้นหาจาก www.Google.com                 

แนะนำให้หาข้อมูลเองจาก Google อย่าเชื่อคนอื่นทั้งหมด  เพราะโปรแกรมขายสินค้าถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน บางโปรแกรมอาจจะใช้ได้ดีกับบางร้าน  แต่อาจจะไม่เหมาะกับร้านของเรา ฉนั้นเราต้องศึกษาเองว่า โปรแกรมแบบไหนเหมาะสมกับเรามากที่สุด
 

 

ประเภทของโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน 

แบบที่ 1  แบบชำระครั้งเดียว (Program)

แยกออกเป็น

- เป็นโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ (POS Software) 

โปรแกรมประเภทนี้จะถูกออกแบบเพื่องานขายหน้าร้านโดยเฉพาะ การทำงานจะง่ายและไม่ซับซ้อน มีความหยืดหยุ่นสูงกว่า วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้ หน้าตาโปรแกรมจะสบายตา ไม่เป็นตารางๆ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมให้ใช้งานง่าย จะไม่มีคำว่า ลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือคำอื่นๆที่เป็นภาษาบัญชี จะมีไม่กี่บริษัทที่ทำโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ

-เป็นโปรแกรมบัญชี ที่มีส่วนของหน้าร้าน (Accounting Software) 

โปรแกรมประเภทนี้ จะใช้การหลักทำงานของโปรแกรมบัญชีทั้งหมดมาใช้กับงานขายหน้าร้าน เหมาะสำหรับร้านที่ส่งงบดุลเองกับสรรพากร แต่มีข้อเสียคือ การใช้งานยาก ไม่คล่องตัว มีข้อจำกัดเยอะ มีขั้นตอนในการใช้งานมาก เหมาะสำหรับเป็นรูปบริษัท ที่มีหลายแผนก วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้ ดูได้จากคำว่า ลูกหนี้, เจ้าหนี้ ,ใบเสนอราคา หรือ ระบบเช็คธนาคาร เป็นต้น

ดังนั้นโครงสร้างของโปรแกรม จึงไม่เหมือนกัน วิธีการคิดและวิธีออกแบบโปรแกรมก็ต่างกันมาก เพราะแต่ละโปรแกรมถูกพัฒนาขึ้นมา มีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน 

แบบที่ 2 แบบเช่ารายเดือน (Appilation)

ปัจจุบันแยกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. โปรแกรมที่ใช้ OS Android เป็น App บนมือถือ
  2. โปรแกรมที่ใช้ IOS ใช้ได้เฉพาะ ค่ายของ Apple เท่านั้น
  3. โปรแกรมที่เป็น Web-based Appelication ใช้กับอุปกรณ์อะไรก็ได้




ทั้งสามอย่าง ต้องใช้ Internet ในการขายทั้งหมด และเป็นระบบเช่ารายเดือนหรือรายปี เพราะข้อมูลไม่ได้อยู่ที่เครื่องลูกค้า ต้องนำข้อมูลทุกอย่างไปเช่าพื้นที่อยู่ใน Server บน Cloud ต้องเสียรายเดือนทุกเดือนจนกว่าจะเลิกใช้ ความรู้สึกแรกจะรู้สึกว่า ราคาถูก เพราะคิดว่าซื้อแบบรายเดือนลงทุนไม่เยอะ ก็สามารถมีเครื่องเก็บเงินมาใช้ แต่หากลองคิดเป็นจำนวนปีที่เราต้องเปิดร้านดู การลงทุนจะมากกว่าการชำระเงินแบบครั้งเดียวมาก

 

 

 

2.เปรียบเทียบข้อมูล เลือกที่ถูกใจที่สุด 

         เมื่อเราเริ่มมีความรู้ด้านนี้พอสมควร สามารถแยกออกแล้วระหว่างโปรแกรมหน้าร้าน POS, โปรแกรมบัญชีและ App แบบรายเดือน ได้แล้วว่าต่างกันอย่างไร เราต้องรู้รูปแบบของร้านเรา ว่าเปิดเป็นร้านค้าประเภทใด และ ดูความต้องการที่แท้จริง ว่าเราต้องการโปรแกรม POS แบบไหนกันแน่ เมื่อได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจ แล้วทำการคัดเลือกโปรแกรมที่ถูกใจและเหมาะกับเรามากที่สุด

