|
โต้งเพื่อนรัก
ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน (หยุดกิจการไปแล้วในช่วงหนึ่งก่อนจะเปิดใหม่อีกครั้ง) ว่าเพื่อนที่ขาดการติดต่อไปร่วมสิบปี โต้ง (อภิชาติ ชอบชื่นชม) ถึงแก่กรรมด้วยโรคตับแข็ง เพราะโรคพิษสุราเรื้อรัง แล้วใจหาย
ภาพความทรงจำเก่า ๆ ค่อย ๆ แวบเข้ามาในความคิด ครั้งแรกที่เจอกันในหอพักมหาวิทยาลัย โต้งพักอยู่กับห้องรุ่นพี่ห้องหนึ่ง ค่อนข้างจะเก็บตัวและโดดเดี่ยว แต่กินเหล้าค่อนข้างเก่ง ช่วงแรก็ยังไม่รู้จักสนิทกันมาก แต่หลังจากที่เคยร่วมวงกันหลายครั้ง ผ่านทางรุ่นพี่อีกคนที่เป็น Roomate กับโต้ง หลาย ๆ ครั้งเข้าก็เริ่มรับรู้ว่า โต้งเคยทำกิจกรรมเป็นเลขาธิการพรรคจุฬา-ประชาชน สมัยคุณสุธรรม แสงประทุม เป็นประธานศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และโต้งก็ถูกจับกุมคุมขังหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เพิ่งพ้นโทษออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดคุยเรื่องในอดีตมาก เพราะค่อนข้างจะปวดร้าวซึ่งกันและกัน เลยมุ่งอ่านกำลังภายในแข่งกัน ได้อ่านหนังสือเรื่อง โชกุน รู้สึกสนุกมากจนติดอกติดใจ จนบังคับให้โต้งต้องชื่อว่าโรดิเกส และตั้งชื่อตนเองชื่อ อับยินซัง
หลายครั้งนั่งคุยกัน นอนคุยกัน ห้องรุ่นพี่อีกคนซึ่งเรียนศิลปะ บางครั้งก็สูบสิ่งมินเมา และถกเถียงกันหลายเรื่อง ตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึงปรัชญา สัพเพเหระต่าง ๆ มากมาย บางวันก็ต่อเนื่องกันจนถึงเช้าก็ไปกินข้าวกันที่ตลาดสามย่าน แล้วกลับมานอนต่อที่หอพัก ส่วนโต้งต้องขาดเรียนในบางวัน ส่วนตนเองตอนนั้นมีภาคค่ำที่คณะ ฯ ด้วยความที่ตื่นสายเป็นประจำและมักง่วงนอนช่วงตอนเที่ยง จึงมักจะไปเรียนร่วมกับนิสิตภาคสมทบซึ่งมีนิสิตมาเรียนค่อนข้างน้อย ที่เริ่มเรียนประมาณห้าโมงเย็น กลับถึงหอพักก็ราวสองทุ่มสามทุ่ม ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบปะกับเพื่อน ๆ ก่อน แล้วค่อยไปสมทบกับโต้งที่ห้องพัก หรือไม่ก็ห้องรุ่นพี่ที่เรียนศิลป์เสมอ
บางวันเงินขาดมือ โต้งก็มักจะให้หิ้วพิมพ์ดีดภาษาไทย ยี่ห้อโอลิมเปีย กระเป๋าหิ้วสีขาวไปจำนำ ไม่โรงรับจำนำแถวสามย่าน ก็แถวราชเทวี ก็ได้เงินมาหมุนกันก่อน ก่อนไปไถ่คืน มีครั้งหนึ่งกลับบ้านต่างจังหวัด เอาตั๋วจำนำติดมือกลับบ้านไปเกือบสองเดือน ลืมไปว่าตั๋วจะขาดอายุแล้ว สุดท้ายพิมพ์ดีดก็เลยต้องหลุดจำนำไป ต้องขอโทษโต้งเป็นการใหญ่ แต่ก็มีการตำหนิกันเล็กน้อย
หลังจบการศึกษาก็กลับบ้านเกิด เพราะตกงาน/เลือกงานทำ เลยต้องกลับมาทำงานของครอบครัวอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยจะชอบมากนัก เลยมักจะหาเรื่องขึ้นกรุงเทพฯบ้าง นาน ๆ ครั้งไปสอบอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง หรือไปเที่ยวหาเพื่อนบ้าง ก็ได้เจอโต้งบ้าง
ในช่วงจะใกล้จบการศึกษาตอนนั้น ก็ทราบกันอยู่แล้วว่า โต้งไปทำงานเป็นนักข่าว ที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการแล้ว และกำลังเรียนอยู่ด้วย เพราะฐานะการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดีนัก
ต่อมาได้งานใหม่ที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ธนาคารไทยแห่งแรก ที่มีสาขาที่บ้านเกิด ช่วงขึ้นไปอบรมที่สำนักงานใหญ่ เป็นหลักสูตรสินเชื่อระยะเวลาสี่สิบห้าวัน ตอนเย็น หลังเสร็จจากอบรมแล้วมักจะเดินไปหาโต้ง เพราะที่ทำงานโต้งอยู่ใกล้ ๆ กับสำนักงานใหญ่ เลยมักจะนั่งคุยกัน กินเหล้ากัน และสนทนาสม่ำเสมอ โต้งมักจะหยิบผลงานที่เขียนให้อ่าน และมีเรื่องสั้นเกี่ยวกับพฤติกรรมตนเองสมัยเรียน ที่น่าเป็นที่ขบขันมาเขียนกะว่าจะส่งให้สำนักพิมพ์ต่วยตูน อ่านแล้วรู้สึกหน้าแดงอายเหมือนกันในเรื่องที่โต้งแต่งไว้ แต่ก็ได้รับคำปลอบใจว่าไม่ได้ลงชื่อจริงนี่หว่า หลายเรื่องเป็นของคนอื่นด้วย แต่มาปน ๆ กันให้อ่านได้สนุก ก็ไม่แน่ใจว่าได้ลงในต่วยตูนหรือไม่ เพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าได้อ่าน หรืออาจจะได้อ่านในความทรงจำหรือความฝัน
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยังจำได้และค่อนข้างจะเสียใจจนทุกวันนี้ ที่ปากเบาไปหน่อยเกี่ยวกับเรื่องส่วนต้ว/ครอบครัวของโต้งคือว่า วันหนึ่งโต้งเดินเข้ามาหาที่ห้องพักในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นผมเรียนปีสุดท้ายและใกล้จะจบแล้ว โต้งบอกว่า น้องชายกำลังจะแต่งงาน ตนเองควรไปหรือไม่ เลยถามว่าทำไม่ไม่ไปละ โต้งบอกว่า เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ตัวขาวแบบลูกจีน ผิดกับโต้ง มักจะล้อกันเสมอว่า " รูปชั่วตัวดำอัปลักษณ์ พิศพักตร์ดูหน้าขำ ผมก็หยิก เห็นแต่ฟัน " เพราะโต้งได้เอกลักษณ์มาจากแม่มากกว่าพ่อ ส่วนพ่อของโต้งเองก็ย้ายครอบครัวไปทำมาหากินอยู่ที่ภาคเหนือนานแล้ว ทั้งสองครอบครัวนี้ขาดการติดต่อมานาน
น้องชายโต้งได้เจอโต้งแล้วก็เรียกโต้งว่า เฮีย เพราะรู้ว่าโต้งใช้นามสกุลเดียวกันกับตน เรื่องนี้น้องชายพ่อของโต้งก็เคยบอกลูก ๆ ว่า มีพี่ชายอยู่คนไปทำมาหากินอยู่ภาคเหนือ ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด ไม่ได้ทราบข่าวคราว ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปีแล้ว ก็เลยแซวโต้งไปว่า " อย่าไปเลย เดี๋ยวข้าวนอกนา จะต้องแตกรวง ทำให้วงโต๊ะจีนแตก " เพราะคงต้องชี้แจงกันยืดยาวเรื่องประวัติความเป็นมาของโต้ง ก็เห็นโต้ง ซึม ๆ ไป และไม่แน่ใจว่าไปงานแต่งงานครั้งนั้นหรือไม่
ต่อมา โต้งก็แนะนำให้รู้จักกับแฟนโต้งที่ราชวัตร จำได้ว่าโต้งไปเอาเสื้อสูท และบอกว่าให้มางานแต่งงานให้ได้นะ จะแจ้งวันแต่งงานให้ทราบ ก็รับปากว่าจะไป แต่เกี่ยงว่าต้องส่งการ์ดให้ดด้วย เพราะอ้างว่าขี้เกียจจำวันแต่งงานเพื่อน ที่ทำตัวเองให้ไม่เป็นคนโสด แต่ก็ไม่ได้รับการ์ดแต่งงานเลยไม่ทราบว่า โต้งได้แต่งงานเมื่อไร แต่ก็ยังติดตามอ่านบทความ/ข้อเขียนโต้งเสมอ ๆ ทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและวารสารที่โต้งส่งไปตีพิมพ์ แต่ไม่เคยเขียนจดหมายไปติชม กะว่าขึ้นกรุงเทพฯ จะไปพบด้วยตนเอง
ต่อมางานเขียนของโต้ง ก็ค่อย ๆ ขาดหายไป จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและวารสาร พยายามติดตามอ่านรายชื่อกองบรรณาธิการ ว่ามีชื่อชองโต้งหรือไม่ ก็ไม่เจออีกเลย ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของตนเองด้วย ที่ไม่ชอบจดบันทึกรายชื่อ/สถานที่อยู่ของเพื่อน ๆ โต้งไว้ เพราะไม่รู้จักเป็นส่วนมากเลย อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งที่สนิทสนมกับโต้ง ก็มักจะเกาะกลุ่มสนทนากันเป็นประจำไม่เกินสามคน คือ ตนเอง โตัง และรุ่นพี่ที่จบศิลปะ ที่ได้ข่าวครั้งสุดท้ายว่าไปได้งานสอนหนังสือที่เชียงใหม่ แล้วก็หายเงียบไปเลย ไม่เจอจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วน Roomate ของโต้งทราบแต่ว่าไปเป็นปลัดอำเภอ แต่ไม่รู้ว่าอยู่อำเภอไหนในตอนนี้ และเพื่อน ๆ ที่หอพักก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักกับโต้งมากนักในช่วงนั้น พราะพิษของการเมืองที่ครอบงำในเรื่องภัยคอมมิวนิส์ ในช่วงที่โต้งกลับเข้ามาเรียนต่ออีกครั้ง
