เมื่อรถรางสร้างเมือง
เรื่องราวของจังหวัดขอนแก่นกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเมื่อกลุ่มลูกหลานนักธุรกิจชาวขอนแก่นที่มีพ่อแม่หรือรุ่นบรรพบุรุษปักหลักทำการค้าและเจริญเติบโตขึ้นมาในจังหวัดขอนแก่นได้รวมตัวกันลงขันร่วม 200 ล้านบาท เพื่อตั้งกองทุนพัฒนาเมือง โดยใช้ชื่อว่า บริษัทขอนแก่นพัฒนาเมือง จำกัด หรือ (KKTT) ขึ้นมา
พวกเขามีเป้าหมายพัฒนาจังหวัดขอนแก่นให้กลายเป็นเมืองแห่งการแสวงหาโอกาส โดยในอีก 12 ปีข้างหน้า หรือ พ.ศ.2572รายได้เฉลี่ยของประชากรในจังหวัดขอนแก่นจะเท่ากับรายได้ของประชากรในประเทศพัฒนาแล้ว12,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 396,000 บาทต่อคนต่อปีคิดรวมๆคือผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือจีดีพีของจังหวัดจะต้องเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวจากปัจจุบันที่มีรายได้เฉลี่ย 198,000 บาทต่อคนต่อปี
เป้าหมายของนักธุรกิจกลุ่มนี้ คือการสร้างจังหวัดขอนแก่นให้เป็นสมาร์ท ซิตี้ จุดเริ่มต้นที่พวกเขาเห็นว่ามีความสำคัญที่สุดคือการสร้างรถรางไฟฟ้าขนส่งมวลชนขึ้นมาเป็นตัวนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดในทุกๆด้านตามหลักวิชาการที่เรียกว่าการทำ TOD (Transit OrientedDevelopment) เพราะรถรางไฟฟ้าจะทำให้เกิดการกระชับพื้นที่ของเมืองกิจกรรมหลักของจังหวัดจะถูกรวบรวมมาอยู่ในแนวรถไฟฟ้านี้
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย รองคณบดีฝ่ายบริหารวิทยาลัยปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่นและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทขอนแก่นพัฒนาเมืองขึ้นมา เปิดเผยว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของจังหวัดโดยเฉพาะเทศบาลนครขอนแก่นเทศบาลเมืองศิลา เทศบาลตำบลเมืองเก่า เทศบาลตำบลท่าพระ และเทศบาลตำบลสำราญ รวมทั้งการสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หอการค้าจังหวัดสภาอุตสาหกรรมจังหวัด มหาวิทยาลัยขอนแก่น กลุ่มปัญจมิตร กลุ่ม 8 องค์กรเศรษฐกิจกลุ่มองค์กรจีน และอีกหลายภาคส่วน
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในเมืองขอนแก่นเป็นพลัง และปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองขอนแก่น
สิ่งสำคัญที่คนขอนแก่นกำลังคิดอยู่ตรงที่การลงทุนครั้งนี้จะเป็นการปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่เพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศ ด้วยการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเมืองขึ้นมาเริ่มต้นระดมทุนจากคนขอนแก่นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความเป็นเจ้าของเองจากนั้นจะก้าวไปสู่การเปิดระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งระเบียบของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานการทำระบบรางสามารถระดมทุนได้ทำให้จังหวัดต่างๆสามารถเริ่มทำได้โดยไม่จำเป็นต้องรองบประมาณจากภาครัฐ สิ่งที่ขอจากรัฐบาลกลางคือการช่วยลดอุปสรรคและสนับสนุนให้สิ่งที่คนขอนแก่นคิดให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาและในครั้งนี้ ภาคธุรกิจในจังหวัดขอนแก่นจะทำให้เห็นด้วยว่าสามารถที่จะสร้างรถไฟฟ้าขึ้นมาเองภายในจังหวัดได้
เขาบอกว่า หลังจาก 20 บริษัทเอกชนในจังหวัดขอนแก่นร่วมกันจัดตั้งบริษัทขอนแก่นพัฒนาเมืองขึ้นมาจนถึงตอนนี้ บริษัทขอนแก่นพัฒนาเมืองได้ปรับบทบาทหน้าที่เป็น คลังสมองของจังหวัด มีหน้าที่ช่วยกันคิดค้นหนทางไปสู่ความสำเร็จขณะที่ผู้ที่จะขับเคลื่อนให้การสร้างรถรางไฟฟ้าขนส่งมวลชนของขอนแก่นเป็นจริงขึ้นมาได้ก้าวขึ้นมาอีกระดับ
เมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย อนุมัติให้ 5 เทศบาลที่รถไฟฟ้าจะพาดผ่านได้แก่ เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองศิลา เทศบาลตำบลเมืองเก่า เทศบาลตำบลท่าพระและเทศบาลตำบลสำราญ ร่วมกันทำการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ขอนแก่น ทรานซิท ซิสเต็มจำกัด ขึ้นมา โดยอาศัยกฎหมายปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัดที่อยู่ภายใต้กรุงเทพมหานครและทำหน้าที่บริหารระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความออกมาแล้วว่าสิ่งที่บริษัทกรุงเทพธนาคมทำมานั้นไม่ผิด
มท.1 เห็นชอบ จัดตั้ง 'บริษัทจำกัด' 5 เทศบาลในขอนแก่น สู่ระบบขนส่ง 'LRT'
//khonkaenthinktank.com/news_view.php?id=37
การทำงานต่อจากนี้วางกำหนดการณ์ไว้ว่า ช่วงเดือนพ.ย.กระทรวงมหาดไทยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบว่า บริษัท ขอนแก่นทรานซิท ซิสเต็มจำกัด จะทำการลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าขนส่งระบบรางเบาสายแรกของจังหวัดขอนแก่นโดยเริ่มต้นสายเหนือ-ใต้ วิ่งจากช่วงบ้านสำราญถึงท่าพระเป็นการนำร่องโดยวิ่งระดับบนพื้นดินเกาะกลางถนนมิตรภาพ ภายใต้วงเงินลงทุน 15,000 ล้านบาทระยะเวลาลงทุน 3-4 ปี จากนั้นภายในปีนี้ชาวขอนแก่นจะขอเรียนเชิญ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปวางศิลาฤกษ์เพื่อเป็นการประกาศ ขอนแก่น โมเดลการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนได้เป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้ว
คงต้องชื่นชมทุกองคาพยพในจังหวัดขอนแก่น ที่กล้าก้าวผ่านแนวทางเดิมๆกล้าเปลี่ยนระบบคิดจากพึ่งพิงรัฐ เป็นพึ่งตนเอง และสนับสนุนซึ่งกันและกันในรูปแบบประชารัฐแบบเข้มข้น ถ้าทุกจังหวัดคิดและลงมือทำแบบนี้ โดยที่มีรัฐบาลให้การสนับสนุนคนไทยทั้งประเทศจะก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้และสามารถเรียกประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้เร็วขึ้น
ขอขอบคุณบทความ จาก คุณอมรรัตน์ จรูญสมิทธิ์
ไทยรัฐออนไลน์
https://www.thairath.co.th/content/1066274