               

3.โทรสอบถามเจ้าของผลิตภัณฑ์  

         เมื่อเราคัดเลือกได้แล้ว เราควรโทรเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมในส่วนที่เราต้องการรู้ ถามให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ ทุกโปรแกรมยินดีให้ข้อมูลเต็มที่อยู่แล้วครับ ดูเบอร์โทรตรง ติดต่อเรา หรือ Contact Us ก่อนโทรไปคุย ลองดูสักนิดว่า โปรแกรมที่เราเลือกนั้น เป็นรูปแบบบุคคลธรรมดา หรือ รูปบริษัท เพราะจะมีผลต่อการบริการหลังการขาย ในรูปบริษัทย่อมน่าเชื่อถือกว่า เพราะฉนั้นไม่ใช้ซื้อโปรแกรมหน้าร้านที่ไหนกับใครก็ได้

โปรแกรมขายสินค้าหน้าร้าน POS มันไม่ใช้แค่ติดตั้งแล้วจบกัน เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า มันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ ควรจะมีทีมบริการหลังการขายโดยเฉพาะ ปัญหาที่พบบ่อย ส่วนใหญ่เป็นปัญหา ไวรัส ,คอมพิวเตอร์ ,Network, Internet และ ปัญหาจาก Windows ซึ่งบางที่ก็ไม่เกี่ยวกับโปรแกรมขายหน้าร้าน เจ้าหน้าที่ควรให้คำแนะนำได้ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร หลายๆที่เมื่อเช็คอาการแล้วไม่เกี่ยวกับโปรแกรม อาจถูกปฎิเสธการให้บริการได้ ลองคิดดูจะมีกี่บริษัทที่ให้บริการมากกว่าแค่ในโปรแกรมของตนเอง

ดังนั้นก่อนตัดสินใจ ควรโทรไปสอบถาม เช็คให้แน่ใจก่อนว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือ เป็นรูปบริษัท เป็นบริษัทของคนไทยหรือไม่ มีผลต่อการให้บริการภายหลัง เพื่อความแน่ใจ เราลองขอดูตัวอย่างการใช้งานของโปรแกรม มาทดลองใช้หรือดูหน้าตาการทำงานต่างๆก่อน

  • ดาวน์โหลด  จาก Internet  ในเว็บไซด์ของโปรแกรมนั้นๆ  ซึ่งส่วนใหญ่จะมีให้ดาวน์โหลดฟรี แต่จะไม่มีเจ้าหน้าที่คอยสอนให้ ต้องศึกษาเอาเอง ขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานในการทำความเข้าใจกับโปรแกรมนั้นๆ ส่วนใหญ่จะเสียเวลาเปล่า

 

  • สาธิตโปรแกรมผ่านอินเตอร์เน็ท โดยเจ้าของโปรแกรม จะให้เรารีโมท เข้าไปที่เครื่อง โดยผ่าน โปรแกรม Teamviwer ซึ่งสามารถโหลดได้ฟรีจาก Googel หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะทำการอธิบายการทำงานต่างๆของโปรแกรมให้เราทราบ ผ่านทางโทรศัพท์ โดยจะเห็นหน้าจอเดียวกันกับเจ้าของโปรแกรมเลย ทำให้เข้าใจได้ง่ายและไม่เสียเวลาเรียนรู้

 

  • เรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาสาธิตโปรแกรมให้เราดูที่ร้านเลย ซึ่งบางโปรแกรมจะมีบริการให้ฟรี บางโปรแกรมก็อาจเก็บค่าใช้จ่าย แบบนี้จะได้รายละเอียดครบกว่า เพราะสามารถสอบถามปัญหาต่างๆที่เราอยากรู้ได้เลย ว่าโปรแกรมตรงกับความต้องการของเราหรือไม่

 