วันที่อ่านหนังสือพิมพ์เจอว่า โต้งถึงแก่กรรม และจะฌาปนกิจที่ไหน พยายามโทรศัพท์ไปที่วัดนั้น โดยไม่รู้ว่าอยู่ศาลาไหน โชคดีมีการโอนสายไป จนได้พูดคุยกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง และได้ให้ชื่อที่อยู่ไว้ และขอชื่อที่อยู่สถานที่ติดต่อครอบครัวโต้งที่เชียงใหม่ไว้ด้วย เพราะทราบว่าจะนำกระดูกไปบรรจุไว้ที่เชียงใหม่ โดยจะทำบุณย์ร้อยวันที่นั่นด้วย
สิ่งสุดท้ายที่มอบให้กับโต้งได้ก็คือ พระเครื่องหลวงพ่อทวด จำนวนสองร้อยห้าสิบองค์ โดยให้เพื่อนที่ทำงานธนาคารไทยแห่งแรก สาขายะลา เช่าพระเครื่องดังกล่าวมาจากวัดช้างไห้ ตำบลนาประดู่ จังหวัดปัตตานี โดยได้รับส่วนลดเป็นกรณีพิเศษ เพราะเพื่อนเป็นลูกศิษย์วัดช้างไห้และโดยส่วนต้วก็มีความสนิทสนม อันดีกับเจ้าอาวาสวัดช้างไห้ในช่วงนั้น เพื่อให้ญาติพี่น้องโต้งได้ไว้แจกจ่ายในงานทำบุญร้อยวัน โดยส่งไปรษณีย์ให้ก่อนวันงานประมาณสองอาทิตย์ และน้องชายโต้งก็ได้รับเรียบร้อยแล้วและโทรศัพท์มาขอบคุณ
ปีที่น้ำท่วมใหญ่ สูงสุดในรอบสี่สิบปี ความสูงของน้ำในบ้าน (หนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตร) เอกสารและหนังสือที่เก็บไว้บนชั้นหนังสือที่คิดว่า น้ำน่าจะท่วมไม่ถึงแล้วก็ถูกน้ำท่วมเสียหายไปหมดสิ้น เพราะคิดแต่เพียงว่าประสบการณ์ในอดีต ไม่เคยท่วมสูงเกินกว่าเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร ทำให้ไม่ทราบชื่อและที่อยู่ของบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโต้งไปในที่สุด
วันนี้ ไปเดินเล่นหาซื้อหนังสือที่สายสาม พอดีไปเจอหนังสือของ วีรศักดิ์ สุนทรศรี เขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องโต้ง ในหนังสือ พบเพื่อนเดือนตุลา เลยซื้อกลับบ้านมานั่งอ่าน และคิดถึงโต้งขึ้นมาเลย อยากเขียนฝากไว้กับความทรงจำที่ระลึกถึงโต้ง ในส่วนหนึ่งที่เคยพบกัน เหมือนกับบทกวี ที่ชอบอ่านกับโต้งและรุ่นพี่ที่จบศิลปะนานแล้ว จำไม่ได้ว่าใครแต่ง
[i]อยากมีบ้านใต้ลอมฟาง อยากอยู่ใต้ขอบฟ้ากว้าง อยากเก็บดอกไม้ในป่า และดมกลิ่นไออุ่นดิน
เหมือนกับฉัน เหมือนกับเธอ เหมือนได้เจอเพื่อจากกัน เหนือความจริงสิ่งสำคัญ ได้พบกันก็เพียงพอ[/i]
Create Date : 02 สิงหาคม 2548 |
Last Update : 30 พฤษภาคม 2553 20:24:03 น. |
|
2 comments
|
Counter : 586 Pageviews. |
|
|
|
โดย: สุปราณี ชอบชื่นชม IP: 203.151.140.117 วันที่: 9 มิถุนายน 2549 เวลา:18:30:33 น. |
|
|
|
โดย: ธัชมน IP: 125.24.159.144 วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:14:35:37 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
Location :
สงขลา Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ฺBlog แรก ๆ ที่เริ่มทดลองสร้างและเริ่มใช้งานใน http://www.pantip.com งานเขียนที่มีขึ้นก็แล้วแต่อารมย์และความว่างในการเขียน เพื่อเก็บไว้ในกล่องความทรงจำก่อนที่จะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
|
|
|
|
|
|
|
|