|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ)
พระมหามงกุฎเป็นเครื่องหมายของราชาธิปไตย พระมหามงกุฎสง่างามด้วยประดับเพชรนิลจินดาอันมีค่าฉันใด ข้าราชการที่อุตส่าห์ช่วยกันทะนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญสุข ก็เปรียบเหมือนเพชรนิลเครื่องประดับพระมหามงกุฎฉันนั้น
พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รถแก้วจักรพรรดิ จากซ้ายไปขวา พระยาบุษรถ (ฟ้อน ศิลปี), ท้าววรจันทร์, เจ้าคุณพระประยูรวงศ์, ท่านผู้หญิงตลับ, เจ้าจอมมารดาชุ่ม, เจ้าจอมมารดาโหมด, พระราชชายาเจ้าดารารัศมี, เจ้าจอมเลียม ถ่ายเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2448
....................................................................................................................................................
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ภาพโดยความเอื้อเฟื้อจาก Tante-Marz
(๑)
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์(แพ) ปจ.,มวม., รัตนาภรณ์ มปร. ชั้นที่ ๕,จปร.ชั้นที่ ๒,วปร.ชั้นที่ ๑,ปปร.ชั้นที่ ๒ เป็นเจ้าคุณจอมมารดาร หัวหน้าพระสนมทั้งปวงในรัชกาลที่ ๕ ถึงรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาเกียรติยศขึ้นเป็นเจ้าคณะพิเศษ มีสมญาว่า "เจ้าคุณพระประยูรวงศ์" ตัวท่านเกิดในวงศ์ราชินิกุลสาย "บุนนาค" อันเจ้าคุณพระอัยยิกานวล กนิตถภคินีของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี กับเจ้าพระยาอัครมหาเสนา(บุนนาค) ในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นบุตรพระยาจ่าแสนยากรครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นสกุล สืบสายลงมาทางสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิส) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง) และเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัธน์(วอน)โดยลำดับ ล้วนเกิดด้วยภรรยาหลวงถึงเจ้าคุณพระประยูรวงศ์เป็นชั้นที่ ๕ ท่านเกิดในรัชกาลที่ ๔ เมื่อ ณ วันเสาร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ปีขาล พ.ศ.๒๓๙๗ ดวงชะตาของท่านเป็นดังนี้
เมื่อเจ้าคุณพระประยูรวงศ์เกิดนั้น เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัธน์ บิดาของท่านยังเป็นที่เจ้าหมื่นไวยวรนาถหัวหมื่นมหาดเล็ก มีภรรยาหลวง ๒ คนเป็นพี่น้องกันและต่อมาภายหลังได้มีบรรดาศักดิ์เป็นท่านผู้หญิงทั้ง ๒ คน ท่านผู้หญิงอ่วมผู้เป็นพี่มีบุตร ๓ คน บุตรคนที่ ๑ ชื่อ ชาย ได้เป็นพระยาประภากรวงศ์ วรวุฒิภักดี จางวางมหาดเล็กและบังคับการกรมทหารเรือเมื่อรัชกาลที่ ๕ บุตรคนที่ ๒ ชื่อ โต ในรัชกาลที่ ๕ ได้เป็นเจ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ นายพลโทสมุหราชองครักษ์ บุตรคนที่ ๓ ชื่อเล็ก ได้เป็นพระยาราชานุวงศื รับราชการในกระทรวงพระคลังฯเมื่อรัชกาลที่ ๖
ท่านผู้หญิงอิ่มผู้เป็นน้องมีบุตร ๔ คน ธิดา ๕ คน รวม ๙ คน ลำดับกันคือ
ที่ ๑ ธิดา ชื่อ เล็ก เป็นภรรยาพระยาศรีสรราชภักดี(หนูเล็ก)บุตรเจ้าพระยามหาศิริธรรม(เมือง ณ นคร)และคุณเผือก ธิดาสมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศ์เป็นมารดา จึงตั้งนามสกุลว่า"โกมารกุล ณ นคร" ที่ ๒ ธิดา ชื่อ ฉาง ที่ ๓ ธิดา ชื่อ แพ คือ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ที่ ๔ บุตร ชื่อ เหมา ได้เป็นหลวงจักรยานานุพิจารณ์ ที่ ๕ บุตร ชื่อ หมิว ได้เป็นจ่ายวดยศสถิตย์ ที่ ๖ ธิดา ชื่อ โหมด ได้เป็นจอมมารดาพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ ที่ ๗ ธิดา ชื่อ แม้น ได้เป็นหม่อมสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ที่ ๘ บุตร ชื่อ เมี้ยน ที่ ๙ บุตร ชื่อ มิด
บุตรหญิงท่านผู้หญิงอิ่มมักตายเสียแต่อายุยังน้อย ไม่มีใครได้เกียรติยศถึงอย่างสูงศักดิ์ แต่ธิดาได้เป็นชนนีของเจ้านายในราชสกุลหลานพระองค์
ฉันเคยถามเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ว่าฉันเคยได้ยินเขาว่าท่านชื่อ"ม่วง"อยู่ก่อน ต่อเมื่อจะเข้าไปอยู่ในวังจึงเปลี่ยนชื่อว่า"แพ"จึงหรือ ท่านตอบว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้น แล้วเลยเล่าถึงถิ่นฐานของท่านต่อไปว่าเดิมพวกสกุลของท่านตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำทางฝั่งธนบุรีด้วยกันทั้งนั้น สร้างบ้านปลูกเรือนอยู่ต่อๆกันลงมาตั้งแต่คลองใต้บ้านฝรั่งกุฎีจีน จนคลองขนอนทางเข้าไปวัดพิชัยญาตทั้ง ๒ ฟาก ข้างหลังบ้านขึ้นไปบนบกก็เป็นสวน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ทรงสถาปนาเจ้าพระยาพระคลังปู่ทวดของท่าน เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหาประยูรวงศฺ(เรียกกันว่าสมเด็จองค์ใหญ่) ทรงสถาปนาพระยาศรีพิพัฒน์ ปู่ทวดน้อยของท่านเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาต(เรียกกันว่าสมเด็จองค์น้อย) และทรงสถาปนาพระศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก ปู่ของท่าน เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เสนาบดีที่สมุหกลาโหม ทรงพระราชดำรัสว่าบ้านปู่ของท่านที่อยู่ต่อกับจวนสมเด็จองค์ใหญ่ทางข้างเหนือคับแคบนักไม่สมกับเป็นจวนของเสนาบดี จึงทรงพระกรุณาโปรดฯพระราชทานจวนของเจ้าพระยาบดินทเดชา(สิงหเสนี)สมุหนายก อันอยู่ทางฟากพระนครที่ริมคลองสะพานหัน(ครงเวิ้งนครเขษมบัดนี้) ซึ่งตกเป็นของหลวงเมื่อเจ้าของถึงอสัญกรรมในตอนปลายรัชกาลที่ ๓ ให้เป็นที่อยู่ของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์
