| |
|||
ทำไมไม่มีใครรู้จักไต้หวันมากนัก ???
ร้านหนังสือ ห้องสมุด งานหนังสือ เป็นสถานที่ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการค้นหาได้ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา อ่านนิยาย ทำอาหาร พระพุทธศาสนา แต่งสวน ดูดวง การตลาด คอมพิวเตอร์ การประชาสัมพันธ์ และสุดท้ายนี้คือการท่องเที่ยวนั่นเองค่ะ หลังจากที่ได้เดินกวาดสายตาไปเรื่อยๆด้วยความที่ชอบเดินเข้าร้านหนังสือหาหนังสือการตลาดอ่าน หนังสือคอมอ่านนิดๆหน่อย ก็เลี้ยวเข้ามาที่มุมการท่องเที่ยวต่างประเทศ ในประเทศ(หาร้านอาหารนั่นแหละค่ะไม่มีอะไร) ในมุมชั้นหนังสือต่างประเทศ ถ้าจะให้พูดเราคงจะเจอหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวญี่ปุ่น + เกาหลีใต้ กินชั้นหนังสือไปกว่า 80% ของประเทศอื่นๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ประเทศได้รับความนิยมเกิดจากหลากหลายปัจจัยที่เอื้อต่อกันด้วย ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งในประเทศที่เราใฝ่ฝันอยากไปเพราะการ์ตูน อนิเมชั่นเลยก็ว่าได้ และการหลงไหลในการทานอาหารญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กทำให้เป็นประเทศที่มีสเน่ห์ในใจเรารวมถึงในเรื่องธรรมชาติที่สวยงามอย่างฟูจิซัง..... เกาหลีใต้ ถ้าให้ว่ากันตามเนื้อผ้า รู้จักเพราะนักร้องที่อายุเท่ากับเราอย่างโบอะ (ที่ร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นในเวลานั้น) ฮ่าๆ รวมถึงซีรีย์ชื่อดังต่างๆที่ทำให้เราได้รู้จักเกาหลีมากยิ่งขึ้น การตลาดเค้านี่ดีจริงๆที่ดึงเอานักร้องสาวๆ หนุ่มๆมาทำให้สาวน้อยสาวใหญ่บ้านเราถึงกับต้องบินตามไปที่เกาหลีใต้ สถานที่ต่างๆเลยเชียว (จะว่าไปก็อยากจะไปตามรอย Running Man เหมือนกันนะนี่) ที่สำคัญสำหรับรัตน์เลยส่วนตัวคิดว่า เค้าทำการตลาดค่อนข้างดี แล้วเห็นประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น โฆษณาทีวี โฆษณาป้ายต่างๆในสถานีทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอส และเอ็มอาที ซึ่งมีการเล่นคำพูดประชาสัมพันธ์ที่ทำให้คนอยากไปเที่ยวดู โฆษณาเข้าไปสิคะ
ว่ากันต่อมาดูทางด้านไต้หวันกันบ้าง ไต้หวันเป็นประเทศที่เราหลายๆคนรู้จักเพราะซีรีย์ที่ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ โรงเรียนต้องเปิดหลักสูตรสอนภาษาจีนกลางกันเลยในสมัยนั้น อย่าง รักใสๆหัวใจสี่ดวง ที่มีสี่หนุ่มสี่สไตล์มากระชากหัวใจสาวๆไปตามๆกัน ไต้หวันประเทศที่สวยงามแต่คนกลับจำได้แต่ 4 หนุ่มเอฟซื่อ เติ้งลี่จวิน เจย์โชว SHE Farenheit และอีกมากมายหลากหลายวงที่รู้จักกันในวงแคบไม่กว้างมากมายอย่างเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นที่ประเทศเค้าพยายามดันให้คนในประเทศเค้าเป็นที่รู้จัก (คุณบัวขาวยังดังในญี่ปุ่นได้เลย) เมื่อวานนี้รัตน์ลองคุยกับเพื่อนคนไต้หวันดู ถามว่าทำไมไต้หวันไม่ลองมาโฆษณาทำอะไรดีๆในประเทศไทยบ้างล่ะ ทั้งๆที่ประเทศคุณก็สวยงามไม่แพ้ที่อื่น มีอะไรมากมายให้เที่ยว ถ้าจะพูดว่าไปเที่ยวไต้หวันรอบเดียวก็หมดแล้วก็ค้านคอหลุด ไปเที่ยวรอบเกาะมาแล้วก็ขอค้านเพราะไปกับทัวร์..... ก็ได้แต่ชะโงกรึเปล่าคะ ตัวน่ะไปถึง แต่ไม่ได้ลงไปสัมผัสอะไรที่เป็นไต้หวัน ที่เค้าบอกว่า คนน่ารักอัธยาศัยดี พูดภาษาจีนแต่นิสัยคล้ายคนญี่ปุ่น (เคยเจอบ้างรึยังเอ่ย) ที่ไต้หวันมีอะไรให้คุณลองค้นหาอีกเยอะแยะมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวอีกหลากหลายแห่ง อุทยานแห่งชาติก็มีตั้ง 9 แห่งแล้วค่ะ (จะบอกว่าเที่ยวของบ้านตัวเองยังไปไม่หมดเลยยังจะสะเหร่อไปไต้หวัน555+) กลับมาประเด็นว่าทำไมถึงไม่ทำโฆษณาดีๆหรือมาประชาสัมพันธ์บ้าง ถ้าจะบอกว่าไต้หวันไม่ประชาสัมพันธ์เลยก็คงไม่ได้ ..... เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ไต้หวันลงทุนไปกับทั้งรถบีทีเอส และรถใต้ดินในการพยายามโฆษณาใต้หวัน สกรีนรถไฟ ติดโฆษณา TIME FOR TAIWAN ประมาณนี้ที่สถานีรถไฟใต้ดินศูนย์สิริกิตติ์ที่อื่นมีมั้ยไม่รู้ ........... แต่ก็ไม่เห็นจะสื่ออะไรคนอ่านแล้วเดินผ่านไป...ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักไต้หวันจริงๆเราก็คงไม่อินหรอกค่ะ มันน่าไปยังไง อ๋อดูจากรูป มีวัดมีตึก 101 มีน้ำชา มีธรรมชาติ และอาหารการกิน แต่ก็ไม่สื่อออกมาให้เห็นได้ชัดเจนและง่ายๆแบบภาพเคลื่อนไหว คำตอบที่ได้จากเพื่อนชาวไต้หวันคือ เค้าบอกว่าเค้าไม่ได้เห็นไทยเป็นประเทศที่จะควรให้ความสำคัญมากนักในเรื่องการโปรโมทและการทำการตลาด สิงคโปร์และมาเลเซียเป็น 2 ที่ที่ไต้หวันไปโปรโมทมากกว่า ด้วยตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปประเทศเค้ามากกว่า เพื่อนบอกว่าไปดูตัวเลขสถิติเอายูจะรู้เองแหละว่าทำไมเค้าถึงไม่โปรโมท ทั้งปีประเทศไทยมีคนเข้าไปเยี่ยมเยียนอยู่ที่ 3 หมื่นคนตลอดปีที่ผ่านมา.............. และถ้าให้เทียบกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้แล้วนั้นคงไม่ต้องสงสัยว่าคนแห่กันไป ทั้งทัวร์และไปกันเองเยอะมากมาย สิ่งที่ทำให้มันง่ายขึ้นประการสำคัญคงจะหนีไม่พ้น เรื่องการขอวีซ่า ญี่ปุ่นนั้นแรกเริ่มเดิมที ที่มีการขอวีซ่าก็บูมมากของเค้าอยู่แล้ว ทุกคนพยายามเก็บเงินอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น และการทำวีซ่าญี่ปุ่นก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างวุ่นวายในสมัยก่อน พอไม่มีการทำวีซ่าปุ๊บมีเฮล่ะค่ะพี่น้อง ทำให้ความรู้สึกที่ไปญี่ปุ่นนั้นยาก ง่ายขึ้นไปเปราะนึง แล้วจู่ๆความรู้สึกที่ทัวร์ญี่ปุ่นแพงจัง.....ก็ลดลง สายการบินญี่ปุ่นแห่กันเข้ามาบริษัททัวร์พยายามเปิดเส้นทางญี่ปุ่นรองรับกระแสนี้....อู้ยแค่นี้ก็คุ้มค่ากับการลงทุนโปรโมทประเทศเค้าเล็กๆน้อยๆในบ้านเราแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพี่เกาหลีใต้พอกันกับญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องทำวีซ่าตั้งแต่ไหนแต่ไหร่ ไปมาสะดวกง่ายจังแค่กลัวอย่างเดียวตอนไปถึงเค้าจะไล่กลับรึเปล่าแค่นั้น โปรโมทโฆษณารูปภาพสวยงามใครๆก็อยากจะไปเที่ยวที่นั่นตามรอยซีรีย์กันทั้งนั้น........ แต่ถ้าให้เทียบกันจริงๆหลายๆคนที่ไปเกาหลีใต้และไต้หวันมาแล้วกลับชอบใจไต้หวันมากกว่า ใครที่ยังไม่เคยไปไต้หวันลองไปดูนะคะ เดินทางไม่ลำบาก โฮสเทลเยอะแยะมากมายค่ะ สามารถเลือกพักได้เลยทั้งถูกๆจนไปแพงๆก็มีค่ะ สรุปที่คนไม่รู้จักไต้หวันมากนักเพราะไม่มีการโปรโมทประชาัสมพันธ์มากนักในหลายๆด้าน หนังสือนำเที่ยวมีไม่มากพอ(รวมๆแล้ว 10 เล่มเท่านั้น) อาจจะเพราะไม่ค่อยมีคนไปก็ไม่รู้จะทำมาเพื่อใครอ่าน ใครไปเที่ยวไต้หวันอย่าลืมมาแบ่งความรู้ในการเที่ยวกันนะคะ ถึงเค้าไม่โปรโมทแต่เราก็บอกต่อๆกันละกัน กระเช้าเหมาคงที่ไต้หวัน ไม่ไปไม่ได้ >,</
วันสุดท้าย กระเช้าเหมาคง ยังไงก็ต้องกลับมาให้ได้อีกธรรมชาติในเมืองหลวง พร้อมวิวเมืองไทเปแบบสวยๆ
วันนี้มีแพลนจะไปกระเช้าเหมาคงจิบชากันที่โน่นเป็นมื้อเช้าของเราค่ะแต่ด้วยความที่เราล้ากันเต็มทนกับการเดินทาน 5 วันที่ทั้งแบก ทั้งลาก และทั้งเหนื่อย (กินข้างทางอีกแหนะ)ทำให้ทุกคนสายไป 2 ชั่วโมงจากเวลาที่เราคาดคะเนไว้ ตายละหว่าไฟลท์ของเรามีบ่ายสองต้องไปเข้าเกทแล้วค่ะทำยังไงดีนึกในใจไม่ไปแล้วก็ได้ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนละกันรีบแชทไปบอกเพื่อนไต้หวันที่น่ารักของเราเจ้าเดิม พี่ Dannis ก็รีบแจ้นมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตอนเช้าๆของรัตน์และคุณตาลค่ะตอนแรกว่าจะไปที่วัด ซินเทียน ซึ่งเป็นอีกวัดที่มีคนมาไหว้เทพเจ้ากันมากมายโดยสามารถขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปได้เพียงไม่กี่สถานีก็ถึงแล้วค่ะสรุปเราก็ไปขึ้นกระเช้าเหมาคงด้วยเวลาอันรวดเร็วในวินาทีสุดท้าย พี่แดนนิสบอกว่าขึ้นเขาไปที่สถานีบนสุดใช้เวลา 30 นาที และลงอีก 30 นาที นั่งรถใต้ดินไปจากสถานีไทเปเมนสเตชั่น 20 นาทีการเดินทางทั้งหมดใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ จะไปทันมั้ยจะขึ้นเครื่องทันรึเปล่าน้อ กระเช้าเหมาคง Maokong Gondola