4.ขอใบเสนอราคา

เมื่อศึกษาและดูการทำงานของโปรแกรมจนแน่ใจแล้ว ก็ขอใบเสนอราคาจากแต่ละโปรแกรม เราต้องดูว่าโปรแกรมที่เสนอมารวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือยัง ให้ดูข้อเสนอต่างๆ เช่น มีบริการสอนถึงที่ไหม สอนใช้เวลานานแค่ไหน โปรแกรมหลายที่บอกว่าใช้งานง่าย ให้ดูตรงระยะเวลาการสอน ว่าสอนใช้เวลากี่ชั่วโมง หรือ กี่วัน ถ้าเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายจริง ก็ไม่หน้าเกิน 3 ชั่วโมง ก็จะเข้าใจโปรแกรมขายของทั้งหมดแล้ว ที่สำคัญที่ควรดู เราควรดูว่า มีค่าบริการรายเดือนและรายปีหรือไม่ ถ้ามีคิดเท่าไรต่อปี แล้วมีการคิดย้อนหลังหรือไม่ หลายรายไม่ถามให้ละเอียดทำให้เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก

 

5.เปรียบเทียบราคา

        เมื่อได้ใบเสนอราคามาหมดแล้ว ทำการเปรียบเทียบราคา และ เลือกโปรแกรมที่ถูกใจ และ เหมาะสมกับร้านเรามากที่สุด อย่าดูเพียงแค่ราคาอย่างเดียว ให้ดูบริการหลังการขาย การรับประกัน ค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากติดตั้งโปรแกรมด้วย และที่สำคัญต้องดูว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือ เป็นรูปบริษัท 

ร้านค้าที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองซื้อมาใช้ เสียเวลาป้อนข้อมูลทุกอย่าง แต่ถึงเวลา โปรแกรมไม่สามารถใช้งานได้จริง ต้องเสียเวลาเรียนรู้และป้อนข้อมูล  และต้องเสียเงินสองรอบเพื่อหาซื้อโปรแกรมใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมแคชเชียร์ที่ซื้อมาใหม่จะเหมือนเดิมหรือเปล่า ดังนั้นเราต้องศึกษาจากข้อมูลเบื้องต้นที่ให้ไว้ด้านบน

 

6.ตัดสินใจซื้อ 

        เมื่อไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ว่าโปรแกรมแคชเชียร์หน้าร้าน ที่เหมาะกับร้านของเรา เป็นของเจ้าไหน ก็ตัดสินใจซื้อได้เลย แต่ก็ต้องดูการชำระเงินด้วย บางรายจะให้โอนก่อน 100% หรือ บางรายก็จะเก็บเงินค่ามัดจำบางส่วน และเก็บที่เหลือทั้งหมดเมื่อวันติดตั้ง แล้วแต่ตกลงกัน

 

7.โทรนัดวันเวลาติดตั้ง 

        เมื่อตัดสินใจเลือกซื้อแล้ว ก็ถึงเวลาโทรนัดวันเวลาติดตั้ง เราควรพร้อมทั้งสถานที่ และ คนที่จะเรียนรู้ 

  • ความพร้อมด้านสถานที่ ควรมีปลั๊กไฟให้เรียบร้อย มีโต๊ะทำงานหรือเคาเตอร์ที่สามารถเรียนรู้โปรแกรมได้อย่างสะดวก สถานที่ต้องเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้โปรแกรม บางที่สียังแห้ง ไฟยังไม่มา และปัญหาอื่นๆ ควรให้สถานที่พร้อมก่อนแล้วค่อยนัดติดตั้งโปรแกรม
  • ความพร้อมของคนเรียน คนที่เรียนต้องมีสมาธิในการเรียน เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยใช้มาก่อน จำเป็นต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ อย่าเพิ่งเอาเวลาไปจัดสินค้าหรือเอาเวลาไปขายของ เพราะเจ้าหน้าที่เค้าจะเข้าไปสอนถึงสถานที่เพียงครั้งเดียว ครั้งต่อไปจะสอนทางโทรศัพท์แทน ดังนั้นเจ้าของกิจการต้องให้ความสำคัญต้องการเรียนรู้โปรแกรมให้มาก เมื่อเราเข้าใจโปรแกรมแล้ว ปัญหาต่างๆจะหมดไป ส่วนใหญ่ปัญหามาจาก คนซื้อไม่ได้เรียน คนเรียนไม่ได้ซื้อ พอคนเรียนลาออก คราวนี้จะเกิดปัญหาขึ้นมาทันที

 

 

สำหรับคนที่เพิ่งเปิดร้านใหม่ 

แนะนำให้ซื้อโปรแกรมแคชเชียร์ ก่อนเปิดร้านล่วงหน้า 1-2 อาทิตย์ หรือ ก่อนที่สินค้าจะมาส่ง เพราะเมื่อสินค้ามาส่งเราก็จะยุ่งการจัดสินค้า ทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนรู้ เราควรซื้อโปรแกรมก่อน เพราะจะทำให้รู้ว่าเราควรจะเริ่มทำอะไรตรงไหน เราต้องคียส์ข้อมูลสินค้าต่างๆ พร้อมทั้งสต็อก เข้าไปทั้งหมดก่อนการขายจริง ข้อมูลถึงจะถูกต้อง สต็อกถึงจะตรงตั้งแต่แรก หลายคนคิดว่าซื้อโปรแกรมแล้ววันรุ่งขึ้นแล้วขายได้เลย มันก็อาจจะทำได้  ถ้าสินค้าเราไม่มาก และ คนป้อนข้อมูลพิมพ์ได้เร็ว ส่วนใหญ่จะทำไม่ทัน แล้วขายไปก่อน สต็อกก็จะไม่ถูกตั้งแต่เปิดร้าน แล้วก็มานั่งนับสต็อกกันใหม่ กว่าจะตรงจะใช้เวลานาน ทำให้มันถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกจะดีกว่า 

บางรายคิดว่าซื้อโปรแกรมขายของมาแล้วเจ้าหน้าที่จะป้อนข้อมูลให้หมด เราไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นความคิดที่ผิดนะครับ เจ้าหน้าที่จะสอนการป้อนข้อมูลต่างๆให้เราเป็นคนป้อนข้อมูลเอง เพราะเราจะรู้จักสินค้าทั้งหมดดีที่สุด คนอื่นจะไม่รู้ดีเท่าเรา บางโปรแกรมรับป้อนข้อมูลให้ลูกค้าทั้งหมด พอถึงเวลาที่เราที่เราจะเพิ่มข้อมูลสินค้าหรือข้อมูลบางอย่าง เค้าจะคิดค่าใช้จ่ายเราตลอด จนกว่าเราจะเลิกใช้โปรแกรมนะครับ ดังนั้นแนะนำว่าเราควรศึกษาการใช้งานของโปรแกรมและป้อนข้อมูลเองทั้งหมดจะดีที่สุด

สำหรับคนที่เปิดร้านแล้ว

สามารถซื้อโปรแกรมเก็บเงินมาใช้ได้เลย โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆไว้ล่วงหน้าก่อน ส่วนสต็อกถ้ามีเวลา ก็นับสต็อกล่วงหน้าไว้ก่อนจะช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ แล้วทำตามขั้นตอนต่างๆของโปรแกรมได้เลย   

     บางโปรแกรมสามารถนำข้อมูลจากโปรแกรมเก่ามาใช้ได้ โดยนำข้อมูลที่เป็น Excel มาใส่ในโปรแกรมใหม่ได้เลย ทำให้เราไม่ต้องคีย์ข้อมูลใหม่ทั้งหมด ที่เหลือก็ใส่แค่สต็อกและข้อมูลบางอย่างเท่านั้น ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะ บางคนไม่อยากเปลี่ยนโปรแกรมทั้งๆที่ใช้มามีปัญหามากมาย เพราะไม่อยากคีย์ข้อมูลใหม่ ตอนนี้ลองมองหาโปรแกรมใหม่ได้แล้ว

 