เวลานั้นบิดาของท่านเป็นที่เจ้าหมื่นไวยวรนาถ ก็อพยพครอบครัวไปอยู่กับบิดาที่บ้านนั้น แต่เหย้าเรือนไม่พอกันเพราะเรือนที่เจ้าพระยาบดินทเดชาสร้างไว้ชำรุดทรุดโทรมอยู่โดยมาก เมื่อแรกไปอยู่ครอบครัวของปู่และบิดาของท่านต้องเที่ยวหาที่อาศัยตามแต่จะอยู่ได้ บิดาของท่านไปอาศัยอยู่ที่ฉางข้าว พี่หญิงของท่านคลอดที่นั่นจึงได้ชื่อว่า"ฉาง" ต่อมาเมื่อซ่อมแซมเรือนแพที่ริมคลองแล้วย้ายมาอยู่ที่เรือนแพ ตัวท่นมาคลอดที่นั้นจึงได้ชื่อว่า"แพ" แต่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์อยู่ที่จวนเจ้าพระยาบดินทเดชาอยู่ ๔ ปี ถึงปีเถาะ พ.ศ.๒๓๙๘ สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ถึงพิราลัย ท่านต้องเป็นผู้ปกครองของวงศ์สกุลของบิดา จึงถวายคืนจวนเจ้าพระยาบดินทเดชาแล้วย้ายกลับไปอยู่ทางฟากธนบุรี แต่ไม่ได้อยู่ที่จวนสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งท่านให้น้องผู้หญิงอยู่ด้วยกันอย่างเดิม ตัวท่านสร้างบ้านอยู่ใหม่ที่สวนกาแฟริมคลองหลังวัดประยูรวงศ์ บ้านของท่านอยู่ข้างใต้ให้สร้างบ้านเจ้าหมื่นไวยวรนาทผู้บุตรซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาสุรวงศ์ไวยวัธน์จางวางมหาดเล็กต่อขึ้นไปทางข้างเหนือ ตัวท่าน(เจ้าคุณพระประยูรวงศ์)อายุได้ ๒ ปี ก็ย้ายไปอยู่กับบิดามารดาที่บ้านใหม่ทางฟากข้างโน้น
ข้อที่กล่าวกันว่าท่านชื่อ "ม่วง" นั้นมีเรื่องเมื่อท่านเติบใหญ่ขึ้นจนวิ่งได้แล้ว มียายม่วงคนหนึ่งไปขายขนมที่บ้านเสมอ ท่านชอบกินขนมของยายม่วงจนเห็นว่าแกเป็นช่างทำขนมอย่างวิเศษ อยู่มาวันหนึ่งเวลาเด็กๆนั่งเล่นอยู่ด้วยกัน เกิดถามกันขึ้นว่าใครอยากเป็นอะไร คนนั้นก็ว่าอยากเป็นนั่นคนนี้ก็ว่าอยากเป็นนี่ไปต่างๆ เมื่อถามมาถึงตัวท่านๆตอบว่าอยากเป็นยายม่วง พวกเด็กๆพี่น้องเห็นขันก็เลยเรียกท่านว่า"ม่วง" ล้อเล่นอยู่คราวหนึ่งหาใช่ชื่อจริงของท่านไม่
(๒)
เรื่องประวัติในตอนเลข ๒ นี้ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์เคยเล่าให้พระยาสุรินทราชเสนี(สาย)น้องต่างมารดาฟังเมื่อท่านอายุได้ ๖๔ ปี ในพ.ศ.๒๔๖๑ สั่งให้จดไว้สำหรับเล่าให้ลูกหลานฟังเมื่อตัวท่านล่วงลับไปแล้ว พระยาสุรินทร์ฯก็ได้จดตามความประสงค์ของท่าน ฉันได้บันทึกของพระยาสุรินทร์ฯมาอ่านเมื่อแต่งประวัตินี้ แต่ตัวพระยาสุรินทร์ฯถึงอนิจกรรมเสียแล้ว พิจารณาข้อความก็ตรงกับท่านเล่าให้ฉันฟังเมื่ออายุท่านได้ ๖๘ ปีในพ.ศ.๒๔๖๕ ต่างกันบ้างแต่ที่เป็นพลความ แต่มีเรื่องในบัทึกของพระยาสุรินทร์ฯมากกว่าฉันจำไว้ได้ฉันจึงเอาบันทึกของพระยาสุรินทร์ฯเป็นโครงเขียนเรื่องประวัติในตอนนี้ เพิ่มเติมตัดทอนและแก้ไขบ้างแต่ตรงที่คาดวันคืน และผิดกับความที่ฉันรู้แน่ว่าเป็นอย่างอื่น
เรื่องประวัติตอนเมื่อเจ้าคุณพระประยูรวงศ์เป็นเด็กก่อนโกนจุก ท่านเล่าว่าบิดามารดาเมตตาปราณีด้วยตัวท่านมีอุปนิสัยสงบเสงี่ยม ไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้งวิวาทกัยผู้หนึ่งผู้ใดให้บิดามารดาเดือดเนื้อร้อนใจ ในข้อนี้ท่านไม่เคยถูกบิดามารดาว่ากล่าวโดยโกรธขึงสักครั้งเดียวเห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้เองเจ้าคุณปู่ก็เลยเมตตาท่านด้วย ชอบให้ท่านไปอยู่รับใช้สอยที่จวนเมื่อยังเป็นเด็ก ท่านจึงได้อยู่กับเจ้าคุณปู่และบิดามารดาไปมาจนคุ้นทั้ง ๒ สำนักนั้น
เรื่องที่ท่านเล่าเริ่มพิศดารตั้งแต่เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ฉันถามท่านว่าด้วยเหตุอันใดท่านจึงเข้าไปอยู่ในวัง ท่านว่าเหตุที่ผู้ใหญ่ในสกุลให้ท่านเข้าไปอยู่ในวังนั้นท่านทราบต่อภายหลังมาช้านาน ว่าเมื่อปีขาล พ.ศ.๒๔๐๙แล้วนั้น ท่านโกนจุกแล้วอายุได้ ๑๒ ปียังไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม(เห็นจะเป็นเมื่อตกลงจะแต่งงานคุณเล็กพี่สาวคนใหญ่) เจ้าคุณปู่ปรารภกับบิดาของท่านว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูลและเคยมีลูกหญิงถวายทำราชการฝ่ายในมาทุกชั้น ตั้งแต่เจ้าคุณพระอัยยิกานวลก็ถวายเจ้าคุณวังหลวง เจ้าคุณวังหน้า และเจ้าคุณปราสาทเมื่อรัชกาลที่ ๒ สมเด็จเจ้าพระยาก็ถวายเจ้าคุณตำหนักใหม่สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยก็ถวายเจ้าคุณตำหนักเดิมเมื่อรัชกาลที่ ๓ มาถึงตัวท่านมีคุณกลางเป็นลูกหญิงคนเดียวก็ได้ให้แต่งงานกับพระยาสีหราชฤทธิไกร(แย้ม)บุตรเจ้าพระยาภูธราภัยเสียแต่เมื่อรัชกาลที่ ๓ ท่านไม่มีลูกจะถวายตามประเพณีในวงศ์ตระกูล จะขอตัวท่าน(เจ้าคุณพระประยูรวงศ์)ถวายทำราชการฝ่ายในแทนลูกสักคนหนึ่ง บิดาท่านก็ไม่ขัดขวาง แต่เรียนเจ้าคุณปู่ว่าตัวท่านเกิดมาก็อยู่แต่ที่บ้านกิริยามารยาทของชาวนอกวังไม่เรียบร้อย จะส่งเข้าไปฝากเจ้าจอมมารดาเที่ยงพระสนมเอกซึ่งชอบพอกันให้ฝึกอบรมเสียก่อนเมื่อกิริยามารยาทเรียบร้อยแล้วจึงค่อยถวายตัว เจ้าคุณปู่ก็เห็นชอบด้วยแต่มิได้มีใครบอกให้ตัวท่านทราบ
อยู่มาวันหนึ่งบิดาของท่านปรารภกับท่านเปรยๆว่า"แม่หนูโตแล้ว อยู่แต่กับบ้านก็จะเป็นคนป่าเถื่อน ไม่รู้ขนบธรรมเนียมเข้าเฝ้าเจ้านายกับเขาบ้าง พ่อคิดจะส่งเข้าไปไว้ในวัง" แล้วถามท่านว่า"อยากไปหรือไม่" ท่านตอบว่า"ดิฉันไม่อยากไป อยู่ในวังไม่เห็นว่าจะสบายเหมือนอยู่กับบ้าน" บิดาท่านได้ฟังก็หัวเราะ แล้วพูดต่อไปว่าที่จะให้เข้าไปอยู่ในวังนั้นเพราะตัวท่านต้องเป็นราชทูตไปเมืองฝรั่งเศสพี่สาวใหญ่ก็แต่งงานมีเหย้ามีเรือนไป ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนทิ้งไว้ที่บ้านเป็นห่วง เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ก็ยังตอบยืนคำอยู่ว่าไม่สมัครจะเข้าไปอยู่ในวัง จนบิดาบอกให้เข้าใจว่ามิใช่จะส่งเข้าไปถวายตัวอยู่ในวังที่เดียว เป็นแต่จะให้ไปอยู่กับเจ้าจอมมารดา(เที่ยง)ให้ฝึกสอนกิริยามารยาท เมื่อบิดากลับจากยุโรปก็จะรับกลับไปอยู่บ้านอย่างเดิม ท่านเข้าใจเช่นนั้นจึงยอมเข้าไปอยู่ในวัง บิดาก็ให้ท่านผู้หญิงอ่วมผู้เป็นป้าพาเข้าไปฝากต่อเจ้าจอมมารดาเที่ยง(เห็นจะราวเมื่อเดือนยี่ปีขาล พ.ศ.๒๔๐๙ ใกล้ๆกับเมื่อเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัธน์ออกจากกรุงเทพฯไปยุโรป) เจ้าจอมมารดาเที่ยงก็รับอุปการะด้วยความยินดี แต่ปรารภว่าถ้าให้อยู่ด้วยกันกับท่านที่ตำหนัก ท่านเป็นผู้ใหญ่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ต้องเกรงใจท่านอยู่เสมอก็จะไม่สบาย ก็ในเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดฯใช้สอยพระองค์หญิงโสมาวดี พระธิดาองค์ใหญ่ของท่านซึ่งเรียกกันว่า"พระองค์ใหญ่โสม"เป็นอุปถาก ดำรัสสั่งให้ขึ้นไปอยู่ ณ พระที่นั่งมูลมณเฑียร ใกล้กับที่เธอเสด็จประทับในบริเวณพระอภิเนาวนิเวศ