ตอนที่รัตน์มาถึงกระเช้าเหมาคงถูกตกแต่งสถานีรวมถึงรถไฟสายที่มาก็ยังเป็นสติ๊กเกอร์แปะลายคิตตี้ที่หน้าต่างสองข้างทางรวมถึงด้านนอกตัวรถไฟฟ้าด้วยค่ะ (รถไฟฟ้าสายสถานี Taipei Zoo) โดยเรานั่งรถต่อจาก ไทเปเมนสเตชั่นมาเรื่อยๆนั่งมองรถที่อยู่ใต้ดินมุดขึ้นมาบนฟ้า มองตึกระฟ้าในเมืองที่สูง ผู้คนที่จอแจกเข้ามาสู่เขตตะวันออกซึ่งเป็นเขตที่เงียบสงบ เขตที่พักอาศัยตึกอาคารสูงระฟ้าค่อยๆหายไปกลายเป็นอาคารบ้านเรือนใต้ๆ พร้อมสีเขียวขจีของต้นไม้เพื่อให้รู้ว่าเข้าสู่เขตธรรมชาติแล้ว พอถึงสถานีแล้วให้เดินออกทางป้ายที่เขียนว่าMaokong Gondola เพื่อต่อไปยังคารที่ให้ขึ้นกระเช้าค่ะใช้เวลาเดินไม่ถึง5 นาทีก็จะถึงค่ะ เดินเลี้ยวซ้ายออกจากสถานีไปเรื่อยๆทางเข้าจะอยู่ซ้ายมือ ค่าใช้จ่ายในการขึ้นกระเช้า 50 เหรียญไปถึงปลายทางค่ะระหว่างทางที่ขึ้นไปสถานีบนสุดนั้น จะผ่านสถานี Taipei Zoo South Station (ค่าใช้จ่าย 30 เหรียญ) Zhinan TempleStation(40 เหรียญ) และสถานีสุดท้ายคือป้าย Maokong ค่ะ กระเช้ามีให้เลือก 2 แบบคือ แบบใสและแบบทึบใครอยากสัมผัสธรรมชาติจริงๆก็ลงกระเช้าแบบคริสตัลแบบใสนะคะ แต่คิวจะรอนานหน่อยกระเช้าที่นี่ตกแต่งติดสติ๊กเกอร์เป็นลายคิตตี้หมดทุกระเช้าค่ะรวมถึงสถานีก็ตกแต่งตัวคิตตี้เช่นกัน เราใช้บัตร Easy Card ในการชำระเงินค่าขึ้นกระเช้าค่ะ(อะไรจะสะดวกขนาดนี้) กระเช้าค่อยๆขึ้นไปบนเขา อย่างอืดๆ เอื่อยๆทำให้นึกถึงกระเช้าที่ Sun Moon Lake ที่ดูแข็งแรงและเร็วคุณเก๋บอกว่าที่เค้าทำให้ช้าเพราะว่าเราจะได้มองดูวิวได้ไง นั่งไปซักพักเริ่มได้ยินเสียงนกร้องแว่วเข้ามาในกระเช้า ทุกคนคิดว่าเป้นเสียงของวิทยุเทปที่อัดเสียงไว้ค่ะแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ด้วยความที่ตัวสูงได้เปรียบคือพอยืนถ่ายรูปแล้วจะได้ช่องที่ลอดหน้าต่างได้เลยไม่มีหน้าต่างกันจึงได้ยินเสียงนกร้องไปที่วชัดเจน ทำให้ยิ่งหลงเสน่ต์ไต้หวันหมากกว่าเดิม ยิ่งเมืองไทเปยิ่งทำให้มีความรู้สึกอยากจะค้นหามากขึ้นเรื่อยๆเกาะเล็กๆที่มีทั้งความเจริญทางเทคโนโลยีแต่ก็ถูกโอบกอดไว้ด้วยธรรมชาติ เขียวขจีของป่าเขาลำเนาไพรและริมทะเลที่สวยงาม(ถึงบ้านเราจะสวยกว่าก็เถอะ) เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนสถานีMaokong แล้วพี่ใหญ่ในกลุ่มกลัวว่าจะไปสนามบินไม่ทันเลยให้เวลาการเดินเล่นที่ด้านบนนี้ 15 นาทีต่างคนต่างวิ่งไปคนละทางคนละกลุ่มรัตน์ก็ถ่ายวีดีโอก่อนแล้วก็ไปเดินกลับคุณตาลและพี่แดนนิสปล่อยพี่แอร์เก็บภาพวีดีโอบรรยากาศด้านบนไปคนเดียว 555+ รัตน์ออกจากสถานีแล้วเดินตรงเข้าไปนิดนึงเจอต้นซากุระกำลังออกดอกสวยงามช่างโชคดีอะไรอย่างนี้รวมถึงแวะเดินเข้าไปที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่งด้วยความงอแงของน้องเล็กในกลุ่มร้องอยากกินไอศครีมเราเลยเดินตามป้ายขึ้นไปเพื่อซื้อไอศครีมให้เจ้าเด็กน้อยที่ร้านน้ำชาค่ะ TeaHouse Guan Ding เป็นร้านน้ำชาเล็กๆ บรรยากาศ
.โคตรจะแสนสบายนั่งชิลลืมเวลาได้ทั้งวันเลยค่ะที่นี่ตอนที่รัตน์ขึ้นมาถึงนั้นยังไม่มีใครเลย พี่แดนนิสก็คุยช่งเช่งกับเจ้าของร้านโชคดีจริงๆที่ได้มีโอกาสมาชิมยอดใบชาที่นี่ รสชาดดีไม่ฝาดคอค่ะตอนเด็กๆไม่ชอบดื่มชาเลยล่ะ แต่พอโตก็ดื่มโออิชิกรีนที 555+ บ้างชาร้อนก็เริ่มได้ ชาอังกฤษ นานๆจะจิบชาจีน (ทั้งๆที่เป็นคนจีนแท้ๆแย่จริงๆ)รัตน์ได้ซื้อยอดใบชาอู่หลงไปฝากคุณแม่ซองละ 700 เหรียญระหว่างนั้นก็มีคุณยายโอบ้ะซัง คนญี่ปุ่นเดินมาพูดภาษาญี่ปุ่นใส่คุณลุงเจ้าของร้าน (เอ่อ
.. มาไต้หวันคนไต้หวันพูดภาษาจีนใส่ฉัน ถึงจะพูดอังกฤษไปก็เถอะ เจอคนญี่ปุ่นพูดภาษาญี่ปุ่นใส่คนไต้หวันอีกอาจจะเป็นเพราะว่าจะมีผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านยังคงพูดภาษาญี่ปุ่นได้อยู่ค่ะ)คุณป้าจะลองดื่มชาดู ด้วยความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่ร่ำเรียนมาและคืนเซนเซ่เรียบร้อยโรงเรียนจีน ก็แนะนำแกบอกว่าดื่มได้ค่ะ ทางนี้ พอแกเห็นว่าพูดญี่ปุ่นได้ล่ะใส่เต็มสตรีม แต่พูดช้าๆเสียงเนิบๆฟังแล้วรื่นหูเข้าใจได้ง่าย ว่าแกบอกว่าชาญี่ปุ่นยังหอมอร่อยสู้ชาของไต้หวันไม่ได้เลยนะคะคุณไปเรียนภาษาญี่ปุ่นมาจากไหนคะเคยไปญี่ปุ่นเหรอ (ไอเราก็ตอบเขิลๆไม่เคยค่ะแล้วก็ซาโยนาระ 555+ คำฮิตติด รีบวิ่งลงไปหาพี่แอร์เพื่อเดินทางกลับไปยังTaipei Main Station และนั่งรถต่อไปยังสนามบินเถาหยวนค่ะ พวกเราใช้เวลาเดินทางไปกลับจากTaipei Main Statoion Maokong Gondola Taipei Main Station ใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงเศษๆมาถึงที่พักเอากระเป๋าก็บ่ายโมงแล้วค่ะเลยรีบเดินใส่สปีดแล้วรีบไปขึ้นรถที่ท่ารถซึ่งตั้งอยู่ทางด้านขวามือของสถานีหลักไทเปซึ่งเราซื้อตั๋วไปสนามบินเถาหยวนของบริษัท Kuokuong ในราคาคนละ135 เหรียญก็ถึงสนามบินในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้นรถบัสจะจอดที่โรงแรมโนโวเทลก่อนนะคะ จากนั้นก็จะมาจอดที่ Terminal 1 และ 2 ตามลำดับ สายการบิน TransAsia อยู่ที่ Terminal 1 ค่ะเราเลยลงกันที่นั่นและเดินไปที่ฝั่ง Departure ภายในสนามบินเมื่อเช็คอินตั๋วเรียบร้อยแล้วนั้นผ่านการตรวจเช็คอิมมิเกรชั่นก็ถึงเวลาจับจ่ายซื้อของกันได้ด้านใน Dutyfree ค่ะ ขนมเผือกเจ้าอร่อยที่รัตน์ซื้อกลับไปฝากแฟนเพจที่ฝากซื้อนั้นก็จำหน่ายที่นี่ด้วยแหละแต่ยังไม่เห็น พายสัปปะรดคิตตี้ที่เคยซื้อที่สนามบินเกาสงเลยเสียดายอยากซื้อกลับมาเป็นของรางวัลในการจัดกิจกรรมอีกค่ะไปรอบหน้าจะเอามาฝากทำกิจกรรมเล่นแน่นอนเลยค่าสัญญา ขอบคุณทิ่ติดตามอ่านรีวิวการเดินทางปนๆกับไดอารี่การเดินทางของรัตน์ครั้งนี้ค่ะ ขอขอบพระคุณบริษัทโกลเด้นดิสคัพเวอรืรี่เอ็กเพลสที่คอยสนับสนุนรัตน์เสมอในเรื่องการเดินทางไปไต้หวันและกิจกรรม ขอขอบพระคุณสายการบินทรานเอเชียที่มอบตั๋วมาให้จัดกิจกรรมเล่นในแฟนเพจค่ะ ประหยัดค่าเดินทางไป 1 ท่าน และขอขอบคุณแฟนเพจทุกท่านที่คอยอยู่เป็นกำลังใจเสมอมาค่ะ เที่ยวไต้หวันด้วยตัวเอง ตลาดกลางคืนซื่อหลิน
ShilinNight Market : No. 101,Jīhé Rd, Shilin District, Taipei City, ไต้หวัน 111
ตลาดกลางคืนของนักท่องเที่ยวและชาวไต้หวันมาไต้หวันทั้งที ไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเลยนั่นคือ ตลาดกลางคืนซึ่งเพื่อนของรัตน์ ชาวไต้หวันพี่Stevenเล่าให้ฟังว่าตลาดการคืนก็เกิดจากที่คนกลับบ้านไม่มีเวลาทำงานกันหนักเลยเกิดตลาดกลางคืนมากมายเป็นแหล่งรวมอาหารของกินเพื่อให้ความสะดวกสบายต่อชาวเมืองของเค้านั่นเองค่ะ(สั้นเนอะประวัติ) ที่นี่เปิดตั้งแต่ช่วงเย็น จนกระทั่งตี 2 ค่ะมีอาหาร ของซื้อมากมาย ที่ซื่อหลินถือได้ว่าเป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของไต้หวันโดยขี้นชื่อที่หนึ่งคงไม่แพ้เรื่องอาหารการกินค่ะ พอตกเย็นคนไต้หวันและนักท่องเที่ยวจะรู้เวลาของเค้าเองและเริ่มทะยอยมาหาอะไรทานที่นี่กันค่ะ
ชอบมากค่ะไข่หวานอร่อยอ่ะ
ถ่ายซะเบลอเชียว
น้ำไข่กบค่ะ
วัดหมาจู่ค่ะ อย่าอ่านกันผิดนะคะ
ที่ไต้หวันคนที่นี่ค่อนข้างนับถือเทพเจ้าและเทวดา และค่อนข้างเคร่งครัดในการไหว้เทพเจ้ากัน และขนบธรรมเนียมประเพณีดีๆจองจีนสมัยโบราณก็ยังแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมของไต้หวันเค้าค่ะ
คนเยอะมากค่ะไม่รู้จะถ่ายรูปมุมกว้างเก็บมาให้ยังไงดี
ร้านอะไรแว่บๆ
ออกมาด้านนอกดูบ้าง
ยืนต่อแถวซื้อไก่ทอด
ชิ้นใหญ่มากมายเป็นของเราเท่านั้น
เห็นไก่ทอดมั้ยใหญ่กว่าหน้าอีกนะ
ไอศครีมกระถางไอเดียดีๆค่ะ
อยากกินมันชีสเยิ่้มๆต้องมาที่นี่เลยจ้า
ซาลาเปาอบโอ่ง
และอีกเยอะมากมายค่ะ ของที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่ซื่อหลิน 1. ไก่ทอด HotStar 2. บะหมี่หอยนางรมณ์ 3. มีร้านขายรองเท้าNewBalance และโอนิซึกะราคาถูกอยู่ที่นี่ด้วยลองหากันให้ดี 4. มาตกกุ้งในบ่อตกเหมือนตกปลาทองญี่ปุ่นเค้าจะปิ้งให้ทานสดๆเลยค่ะ 5. ไข่หวานรสชาดต่างๆอยู่บริเวณด้านหน้าตลาดเลยค่ะใกล้กับที่ขายน้ำไข่กบอร่อยอ่ะชอบคุณเก๋ซื้อกลับมาฝากที่ห้องเลย(เพราะกลับก่อน) 6. แวะร้านชานม 85cแวะชืมกาแฟเกลือหน่อยก็เก๋ดีนะคะ 7. เต้าหู้เหม็นเจ้าอร่อยที่น้องซันจ๋าบอกคนไต้หวันต่อแถวซื้อกันคือเจ้าที่อยู่ไม่ไกลจากทางออกรถใต้ดินค่ะเดินออกมาจากใต้ดิน มองไปฝั่งตรงข้ามบริเวณ 