8.ชำระเงิน 

การชำระเงินก็สำคัญ บางรายก็มีเก็บค่ามัดจำบางส่วน บางรายก็ชำระเต็มจำนวนในวันติดตั้ง ถ้าลูกค้าลูกในกรุงเทพและปริมณฑลไม่ค่อยมีปัญหาอะไร  ที่จะมีปัญหาคือลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัด ต้องดูและศึกษาให้แน่ใจก่อนตัดสินใจโอนเงิน ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ต้องระมัดระวังมากหน่อย เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่าซื้อกับบริษัท มีโอกาสที่โอนไปแล้วจะไม่ได้ของนะครับ แนะนำว่าควรซื้อโปรแกรมกับบริษัท จะปลอดภัยกว่า

เวลาโอนให้ดูชื่อบัญชี ว่าเป็นชื่อบุคลธรรมดาหรือชื่อบริษัท บางโปรแกรมเปิดเป็นรูปบริษัท แต่เวลาให้ลูกค้าโอนเงิน กลับเป็นชื่อบุคคลธรรมดา แบบนี้ก็ต้องระวังนะครับ

 

9.บริการหลังการขาย

เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องพิจารณามากกว่าราคา บางโปรแกรมราคาถูก แต่บริการหลังการขายไม่ดี แบบนี้ย่อมซื้อโปรแกรมแพงหน่อยจะดีกว่า เพราะ โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน ไม่เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ที่ขายแล้วจบกัน จำเป็นต้องมีบริการหลังการขายอีกมากและเป็นอะไรที่ต้องการความรวดเร็วในการแก้ปัญหา

 

 

ปัญหาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • ปัญหาจากตัวโปรแกรมเอง
  • ปัญหาของเครื่องคอมพิวเตอร์
  • ปัญหาจากWindows
  • ปัญหาจาก ไวรัส
  • ปัญหาจากระบบ Network
  • ปัญหา Internet 
  • ปัญหาจากผู้ใช้งาน
  • ปัญหา OS Update ตัวมันเอง  

ซึ่งหลายๆปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวโปรแกรม ยิ่งถ้าเราซื้อโปรแกรมกับคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์แยกกัน ผู้จำหน่ายโปรแกรมบางรายอาจจะไม่ Support เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง เช่น ลูกค้าซื้อโปรแกรมจากที่หนึ่ง แล้วไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หามาเอง แล้ววันหนึ่งเกิด windows เสีย หรือ Hard Desk พัง ทางโปรแกรมบางรายอาจจะไม่บริการให้ เพราะไม่เกี่ยวกับตนเอง บางที่ก็ให้ลูกค้าซื้อโปรแกรมใหม่อีกครั้งเพราะหมายเลขเครื่องที่ผูกกับโปรแกรมได้เปลี่ยนไป ปัญหานี้เกิดบ่อย ดังนั้นแนะนำว่าควรซื้อโปรแกรมขายหน้าร้านและอุปกรณ์จากที่เดียวกันจะดีที่สุด 

บางโปรแกรมเวลาติดปัญหาอะไร ให้โทรเข้าเบอร์ปกติที่สำนักงาน ซึ่งเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ ให้เราตอบข้อมูลต่างๆก่อนจะให้บริการ ซึ่งกว่าจะได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ใช้เวลานานหรือบางทีก็ถูกตัดสายทิ้งก็มีบ่อย จะเป็นลักษณะเดียวกันกับที่เราโทรไปธนาคารต่างๆ ถ้าแบบนี้จะให้บริการไม่ทันเมื่อเกิดปัญหา บางที่ดีหน่อยที่มีเบอร์ Hot Line สายด่วนถึงเบอร์มือถือของเจ้าหน้าที่ Support โดยตรง ทำให้แก้ปัญหาได้ทันที หรือบางที่ก็สามารถ รีโมท ผ่านเน็ท เข้ามาแก้ไขที่เครื่องของเราได้เลย แบบนี้จะแก้ปัญหาได้รวดเร็วและตรงจุดมากกว่าครับ เพราะเห็นน่าจอเดียวกัน         

ข้อมูลนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ วิธีเลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้าน POS จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถือว่ามีประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังมองหาโปรแกรมเหล่านี้อยู่ ซึ่งข้อมูลนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับบางท่านไม่มากก็น้อย
 

บทความโดย ดร.คุณกร เกื้อโกศล

ที่ปรึกษาระบบ POS




 

Create Date : 01 เมษายน 2563    
Last Update : 1 เมษายน 2563 18:54:31 น.
Counter : 568 Pageviews.  