เจ้าจอมมารดาเที่ยงจึงให้เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ไปอยู่ด้วยกันกับพระองค์ใหญ่โสมที่พระที่นั่งมูลมณเทียร เพราะเห็นว่ารุ่นราวคราวเดียวกันพระองค์ใหญ่โสมพระชันษาแก่กว่า ๒ ปี พออยู่ด้วยกันไม่ช้าก็ชอบชิดสนิทสนมกัน พระองค์ใหญ่โสมทรงฝึกสอนกิริยามารยาท และเมื่อเสด็จไปสู่ที่สมาคมฝ่ายในก็ให้ถือหีบหมากเสวยตามเสด็จไปด้วย เพื่อให้รู้เห็นคุ้นเคยกับประเพณีในพระบรมมหาราชวังมาเสมอ แต่ไม่ได้อยู่วังเสมอไปทีเดียวมีเวลามารดาคิดถึงให้มารับออกไปอยู่บ้านบ้างอยู่ในวังบ้าง จะกล่าวแทรกลงตรงนี้ตามที่ฉันรู้เห็นเองเมื่อภายหลังว่า เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ท่านมิได้ลืมพระคุณของกรมหลวงสมรรัตน์ฯซึ่งได้มีแก่ท่านเมื่อยังเป็นพระองค์ใหญ่โสม แม้ในเวลาเมื่อท่านมีบุญวาสนาแล้ว ถึงปีใหม่ท่านอุตส่าห์มาถวายรดน้ำกรมหลวงสมรรัตน์ฯด้วยตนเองเสมอทุกปีมิได้ขาดจนตลอดพระชนมายุ
(๓)
เรื่อประวัติเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ผิดกับนักสนมนารีคนอื่นๆในรัชกาลที่ ๕ ด้วยตัวท่านกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รักใคร่ติดพันกันเองอยู่ก่อน แล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงตรัสขอมาเป็นสะใภ้หลวง พระราชทานสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ยังเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ แล้วอยู่ด้วยกันมาจนเสวยราชย์ เรื่องประวัติตอนนี้ท่านจำไว้มั่นคงราวกับฝังอยู่ในใจของท่านเป็นนิจ เป็นตอนที่ท่านปรารถนาจะให้ลูกหลานรู้เมื่อตัวท่านล่วงลับไปแล้ว แต่ฉันขอยั้งไว้ไม่พรรณนาที่ตรงนี้ ไปกล่าวถึงประวัติของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อก่อนเสวยราชย์ ให้ผู้อ่านรู้ต้นเรื่องอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน
พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสมภพเมื่อปีฉลุ พ.ศ.๒๓๙๖ แก่กว่าเจ้าคุณพระประยูรวงศ์หนึ่งปี สมเด็จพระชนนีเสด็จสวรรคตเสียก่อนแต่โสกันต์ สมเด็จพระมาตามไหยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร เมื่อยังทรงพระนามว่าพระองค์เจ้าหญิงละม่อมทรงบำรุงเลี้ยงมาด้วยกันกับสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธออีก ๓ พระองค์ ประทับอยู่พระตำหนักเดิม(ตรงที่สร้างหมู่พระที่นั่งจักรี)จนพระชันษาได้ ๑๓ ปี โสกันต์เมื่อปีฉลู พ.ศ.๒๔๐๘ แล้วผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๖ เดือน ลาผนวชเมื่อเดือนยี่ปีขาล พ.ศ.๒๔๐๙ เห็นจะใกล้ๆกับเวลาที่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์เข้าไปในพระราชวัง เมื่อลาผนวชแล้วตามประเพณีมีมาแต่โบราณ ต้องเสด็จออกจากพระราชวังชั้นในไปประทับอยู่ที่ตำหนักแห่งใดแห่งหนึ่งในบริเวณพระราชวังชั้นนอก จนกว่าจะสร้างวังต่างหากเสร็จแล้วจึงเสด็จออกไปอยู่วัง
แต่เมื่ออยู่ตำหนักในบริเวณชั้นนอกนั้นถึงจะมีบริวารเป็นผู้หญิงแม้จนถึงมีหม่อมห้ามอยู่ด้วยก็ได้ เป็นแต่ถ้าจะมีพระหน่อก่อนออกวังต่างหากต้องไปคลอดที่อื่น เพราะประเพณีถือว่าสมควรจะเกิดในพระราชวังแต่พระโอรสธิดาของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลาผนวชจากสามเณร สมเด็จพระบรมชนกนาถโปรดฯให้เสด็จประทับอยู่ ณ ตำหนักสวนกุหลาบ อันเป็นบริเวณอยู่ต่อพระที่นั่งพุทไธยสวรรค์ไปทางข้างใต้(ยังรักษาพระตำหนักไว้จนบัดนี้) กรมสมเด็จพระสุดารัตน์ฯก็เสด็จออกไปอยู่ด้วย จัดตำหนักทางข้างเหนือเป็นข้างหน้าที่ผู้ชายอยู่ ทางข้างใต้เป็นฝ่ายในที่ผู้หญิงอยู่ ตัวตำหนักที่เสด็จประทับอยู่กลาง เวลาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จไปประทับที่ตำหนักสวนกุหลาบนั้นพระชันษาได้ ๑๕ ปีสมเด็จพระบรมชนกนาถเคยทรงใช้สอยเป็นราชูปถากในการฝ่ายผู้ชายแต่เมื่อก่อนทรงผนวชเหมือนอย่างใช้สอยพระองค์ใหญ่โสมในการฝ่ายผู้หญิง ฉันใดเมื่อลาผนวชแล้วก็ทรงใช้สอยเช่นนั้นต่อมา เพราะฉะนั้นเมื่อเสด็จไปประทับอยู่ตำหนักสวนกุหลาบเวลามีกิจการก็เสด็จเข้าออกนอกในได้เสมอ และเวลาสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จไปไหน ก็ต้องตามเสด็จติดพระองค์ไปด้วยเสมอเป็นนิจ
ฉันเคยได้ยินท่านผู้ใหญ่ที่ได้เคยอยู่ในวังเมื่อรัชกาลที่ ๔ พูดว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาพระราชบุตรธิดามาก มักตามพระหฤทัยมิใคร่ปกครองพระเจ้าลูกยาเธอที่ยังทรงพระเยาว์กวดขันเหมือนเมื่อรัชกาลก่อนๆ ตัวฉันก็เกิดไม่ทันเห็นว่าพระเจ้าลูกเธอแต่ก่อนได้รับความอบรมอย่างไรเมื่อยังทรงพระเยาว์ ได้แต่คิดดูเห็นว่าน่าจะผิดกัน ด้วยพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลแต่ก่อนๆได้เสวยราชย์เมื่อมีพระราชธิดาทรงพระเจริญวัยเป็นสาวแล้วหลายพระองค์ มีพระเจ้าลูกเธอประสูติใหม่เมื่อเสวยราชย์แล้ว เจ้าพี่ดูแลควบคุมฝึกสอนเจ้าน้องที่ยังทรงพระเยาว์ติดต่อกันมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีแต่พระราชบุตรเมื่อรัชกาลที่ ๒ สองพระองค์ แล้วเสด็จไปทรงผนวชอยู่ถึง ๒๖ ปี เมื่อเสวยราชย์ไม่มีพระราชธิดา พระราชธิดาพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนๆก็เปลี่ยนฐานะเป็นพระเจ้าพี่นาง น้องนาง หรือพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ไม่มีตำแหน่งเฝ้าเหมือนอย่างพระราชบุตรและธิดา พระเจ้าลูกเธอประสูติใหม่เมื่อเสวยราชย์มีทุกปี ไม่มีเจ้าพี่จะคอยดูแล เมื่อยังเป็นทารกก็เป็นแต่ขึ้นเฝ้ากับพระชนนีหรือเจ้าจอมมารดา เมื่อทรงเจริญวัยพอจะทำอะไรได้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯก็ทรงใช้สอยฝึกหัดด้วยพระองค์เอง เป็นเหตุให้พระเจ้าลูกเธอรับใช้อยู่ใกล้ชิดสนิทกับสมเด็จพระบรมชนกนาถนี้อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นเพราะทรงพระเมตตาผิดกันกับพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนๆ ยังมีเหตุอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ผิดกันด้วยในรัชกาลก่อนๆพระเจ้าอยู่หัวมิใคร่เสด็จไปไหนนอกพระราชวัง เจ้านายเป็นแต่ขึ้นมาเฝ้าบนพระราชมณเทียรตามเวลาแล้วก็กลับตำหนัก
ถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเสด็จประพาสนอกราชวังทั้งที่ในกรุงเทพฯและแปรสำนักเสด็จไปประทับตามหัวเมืองต่างเนืองๆ พระเจ้าลูกเธอที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ก็ตามเสด็จไปรับใช้สอย ที่เป็นชั้นเล็กเวลาเสด็จไปหัวเมืองก็ติดไปกับเจ้าจอมมารดา เวลาเสด็จประพาสนอกพระราชวัง เจ้าพี่ที่เป็นชั้นใหญ่ก็ต้องว่ากล่าวเจ้าน้องที่ยังทรงพระเยาว์ ฝ่ายเจ้าน้องที่ยังทรงพระเยาว์ก็ต้องยำเกรงในโอวาทของเจ้าพี่ เป็นอย่างปกครองกันตามประสาเด็กก็เลยสนิทสนมกันทุกชั้นตั้งแต่ยังไว้พระเกษาจุกด้วยกัน พระเจ้าลูกเธอรัชกาลที่ ๔ เห็นจะผิดกับพระเจ้าลูกเธอในรัชกาลก่อนๆด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชกุมารพระองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ ๔ พระเจ้าลูกเธอชั้นเล็กลงมาเช่นตัวฉันตั้งแต่จำความได้ก็เลยนับถือยำเกรงด้วย รู้สึกว่าพระองค์เป็นผู้ดูแลควบคุมเติบใหญ่ขึ้นก็เกิดรักใคร่เพิ่มขึ้น ด้วยเห็นทรงพระกรุณาแก่น้องด้วยประการต่างๆ พวกชั้นเล็กๆก็ยินดีด้วยประทานของแจกเป็นต้น ที่เป็นชั้นเจ้าพี่ก็ได้เล่นหัวและตามเสด็จเที่ยวเตร่ เพราะฉะนั้นเมื่อเสด็จประทับอยู่ตำหนักสวนกุหลาบๆจึงเป็นที่ประชุมสำหรับเจ้านายพี่น้องเสมอเป็นนิจ เลยเป็นปัจจัยให้ทรงชอบชิดสนิทสนมกับพระเจ้าน้องเธอ ต่อมาเมื่อเสวยราชย์ในรัชกาลที่ ๕ จึงได้พระเจ้าน้องยาเธอเป็นกำลังราชการมากกว่าที่ปรากฏมาในรัชกาลก่อนๆ
(๔)
จะกล่าวถึงเรื่องประวัติเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ต่อความที่ได้กล่าวในตอนเลขที่ ๒ ต่อไป ฉันถามท่านว่าฉันได้ยินเขาว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯแรกทอดพระเนตรเห็นท่านเมื่อออกไปดูงานพระเมรุที่ท้องสนามหลวง โปรดติดพระหฤทัยตั้งแต่ยังไม่ทรงรู้จักว่าใคร แล้วจึงสืบรู้ชื่อและสกุลของท่านเมื่อภายหลังจริงหรืออย่างไร ท่านว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เรื่องจริงนั้นครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นไปประทับอยู่วังหน้าดำรัสสั่งให้ลครวังหลวงขึ้นไปเล่นให้ชาววังหน้าดู(ฉันสันนิษฐานว่าเห็นจะเป็นเมื่อเดือน ๕ ปีเถาะ พ.ศ.๒๔๑๐)เวลานั้นท่านออกไปอยู่บ้าน พระองค์ใหญ่โสมมีรับสั่งให้คนไปรับท่านเข้ามาดูลคร วันนั้นเป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทอดพระเนตรเห็นท่าน มือถือหีบหมากเสวยตามพระองค์ใหญ่โสมไปวังหน้า
เวลาดูลครตัวท่านนั่งอยู่ใกล้ๆกับคนบอกบทตรงหน้าพลับพลา เห็นมักทอดพระเนตรมาทางตัวท่านบ่อยๆ แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าทรงมุ่งหมายที่ตรงตัวท่าน ดูลครแล้วก็กลับออกไปบ้านในเย็นวันนั้น แต่ประหลาดอยู่ที่ในค่ำวันนั้นจะเป็นด้วยบูรพนิมิตสังหรณ์หรืออย่างไรไม่ทราบ พอนอนหลับก็ฟันไปว่ามีงูตัวหนึ่งโตใหญ่ หัวเหมือนพญานาคที่เขาเขียนไว้ ตัวมีเกล็ดสีเหลืองทั้งตัว ตรงเข้ามาคาบที่กลางตัวท่านแล้วเลื้อยพาไปทิ้งไว้ตรงหน้าเรือนเก่าที่ท่านเคยอยู่ ความฝันนั้นยังจำได้มั่นคง แต่เวลานั้นตัวท่านยังไม่รู้เรื่องบูรพนิมิตที่เขาถือกัน พอเช้าขึ้นไปที่บ้านคุณเล็กพี่สาวซึ่งแต่งงานใหม่ ไปเล่าความฝันให้พวกผู้ใหญ่ฟังตามซื่อด้วยเห็นว่าแปลกประหลาดไม่เคยฝันเช่นนั้นมาแต่ก่อน พวกผู้ใหญ่ที่เขาได้ฟังเขาแลดูกันแล้วหัวเราะขึ้นฮาใหญ่ ท่านก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาเห็นขันอย่างไรจึงหัวเราะฮากันเช่นนั้น
ท่านทราบภายหลังว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทอดพระเนตรเห็นท่านก็โปรด แต่ไม่ทรงทราบว่าเป็นใครเข้าพระทัยแต่ว่าอยู่กับพระองค์ใหญ่โสม วันรุ่งขึ้นตรัสถามพระองค์ใหญ่โสม จึงทรงทราบแล้วตรัสขอให้พระองค์ใหญ่โสมทรงคิดอ่านให้ได้ทอดพระเนตรอีกครั้งหนึ่ง ครั้นวันกลางเดือนหกปีเถาะนั้นพระองค์ใหญ่โสมตรัสชวนท่านให้ไปดูงานพิธีวิสาขบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตัวท่านไม่รู้เรื่องอะไรก็ยินดีที่จะไปพระองค์ใหญ่โสมตรัสให้พระพี่เลี้ยงพาท่านไปนั่งดูเดินเทียนที่ตรงบันไดข้างพระอุโบสถ เวลาเดินเทียนค่ำวันนั้น ท่านเห็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงเดินเทียนถึงที่ท่านนั่งอยู่ทีไรก็ทรงเพ่งพิศแต่ที่ตัวท่านทุกรอบจนผิดสังเกต จึงเริ่มรู้สึกว่าชะรอยจะโปรดตัวท่านมาตั้งแต่ค่ำวันนั้น
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯพอเสร็จงานวิสาขบูชาแล้ว ตรัสกระซิบขอเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ต่อพระองค์ใหญ่โสม พระองค์ใหญ่โสมก็ยอมถวายไม่ขัดขวางแล้วตรัสบอกให้ท่านรู้ตัวด้วย ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดจะใคร่ได้เป็นหม่อมห้าม ตรงนี้คิดดูก็ชอบกล หากเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ไม่รักพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เมื่อพระองค์ใหญ่โสมตรัสบอกให้รู้ตัว ก็คงบอกแก่ผู้ใหญ่ในวงศ์สกุลให้มารับไปบ้านเสียให้พ้นภัย ที่รู้แล้วอยู่นิ่งชวนให้เห็นว่าฝ่ายท่านก็เกิดรักใคร่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯตั้งแต่วันเดินเวียนวิสาขบูชาเหมือนกัน จึงเริ่มเรื่องติดพันกันมาลักษณะการติดพันกันนั้น เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ท่านเล่าแต่เป็นเรื่องๆ ไม่ได้เล่าติดต่อจนปลายถึงกระนั้นก็น่าฟัง
เรื่องหนึ่งว่าพอตรัสขอแล้วสักสองสามวันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดฯให้พระพี่เลี้ยงชื่อ กลาง นำหีบน้ำอบฝรั่งเข้าไปประทานหีบหนึ่ง ด้วยในสมัยนั้นน้ำอบฝรั่งเพิ่งมีเข้ามาขายในเมืองไทยคนกำลังชอบกันมาก หีบน้ำอบฝรั่งที่ประทานนั้นทำเป็นสองชั้นเปิดฝาออกถึงชั้นบนมีพระรูปถ่ายวางไว้บนนั้น เปิดชั้นล่างต่อไปมีน้ำอบสองขวดกับสบู่หอมก้อนหนึ่งวางเรียงกันอยู่ พระพี่เลี้ยงส่งให้ท่านๆไม่ยอมรับอ้อนวอนท่านก็ไม่รับ จนคนที่พระองค์ใหญ่โสมให้เป็นพี่เลี้ยงท่านชื่อ สุ่น อดรนทนไม่ได้ต้องรับแทน ฉันสันนิฐานว่าจนพระพี่เลี้ยงกลางไปแล้วท่านจึงรับ และปรากฏในเรื่องต่อมาภายหลังว่าพระพี่เลี้ยงกลางกับนางสุ่นนั้นเองเป็นตัวแม่สื่อแต่เริ่มติดพันกัน
ท่านเล่าอีกเรื่องหนึ่งว่าต่อมาไม่ช้า วันหนึ่งพระพี่เลี้ยงกลางเข้าไปชวนท่านให้ไปดูซ้อมแห่โสกันต์ของพระเจ้าลูกเธอ ตรงนี้ต้องพรรณนาถึงการแห่โสกันต์ในสมัยนั้นเสียก่อน คือตั้งกระบวนแห่พระเจ้าลูกยาเธอจากเกยต้นชมพู่ ที่ริมประตูกลมทางเข้าพระอภิเนาวนิเวศน์ข้างด้านตะวันตก แห่ออกประตูราชสำราญเดินกระบวนไปทางถนนริมกำแพงวัง จนถึงประตูวิเศษไชยศรี แล้วเลี้ยวเข้าประตูพิมานไชยศรีไปยังเกยหน้าพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ ริมบริเวณมหาปราสาท ขากลับย้อนตามทางเดิมแต่กระบวนผู้ชายที่แห่นำหน้า อยู่เพียงข้างนอกประตูราชสำราญ เข้าไปในวังแต่กระบวนเด็กและกระบวนผู้หญิง ดูที่ในวังไม่เห็นแห่หมดกระบวนจึงต้องออกมาดูข้างนอก อีกประการหนึ่งในเวลานั้นเจ้าคุณพระประยูรวงศ์เป็นแต่ลูกผู้ดีที่เข้าไปอาศัยอยู่ในวัง ยังไม่ได้ถวายตัวเป็นนางใน จะออกนอกวังถ้ามีผู้ใหญ่ไปด้วยก็ออกไปได้ ท่านจึงรับชวนไปดูซ้อมแห่ในบ่ายวันหนึ่ง พระพี่เลี้ยงกลางพาออกประตูราชสำราญไปคอยดูแห่ที่บริเวณสวนกุหลาบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จมาคอยอยู่ที่นั่นก็ได้พบกับท่านเป็นครั้งแรก
ยังมีเรื่องกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรตรัสเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนจะต่อกับครั้งที่ไปดูซ้อมแห่โสกันต์ เวลานั้นกรมหมื่นราชศักดิ์ฯยังไว้พระเกศาจุก ทรงพระนามว่าพระองค์เจ้ากมลาศเลอสรรค์เป็นพระอนุชาร่วมเจ้าจอมมารดากับพระองค์ใหญ่โสม ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯที่พระตำหนักสวนกุหลาบ เหมือนอย่างเจ้านายพี่น้องพระองค์อื่นอยู่เสมอ ฉันสันนิษฐานว่าสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเห็นจะทรงนัดให้เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ไปพบอีก แต่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ว่าเดินทางประตูราชสำราญประเจิดประเจ้อนัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯจึงตรัสให้กรมหมื่นราชศักดิ์ฯเข้าไปรับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ที่พระที่นั่งมูลมณเฑียร พาเดินทางประตูแถลงราชกิจไม่ต้องออกนอกพระอภิเนาวนิเวศน์ ไปพบกันบริเวณสวนกุหลาบอีกครั้งหนึ่ง กรมหมื่นราชศักดิ์ฯตรัสเล่าว่า ครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯมีน้ำอบฝรั่งไปประทานอีกขวดหนึ่ง แต่เมื่อยื่นประทานเจ้าคุณพระประยูรวงศ์อายไม่ยอมรับจากพระหัตถ์ จึงประทานให้กรมหมื่นราชศักดิ์ส่งไปให้ท่าน ท่านจะรับก็มิใช่จะไม่รับก็มิเชิง กรมหมื่นราชศักดิ์ฯสำคัญว่าท่านรับก็ปล่อย ขวดน้ำอบเลยตกแตก ทั้งสองฝ่ายเลยกริ้วโกรธโทษเอาพระองค์ท่านว่าทำให้เสียของ
เจ้าคุญพระประยูรวงศ์เล่าอีกเรื่องหนึ่งว่าเย็นวันหนึ่งท่านไปอาบน้ำที่อื่น กลับมาถึงพระที่นั่งมูลมณเฑียรพอพลบค่ำเห็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาจักรพรรดิพงศ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภานุวงศ์วรเดชกับกรมหมื่นราชศักดิ์ฯยังไว้พระเกศาจุกทั้ง ๓ พระองค์ คอยอยู่ที่นั่นตรัสว่าวันนี้จะมีการมหรสพที่พระตำหนักสวนกุหลาบน่าดูนัก ชวนให้ท่านไปดูด้วยกัน พระองค์ใหญ่โสมก็ตรัสวานให้ท่านช่วยถือขวดน้ำดอกไม้เทศของเจ้านายทั้งสามพระองค์ไปด้วย ท่านก็ไปตามรับสั่ง แต่จะเป็นเพราะเวลาค่ำประตูแถลงราชกิจปิดหรืออย่างไรอย่างหนึ่ง คราวนี้เจ้านายทั้งสามพระองค์นั้น พาท่านเดินทางบนพระราชมณเทียรเรียกให้เปิดพระทวารที่พระที่นั่งอนันตสมาคม(องค์เดิม)แล้วออกมาข้างหน้าด้วยกัน แต่พอลงไปชาลาหน้าพระที่นั่งฯ ท่านเห็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จคอยอยู่ที่นั่นกับพระพี่เลี้ยงกลาง ท่านก็ตกใจรู้ตัวในทันทีว่าท่านไม่ควรจะออกไปในเวลาค่ำเช่นนั้น จึงรีบส่งขวดน้ำดอกไม้เทศให้พระพี่เลี้ยงกลาง แล้ววิ่งหนีกลับขึ้นพระที่นั่งอนันตสมาคม มาเรียกเฝ้าที่ให้เปิดทวารรับแล้วเลยหนีมายังพระที่นั่งมูลมณเฑียร เจ้านายทั้งสามพระองค์กลับเข้ามาอ้อนวอนอีกสักเท่าใดท่านก็ไม่ยอมไป คงมีเรื่องอื่นอีก แต่เล่าเพียงที่กล่าวมา และข้ามไปเล่าว่าการติดพันนั้น หลายวันมามีคนรู้มากขึ้นก็เลยรู้ไปถึงเจ้าจอมมารดาผึ้ง เจ้าจอมมารดาของกรมหลวงพิชิตปรีชากรและกรมหลวงสรรพประสิทธิประสงค์ บอกออกไปให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ทราบ ก็สั่งท่านผู้หญิงอิ่มมารดาให้รับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ กลับไปไว้บ่านเสียอย่างเดิม
เหตุใดเจ้าจอมมารดาผึ้งจึงเป็นผู้บอกเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ อธิบายข้อนี้ต้องเล่าย้อนขึ้นไปถึงเมื่อกรมหลวงพิชิตปรีชากรยังทรงพระเยาว์ ทรงพระนามว่าพระองค์เจ้าคัคนางคยุคล พระชันษาเพียงห้าหกขวบ กรมหลวงพิชิตฯกับกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ฯเมื่อยังทรงพระนามว่าพระองค์เจ้าทวีถวัลยลาภ ประสูติปีเดียวกัน เมื่อทรงเจริญขึ้นพอตามเสด็จได้มักตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จออกขุนนางด้วยกันทั้งสองพระองค์ ก็เจ้าจอมมารดาตลับของกรมหมื่นภูธเรศฯเป็นธิดาของเจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายก เวลาเสด็จออกขุนนางกรมหมื่นภูธเรศฯมักเสด็จไปหาเจ้าคุณตาในที่เฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าเกล้าฯก็ไม่ทรงห้ามปราม กรมหลวงพิชิตฯรู้สึกว่าเลวไปกว่าเจ้าน้อง กราบทูลสมเด็จพระบรมชนกนาถตามประสาเด็กว่าอยากมีคุณตาบ้าง ตรัสถามว่าชอบใครที่จะให้เป็นคุณตา ท่านกราบทูลว่าอยากได้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นคุณตา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงเห็นขัน ตรัสเล่าให้เจ้าพระยาศรีสุรยวงศ์ฟัง ท่านก็กราบทูลว่าจะรับเป็นคุณตาตามพระประสงค์ของกรมหลวงพิชิตฯ แล้วอุปการะรักใคร่ ต่อมาถึงเคยพาไปเมืองสิงคโปร์ด้วย และรับจัดการสร้างวังถวายเมื่อภายหลัง เจ้าจอมมารดาผึ้งจึงชอบกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์และเป็นหูเป็นตาอยู่ในวังด้วยประการฉะนี้
คิดดูเวลาที่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ต้องกลับออกไปอยู่บ้าน คงเป็นตอนปลายเดือน ๗ หรือต้นเดือน ๘ ปีเถาะ เมื่อก่อนจะออกไปพอพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงทราบข่าว ก็ตรัสให้พระพี่เลี้ยงกลางเข้าไปทูลพระองค์ใหญ่โสม ว่าขอให้ทรงช่วยให้ได้พบกับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์อีกสักครั้งหนึ่งก่อน พระองค์ใหญ่โสมจึงตรัสให้นางสุ่นข้าหลวง ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงไปเป็นเพื่อนกับพระพี่เลี้ยงกลาง เป็นสามคนด้วยกัน เจ้าคุณพระประยูรวงศ์กล่าว่าเมื่อไปพบกัน เป็นแต่รันทดกำสรดโศก หาได้ปรึกษาหารือคิดอ่านกันอย่างไรไม่ แต่ตัวท่านเองเมื่อกลับไปอยู่บ้านได้ตั้งใจมั่นคงว่าจะมิให้ชายอื่นเป็นสามีเด็ดขาด ถ้าหากผู้ใหญ่ในสกุลจะเอาไปยกให้ผู้อื่นท่านจะหนีตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯมา จะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไป
แต่ข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯนั้น พวกชาววังที่รู้เห็นการครั้งนั้นเล่ากันมาแต่ก่อน ว่าพอเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ต้องกลับไปอยู่บ้านก็เฝ้าแต่ทรงเศร้าโศกไม่เป็นอันเสวยหรือเข้าเฝ้าแหน เสด็จเข้าไปปรึกษาเจ้าจอมมารดาเที่ยงว่าควรทำอย่างไร เจ้าจอมมารดาเที่ยงมีความรักใคร่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯมาแต่ยังทรงพระเยาว์จึงออกไปที่พระตำหนักสวนกุหลาบ ทูลปลอบว่าอย่าให้ทรงเป็นทุกข์ไปเลย ท่านจะไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ตรัสขอพระราชทานแล้วก็ไปกราบทูลตามที่รับนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงสงสาร และทรงพระราชดำริใคร่ควรเห็นว่าเเป็นการดีด้วย จึงตรัสขอต่อเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ในที่ระโหฐาน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ยอมถวายแล้วจึงมีพระราชหัตถเลขา ให้พระเจ้าลูกเธอพระองค์หญิงโสมาวดี เชิญไปยังเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ด้วยกันกับท้าววรจันทร์(มาลัย)กับท้าวสมศักดิ์(เนย) ตรัสขอเจ้าคุณพระประยูรวงศ์อย่างเปิดเผยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ทูลถวายตามพระราชประสงค์ เป็นอันตกลงด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย
แต่ยังต้องคอยให้พระยาสุรวงศ์ฯกลับจากยุโรป และหาฤกษ์กับเตรียมการถวายตัวอีกหลายเดือน ในระหว่างนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯกับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ให้คนไปมาและส่งของให้กันก็ไม่มีใครห้ามปราม พระยาสุรวงศ์ไวยวัธน์กลับมาถึงกรุงเทพฯเมื่อเดือน ๑๐ ปีเถาะนั้น ถึงเดือน ๑๒ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ให้ท่านผู้หญิงพันกับคุณเล็กพี่สาว พาเจ้าคุรพระประยูรวงศ์เข้าไปถวายตัวต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วพักอยู่กับเจ้าจอมมารดาเที่ยงจนถึงฤกษ์พระราชทาน
วันนั้นเวลากลางวันเจ้าจอมมารดาเที่ยงพาเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ขึ้นเฝ้ากราบถวายบังคมลา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงพระกรุณาโปรดฯพระราชทานพรแลสิ่งของต่างๆมีขันทองกับพานทองรองขันสำรับหนึ่ง เงินตรา ๕ ขั่ง กับเครื่องนุ่งห่มแต่งตัวอีกหีบหนึ่ง ในค่ำวันนั้นถึงเวลาทุ่ม(๒๐ นาฬิกา) เจ้าจอมมารดาเที่ยงกับเถ้าแก่ก็พาไปส่งตัว ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ท่านพรรณนาว่าเดินออกไปทางประตูราชสำราญเหมือนกับกระบวนแห่พระนเรศวรพระนารายณ์ มีคนถือเทียนนำหน้าและถือคบรายสองข้าง มีคนตามหลังเป็นพรวน พวกชาววังก็พากันมานั่งดูแน่นสองข้างทาง ท่านอายจนแทบจะเดินไม่ได้(เรื่องที่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์เล่าให้พระยาสุรินทร์ฯจดไว้มีเพียงเท่านี้ แต่ที่ท่านเล่าให้ฉันฟังยังมีต่อไปถึงตอนเมื่อเป็นเจ้าจอมอีกบ้าง ดังจะเล่าต่อไปข้างหน้า แต่พื้นเรื่องนี้ต้องอาศัยความรู้เห็นได้จากที่อื่นเป็นพื้น)
เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ออกไป อยู่พระตำหนักสวนกุหลาบได้สามเดือนเริ่มทรงครรภ์ ต้องคิดหาที่สำนักซึ่งจะคลอดพระหน่อเพราะจะคลอดในพระราชวังไม่ได้ ด้วยผิดพระราชประเพณีดังกล่าวมาแล้ว วังใหม่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าก็ยังไม่ได้สร้าง แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานวัง อันทรงสร้างเป็นที่ประพาส ณ สวนนันทอุทยานที่ริมคลองมอญทางฝั่งธนบุรี แก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯไว้แต่ก่อน จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตึกซึ่งสร้างเป็นพระราชมณเฑียรในสวนนั้นเป็นที่สำนัก เมื่อถึงเวลาที่เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ต้องไปอยู่ที่สวนนันทอุทยาน กรมสมเด็จพระสุดารัตน์ก็เสด็จไปอยู่ด้วย
ส่วนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯนั้นทรงมีหน้าที่รับราชการมาก ต่อเมื่อเสร็จการปฏิบัติสมเด็จพระบรมชนกนาถแล้วจึงเสด็จลงเรือข้ามฝากไปในเวลาค่ำ เคยตรัสเล่าว่าบางคืนน้ำในคลองแห้ง ต้องเสด็จขึ้นบกทรงพระดำเนินไต่สะพานยาวไปตามริมคลองก็มีบ่อยๆ ไปถึงได้บรรทมต่อเมื่อจวนดึก พอเช้าก็ต้องเสด็จข้ามกลับมารับราชการทุกวัน เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ทรงครรภ์ครั้งแรก พอได้ ๗ เดือนก็ประสูติ(กรมขุนสุพรรณภาควดี)เมื่อวันศุกร์ เดือน ๙ ขึ้น ๕ ค่ำปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่อคลอดพระองค์ยังอยู่ในกระเพาะ หมอและพยาบาลพากันเข้าใจว่าสิ้นพระชนม์เสียแล้วแต่ในครรภ์ ให้หาหม้อขนันจะใส่เอาไปถ่วงน้ำตามประเพณี หากเจ้าคุณตาพระยาสุรวงศ์ไวยวัธน์อยากรู้ว่าจะเป็นพระองค์ชายหรือพระองค์หญิง ใหฉีกกระเพาะดู เห็นยังหายพระทัยจึงรู้ว่ามีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ช่วยประคบประหงมเลี้ยงมาจนรอดได้
เมื่อพระหน่อประสูติแล้วได้ ๑๕ วัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ต้องตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปทอดพระเนตรสุริยปราคาหมดดวงที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ทรงมอบเจ้าคุณพระประยูรวงศ์กับพระหน่อให้พระยาสุรวงศ์ฯกับท่านผู้หญิงอื่มเป็นผู้พิทักษ์รักษาอยู่ทางนี้ เสด็จไป ๑๙ วันกลับมาถึงกรุงเทพฯเมื่อวันศุกร์เดือน ๑๐ ขึ้น ๔ ค่ำ ก็พาเจ้าคุณพระประยูรวงศืกับพระหน่อย้ายเข้ามาอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบตามเดิม
(๕)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอครั้งนั้น เมื่อเสด็จกลับมาถึงพระนครคนที่ไปตามเสด็จเจ็บเป็นไข้ป่ากันมากทั้งข้างหน้าข้างในที่ถึงตายก็มี เพราะที่ตำบลหว้ากออันอยู่ตรงทางโคจรของดวงอาทิตย์ที่ดูสุริยุปราคาเป็นดงใหญ่อยู่ริมทะเล ไปถากถางขุดดินทำเป็นพลับพลาเชื้อไข้ที่อยู่ในดินฟุ้งขึ้นมาถูกใครติดตัว ก็มาเกิดเป็นพิษไข้จับขึ้น แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯได้ห้าวันก็ประชวรเป็นไข้ป่าเมื่อวันพุธ เดือน ๑๐ ขึ้น ๙ ค่ำ ตั้งแต่แรกประชวรทรงสังเกตเห็นพิษไข้แรง ก็ทรงระแวงพระราชหฤทัยเห็นว่าอาจจะสิ้นพระชนมายุสังขารในครั้งนั้น ตรัสแก่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงทราบ แล้วดำรัสสั่งสมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์เมื่อยังเป็นกรมขุนกับกรมขุนวรจักรธรานุภาพให้เสด็จไปประจำกำกับหมออยู่ที่ท้องพระโรง สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็เสด็จเข้าไปพยาบาลอยู่ข้างที่
แต่พยาบาลอยู่ได้เพียงวันเดียว ถึงวันที่สองสมเด็จพระบรมชนกนาถยกพระหัตถ์ลูบพระพักตร์ได้สัมผัสร้อนผิดปกติ ก็ทรงทราบว่าพระราชโอรสประชวรไข้ป่าด้วยเหมือนกัน จึงดำรัสสั่งให้เสด็จกลับออกไปพักรักษาพระองค์ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ อย่าให้เป็นกังวลถึงการที่จะเข้าไปพยาบาลอีกเลย ให้เร่งรกษาพระองค์ให้หายเถิด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จกลับมาก็ประชวรในวันนั้นอาการไข้กำเริบขึ้น ในวันต่อมาจนถึงประชวรหนักอยู่หลายวัน พอแก้พระอาการไข้ป่าค่อยคลายก็เกิดพระยอดมีพิษขึ้นที่พระศอ พระอาการกลับทรุดลงไปอีกจนถึงประชวรเพียบใกล้จะเป็นอันตรายอยู่หลายวัน ถึงท่านห้ามมิให้ทูลพระบาทสมเด็นพระจอมเกล้าฯทรงทราบพระอาการ เมื่อตรัสถามก็กราบทูลแต่ว่าพระอาการค่อยคลายขึ้นบ้างแล้ว ทั้งปิดมิให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงทราบว่าพระอาการของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถประชวรหนักลงด้วย รักษาโรคพระยอดอยู่อีกพักหนึ่งพระอาการจึงกลับค่อยคลายขึ้นเป็นแต่พระกำลังยังอ่อนเพียบมาก
พิเคราะห์เหตุการณ์ที่ปรากฏดังกล่าวมาในเวลานั้นดูเหมือนเจ้าคุณพระประยูรวงศ์จะได้ประสบความทุกข์ร้อนอย่างแสนสาหัสเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา ด้วยพระธิดาก็ยังเป็นลูกอ่อนพระสามีก็ประชวรหนัก ไหนจะต้องรักษาพยาบาลพระสามีไหนจะเป็นห่วงพระธิดาอยู่ตลอดเวลานั้นเห็นจะมีคนสงสารกันมากได้ยินว่าพระยาสุรวงศ์ฯบิดาก็ปช่วยดูแลอยู่ที่พระตำหนักสวนกุหลาบเนืองนิจเพราะเป็นห่วงนั้นเอง
ถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ อันเป็นวันพิธีถือน้ำประจำปี เวลาเมื่อเจ้านายกับข้าราชการไปประชุมพร้อมกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ผู้เป็นหัวหน้าข้าราชการ แถลงความในที่ประชุมว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรพระอาการมากอยู่ ทั้งสมเด็จพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ก็ประชวรอยู่ด้วยเหมือนกันไม่ควรจะประมาท แล้วสั่งให้พิทักษ์รักษาพระราชวังกวดขันขึ้นกว่าปกติ และสั่งให้ตั้งกองล้อมวงที่พระตำหนักสวนกุหลาบแต่วันนั้น เจ้านาบเสนาบดีกับข้าราชการผู้ใหญ่ก็เข้าไปประจำอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
ที่สั่งให้ตั้งกองล้อมวงที่พระตำหนักสวนกุหลาบด้วยเมื่อครั้งนั้น เป็นการแสดงโดยเปิดเผยว่าสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ จะได้รับรัชทายาทเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป แต่ก็ไม่เป็นการประหลาดหลากใจผู้ใด เพราะตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว คนไทยทั้งหลายและชาวต่างประเทศก็นิยมกันว่า สมเด็จพระราชโอรสองค์ใหญ่เป็นรัชทายาท ผู้ที่วิตกมากมีแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ด้วยทรงปรารภว่าพระชันษาของพระองค์ก็กว่า ๖๐ ปีแล้วถ้าหากเสด็จสวรรคตแต่สมเด็จพระราชโอรสยังทรงเยาว์วัย ไม่สามารถจะว่าราชการบ้านเมืองได้เมื่อได้รับรัชทายาทอาจจะไม่ปลอดภัย เพราะตัวอย่างที่พระเจ้าแผ่นดินเสวยราชย์แต่ยังทรงพระเยาว์ยังไม่เคยมีในกรุงรัตนโกสินทร์ฯนี้ ที่เคยมีในกรุงศรีอยุธยา ๕ ครั้ง พระเจ้าแผ่นดินที่ยังทรงพระเยาว์ก็ต้องถูกปลงพระชนม์บ้าง ถูกเอาออกจากราชสมบัติบ้างไม่เคยรอดอยู่ได้แต่สักพระองค์เดียว
จึงทรงพระราชดำริให้สร้างวังสราญรมย์ขึ้น หมายว่าพอสมเด็จพระราชโอรสเจริญชันษาครบ ๒๐ ปี พอทรงผนวชแล้วจะทรงมอบเวนราชสมบัติพระราชทาน ส่วนพระองค์เองจะเป็น "พระเจ้าหลวง" เสด็จออกไปอยู่วังสราญรมย์ เป็นที่ปรึกษาทรงแนะนำสมเด็จพระราชโอรสให้ว่าราชการบ้านเมืองไปจนทรงชำนิชำนาญ แต่เผอิญมาประชวรลงในเวลาสมเด็จพระราชโอรสเจริญพระชันษาได้เพียง ๑๖ ปีถ้าหากพระองค์สวรรคตลงก็จะเป็นอย่างที่ทรงพระวิตกด้วยสมเด็จพระราชโอรสยังว่าราชการบ้านเมืองไม่ได้ต้องมีผู้อื่นว่าราชการแทนพระองค์ไปอีก ๕ ปีจะดีร้ายอย่างไรรู้ไม่ได้ ทรงพระราชดำริหาทางที่จะให้ปลอดภัยเห็นว่าสมเด็จพระราชโอรสได้ทรงครองราชสมบัติด้วยพระราชวงศ์กับข้าราชการทั้งปวงพร้อมใจกันอัญเชิญเสด็จเหมือนกับรับสัญญาว่าจะช่วยทำนุบำรุง ดีกว่าได้ราชสมบัติด้วยพระองค์ทรงมอบเวนแต่อำเภอพระราชหฤทัย
ถึงวันพฤหัสบดีเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลากลางวันจึงมีรับสั่งให้หากรมหลวงวงศาฯ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัยที่สมุหนายกเข้าไปเฝ้าถึงข้าที่บรรทม ตรัสบอกว่าพระองค์เห็นจะเสด็จสวรรคตในวันนั้นแล้ว ท่านทั้งสามได้ประคับประคองกันมาแต่ก่อน จะขอลาและขอฝากพระราชโอรสธิดาด้วย ท่านทั้งสามพากันร้องไห้สะอึกสะอื้น ตรัสห้ามว่าอย่าร้องไห้ อันความตายเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายทั่วไป ผิดกันแต่ตายก่อนกับตายที่หลังกันไม่อัศจรรย์อันใด เมื่อตรัสแล้วดำรัสว่าจะทรงสั่งราชการบ้านเมืองต่อไป จึงทรงสมาทานศีลให้ท่านทั้งสามเชื่อในความสุจริตเสียก่อน แล้วตรัสว่าผู้ซึ่งจะครองราชสมบัติสืบพระวงศ์ต่อไปนั้น จงปรึกษากันเลือกเจ้านายซึ่งทรงพระปรีชาสามารถอาจจะรักษาบ้านเมืองได้ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ หรือพระเจ้าลูกยาเธอก็ได้ หรือพระเจ้าหลานยาเธอก็ได้ อย่าหันเหียนเอาตามเห็นว่าชอบพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านเป็นสำคัญเลย จงเอาแต่ประโยชน์และความปลอดภัยของบ้านเมืองเป็นประมาณเถิด ตรัสเท่านั้นแล้วก็มิได้ตรัสสั่งต่อไป ถึงเวลายามหนึ่ง (๑๒ นาฬิกา) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าก็เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ ในพระอภิเนาวนิเวศน์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันที่ ๑ ตุลาคม)ปีมะโรงพ.ศ. ๒๔๑๑ พระชันษา ๖๕ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี
ในคืนวันนั้นถึงเวลาเที่ยงคืนพระราชวงศานุวงศ์กับข้าราชการผู้ใหญ่ประชุมพร้อมกัน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะเข้ามานั่งเป็นสักขีพยานในที่ประชุมด้วย เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์กล่าวคำประกาศในที่ประชุมว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแผ่นดินว่างอยู่ และประเพณีการสืบพระราชวงศ์ ซึ่งเคยมีมาแต่ก่อนนั้น เมื่อรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมอบเวนพระราชสมบัติแก่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯประชวรตรัสไม่ได้ ไม่ได้ทรงมอบเวนพระราชสมบัติแก่เจ้านายพระองค์ใด พระราชวงศานุวงศ์กับข้าราชการทั้งปวงจึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯพระราชทานเวนคืนราชสมบัติแก่พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการ จึงพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตไว้ ให้พระราชวงศานุวงศ์กับข้าราชการปรึกษาหารือกัน ว่าเจ้านายพระองค์ใดจะเป็นพระเจ้าน้องยาเธอก็ดี พระเจ้าลูกยาเธอก็ดี พระเจ้าหลานยาเธอก็ดี สมควรจะปกครองบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขได้ก็ให้ถวายราชสมบัติแก่พระองค์นั้น ท่านผู้ใดเห็นว่าเจ้านายพระองค์ไหนสมควรจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ก็ให้ว่าขึ้นในที่ประชุม ขณะนั้นกรมหลวงเทเวศวัชรินทร์ซึ่งเป็นอาวุโสในราชวงศ์ ตรัสเสนอต่อที่ประชุมว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระเดชพระคุณแก่พระราชวงศ์และข้าราชการทั้งปวงอย่างเหลือล้น ไม่มีอันใดที่จะทดแทนให้ถึงพระเดชพระคุณได้ ขอให้ยกสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประชุมก็เห็นชอบพร้อมกัน
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์กล่าวต่อไปในที่ประชุม ว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่นั้น ท่านได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ว่าปรึกษากันจะถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าฯกรมขุนพินิตประชานาถ สมเด็จพระจอมเกล้าฯตรัสว่าทรงพระวิตกอยู่ ด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระชันษายังทรงพระเยาว์จะไม่ทรงว่าราชการแผ่นดินได้ดังสมควร กระแสซึ่งพระวิตกนี้จะคิดอ่านกันอย่างไร กรมหลวงเทเวศฯตรัสเสนอต่อไป ว่าขอให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่าราชการแผ่นดินไปจนกว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯจะทรงผนวชพระ (เมื่อพระชันษาครบ ๒๐ ปีในปีระกา พ.ศ. ๒๔๑๖) เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถามความข้อนี้แก่ที่ประชุมก็เห็นสมควรพร้อมใจกัน เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงว่า ส่วนตัวท่านเองนั้นจะรับสนองพระเดชพระคุณโดยเต็มสติปัญญา แต่ในเรื่องการพระราชพิธีต่างๆท่านไม่สู้เข้าใจ ขอให้สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมขุนบำราบปรปักษ์ช่วยในการส่วนการพระราชนิเวศน์ด้วยอีกพระองค์หนึ่ง ที่ประชุมก็เห็นชอบ
เมื่อเสร็จการปรึกษาถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าฯกรมขุนพินิตประชานาถแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงกล่าวขึ้นอีกว่าแผ่นดินที่ล่วงมาแล้วแต่ก่อนๆมา มีพระมหากษัตริย์แล้วต้องมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าเป็นเยี่ยงอย่างมาทุกๆแผ่นดิน ครั้งนี้ที่ประชุมจะเห็นควรมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าด้วยหรือไม่ กรมหลวงเทเวศฯตรัสว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยูหัวได้มีพระเดชพระคุณมาทั้งสองพระองค์ ควรจะคิดถึงพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล จะได้ปกครองพวกข้าไทยฝ่ายพระราชวังบวรต่อไป เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถามในที่ประชุมเรียงตัวต่อไปดังแต่ก่อน โดยมากรับว่า"สมควร" หรือให้อนุมัติโดยนิ่งอยู่ไม่คัดค้าน มีแต่กรมขุนวรจักรฯกล้าตรัสคัดค้านพระองค์เดียว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ขัดเคืองว่ากล่าวกรมขุนวรจักรฯต่างๆ กรมขุนวรจักรฯก็ต้องยอม การก็เป็นตกลงเป็นอันที่ประชุมเห็นสมควรที่กรมหมื่นบวรวิชัยชาญจะเป็นพระราชวังบวรสถานมงคล
เจ้าพระยาศรสุริยวงศ์กล่าวในที่ประชุมต่อไป ว่าสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมขุนบำราบปรปักษ์ทรงพระสติปัญญารอบรู้ราชกาชแผ่นดิน ด้วยได้ทำราชการในตำแหน่งกรมวังมาช้านานถึงสองแผ่นดินขอให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนบำราบปรปักษ์สำเร็จราชการพระคลังมหาสมบัติ และพระคลังต่างๆและสำเร็จราชการในสถานราชสำนัก เป็นผู้อุปถัมภ์ในส่วนพระองค์พระเจ้าแผ่นดินด้วย ที่ประชุมเห็นชอบพร้อมกัน ครั้นเสร็จการประชุมเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงให้อาลักษ์จดรายนามผู้นั่งประชุมกับทั้งข้อความที่ได้ลงมติพร้อมกันอัญเชิญ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินสนองพระองค์สม้เด็จพระบรมชนกนาถนั้น เขียนถวายกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ
เรื่องที่พรรณนามาในตอน ๕ นี้ ที่จริงอยู่นอกเรื่องประวัติเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ แต่เป็นมูลของกิจการต่างๆซึ่งเนื่องต่อเรื่องประวัติที่จะกล่าวต่อไปข้างหน้า จึงพรรณนาไว้ตรงนี้ให้ทราบเหตุไว้ก่อน
Create Date : 22 มีนาคม 2550 |
| |
|
Last Update : 15 กรกฎาคม 2550 8:59:14 น. |
| |
Counter : 10725 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
กัมม์ |
|
|
|
|