ความทรงจำบาง ๆ ที่สุขเศร้า ยามรำลึกถึงในบางช่วงเวลา
Group Blog
 
All Blogs
 

เถ้าแก่หอ

เถ้าแก่หอ..

หลายปีก่อนที่หัวมุมถนนสายสายหาดใหญ่
ใกล้กับโรงภาพยนต์โอเดียน
จะมีโรงแรมชั้นสี่อยู่แห่งหนึ่งมีความสูงสี่ชั้น
โดยสองชั้นล่างจะเป็นร้านค้าอาคารพาณิชย์อยู่อาศัย
ส่วนชั้นสามถึงสี่จะเป็นโรงแรมพักอาศัยทั่วไป
ด้านหัวมุมก็จะเป็นร้านค้าของลูกหลานเถ้าแก่จำนวนสองคูหา
ขายเสื้อผ้าห้องหนึ่ง อีกห้องขายกระเป๋าหนัง ส่วนปลายของห้องแถว
ก็จะเป็นทางขึ้นบันไดไปยังโรงแรมที่กินเนื้อที่ตัวอาคารตึกแถว
ไม่ต่ำกว่าแปดห้อง ทำให้มีห้องพักประมาณสี่สิบห้อง
(ถ้าจำไม่ผิด เพราะหลายปีแล้ว)
โรงแรมแห่งนี้ถูกรื้อทิ้งไปแล้ว
สภาพตอนนี้เป็นอาคารศูนย์การค้าแห่งหนึ่งแล้ว

สมัยก่อนสภาพตัวเมืองหาดใหญ่
รถยนต์รถราจะมีน้อยมาก การจอดรถยนต์ก็ค่อนข้างสะดวก
เพราะจอดตรงบริเวณถนนสายไหนใกล้ ๆ โรงแรมก็ได้
ทำให้โรงแรมมีคนเข้าพักมากและสม่ำเสมอ
ต่อมาเริ่มมีโรงแรมเปิดใหม่จำนวนมาก
และมีปัญหาเรื่องที่จอดรถยนต์มากขึ้น
ทำให้โรงแรมเริ่มมีคนพักน้อยลงกว่าเก่ามาก
สุดท้ายก็เริ่มเสื่อมสภาพลงไปเรื่อย ๆ

ประวัติความเป็นมาของเถ้าแก่หอ...ไม่แน่ชัด
แต่ที่แน่ ๆ คือ สมัยก่อนทำบ่อนการพนันบนโรงแรมหอ...
มีการพนันหลายประเภท โดยเฉพาะคนจีนในหาดใหญ่
จะเดินทางไปเล่นการพนันที่โรงแรมนี้จำนวนมากในแต่ละวัน
มีคนได้คนเสียจากการพนันจำนวนมาก
ทำให้หลายครอบครัวระส่ำระสายจากการที่หัวหน้าครอบครัว
ไปเล่นการพนันที่โรงแรมนี้จำนวนมากในช่วงมีการเปิดบ่อนการพนัน
กอปรกับ เมื่อเลิกการพนันก็สามารถเดินไปกินข้าวต้มร้านนายยาว
ที่อยู่เยื้อง ๆ กันก่อนเดินทางกลับบ้านได้ หรือซื้อห่อกลับบ้านได้
เอาไปฝากครอบครัวเป็นอาหารเช้า หรือฉลองชัยชนะการเล่นการพนัน

ผลจากการทำบ่อนการพนันของเถ้าแก่หอ...
ทำให้ครอบครัวนี้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเปิดบ่อนการพนันและค่าต๋ง
ส่งผลให้ลูกชายมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ
ตำรวจ ข้าราชการ และนักเลง ต่อเนื่องกันมา
จนแม้ว่าจะเลิกกิจการบ่อนการพนันไปแล้วก็ตามแต่
แต่ก็ได้รับมรดกบาปในด้านการค้าขายแบบสุจริตไม่ถนัด
คือมีร้านขายผ้าสำเร็จรูป แต่ให้ภริยาและลูกน้องดูแล
ส่วนลูกชายแกจะมีธุรกิจลับหลังคือ การค้าขายบุหรี่ เหล้า ชายแดน ส่วนหนึ่ง
(คำพูด สินค้าชายแดน จะสุภาพกว่าคำว่า ของเถื่อน ของหนีภาษี)
เพราะหารายได้อย่างรวดเร็วและต้องมีรายจ่ายในการเลี้ยงรับรอง เลี้ยงดูปูเสื้อ
เพื่อความรู้จักสนิทสนมกับคนพวกนี้ต่อไป แบบว่า ตัดขาดไม่ได้
แม้ว่าเถ้าแก่หอ... จะวางมือจากการทำบ่อนการพนันแล้วก็ตาม

สินค้าชายแดน เหล่านี้ส่วนมากมาจากประเทศมาเลเซีย
บริเวณชายแดนปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
ตำบลปาดังเบซาร์ น่าจะเป็นตำบลแห่งเดียวในโลก ที่ชื่อสองประเทศ
สะกดเหมือนกัน และอ่านแบบเดียวกัน ดังนั้น เอกสารราชการ
ต้องระบุให้ชัดว่า ฝั่งไทย หรือระบุตำบล อำเภอลงไป จึงจะแน่ชัดว่าของ
ประเทศไทย หรือ ประเทศมาเลเซีย
การค้าสินค้าชายแดนในสมัยก่อน แล้วแต่โชคและโอกาส
จังหวะดี ๆ จะมีรายได้มหาศาล ถ้าของสามารถขนออกมาและขายได้เร็ว
แต่ถ้าพลาดพลั้งก็ต้องจ่ายค่าปรับหรือขาดทุนมากมายเช่นกัน