11 นาฬิกา เจอเซเว่นก็ตรงนั้นเลยค่ะ 8. มันอบราดชีสเยิ้มๆก็อร่อยนะจ้ะ 9. ไอศครีมในกระถางต้นไม้ไอเดียน่ารักทานได้ 10. ซาลาเปาอบโอ่ง 11. ข้าวโพดเสียบไม้ อันนี้เจ้านายรัตน์แอบบอกมาว่าต้องมากินนะ(แต่เป็นผู้หญิงที่กลัวอ้วนค่ะเลยไม่กล้ากินฮ่าๆ) 12. นั่งเล่นเกมจับคู่นกกระจอกดูก็ไม่เลวนะคะ ที่เอ่ยมาทั้งหมดทำไปบ้าง 90%นอกนั้นเห็นแล้วอยากทำแต่ไม่ได้ทำก็มีค่ะลองติดตามดูได้ในคลิปนะคะว่าเราไปที่ไหนทำอะไรกันบ้างค่ะ ตอนเช้ามีพี่เดนนิสและพี่ชายที่ใจดีพาเราไปทำDIY ที่โรงงานตอนเย็นก็เจอน้องในแฟนเพจน้องซันจ้าพาเราเดินตลาดซื่อหลิน เดินกันอย่างเมามันจนลืมว่าเราฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมตั้งแต่ 10 โมงครึ่ง เอิ่มเค้าจะปิดออฟฟิศตอน 5 ทุ่ม แล้วอีกไม่กี่นาทีก็จะ 5 ทุ่มแล้ว เดินเพลินเอาไงดี !!! อั้ยยะ สรุปรัตน์ก็โทรไปที่โรงแรมเพื่อบอกทางหนีห่าวว่ารบกวนเอากระเป๋าขนเข้าห้องให้หน่อยจ้าโดยอธิบายกระเป๋าแต่ละใบละเอียดยิบ(จริงๆอาจจะเหลือแต่กระเป๋าของพวกเราก็ได้ใครจะไปรู้ ;P) ดีที่ได้กุญแจห้องมาแล้วค่ะ เข้าไปถึงก็ได้กระเป๋าของเราอย่างถูกต้องแม่นยำค่ะคราวนี้ต้องขอขอบคุณน้องซันจ้าที่ดูแลเพื่อนๆที่เหลืออีก 4 คนที่เดินตลาดต่อยันเที่ยงคืนกว่าแหนะ เสร็จแล้วก็จบวันรีวิวของวันนี้อาจจะน้อยไปหน่อยเพราะรูปเยอะมากมายค่ะการเดินทางวันนี้ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนไต้หวันน่ารักๆและเพื่อนชาวไทยที่น่ารักอีกด้วยค่ะ วิธีการเดินทางไปซื่อหลิน นั่งรถไฟฟ้า MRT สายสีแดง Tamsui ไปลงที่สถานี Jiantan ค่ะ เที่ยวไต้หวัน วันที่ 4 Wagashi Shushinbou DIY ขนมโมจิ Nihao@Taiepei ตลาดซื่อหลิน
วันที่4 :มิตรภาพของเพื่อนชาวไต้หวัน ที่ Wagashi Shushinbou DIY ขนมโมจิ Nihao@Taiepei ตลาดซื่อหลิน
วันนี้เป็นการเดินทางที่แสนสนุกสำหรับรัตน์เองค่ะโดยส่วนตัวเนื่องจากได้นัดเพื่อนชาวไต้หวันไว้ถึง 2 กลุ่มด้วยกันกลุ่มแรกคือแซนดี้พี่สาวที่น่ารักของรัตน์เองรู้จักกันตั้งแต่สมัยรัตน์ทำงานที่แรกและกลุ่มที่ 2 คือพี่ๆที่ได้รู้จักเค้าตั้งแต่ที่งาน TITF14 รัตน์นัดกับแซนดี้ไว้ประมาณ 10 โมงที่ Nihao@Taipeiค่ะ ซึ่งเป็นสถานที่พักของเราในอีก 2 คืนตื่นเช้ามาก็รีบจ้ำออกจากโรงแรมที่ซีเหมินก่อนเลยเพราะกลัวว่าเราจะผิดนัดเค้าก็ไปเช็คอินรอเพื่อนๆคนอื่นก่อนเลยเพราะเป็นธุระของรัตน์คนเดียวคนอื่นจะได้ไม่ต้องรีบ(แต่มีนัดต่อตอน 11 โมงกับพี่ๆชายที่ wagashi shushinbou เค้าเอารถมารับหน้าโรงแรมCosmosเลยล่ะ) เรามาเริ่มการเดินทางของรัตน์กันค่ะ
แบกกระเป๋าลงจากที่พักหอบแฮ่กๆสองใบแทบตาย
แวะมาทักทาย ถ่ายรูปกับผู้ดูแลโฮสเทลซักหน่อย
ด้านหน้าของโฮสเทลค่ะ
กล้าเนอะทิ้งกระเป๋าไว้ตรงนั้นวิ่งมาถ่ายรูป ตรงที่กระเป๋าวางอยู่เป็นทางขึ้นไปที่พักของเราค่ะ
ด้านข้างมีร้านอาหารเล็กๆน่ารัก
ร้านทำผม PS มีอยู่ทั่วไทเปเลยค่ะ ค่าสระผมกับไดร์ผมเสียไป 200 เหรียญค่ะ
เดินออกมาตามถนนยามเช้า
โซนี่จะไปรอดมั้ยอิอิ ไม่เกี่ยว ตอนเช้าร้านยังไม่เปิดกัน
กำลังจัดงานเกม
นี่คือทางเดินที่ออกไปยัง MRT ได้ค่ะ ผ่าน ยูนิโคล และโรงหนังเล็กๆ
หันหลังกลับไป แชะ
ถึงแล้วค่ะ MRT มาดูซีเหมินติงยามเช้ากันค่ะ
บริเวณโดยรอบรถไฟฟ้า
ที่กดมีสองฝั่งค่ะสำหรับคนพิการ เด็กเล็กกดได้ด้วยเตี้ยๆ
มาคนเดียวแชะหน่อยๆ รัตน์ออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมงครึ่งหอบกระเป๋า 2 ใบลงจากบันไดอันสูงลิบด้วยความลำบากยากเย็นแล้วก็เข็นกระเป๋าไปตามถนนบนซีเหมินติงเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปให้ทันเวลาค่ะก่อนไปก็ถามคุณเก๋เรื่องการเดินทางก่อนค่ะ รัตน์ลงรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ไปที่ Nangangแค่ 1 สถานีก็จะถึงสถานี Taipei MainStation ซึ่งเป็นสถานีอยู่ติดกับสถานีรถไฟของไทเปค่ะ เดินออกทางออก 3หาที่เค้าเขียนว่า Cosmos Hotel ก็ขึ้นลิฟต์ขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆต้องบอกว่ากระเป๋าหนักโคตรเหอๆเอากระเป๋าใบเล็กที่มีน็ตบุ๊คเทินขึ้นกระเป๋าใบใหญ่แล้วเดินเก๋ๆ ขึ้นมาทางออกสามยืนเอ๋อซักพัก ออกจากทางขึ้นก็เดินไปทางซ้ายเรื่อยๆจะเจอ Cosmos Hotel ค่ะแต่เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไปไหนเดินเข้าไปทางที่รถจอดหน้าโรงแรมหาจึกที่เขียนว่า Cosmos CommercialBuilding เข้าไปในตึก กดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 15 เลยจ้ะ ออกจากลิฟต์ปุ๊บก็จะเจอหนีห่าวอยู่ซ่ายมือค่ะ