5 โปรแกรม POS ในปัจจุบัน ที่คุณควรรู้

ตอนนี้หลายท่านที่กำลังมองหาโปรแกรมขายหน้าร้าน จะต้องมึนงง กับโปรแกรมขายสินค้าหรือโปรแกรม POS ที่มีหลากหลายแบบในปัจจุบัน

Admin ขอแยกแยะ ตามความเข้าใจส่วนตัว สามารถแยกได้ 5 แบบ ดังนี้

1. Windows POS

2. Android POS

3. ios POS

4. Web POS

5. Platform POS

โปรแกรม POS ในปัจจุบัน
ปกติ โปรแกรม POS จะทำงานบน Windows เท่านั้น จะมีแค่โปรแกรม POS โดยเฉพาะ กับ โปรแกรมบัญชี ที่มี POS พ่วงด้วย

แต่หลังจากมี Andorid จากค่าย Google และ ios จากค่าย Apple ระบบหน้าร้าน POS ก็ได้พัฒนาโปรแกรมขายของ POS ให้ทันสมัยขึ้น คือ รองรับการใช้งานบนมือถือมากขึ้น

โดยต่างคนต่างพัฒนาโปรแกรม POS บน OS ของตนเอง โปรแกรมขายของหน้าร้านของทั้ง 2 ค่ายไม่สามารถใช้งานข้าม OS กันได้ 

ส่วนนักพัฒนา Website ก็ได้พัฒนาโปรแกรมคิดเงินบน Website ได้ โดยทำเป็น Web Application ให้ Web Site สามารถคำนวณเงินและซื้อสินค้าใน Web Site ได้เลย จึงกลายมาเป็นรูปแบบ Web E-commerce แต่หน้าจอยังไม่ตอบโจทย์การทำงานบนมือถือมากนะ และพื้นที่ในการเก็บข้อมูลยังมีข้อจำกัดอยู่

เมื่อเทคโนโลยีเชื่อมเข้าหากัน จากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้เกิดเป็น Platform POS ที่สามารถ เชื่อมโยงทุก OS ให้ทำงาน Online ผ่าน Internet มีการเชื่อมโยงหลายๆ Application ให้ทำงานร่วมกันกับระบบ POS ที่เน้นการเก็บเงินเป็นหลัก เริ่มมี Delivery, CRM, Account, Payment และอีกหลาย Application เข้ามาในระบบ Platform POS ทำให้ระบบขายของหน้าร้านหรือ POS เปลี่ยนไปอย่างมาก

ชุด POS พร้อมโปรแกรม

1. Windows POS ทำงานบนคอมพิวเตอร์ ที่มี OS เป็น Windows เท่านั้น

ข้อดี ข้อเสีย
ชำระเงินครั้งเดียวจบ ดู Online ไม่ได้
เป็นโปรแกรมฐานข้อมูล ขนาดใหญ่ (บางโปรแกรม สามารถดูผ่าน web site ได้ เช่น Real4POS)
ข้อมูลอยู่ที่คอมเราเอง  
ไม่ต้องใช้เน็ต  
ต่ออุปกรณ์ผ่าน USB  

 

 

2. Android POS ทำงานบนมือถือและTablet ที่เป็น OS Android เท่านั้น

ข้อดี ข้อเสีย
ทำงานบนมือถือและTabletได้ ต้องเช่ารายเดือนตลอดไป (ลองคิดดูปีล่ะเท่าไร)
เช่าต่อเดือนถูก เพิ่มเงิน เมื่อข้อมูลมากขึ้น
Online ได้ ใช้ฐานข้อมูลขนาดเล็ก
  ใช้เน็ตตลอดเวลา 
  ต่อ Printer ผ่าน wifi 
  จำกัดผู้ใช้งาน และ จำกัดข้อมูลสินค้า

 

 

 

3.ios POS ทำงานบน ipad หรือ iphone เท่านั้น

ข้อดี ข้อเสีย
ทำงานบน ipad หรือ iphone ได้ ต้องเช่ารายเดือนตลอดไป (ลองคิดดูปีล่ะเท่าไร)
เช่าต่อเดือนถูก เพิ่มเงิน เมื่อข้อมูลมากขึ้น
Online ได้ ใช้ฐานข้อมูลขนาดเล็ก
  ใช้เน็ตตลอดเวลา 
  ต่อ Printer ผ่าน wifi 
  จำกัดผู้ใช้งาน และ จำกัดข้อมูลสินค้า



 

 

4.Web POS ทำงานได้ทุกอุปกรณ์ แต่ไม่ได้ออกมาเพื่อทำงานบนมือถือ

ข้อดี ข้อเสีย
ทำงานได้ทุกอุปกรณ์ ต้องเช่าแบบรายปี ตลอดจนกว่าจะเลิกใช้
เช่าต่อปีถูก เพิ่มเงิน เมื่อข้อมูลมากขึ้น
Online ได้ ใช้ฐานข้อมูลขนาดเล็ก
  ใช้เน็ตตลอดเวลา 
  ต่อ Printer ผ่าน wifi
  จำกัดผู้ใช้งาน และจำกัดข้อมูลสินค้า
  ไม่ได้ออกมาเพื่อทำงานบนมือถือ

 

 

 

5.Platform POS ทำงานได้ทุกอุปกรณ์ ออกมาเพื่อทำงานบนมือถือ

ข้อดี ข้อเสีย
ทำงานได้ทุกอุปกรณ์ ต้องเช่ารายเดือนตลอดไป (ลองคิดดูปีล่ะเท่าไร)
เช่าต่อเดือนถูก เพิ่มเงิน เมื่อมีการขยายสาขา
Online ได้ ใช้ฐานข้อมูลขนาดเล็ก
ไม่จำกัดผู้ใช้งาน ใช้เน็ตตลอดเวลา 
ออกแบบมาเพื่อ ทำงานบนมือถือ  
มีความสามารถมากกว่า ทุกระบบในปัจจุบัน  

 

บทสรุป

ของระบบหน้าร้าน POS ปัจจุบัน มีหลากหลายแบบ ที่ทำให้ทุกท่านสัปสนกับระบบ POS ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ล่ะระบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการและธุรกิจของแต่ล่ะรายเป็นสำคัญ ไม่มีโปรแกรมขายสินค้า POS ตัวไหนดีที่สุด มีแต่ตรงกับความต้องการมากที่สุด ผมได้เขียนแยกออกเป็นส่วนๆ เพื่อง่ายต่อความเข้าใจและพิจารณาในการเลือกซื้อ โปรแกรม POS มาใช้ที่ร้าน

ข้อแนะนำ

ถ้าเป็นร้านอาหารขนาดเล็ก แนะนำให้ใช้แบบเช่ารายเดือน

ถ้าเป็นร้าน ที่เน้นสต็อก แนะนำให้ใช้แบบ Windows POS ระบบจะนิ่งกว่าและเก็บข้อมูลได้มากกว่า

ถ้าเป็นร้านค้าปลีกและร้านค้าส่ง แนะนำให้ใช้แบบ Windows POS อย่างเดียว จะเหมาะกับธุรกิจมากกว่า

ระบบ Online จะเหมาะกับ ร้านที่เน้นเพียงยอดขาย ไม่สนใจสต็อก

 

 

บทความโดย ดร.คุณกร เกื้อโกศล

ที่ปรึกษาระบบ POS




 

Create Date : 01 เมษายน 2563    
Last Update : 1 เมษายน 2563 18:41:18 น.
Counter : 1369 Pageviews.  


สมาชิกหมายเลข 5090793
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 5090793's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.