มีครั้งหนึ่ง เพื่อนที่สนามบินเก็งกำไร แบบว่าอยากมีรายได้มากขึ้น
เลยซื้อบุหรี่ Duty Free ที่มีขายในร้านสนามบิน โดยทะยอยซื้อออกมา
ด้วยวิธีการใช้โควต้านักท่องเที่ยวที่ไม่ซื้อบุหรี่ ก็ให้คนในร้านซื้อแทน
แล้วนำออกมาส่งข้างนอกร้าน Duty Free ตรวจนับจำนวนก็ไม่เกินกว่า
PassPort หรือตั๋วเดินทางไปต่างประเทศ
ศุลกากรก็เอาผิดร้าน Duty Free ไม่ได้
เพราะไม่มีการขายเกินจำนวนที่มีหลักฐานข้างต้นสอบยันกันแต่อย่างไร
เพื่อนที่สนามบินทะยอยซื้อมาจนกระทั่งมีจำนวนเกินกว่า 100 แถว (แคตต้อน)
ถ้าเกิดสรรพสามิตหรือตำรวจ จับได้ จะมีโทษปรับแถวละ 1,000 บาท(หนึ่งพันบาท)
ถ้าถูกปรับก็ตกประมาณหนึ่งแสนกว่าบาทขึ้นไป
แต่ราคาขายตอนนั้นจะได้แถวละไม่เกินกว่า 120-140 บาท
กำไรก็ไม่เกินกว่า 30-40 บาทเท่านั้น

ช่วงนั้นเพื่อนคนนี้ร้อนรนมากในเรื่องนี้
ก็เลยหาเพื่อน ๆ ให้ช่วยกันซื้อหรือหาแหล่งปล่อยบุหรี่จำนวนนี้
เพราะต่างเป็นมือสมัครเล่น การตลาดอะไรก็ไม่เป็น
รวมทั้งเป็นของร้อนด้วยเช่นกันในตอนนั้น ต่างคิดอะไรไม่ออกด้วย
แต่เพราะจำนวนมากทีเดียวคือ ร้อยกว่าซอง และเพื่อนในกลุ่มนี้ที่สนิทกัน
จริง ๆ และรู้เรื่องนี้ก็มีไม่ถึง 4 คนเท่านั้น เพราะกลัวความลับครั้งนี้รั่วไหลออกไป
ภยันตรายจากการถูกจับกุมก็จะมากขึ้น เป็นโทษภัยกับเพื่อนเช่นกัน
(สมัยนั้นเงินเดือน start กันไม่เกินกว่า 3,000.-บาท ระดับปริญญาตรี
ถ้าช่วยกันซื้อก็ 10 -20 แถว ก็เรียกว่า รายได้แต่ละคนกระทบค่าครองชีพเลยทีเดียว)

เพื่อนที่สนามบินคนนี้ จึงได้มาหาผม
ให้ผมพาไปติดต่อหาลูกชายเถ้าแก่หอ... บอกขอช่วยซื้อได้ไหม
ที่ไปติดต่อหาแกได้ เพราะน้องชายแกเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันแต่เป็นรุ่นน้อง
พอรู้จักทักทายกันได้ และสมัยก่อนคนในหาดใหญ่ ส่วนมากพอรู้จักมักคุ้นกัน
แต่ความสนิทสนมหรือคบกันเป็นเพื่อนหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ต้องแยกจากกันในเรื่องนี้
ก็ปรากฎว่า มีการเล่นตัว เพราะแกขอกดราคาเหลือเพียงไม่เกินแถวละ 60 บาท
เรียกว่าไม่มีกำไรหรือขาดทุนทันที เพื่อนก็คิดหนักในเรื่องนี้
แถมยังบอกลายนักเลงขู่กลาย ๆ ว่า ถ้าไม่ขายเดือดร้อนแน่ในเรื่องครอบครองจำนวนมาก
เลยต้องกลับออกมา แล้วเดินไปหาแม่ของเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน
ทำโรงแรมชั้นสี่เหมือนกัน ไปฝากแม่ของเพื่อนให้ช่วยขาย แกก็รับได้อย่างมาก 10 แถว
เพราะกลัวเหมือนกันว่า ถ้าขายไม่ทันก็จะมีโทษปรับสูงมาก
แต่ถ้าจำนวนนี้ แกจะอ้างได้ว่าของลูกชายแกและคนงานฝากแกไว้ เอาไว้สูบกันเอง