กำลังไปยัง Taipei Main Station มุ่งหน้าไปยัง Nangang ค่ะ
เห็นคิตตี้อยู่ไวๆในโฆษณากระเช้าซักที่ !!! ต้องเป็นหยางหมิงซานแน่ๆเลย
ฉึกฉัก ฉึกฉัก
ถ่ายๆมาก็เจอหนุ่มหน้าตาดีอีกแล้ว ผู้หญิงที่รัตน์ยืนข้างๆด้วยสูงกว่ารัตน์อีกน่าจะ 175 ได้นะ
ออกมาแล้วมายืนรอที่ลิฟต์ค่ะ
ตามที่คุรเก๋บอกให้เดินไปที่ M3 อ้าว M3 เรื่อยๆ
เดินต่อไปอย่าได้หลง
Gakuden คุ๊กกี้ที่รถ HSR ให้อยุ่ในรถไฟ
เจอทางออก M3 แล้วค่ะ
มาถึงจนได้ Cosmos Commercial Building
Nihao@Taipeiอบอวลไปด้วยความอบอุ่น โฮสเทลชื่อดังสำหรับ Backpacker หลังจากลากกระเป๋ามาที่ Nihao@Taipeiก็ได้เจอกับพนักงานของที่โฮสเทลซึ่งพูดอังกฤษกันปร๋อรัตน์ยื่นเอกสารที่พรื้นจาก booking.com ขึ้นมาพร้อมจ่ายค่าห้องไป8,400 TWD สำหรับห้อง 6 คน จำนวน 2คืนค่ะและขอฝากกระเป๋านั่งรอพี่แซนดี้มา ระหว่างนั่งรอให้ถึง 10โมงก็นั่งเปิดคอมทำงานไปรอเวลาที่พี่สาวจะมาหา ที่หนีห่าวมีที่ส่วนกลางค่อนข้างน่ารักสบายๆเหมือนอยู่บ้านไม่อึดอัดไม่จอแจ มีโซฟามุมของตัวเอง มีจานช้อนส้อมให้ มุมเล่นเกม มุมนั่งเล่นคอม 2 เครื่องฟรีอินเตอร์เน็ต อ่างล้างจาน เครื่องทำกาแฟ และจุดกิจกรรม ที่ทางโฮสเทลเค้าจะจัดประจำให้นักท่องเที่ยวที่มาพักที่นี่ค่ะ
อ่านกฏต่างๆที่ไม่ได้อ่านถ่ายมาเลยดีกว่า
มุมนั่งเล่นคอมรอคนอื่น เราก็นั่งทำงานจากไต้หวันเลย
มุมนี้เค้าให้ชงกาแฟได้ มีจำหน่ายของน่ารักๆ รวมถึงเป้นจุดให้ปั๊มสแตมป์ด้วยค่ะ
ที่นั่งเล่น
มีจุดขายน้ำด้วย
สแตมป์เพียบเลยค่าพี่น้อง
น่ารักจัง (เกือบซื้อมาละ)
ถังขยะยังน่ารักเลย (หมายถึงตัวการ์ตูนนะคะ)
มุมที่นั่งอีกมุม
อีกมุมจากที่นั่งเล่นเกมด้านในค่ะ
ห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก ที่นี่จริงๆแล้วจะมีห้องนอนรวมด้วยนะคะของกลุ่มรัตน์นั้นรัตน์เลือกเป็นห้องนอน สำหรับ 6 คนค่ะซึ่งในห้องก็เป็นห้องเล็กๆ มีเตียงสองชั้น 3 เตียง รวมนอนได้6 คน ในที่นอนได้ในที่นอนแต่ละคนจะมีปลั๊กให้เสียบ 1 จุด มีไฟ 2 ดวง ผ้าห่ม หมอนนุ่มๆ 2 อัน ม่านปิดส่วนตัว ไม้แขวนเสื้อ 2 สำหรับรัตน์นั้นก็ได้ที่นอนด้านล่างเพราะเป็นคนตัวสูงถ้าปีนไปข้างบนนอนทุกคนเกรงว่าหัวจะโขกเพดานค่ะ
มีห้องน้ำ 1 ห้องและห้องอาบน้ำแยก 1 ห้องอยู่ในห้องนอนค่ะซึ่งประตูปิดไม่ค่อยสะดวกเท่านั้น นอกนั้นโอเคค่ะมีเครื่องทำน้ำอุ่นทุกอย่างค่อนข้างโอเค สำหรับ Backpacker แค่ไม่มีคนบริการต้องดูแลตัวเองก็เท่านั้นเองอ่อเกือบลืมที่นี่มี Locker ไว้ให้ใส่ของส่วนตัวด้วยค่ะซึ่งตัวล็อกเป็นระบบ RFID เป็นสร้อยข้อมือแล้วให้เรานำสร้อยที่มีเขเดียวกับLocker ไปแตะแค่นี้ก็เปิดล็อกเกอร์ได้แล้วล่ะจ้า
เรามาเดินทางต่อกันค่ะ หลังจากที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาขึ้นรถไปที่เมืองNewTaipei City เพื่อไปยัง Wagashi Shushinbou โรงงานและพิพิธภัณฑ์ทำขนมของแบรนด์ชูชินโบซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 80% ของตลาดขนมโมจิและเค้กพายสัปปะรดของไต้หวันเลยทีเดียวเรานั่งรถมาประมาณ 30 นาทีก็ถึงที่หมายของเราระหว่างทางก็ชมวิวด้านข้างตลอดทาง เราพักอยู่ในตัวเมืองบริเวณ Taipei MainStation ซึ่งบริเวณนั้นก็เป็นบริเวณใจกลางของไทเปมีตึกสูงอยู่ประปรายให้เห็นแต่พอนั่งออกนอกเมืองไปเรื่อยๆก็ค่อยๆลดความสูงลงทะละนิดจนเหลือแต่ตึกเล็ก 5-6ชั้น และ 2-3 ชั้นเท่านั้นสิ่งที่ชอบมากๆในการมาไต้หวัน ครั้งแรกและครั้งนี้คือ ธรรมชาติ ตลอดสองข้างทางจะเจอต้นไม้อยู่มากมายร่มรื่นตลอดทาง ถนนหนทางสะอาดเรียบร้อย(ถึงจะไม่ถึงขั้นสิงคโปร์)เอาล่ะค่ะมาเดินทางกันต่อดีกว่า