จำนวนที่เหลือจะทำกันอย่างไร เพราะเหลือร้อยกว่าแคตต้อนอยู่ดี
ในที่สุดมีเพื่อนคนหนึ่งคิดได้ว่า ปกติสถาบันการเงินในหาดใหญ่
จะมีชมรม Check Clearing กันจะมีคนมาร่วมชุมนุมกว่า 30 คน
ถ้ามีคนบอกในชมรมว่า มีบุหรี่นอกขายราคาถูกคือไม่เกิน 100 บาท
น่าจะขายได้เร็ว เพราะสมัยนั้นการสูบบุหรี่ในที่ทำงานเป็นเรื่องปกติมาก
สถาบันการเงินสมัยนั้นแต่ละแห่งมีคนทำงานไม่น้อยกว่าสามสิบคนต่อแห่ง
จำนวนก็ไม่น้อยกว่ายี่สิบแห่งในตอนนั้น หรือประมาณหกร้อยคน เป็นชายมากกว่าหญิง
การ Check Clearing สมัยก่อนจะมีรอบเช้าไม่เกินสี่โมงเช้า
รอบบ่ายเริ่มบ่ายโมงไม่เกินสามโมงเย็นก็เสร็จแล้ว ใครเสร็จก่อนก็นั่งรอคนอื่นต่อ
จนกว่าจะเสร็จพร้อมกัน หรือหน่วยงานไหนไม่มีปัญหาก็กลับได้ก่อน
ผลปรากฎว่าบอกตอนเช้า ยอดจองสั่งซื้อพร้อมชำระเงินทันทีเกินกว่าจำนวนขาย
เพราะส่วนหนึ่งซื้อไว้สูบเอง อีกส่วนหนึ่งญาติพี่น้องหรือลูกค้าฝากซื้อ
เพราะบุหรี่ Duty Free สนามบินจะมีรสและกลิ่นดีกว่าของชายแดนปาดังเบซาร์
เพื่อนที่สนามบินพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่สถาบันการเงิน
จึงนำบุหรี่เข้าไปส่งที่ชมรม และรับเงินสดที่ชมรม Check Clearing
ซึ่งเป็นสถานที่ค่อนข้างปลอดภัย เพราะเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเช็คระหว่างธนาคาร
มูลค่าเช็คมากกว่าเงินสดอยู่แล้ว และภายในก็มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด
แต่ก็ต้องไว้วางใจคนในชมรมเช่นกัน เพราะมาจากสถาบันการเงินด้วยกัน
ตั้งแต่นั้นมา เพื่อนคนนี้ที่สนามบินก็เลิกธุรกิจดังกล่าวไปโดยสิ้นเชิง
เพราะเพื่อน ๆ ด้วยกันบอกว่าช่วยเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะอีกสองวันต่อมา
ลูกชายเถ้าแก่หอ.. ได้มาตามที่ทำงานและสอบถามเรื่องนี้
บอกว่าถ้าไม่ขายให้แก รับรองเพื่อนคุณเดือดร้อนแน่
เลยบอกแกไปว่า ขอโทษขายได้ราคาดีและหมดในแค่ครึ่งวัน
ถ้าจะตามจับก็ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะกระจายไปร้อยกว่าคนแล้ว
อยากจะจับก็ต้องลำบากหน่อย เพราะผู้ซื้อส่วนมากทำงานในสถาบันการเงิน
และแต่ละคนก็เข้าข่ายว่า มีการครอบครองไม่เกินกว่ายี่สิบซองหรือสองร้อยมวนต่อคน
ตามกฎหมายในการซื้อบุหรี่ต่างประเทศที่ไม่ต้องชำระภาษี แต่ประการใด
รวมทั้งซื้อไปสูบเองหรือแจกจ่ายกันไปคนละซองสองซองจนกระจายไปทั่วแล้ว
ทำให้แกเดินด้วยอาการหัวเสียออกไป
แล้วเที่ยวด่าลับหลังว่า เพื่อนผมกับผม เสียคำพูดและไม่จริงใจ
คือ สรุปว่าแกไม่ผิด และต้องขายแกคนเดียวเท่านั้นหรือ

ต่อมา เจ้าของที่ดินที่โรงแรมหอ.. .ดังกล่าวปลูกสร้างอยู่
ก็ขอที่ดินคืน หลังจากเถ้าแก่เสียชีวิตไปไม่นานนัก
เพราะจะไปให้ห้างสรรพสินค้าเช่าต่อ และมีรายได้มากกว่าเดิม
แทนการให้โรงแรมแห่งนี้ และอาคารพาณิชย์ด้านล่างเช่าต่อ
จึงบอกเลิกสัญญาทั้งหมด ทำให้ครอบครัวพี่น้องบ้านนี้ต้องโยกย้าย
และกระจัดกระจายไปในที่สุด เหมือนกับหนังจึนเรื่อง บ้านสลาย
ทราบข่าวสุดท้ายว่า แกเป็นเบาหวานเสียชีวิตไปแล้ว
และน้องชายแกอีกคน ถูกระเบิดตายที่ถนนใกล้ ๆ กับโรงแรมเดิม
ช่วงหลังไปทำอาชีพขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
รอรับหมอนวดแผนโบราณไปส่งให้กับลูกค้าตามโรงแรม
แล้วถูกระเบิดแสวงเครื่องวางในรถมอเตอร์ไซด์ระเบิด
ตายพร้อมกับหมอนวดแผนโบราณ

เรื่องนี้ก็เป็นตำนานประวัติศาสตร์ที่เล่าขานกันว่า
ไม่มีครอบครัวไหนร่ำรวยได้นานมาก
หรือจะมีความเจริญรุ่งเรืองได้นาน
ถ้าพ่อแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการพนัน
ที่มีผลต่อกองเลือดและคราบน้ำตาของครอบครัวอีกหลายคน

ก็น่าจะมีส่วนอยู่บ้าง เพราะพ่อแม่ของแกมีรายได้แบบง่าย ๆ
ลูก ๆ ก็เห็นอยู่ทุก ๆ วัน จะไปทำมาหากินแบบไหนละ
ที่จะมีรายได้แบบง่าย ๆ เช่นนี้
ขณะเดียวกันช่วงทำธุรกิจการพนัน
ก็ต้องคบค้าสมาคมและต้องมีรายจ่ายมากมาย
หมดไปกับการเลี้ยงดูปูเสื่อ ตำรวจ ข้าราชการ และนักเลง
ทำให้มีอาการผยองส่วนหนึ่งในการเจรจาค้าขาย กับการคบหาเพื่อน
เพราะคิดว่ามีอำนาจบารมีข่มขู่คนอื่นได้ง่าย ๆ
แต่เมื่อหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว
ถ้ายังยึดติดกับความรุ่งโรจน์ในอดีต
และยังทำตนแบบเดิมอยู่เรื่อย ๆ ก็คงไปไม่รอดเช่นกัน

หรือที่ท่านปัญญานันทภิกขุกล่าวไว้ว่า
คิดดี ทำดี พูดดี คบเพื่อนดี ไปสถานที่ดี แล้วจะดีเอง
หรือ จนไม่เป็น ก็รวยไม่ได้

เขียนไว้จากความทรงจำก่อนที่จะเลือนหายไป
ถึงคนในตำนานอีกคนหนึ่งในบ้านเกิด




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2552 23:48:16 น.
Counter : 563 Pageviews.  