พี่ชายที่รู้จักกันที่บูทงาน TITF มารับเราไปที่โรงงานค่ะ WagashiShushinbou Museum พิพิธภัณฑ์โรงงาน DIY โมจิแสนอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นผสมกลิ่นอายแบบไต้หวัน 30 นาทีให้หลังเราเดินทางถึงที่หมายของเราซึ่งเราเดินทางโดยรถตู้ของบริษัทฯซึ่งพาเรามาเยี่ยมชมและทำ DIY กันแบบใกล้ชิดสุดๆ บริเวณของพิพิธภัณฑ์นั้นมี 3 ชั้นค่ะเริ่มต้นจากชั้นแรก ชั้นแรก WagashiShushinbou เป็นส่วนจำลองวัดแบบญี่ปุ่นถ้าใส่ยูกาตะมาคงจะเข้ามากมายเลยแหละมีบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของโรงงาน แบบ Milestone มีจุดจำหน่ายไอศครีม มีที่เขียนคำขอพรแบบวัดญี่ปุ่นจริงๆรวมถึงบริเวณชั้นหนึ่งยังเป็นบริเวณที่จัดแสดงความเป็นมา พิพิธภัณฑ์ของบริษัท มีแนะนำขนมสาธิตวิธีการทำ รวมถึงจำหน่ายขนมมากมายก็อยู่ที่ชั้นที่หนึ่งเช่นกันค่ะ ชั้นที่สอง เป็นชั้นเรียนทำ DIYค่ะซึ่ง DIY ที่นี่จะมี 2 โปรแกรมคือ แบบปกติกับแบบเอ็กคลูซีพมีน้ำต้อนรับด้วยค่ะสามารถชำระเงินให้การทำ DIY ได้ที่ชั้นหนึ่งค่ะ ห้องที่ทำ DIYสามารถจุคนได้ประมาณ 78 ที่โดยประมาณเป็นโต๊ะเรียนและชม VTR ในการทำค่ะ ชั้นที่สาม เป็นส่วนสำหรับถ่ายรูปสันธนาการสำหรับเด็กๆวิ่งเล่นได้ รวมถึงเป็น Food Court ราคาประหยัดไม่แพง มีราเมงชามละ 120 เหรียญรสชาดดีแถมชามใหญ่มากๆด้วย
ประวัติยาวจริงๆ ตำนานของโมจิคิง วากาชิชูชินโบ
สองคนนี้นี่แหละจ้ะ
บริเวณชั้นสองค่ะ
ขั้นมาชั้น 3 บ้าง
ไม่ค่อยมีรูปตัวเองซักเท่าไหร่สินะ
อร่อยค่ะอร่อย
ขนมแนะนำต้องซื้อเมื่อมาที่นี่คือ โมจิเย็นตามฤดูกาลซึ่งตอนรัตน์ไปเป็นหน้าสตรอเบอร์รี่พอดีค่ะ รสชาดดีมากๆไม่อวยแต่อร่อยอ่ะขนมไทยากิที่ต้องซื้อที่ร้านซึ่งทำให้ดูด้วยพิมพ์ออกมาเป็นตุ๊กตาสัญญลักษณ์ของร้านพอดีเลยด้านในไส้ครีมแล้วก็มีโมจิยัดไส้เข้าไปอีกค่ะ ขนมพายเค้กสัปปะรด ที่นี่ไส้ทะลักค่ะรสชาดไม่หวานไม่เปรี้ยวมากกำลังพอดีๆ แป้งร่วนไปนิดจากหลายๆเสียงที่บอกมา ขนมพายเค้กสัปปะรดเคลือบช็อกโกแลต (MustBuy) แนะนำให้ซื้อนะคะนำไปแช่เย็นในตู้เย็นแล้วมากินอ่ะจะอร่อยมากถึงมากที่สุดเลยจ้า ของที่ระลึกที่นี่ก็น่ารักมากมายค่ะมีMascotเป็นตัวโมจิน่ารักๆ มีจุดถ่ายรูปให้วิ่งถ่ายมากมายที่นี่มีสเตชั่นให้ปั๊มสะสมถึง 6 แห่งด้วยกันซึ่งแต่ละจุดก็จะเป็นตัว mascot ของที่ร้านนั่นเองล่ะค่ะถ้าอยากรู้ว่าจะน่ารักขนาดไหนลองมากันได้ค่ะที่ Wagashi Shushinbou Museum เมืองนิวไทเปซิตี้ ขอขอบคุณพี่ Dannisที่มาเป็นล่ามให้เราคราวนี้ค่ะ ไม่งั้นตายแน่นอนภาษาจีนไม่ได้ซักคำ วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟฟ้า (MRT)สายสีน้ำเงิน ลงสถานี Tucheng แล้วต่อรถเมล์สาย17 ลงที่ Guoji Park เดินตรงมานิดนึงก็จะเจอทางเดินเข้ามายังที่Wagashi Shushinbou ค่ะ ด้วยความที่เราลั้ลลากันมาเป็นเวลานานมากเลือกซื้อขนมนานอ่ะก็ทำให้พลาดไม่ได้แวะไป 1 สถานที่เรามุ่งหน้าไปยังตลาดซื่อหลินไนท์มาเก็ตกันค่ะ ซึ่งเดินทางได้ไม่ยากเลยค่ะแค่นั่งรถไฟไปลงสถานี Shilin ซึ่งอยู่สายสีแดงที่จะไปลงที่ Tamsuiค่ะ เวลานั่งรถไฟฟ้าก็มองข้างที่ประตูจะลงกันให้ดีค่ะซึ่งข้างไหนประตูเปิดจะมีไฟสีเขียวสว่างอยู่ค่ะ ไว้ต่ออีกตอนที่ซื่อหลินนะคะ Mr J French-Italian Restaurant Taipei
ร้านอาหารของเฮียเจย์ ตั้งอยู่ที่ภายในบริเวณ Taipei Medical University ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังเยื้องกับตึกไทเป 101 ถ้าเดินมาก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้นค่ะ เดินตาม Google Map ไปได้เรื่อยๆเข้ามาด้านในมหาวิทยาลัยมองตรงเข้าไปด้านซ้ายมือจะเป็นร้านของเจย์โชวค่ะสังเกตได้จากป้ายบนอาคารสีส้มอิฐที่ดูทันสมัยแต่คงความขลังของมหาวิทยาลัยไว้