ชายชราชาวจีน คนที่สอง

กาลิเลโอ

เท่าที่เห็นและพบเจอบ่อย ๆ ช่วงหนึ่ง
จะมีชายชราชาวจีนคนหนึ่ง
มีหนวดเครายาว หน้าตากลม ดวงตาเศร้าส้อย
หน้าตามีเค้าว่าเป็นคนคงแก่เรียน หรือฉลาดมาก่อน
เพื่อนในรุ่นมักเรียกแกว่า กาลิเลโอ
เหราะไว้หนวดเครา และหน้าตาใกล้เคียงกับรูปในหนังสือ

ชายชราคนนี้แกไม่สามารถก้าวเท้าแบบคนทั่วไปได้
ต้องเดินเขยิบ ๆ แบบขาข้างซ้ายที ขาข้างขวาที
เพราะหัวเข่าแข็ง ไม่สามารถพับงอได้
มือถือไม้เท้ายาวเหมือนโมเสสไว้ไล่สุนัข
เคยเห็นตอนแกจะนอนแถวข้าง ๆ บ้าน
แกจะต้องจับฝาผนังด้านหลัง หรือ ประตู
แล้วค่อย ๆ เลื่อนตัวลงไปนอน
โดยไม่มีผ้าห่มหมอนมุ้งแต่อย่างใด

ชุดแต่งตัวประจำของแกคือ
เสื้อแขนสีขาวยาวเก่าคร่ำคร่า
และผ้านุ่งห่มปิดขาแบบสะโหร่งสีขาวแต่ก็เก่ามากแล้ว
เห็นแกนุ่งชุดแบบนี้เป็นประจำอยู่เสมอ

มีผู้พบเห็นแกเดินอยู่บนท้องถนนหลวงเสมอ
ตอนนั่งอยู่ในรถยนต์กะบะ
เคยเห็นว่าแกกำลังเดินจากหาดใหญ่ไปสงขลา
แล้วมาพบแกอีกทีประมาณสองวันให้หลัง
หรือไปกลับอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
หรือตำบลปาดังเบซาร์ หรือตำบลด่านนอก
ใช้เวลาเป็นวันเหมือนกัน
บางครั้งก็มีคนพบแกเดินไปที่จังหวัดพัทลุง หรือจังหวัดตรัง
เพราะเพื่อน ๆ ที่เดินทางบ่อย ๆ จะเล่าให้ฟังด้วยส่วนหนึ่ง
ทราบข่าวสุดท้ายที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลง
จำไม่ได้ฉบับไหนนานมากแล้วว่า
แกตายโดยตกไหล่เขาไปทางไปจังหวัดตรัง
ไม่ระบุแน่ชัดว่าถูกรถยนต์ชนตายหรือเปล่า

เวลาที่พบในหาดใหญ่
เคยให้ทานแกบ้างเหมือนกันแต่เล็กน้อย
แกก็จะมองแบบเฉยเมย ดวงตาไร้ความรู้สึก
หรือเวลาแกจะขอข้าวร้านอาหาร
ก็ยืนเฉย ๆ หน้าร้าน จนกว่าร้านจะตักใส่ห่อให้แก
ถ้ายืนรอนานมาก แกก็จะเดินจากไปที่ร้านอื่นต่อ
จนกว่าจะได้อาหารมากินในวันนั้น
และเท่าที่ทราบแกจะกินวันละไม่เกินสองมื้อ
ส่วนเวลาที่เหลือก็จะเดินไปกลับตามที่ต่าง ๆ
และไปหาที่นอนประจำที่หาดใหญ่
จนกว่าเจ้าของบ้านจะมาไล่แกให้ไปนอนที่อื่น

ชาวบ้านในหาดใหญ่มักจะพูดกันว่า
แต่เดิมแกเป็นมีความรู้ดีมาก
จบจากเมืองนอกสมัยก่อน
เมื่อกลับบ้านมาแล้ว พี่น้องมีปัญหากันมาก
ทำให้แกถูกโกงทรัพย์สมบัติเงินทอง
จนสิ้นเนื้อประดาตัวไปเลย
ทำให้แกครุ่นคิดมาก จนสติแตก
และเริ่มออกเดินทางไปกลับตามเส้นทางถนนหลวง
เพื่อให้ลืมความเจ็บช้ำน้ำใจที่ได้รับมา
เดิน ๆ ๆ ๆ และเดิน ๆๆๆ จนกระทั่งมีสภาพเป็นแบบนี้

เขียนไว้จากความทรงจำ ก่อนที่จะเลือนหายไป
ถึงผู้ยากไร้อีกคนที่พบเจอที่บ้านเกิด




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2552 16:20:12 น.
Counter : 320 Pageviews.  

เถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย

เถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย

หลายปีก่อนได้เดินกลับบ้านร่วมกับพี่สาวและพี่ชาย
หลังจากไปเรียนภาษาจีนกับครูจีนคนหนึ่ง
สมัยนั้นต้องแอบ ๆ เรียน และเรียนแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ
เพราะรัฐบาลรังเกียจภาษาจีน หาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์
และโรงเรียนภาษาจีนในหาดใหญ่ก็ถูกปิดกิจการไปแล้ว
ผ่านไปทางถนนดินลูกรังมีสภาพเป็นเนินเล็ก ๆ
มีการปลูกผักอยู่รอบ ๆ ทางเดินที่จะตัดออกไป
ถนนศรีภูวนารถ(แถว ๆ ไดอาน่า) ปัจจุบัน

ข้างทางเจอฮวงจุ๊ยขนาดใหญ่
มีสระบัวและลำคลองไหลผ่านข้างหน้าฮวงจุ๊ย
(คลองเตยสมัยก่อน น้ำในคลองจะสะอาดกว่า
ปัจจุบันเหมือนสภาพฝนตกใหม่ ๆ ในตอนนี้ที่
เป็นทางระบายน้ำฝนเป็นส่วนใหญ่)

พี่สาวกับพี่ชายเลยเล่าว่า เคยไปว่ายน้ำแถวหน้าฮวงจุ๊ย
แต่มีจะมีคนหรือคนงานมาไล่ไม่ให้ว่ายน้ำแถวนั้น
ตอนนั้นยังเด็กมากและว่ายน้ำไม่เป็น
ก็เลยไม่สนใจมากนักเลยเดินผ่านกลับบ้านไป

หลายปีต่อมาจึงทราบว่าฮวงจุ๊ยนั้นคือของเถ้าแก่ชีกิมหยง
แต่ภายหลังลูกหลานได้รื้อฮวงจุ๊ยออกมา
เพื่อเอาที่ดินบริเวณนั้นมาทำบ้านจัดสรรขาย
แล้วย้ายหลุมศพเถ้าแก่ชีกิมหยงไปฝังที่อื่นแทน
ทราบจากลูกสาวคนหนึ่งของแกว่า
มีการรื้อฮวงจุ๊ยออกมาแล้ว ศพของเถ้าแก่ชีกิมหยงต้อง
วางตากแดดตากฝนอยู่เป็นอาทิตย์
(ภาคใต้สมัยก่อน-ปัจจุบัน ถ้าในหนึ่งอาทิตย์ฝนไม่ตกถือว่าแล้งแล้ว)
กว่าจะมีการย้ายและนำไปฝังที่อื่นแทน
(ธรรมเนียมจีนการย้าย/ฝังศพ ต้องมีการดูวันเวลา
เพื่อไม่ให้ชงหรือเซียะ ไม่ก่อผลดีกับลูกหลานคนอื่น)
นี่คือเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นหาดใหญ่
ที่ทำให้คนเก่าคนแก่ มักสั่งลูกหลานไม่ให้ฝังศพตนเองไว้
ในที่ดินสวนยางพาราของตนเอง
เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเถ้าแก่ชีกิมหยง

โครงการบ้านจัดสรรบนที่ดินของเถ้าแก่ชีกิมหยง
ก็มีปัญหามากมายตั้งแต่การจองบ้าน การขายบ้าน
และที่ร้ายที่สุดคือหุ้นส่วนคนหนึ่ง
มีการเบิกเงินก้อนหนึ่งกว่าสิบห้าล้านบาท
แล้วหนีหายไปที่อื่นเลย ทำให้ติดหนี้ติดสินบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง
ทำขายใช้หนี้แต่อย่างเดียว (ดอกเบี้ยตอนนั้นร้อยละสิบห้าต่อปี)
หรือเดือนละเกือบสองแสนบาท เรียกว่า
สร้างเสร็จช้าโอนช้าก็จ่ายแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว
สมัยนั้นขายบ้านหลังละห้าแสนถึงหกแสนบาทก็ถือว่าแพงแล้ว
สุดท้ายที่ดินแปลงใหญ่ของเถ้าแก่ชีก็หมดสภาพไป
เหลือแต่ชื่อภริยาเถ้าแก่ชีมกิมหยง (ถนนละม้ายสงเคราะห์)
เป็นชื่อถนนบนบริเวณที่ดินเดิมของเถ้าแก่ชีกิมหยง
ลูกสาวแกที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังก็ได้พยายามแก้ไขหนี้สินจนวาระสุดท้ายก็ถูกยิงตาย
โดยไม่ทราบสาเหตุและคนยิงแต่อย่างใด

เถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย
เป็นคนที่มีที่ดินมากที่สุดในหาดใหญ่สมัยหนึ่ง
เพราะพ่อเถ้าแก่ชีเป็นผู้รับเหมาสร้างทางรถไฟสายใต้บางช่วง
ร่วมกับขุนนิพัทธ์จีนนคร ที่เป็นหัวหน้างานในการหาคนงานจีน
โดยคนงานจีนเป็นกรรมกรที่มารับเหมาแรงงานสร้างทางรถไฟสายใต้ช่วงหนึ่ง
เมื่อเถ้าแก่ชีแต่งงานกับคุณละม้ายซึ่งเป็นคนไทยก็ซื้อที่ดินเก็บไว้จำนวนหนึ่ง
และบุกเบิกที่ดินไว้ส่วนหนึ่ง เพราะมีคนงานคนเก่าคนแก่ช่วยบุกเบิกส่วนหนึ่ง
สมัยนั้นการจับจองที่ดินก็ไม่ยุ่งยากอะไรมาก
เพียงแต่ไปแจ้งอำเภอกับกำนันว่าจะจองที่ดินบริเวณไหน
ก็ปักหลักเขตและบอกเนื้อที่ดินจะทำประโยชน์โดยประมาณ
โดยที่ดินจับจองก็ต้องไม่ทับซ้อนที่คนอื่นหรือที่สาธารณะ
ใครสามารถครอบครองและทำประโยชน์ได้ครบสามปีขึ้นไป
ก็สามารถขอออกเอกสารสิทธิ์ได้เลยเป็นตราจองรับรองว่าทำประโยชน์

ที่ไหว้ศาลเจ้าแป๊ะกง ที่ถนนเชื่อมรัฐหาดใหญ่
แกก็บริจาคให้ มีรูปถ่ายทั้งคู่ติดอยู่ในศาลเจ้า
โรงเรียนกุลบุตรและกุลธิดา เครือซาเลเซียนในหาดใหญ่สองโรงเรียน
(โรงเรียนแสงทองวิทยาและโรงเรียนธิดานุเคราะห์)
ก็เป็นที่ดินที่แกบริจาคให้ประมาณว่าก่อนปี 2500
ที่ดินในหาดใหญ่ยังไม่แพงมาก และพลเมืองไทยยังน้อยอยู่มาก
และโรงเรียนศรีนครตรงกันข้ามกับโรงเรียนกุลบุตรเครือซาเลเซียน
แกก็บริจาคให้เช่นกัน (มีรูปปั้นทั้งสองคนประดิษฐานไว้)

แต่เดิมโรงเรียนศรีนครนี้สอนภาษาจีน แต่ถูกรัฐบาลสฤษดิ์ สั่งปิดกิจการ
นักเรียนเลยต้องโยกย้ายไปเรียนที่อื่นอีกหลายแห่ง
มีช่วงหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดประมาณก่อนปี พ.ศ.2515 ก่อนหน้านี้ซักสองสามปี
ลูกหลานของเถ้าแก่ชีคนหนึ่งจะขอนำที่ดินโรงเรียนแห่งนี้คืน
เพื่อไปทำการจัดสรรค์ต่อ เพราะถือว่าไม่มีการเรียนการสอนมากว่าสิบปีแล้ว
และอาคารเรียนก็เป็นที่พักของคนยากไร้ หาเช้ากินค่ำ
(ถีบสามล้อ) เก็บของเก่า หรือ คนเป็นโรคร้าย(โรคเรื้อน)
หรือภาษาจีนไม่ทราบภาษาไหนเรียกว่า ปั้ดไท่ก่อ (ถ้าจำไม่ผิด)
สภาพสนามบอลก็เป็นปลักหรือหนองหญ้า มีหญ้าคาขึ้นแน่นหนา
และบางครั้งก็มีคนไปจับปลา หรือขุดดินหาปลา มักได้ปลาไหลจำนวนมาก
เพราะอยู่ใกล้กับที่ผมไปเรียนภาษาจีน และไปยืนดูตอนเขาขุดหาปลากัน
เด็กนักเรียนโรงเรียนฝั่งตรงข้ามมักจะนัดแนะกันไปชกต่อยกันที่นั่น
ช่วงสอบเสร็จประจำภาคหรือหลังเลิกเรียนประจำวัน กรณีหาข้อยุติความขัดแย้ง
ผมก็เคยไปใช้บริการแถวนั้นในบางครั้ง
กลับบ้านก็มักจะถูกแม่ตีซ้ำเพราะหน้าตาบวมปูดกลับมา
หรือบางครั้งครูโรงเรียนก็ไปจับตัวมาทำภาคทัณฑ์ที่โรงเรียน
ทั้งนักมวยและนักเรียนที่ตามไปเป็นกองเชียร์

เมื่อลูกเถ้าแก่ชีคนหนึ่งจะขอนำที่ดินโรงเรียนศรีนครคืน
กลับมาให้กองมรดกเถ้าแก่ชี เพื่อนำไปจัดสรรค์ต่อ
ทางกลุ่มคนจีน ศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งนี้ และบทบาทมากที่สุดคือ
สมาคมคนจีนแต๊จิ๋ว ก็ต้องแก้เกมส์
โดยรีบเร่งพัฒนาอาคารเรียนเป็นการใหญ่
หาวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนใส่เข้าไปในอาคารเรียน
และไปซื้อกิจการโรงเรียนราษฏร์แห่งหนึ่งที่ทุ่งลุง
สภาพใกล้จะปิดกิจการแล้วมาทำการเรียนการสอนที่แห่งนี้
พร้อมให้มีรถประจำทางรับส่งเด็กนักเรียนจากหาดใหญ่ไปทุ่งลุง
ทำให้เงื่อนไขการไม่เป็นโรงเรียนหมดไป
พร้อมกับเริ่มรับสมัครนักเรียนชุดใหม่ ๆ เข้ามาสบทบการเรียน
โดยการเก็บค่าเล่าเรียนเล็กน้อยหรือให้เรียนฟรี
โดยสมาคมมูลนิธิของชาวจีนช่วยสนับสนุนค่าเล่าเรียน
จนมีการพัฒนาเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน

ประเมินกันคร่าว ๆ ว่า สมบัติของเถ้าแก่ชีกิมหยงกับคุณละม้าย
ที่ได้บริจาคให้กับโรงเรียนทั้งสามแห่งในหาดใหญ่
ถ้ายังคงอยู่ปัจจุบันไม่น่าต่ำกว่าห้าร้อยล้านบาท
เฉพาะราคาประเมินของสำนักงานที่ดินอย่างเดียว
ยังไม่รวมรายได้จากธุรกิจของครอบครัวคือ
โรงภาพยนต์คิงส์(ถ้าจำไม่ผิด) ตลาดชีกิมหยง (โรงภาพยนต์เฉลิมไทยในอดีต)
ปัจจุบันเป็นร้านขายสินค้าข้างบน ข้างล่างเป็นตลาดช่วงเช้า
ทั้งสองแห่งหลังนี้ได้ขายกิจการไปหมดแล้ว


นี่ก็เป็นสัจจธรรมข้อหนึ่ง
คือ สมบัติผลัดกันชม
หรือ สม + วิบัติ คือ สะสมไว้รอวันวิบัติ
แตกสลายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โจทย์ดังกล่าวก็น่าจะตอบปัญหาที่ว่า
ทำไมบิดามารดาทำบุญไว้มากมาย
แต่สุดท้ายเหลือแต่รูปถ่ายและอนุสาวรีย์
แล้วทรัพย์สมบัติที่มากมายทำไมถึงหายไปไหน
ก็น่าจะพิสูจน์ได้ว่า กรรมใดใครก่อคนนั้นรับไป
ไม่ได้ตกทอดสืบสายให้กับทายาทหรือลูกหลานมากนัก
เพราะต่อให้พ่อแม่สร้างสมบัติไว้มากมาย
แต่ลูกหลานไม่มีปัญญารักษาก็เท่านั้นเอง

เป็นธรรมชาติ ธรรมดา

เฉกดังท่านพุทธทาสกล่าวไว้
สมัยไปนั่งฟังท่านเทศน์ที่สวนโมกข์


เขียนไว้เป็นความทรงจำก่อนที่จะเลือนหายไป
ถึงคนในตำนานของบ้านเกิดคนหนึ่ง




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2552 9:52:46 น.
Counter : 567 Pageviews.  

ชายชราชาวจีน คนที่หนึ่ง

ชายชาวจีน ผู้ยากไร้ (คนที่หนึ่ง)

หลายงานที่ได้ไปร่วมงาน
ในวันสุดท้ายที่มีประเพณีส่งศพคนจีนที่หาดใหญ่
จะมีชายชราชาวจีนคนหนึ่ง ต้องใช้ไม้เท้าข้างหนึ่งพยุงตัวเวลาเดิน
มาร่วมเข้าแถวอยู่ท้ายสุด คำนับศพผู้ตายทุกครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ
(ตามประเพณีต้องคำนับสามครั้ง) และอาจจะมีหลายรอบ
แล้วแต่ฐานะของเจ้าภาพงานศพว่ามีแขกเข้าร่วมมากน้อยเพียงไร

จนกระทั่งถึงงานศพพ่อของผู้เขียนเอง
ก็ได้เจอแกอีกครั้ง สอบถามแม่ก็ได้ความว่า
นานมาแล้วชายคนนี้ทำงานอยู่ร้านขายของที่ถนนสายสอง
เป็นร้านที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้อง ๆ กับร้านของพ่อ
ต่อมาแกเกิดโรคชนิดหนึ่งทำให้มีแผลที่ขาเหวอะหวะต้องมีค่าใช้จ่าย
ในการรักษามาก และต้องใช้เวลานานมากในการรักษาแผลดังกล่าว
(สมัยนั้นยาปฏิชีวนะยังไม่แพร่หลาย หรือถ้ามีก็แพงมาก)
เจ้าของร้านจึงให้ออกจากงานไป
เมื่อออกจากงานก็ไม่มีรายได้อะไรอีกแล้ว
ก็ต้องใช้บริการสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลหาดใหญ่
รักษาแผลจนหาย แต่สุดท้ายทำให้ขาข้างขวาต้องพิการไป
จนต้องใช้ไม้เท้าพยุงเวลาเดิน

ความที่เป็นคนจนและคนไร้บ้าน
แกจึงต้องร่อนเร่หารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ
จากงานศพของชาวจีน
(คนจีนแต้จิ๋วมักพูดว่า เต้าเหล่ายัวะ-มาชุมนุมกันมากๆ)
โดยการที่แกมาร่วมงานศพ ก็จะได้รับประทานอาหารส่วนหนึ่ง
และเก็บเศษบุหรี่ที่คนสูบเหลือทิ้งไว้ไปสูบต่ออีกส่วนหนึ่ง
(สมัยนั้นการสูบบุหรี่เป็นเรื่องธรรมดามากไม่เหมือนตอนนี้)
หรือถ้ามีคนที่เคยรู้จักแก/เมตตาสงสารแก
ก็อาจจะให้เงินแกบ้างเล็กน้อย
ซึ่งพ่อก็เคยให้แกบ้างเหมือนกัน

หลายครั้งที่เจอแกเดินบนท้องถนนในหาดใหญ่
ก็พยายามให้เงินแกบ้างเล็กน้อย
แต่แกก็พยายามพูดว่า ไม่ (ไหม่ ๆ ๆ) พร้อมกับยกมือปัดการให้
ต้องยัดเยียดใส่กระเป๋าเงินที่หน้าอกเสื้อของแก
เสื้อผ้ามีสภาพเก่าแต่มีการพยายามซักให้ดูสะอาดพอสมควร
ครั้งสองครั้งที่เจอแกที่แถวหน้าธนาคารเอเซีย ที่สายหนึ่ง
(เลิกกิจการไปแล้ว เปลี่ยนเป็นชือธนาคารอื่น)
กับบริเวณถนนสายสองที่หาดใหญ่
ก็ให้เงินแกอีก แกก็พูดว่า ไม่ ๆๆ อีก พร้อมกับยกมือปัดการให้
แต่ก็ยัดเยียดให้แกจนได้
มีคนเดินผ่านไปผ่านมา และคนทำงานในธนาคารที่เดินผ่านจ้องมองแบบแปลก ๆ
เผลอ ๆ อาจคิดว่าผมเป็นลูกหลานที่ทอดทิ้งแกก็อาจเป็นไปได้
คิดในแง่ร้ายสักนิดในเรื่องนี้
แต่ก็คิดในแง่ดีว่า เป็นการช่วยเหลือคนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่ทำได้

ครั้งสุดท้ายที่เจอแก กำลังขับรถยนต์กะบะอยู่จะข้ามไปฝั่งหาดใหญ่ใน
เห็นแกกำลังเดินข้ามสะพานลอยสายหน้าโรงพักเข้าฝั่งสายหนึ่ง
เดินบนทางลาดไหล่ทางสะพานลอย
ก็คิดว่าไม่เจอแกนานแล้วเหมือนกัน
จะให้เงินแกบ้าง แต่คงต้องหาที่จอดรถยนต์และวิ่งตามแกอีก
เลยคิดว่าจะให้แกในวันหลังก็แล้วกัน
หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอแกอีกเลย
คาดว่าน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
เพราะสภาพแกตอนนั้นก็อายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว
อาจจะมีสุขภาพดีกว่าเถ้าแก่ในตลาดบ้าง
เพราะต้องเดินทุกวันไปตามงานศพคนจีนในหาดใหญ่
เพื่อหาอาหารกินและรายได้เล็กน้อยจากงานศพ

นี่คือชายชราชาวจีน ผู้ยากไร้คนหนึ่ง
ที่เคยพบเจอและรู้จักในบ้านเกิด
เขียนไว้จากความทรงจำก่อนที่จะเลือนหายไป




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2552 10:55:21 น.
Counter : 352 Pageviews.  

โต้ว หญิงชราชาวจีนคนหนึ่ง

ขอเขียนเรื่องนี้จากความทรงจำเก่าๆก่อนที่จะลืมเลือนไป
ช่วงหนึ่งที่ทำงานที่ธนาคารไทยแห่งแรกของอำเภอหาดใหญ่
จะต้องเดินผ่านร้านขายรถจักรยานยนย์ยี่ห้อหนึ่งเป็นร้านอยู่ที่หัวมุมสายสอง
มักจะเจอผู้หญิงจีนชราสูงวัย เที่ยวเดินตะโกนโหวกเหวก ดุด่าคนงานคนนั่นคนนี้อยู่เสมอ
ในที่ทำงานร้านนี้และคนทั่วไปก็จะเรียกแกว่า โต้ว (ลูกสะใภ้หรือป้าภาษาจีนไหหลำ)
จนนานวันเข้าจึงรู้ว่า อดีตของแกเป็นพี่เลี้ยงลูกสาวลูกชายเจ้าของร้าน
ก็ไม่สนใจมากนัก เพราะคิดว่าคงเป็นคนเก่าคนแก่
ที่คนงานทั่วไปต้องให้เกียรติเป็นธรรมดา

ต่อมา เริ่มเจอแกมากขึ้น เพราะแกชอบมานั่งคุยกับโต้วเจ้าของร้านน้ำชาแห่งหนึ่งที่สายสาม
ซึ่งพอดีก็จะสนิทกับลูกชายเจ้าของร้านทั้งสี่คน เพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน
และแม่แกก็ชอบพอผมพอประมาณ เพราะครอบครัวหาดใหญ่สมัยก่อนมักจะรู้จักกัน
ว่าเป็นลูกหลานใคร พ่อแม่ทำมาหากินอาชีพอะไร
มีช่วงหนึ่งออกจากงานประจำ ต้องรับจ้างทำงานให้ครอบครัวไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง
โตัวเจ้าของร้าน เข้าโรงพยาบาลแล้ว ยังบอกว่าผมไปเยี่ยมแกก่อนแกจะเสียชีวิต
ลูกหลานของแกก็พยายามถามหาผม แต่ก็ไม่พบและอาจจะนึกว่าอาการแกคงไม่หนักมาก
แต่สุดท้ายแกก็เสียชีวิตไป ยังเสียใจอยู่ทุกวันนี้ว่าไม่ได้พบแกก่อนแกจะตาย


โตัวทั้งสองคนจะสนิทกันมาก เพราะสามารถคุยภาษาไหหลำด้วยกัน
ไปไปมามา แกก็เริ่มมากินนอนที่ร้านน้ำชาแห่งนี้
โดยเจ้าของร้านก็นำเงินมาฝากให้เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน
ก็สอบถามได้ความว่า สมัยแกสาวๆ แกดูแลลูกสาวลูกชายเจ้าของร้าน
เหมือนกับลูกคนหนึ่ง ตามรับตามส่งไปโรงเรียน ดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ
ดุด่าและดุแลอย่างดี จนกระทั่งลูกของเจ้าของร้านที่แกดูแลไปจบเมืองนอก
สองคน และไปรับราชการช่วงหนึ่ง ก่อนกลับมาเป็นเจ้าของร้านร่วมในปัจจุบัน

มีช่วงหนึ่งโต้ว ก็หายไปจากเมืองไทยหลายเดือน
เจออีกครั้งหนึ่ง ถ้าทางแกซึมๆ เหงาๆ
สอบถามจากเพื่อนก็ได้ความว่า แกกลับไปตกยากที่เมืองจีน(ไหหลำ)
แกนำเงินเก็บแกร่วมสี่แสนบาท กลับไปหาลูกชายของแกที่ไหหลำ
คาดว่าจะไปตายที่นั่นและอยู่ร่วมกับลูกชายที่แกจากมาหลายปีแล้ว
กว่าห้าสิบปีแล้ว (ตอนนั้นโตัวอายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว)
ช่วงเดือนแรก ลูกชายก็ดูแลแกอย่างดี
แต่พอเดือนต่อๆไป ก็เริ่มให้แกอด ๆ หยาก ๆ เพราะแกมอบเงิน
ทั้งหมดให้ลูกชายไว้ซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
หลังจากนั้น ก็เริ่มทุบตีแกและไม่ให้แกกินข้าว
เลยต้องแอบเขียนจดหมายมาบอกโต้วที่ร้านน้ำชา

เจ้าของร้านขายรถจักรยานยนต์ทราบ
เลยบอกว่าให้ไปพาตัวกลับมา ค่าใช้จ่ายเท่าไรให้เบิกล่วงหน้าได้เลย
โต้วร้านน้ำชาเลยให้ลูกชายคนโต
ที่พูดภาษาจีนไหหลำและภาษาอังกฤษได้ ไปพาตัวกลับมา
ปรากฏว่าต้องจ่ายค่าเครื่องบินสองคน และค่าไถ่ตัวให้ลูกชายของแก
อีกประมาณสามหมื่นกว่าบาท

หลังจากนั้นแกก็มากินอยู่ประจำที่ร้านน้ำชาแห่งนึ้
กลางวันก็มักจะนอน แต่ดึกๆค่ำคืนก็จะตื่นขึ้นมาคุยกับโต้วเจ้าของร้าน
เป็นอย่างนี้ประจำ ทุกเดือนเจ้าของร้านทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย
ถ้าว่างก็จะมาเยี่ยมแก หรือไม่ก็ฝากเงินค่าใช้จ่ายมาให้แก
ซึ่งแกก็รับบ้างไม่รับบ้างบอกว่าพอใช้อยู่เสมอ

สุดท้ายแกก็สิ้นชีวิตที่ร้านน้ำชาแห่งนี้
ไร้ลูกหลาน แต่ไม่ไร้น้ำใจมิตรภาพ
และความรักกตัญญูจากคนที่แกเลี้ยงดูตอนเด็กๆ
ธาตุอังคารแกก็ลอยน้ำไป เป็นสุขเป็นสุขเถิด

คือความทรงจำของผมก่อนที่จะเลือนหายไป
ถึงผู้หญิงจีนชราคนหนึ่ง
ทีเคยพบเคยเจอที่บ้านเกิด




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 19:57:13 น.
Counter : 326 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

yokel
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฺBlog แรก ๆ ที่เริ่มทดลองสร้างและเริ่มใช้งานใน http://www.pantip.com งานเขียนที่มีขึ้นก็แล้วแต่อารมย์และความว่างในการเขียน เพื่อเก็บไว้ในกล่องความทรงจำก่อนที่จะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Friends' blogs
[Add yokel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.