ที่ร้านนั้นรัตน์ลองถามพนักงาน พยายามสุดชีวิตเค้าบอกว่าต่อหัวขั้นต่ำยังไงก็ต้องสั่งน้ำ สั่งอาหารให้เรียบร้อยค่ะ ไม่กำหนดอะไรมากมายก็จะเป็นเหมือนร้านอาหารตามสั่งทั่วๆไป ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่ 11.30 22.00 น. รัตน์และเพื่อนๆมาถึงร้านประมาณ 4 โมงกว่าๆค่ะ ซึ่งจริงๆตามเวลาแล้วเราต้องไปจิวเฟิ่นกันแต่ด้วยความที่ตารางเวลาการเดินทางเลื่อนไปเรื่อยๆแผนการเดินทางเขียนรีวิวของเราก็เลยไหลไปตามนั้น ร้านอยู่เยื้องตึกไทเป 101 นิดเดียวค่ะ เข้ามาที่มหาวิทยาลัยก็เจอร้านเลย ถึงแว้ววสาวดเฮียเจอย่างเราก็กรี๊ดๆ แชะซักภาพ เมนูต่างๆเริ่มต้นอยู่ราวๆ 200-500 เหรียญ มุมตกแต่งไม่รู้เพราะว่าเพิ่งเทศกาลวาเลนไทน์มารึเปล่า เปียโนตัวใหญ่ วางไว้ตรงกลางร้าน ที่นั่งสไตล์โมเดิร์น โอ่อ่า มุมมองจากในร้าน จากเรื่องอะไรน้า ของที่ระลึก มุมมองจากด้านบนค่ะ ซึ่งเป็นห้องน้ำอ่ะ ทำไมห้องน้ำต้องอยู่ด้านบนไม่ทราบที่นี่แนะนำถ้ามาให้สั่งเป็น Full Course เซ็ตๆไปนะคะ เพราะว่าจะคุ้มกว่าและมา 2 ขอให้สั่งแค่ 1 เซ็ตให้คุ้มกับราคาของเงินที่เสียไป เพราะขั้นต่ำจานนึงก็ 300 กว่าแล้วล่ะค่ะ ร้านนี้ตกแต่งแบบภาพยนตร์เรื่อง The Secret ที่เจย์โชวเป็นพระเอก, ผู้กำกับ, คนเขียนบท เยอะอ่า พนักงานที่นี่แต่งตัวชุดนักเรียนตามแบบในหนังเลยค่ะ ตอนเช้าจะใส่ชุดแบบว่าฤดูร้อนอ่ะ ไม่มีสูท พอตกเย็นก็จะมีสูทคลุมทับอีกที พนักงานที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง บรรยากาศร้านเป็นสไตล์โมเดิร์นค่ะ เด่นสุดๆที่ร้านคือเปียโนตัวใหญ่ที่จำลองมาจากภาพยนตร์ นอกจากนั้นที่ร้านยังรวบรวมโล่รางวัลที่เฮียเจเคยได้รับมา อัลบั้มทุกอัลบั้มมาเรียงให้แฟนคลับมานับกันว่าสะสมกันครบรึยังด้วยค่ะ อ้ะๆ ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับของเฮียเจนะคะ มีของที่ระลึกจำหน่ายที่ร้านด้วยค่ะ ส่วนห้องน้ำที่นี่อยู่บริเวณชั้น 2 หากขึ้นบันไดไปก็จะเจออยู่ด้านบนค่ะ สลัดจานใหญ่คุ้มๆ พร้อมซุป สิ่งนี้เราก็นำกลับบ้านด้วย สเต็กชิ้นใหญ่ สปาเก็ตตี้จานใหญ่ ว้าวๆๆๆๆ สมราคามาเป็นเซ็ตเลยค่ะ ยังถ่ายไม่เลิก ของที่ระลึกซื้อได้ ขนมเค้กดูเบาๆ น่าอร่อยแต่รสชาดธรรมดา - แย่ แต่ชิ้นนี้รัตน์เลือกได้รสเปรี้ยวๆหวานๆอร่อยถูกใจค่ะ ชิ้นนี้ธรรมดา เอามาเรียงๆกัน ด้านในมหาวิทยาลัยยามค่ำคืนอาหารที่จำหน่ายในร้าน : เป็นอาหารอีตาเลี่ยนและฝรั่งเศสตามขื่อ สเต็ก พาสต้า สลัด เครื่องดื่ม และของหวาน รวมๆแล้วรสชาดอาหาร 3.5 คะแนนเต็ม 5 คะแนน โดนตัดคะแนนเรื่องขนมของหวานค่ะ นอกนั้นรสชาดโอเค น่าแวะวเยนมาถ่ายภาพ ราคาต่อคนอยู่ประมาณ 300 เหรียญค่ะ ถ้าสั่งแต่น้ำก็จะประหยัดลงไปครึ่งนึงค่ะ |
Rosetear
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]![]() สวัสดีค่ะนักศึกษาสาขาวิชาการท่องเที่ยวตรีและโท ผันตัวมาเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ เว็บดีไซเนอร์ และการตลาด (อนาคตรอผันตัวไปเป็นนักวิจัยและอาจารย์)ชื่นชมและชมชอบธรรมชาติที่สวยงาม ชอบศิลปะวัฒนธรรมและประเพณีี่สวยงาม ชอบการถ่ายภาพมุมต่างๆ ไปในที่ๆคนไม่ไป ศึกษาธรรมะ รักและชื่นชอบไต้หวันอย่างสุดซึ้ง รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก Group Blog All Blog
Friends Blog |
||
| Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. | |||

























































































































































ร้านอยู่เยื้องตึกไทเป 101 นิดเดียวค่ะ
เข้ามาที่มหาวิทยาลัยก็เจอร้านเลย
ถึงแว้ววสาวดเฮียเจอย่างเราก็กรี๊ดๆ
แชะซักภาพ
เมนูต่างๆเริ่มต้นอยู่ราวๆ 200-500 เหรียญ
มุมตกแต่งไม่รู้เพราะว่าเพิ่งเทศกาลวาเลนไทน์มารึเปล่า
เปียโนตัวใหญ่
วางไว้ตรงกลางร้าน
ที่นั่งสไตล์โมเดิร์น โอ่อ่า
มุมมองจากในร้าน
จากเรื่องอะไรน้า
ของที่ระลึก
มุมมองจากด้านบนค่ะ ซึ่งเป็นห้องน้ำอ่ะ
ทำไมห้องน้ำต้องอยู่ด้านบนไม่ทราบ
สลัดจานใหญ่คุ้มๆ พร้อมซุป
สิ่งนี้เราก็นำกลับบ้านด้วย
สเต็กชิ้นใหญ่
สปาเก็ตตี้จานใหญ่
ว้าวๆๆๆๆ สมราคามาเป็นเซ็ตเลยค่ะ
ยังถ่ายไม่เลิก
ของที่ระลึกซื้อได้
ขนมเค้กดูเบาๆ น่าอร่อยแต่รสชาดธรรมดา - แย่
แต่ชิ้นนี้รัตน์เลือกได้รสเปรี้ยวๆหวานๆอร่อยถูกใจค่ะ
ชิ้นนี้ธรรมดา
เอามาเรียงๆกัน
ด้านในมหาวิทยาลัยยามค่ำคืน
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [