วันพักร้อน

วันพักร้อน พักไอ้ที่ร้อน ๆ เอาไว้จริง ๆ นะ

คนเราไม่ใช่จะทำงานตลอดปีตลอดชาติ ถึงแม้ใจจะอยากทำงานตลอดเวลาก็ตาม แต่กายก็ต้องได้รับการพักผ่อนกันบ้าง เวลาเครียด ๆ จากการเรียน หรือการทำงาน ก็มักจะหาเวลา ไปพักร้อนกัน อาจจะเป็นในช่วงวันหยุดยาว หรือวันลาพักร้อน ก็ตาม

ส่วนมากคนอื่น ๆ เขาไปพักร้อนกัน ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวว่าจะไปที่ไหน คนเมืองกรุงก็มักจะออกท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นตามชายทะเล ตามป่าเขา ตามวนอุทยานแห่งชาติ หรือตามรีสอร์ทก็ตาม

สำหรับฉันฉันเลือกที่จะกลับไปพักผ่อนยังมาตุภูมิถิ่นฐานบ้านเกิด และสำหรับการเดินทางกลับบ้านในรอบสี่ปีที่ผ่านมา ฉันเลือกที่จะไปท่องเที่ยวในที่ ๆ ฉันชอบ ที่ ๆ ฉันสบายใจ ลองตามไปเที่ยวด้วยกันสิคะว่า ในช่วงเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา ฉันไปไหนมาบ้างค่ะ

เริ่มแรก นัดเจอเพื่อน ๆ ทั้งเพื่อนเก่าสมัยมหาวิทยาลัย เพื่อนที่ทำงานเก่า และเพื่อนใหม่ในถนนนักเขียน นัดกินข้าวกันตามร้านอาหารที่ขายอาหารที่ฉันอยากกินมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลแถวบ้านฉัน หรือแถวช่องนนทรี อาหารญี่ปุ่น แถวสยามสแควร์ หรือสีลม อาหารไทยตามร้านต่าง ๆ ไม่เกี่ยงสถานที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเลือกได้ฉันขอเลือกส้มตำ แกงส้มชะอมไข่ น้ำพริกปลาทู ผัดผักกระเฉดไฟแดง ยำถั่วพู เต้าหู้ทรงเครื่อง และอื่น ๆ อีกมากมายจาระไนกันไม่หมดแน่วันนี้

พอถึงวันหยุดยาวช่วงวันวิสาขบูชา เพื่อนธรรมกัลยาณมิตรก็ชวน ไปทำบุญที่วัดจันทาราม หรือวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

วัดท่าซุง มีโบสถ์ วิหาร และศาลาสวยมาก ๆ จนฉันประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น มณฑป วิหารแก้ว ปราสาททองคำ วิหารร้อยเมตร

เพื่อนบอกว่า พระราชพรหมยานเถระ หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านจำลองสร้างวิหารต่าง ๆ ให้เหมือนยังแดนสวรรค์นิพพาน ถึงแม้ว่าในแดนสวรรค์นิพพานจริง ๆ แล้วจะสวยสะกว่านี้มาก ๆ ก็ตาม

ที่ตึกรับแขกของวัดท่าซุงนี้ มีของจำหน่ายหลายอย่างมาก (เดินสองวันยังช้อปไม่หมดเลย) ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของหลวงพ่อฯ พระพุทธรูปบูชา พระเครื่องบูชา หรือพวกยาหม่องต่าง ๆ ก็ตาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสือหนา ๆ กระดาษดี ๆ เล่มหนึ่ง ไม่ถึงร้อยบาท หรือหนังสืออ่านฆ่าเวลาเล่มเล็ก ๆ ก็เล่มละ สิบบาท สิบห้าบาทเอง ฉันไม่เคยเห็นหนังสือที่ไหนถูกเท่านี้มาก่อนเลย ฉันจึงได้หนังสือของหลวงพ่อฯ มาเพียบเลย กะว่าจะขนเอามาอ่านที่เยอรมันให้ชุ่มปอดเสียหน่อย แต่ก็มีเหตุการณ์ให้ฉันเลือกขนมาไม่มากนัก เนื่องจากสัมภาระที่ฉันจะขนของกลับมาถูกจำกัดน้ำหนักไว้ด้วยของกินนั่นเอง (อิ อิ)

อาทิตย์ถัดมา ฉันได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ที่วัดห้วยมงคล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับที่บ้าน ที่วัดนี้ มีรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดของหลวงปู่ทวดฯ เนื่องจากช่วงสาย ๆ ที่บ้านพากันไปเที่ยวพระราชวังมฤคทายวันที่ชะอำก่อน เราจึงได้ขับรถต่อไปยังหัวหิน และได้เลยไปวัดนี้ ซึ่งขับรถออกจากหัวหิน ขึ้นเขาไปทางตะวันตกราว ๆ สามสิบถึงสี่สิบกิโลเมตร

ตอนฉันไปเยี่ยมคุณปู่ซึ่งอายุเก้าสิบและญาติ ๆ ที่เชียงใหม่เมื่อต้นเดือนที่แล้ว ฉันได้มีโอกาสไปสักการะรอยพระพุทธบาทสี่รอยที่ซ้อนทับรอยเดิม ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ พระองค์ในภัทรกัปนี้ ณ วัดพระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม รอยแรกยาว ๑๒ ฟุต, ๙ ฟุต, ๔ ฟุต และ ๔ ฟุต ตามลำดับ

นอกจากนี้แล้วคุณอายังพาฉันไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพอีกด้วย

ตอนอยู่ที่เชียงใหม่นับว่า ฉันได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุดจากการปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล ๘ เป็นเวลา ๗ คืน ๘ วัน ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ศูนย์ ๒ อำเภอแม่วาง และในค่ำคืนวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนี้ ฉันได้มีโอกาสดูละครอิงธรรมะ เรื่อง พระเวสสันดร ตอน ชูชกขอกัณหาชาลี จัดโดยครูช่าง อาจารย์ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง ณ วิหารกลางจันทร์ ที่ศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่นี้

หลังจากกลับจากเชียงใหม่แล้ว ฉันได้ไปหาซื้อของฝากเพื่อน คนเยอรมันที่ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร แล้วเลยไปทัวร์วัดที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่อ ได้ไปไหว้พระ ที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดใหญ่ชัยมงคล วัดไชยวัฒนาราม วัดกษัตราธิราช และวัดที่ โดนทำลายอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์ ต่อจากนั้น แวะทานข้าวเย็นที่บ้านวัชราภัย ซึ่งเป็นบ้านของคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ อาหารอร่อยมาก ภายใต้แสงเทียน (เนื่องจากไฟดับ) ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นแสงสีของวัดรอบ ๆ ในและนอกเกาะกรุงศรีอยุธยา

สำหรับวัดในกรุงเทพมหานคร ฉันได้ทัวร์ในวันทำงาน เริ่มจากวัดแถว ๆ สนามหลวง ไม่ว่าจะเป็น กราบนมัสการพระแก้วมรกตที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ไปกราบบูชาศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ไหว้พระปิดทองหลวงปู่โต เจ้าของคาถาชินบัญชร ที่วัดระฆัง แวะกราบหลวงปู่พม่า พระอาจารย์ ดร. ภัททันตะ อาสภะมหาเถระ อัคคมหากัมมฐานาจาริยะ ท่านอาจารย์ใหญ่ทางสายวิปัสสนา ท่านอาพาธอยู่ที่คณะ ๗ วัดมหาธาตุ

บ้านคุญยายอยู่แถวเสาชิงช้า ฉันจึงได้แวะกราบพระที่วัดสุทัศน์ และที่ศาลเจ้าพ่อเสือด้วย

นอกจากนี้ยังได้ไปกราบพระบรมสารีริกธาตุที่โลหะปราสาท วัดราชนัดดา เลยได้ไปดูพระพุทธรูปสีขาวที่วัดเทพธิดา ไปกราบพระบรมสารีริกธาตุบนภูเขาทอง วัดสระเกศ ที่วัดสระเกศนี้ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือสมเด็จเกี่ยว ซึ่งท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่ที่บ้านเคารพอย่างมากมาตั้งแต่สมัยคุณยายแล้วค่ะ ตอนที่เดินหาซื้อของแถวบางลำภูก็ได้ไปไหว้พระที่วัดชนะสงครามอีกด้วย

อ้อ มีอีกวันรุ่นน้องทางธรรมชวนไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ ข้อพระกรพระหัตถ์ซ้าย ที่วัดปทุมวนาราม ตรงสยามสแควร์ ที่ป่าไผ่ในวัดนี้ยังมีขายเทปและซีดีบรรยายธรรมะที่น่าสนใจ เรื่องที่ฉันฟังแล้วประทับใจจนเกิดปีติน้ำตาไหล คือเรื่อง พระอานนท์ ถ้าท่านใดได้ไปวัดนี้ ก็อยากให้เพื่อน ๆ โดยเฉพาะชาวพุทธเรา ที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นชาวพุทธเฉพาะในทะเบียนบ้านเท่านั้น ได้มีโอกาสฟังกันค่ะ

วันพักร้อนคราวนี้ของฉัน นับได้ว่าไม่เสียชาติเกิด ค่อนข้างคุ้มค่ากับชีวิตชาติหนึ่งที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าได้ให้กำเนิดมา เป็นชีวิตครั้งหนึ่งซึ่งนับว่าเกิดมาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ตาม ได้เกิดมาภายใต้ร่มพระพุทธศาสนาก็ตาม ได้เกิดมาในดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาก็ตาม และได้เกิดมาในระยะเวลาที่ยังมีพระพุทธศาสนา ให้เราได้ศึกษา ถึงแม้จะเหลือผู้สืบต่อเพียงแค่ ๓ สายเท่านั้น คือ ภิกษุ อุบาสก และอุบาสิกาก็ตาม ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ ฉันตั้งใจที่จะขอสานต่อ สืบทอด และเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น ไปยังคนรุ่นหลังต่อไป



ปล. ขอยกประโยชน์และความดีของบทความนี้ น้อมบูชาระลึกถึง พระคุณของพระรัตนตรัย อันได้แก่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย



//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W3606134/W3606134.html






 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:17:27 น.   
Counter : 772 Pageviews.  

น้องแมว

มาเล่าเรื่องของแมวแมวกันบ้างค่ะ

ความจริงก็ไม่ค่อยจะชอบน้องแมว
เพราะเวลาอุ้มเขาที ขนแมวมักจะชอบติดเสื้อ

แต่ที่บ้านคุณยายเคยมียี่สิบกว่าตัว
นับจากพวกพี่หมาและน้องหมาสิบกว่าตัว
ตายไปหมดเจนเนเรชั่นแล้วน่ะค่ะ

ตอนนี้เห็นคุณน้าบอกว่าเหลือสิบกว่าตัว
เคยเป็นพี่พยาบาลน้องแมวเกิดใหม่ด้วยนะคะ
เนื่องจากแม่นางลายเสือมันไปตายบ้านอื่น เลยคาบลูกมาทิ้งลูกไว้ให้บ้านเราสามตัว
ชื่อ นายดำ นางสองสี และนางสามสี
รุ่นนี้น่าจะไม่เหลือแล้วค่ะ
ถ้ายังอยู่นี่ก็ย่ายายแล้วเนี่ย

แมวเด็กจะนอนเยอะ ก็จะหาผ้าขาวบาง
มาทำเป็นมุ้งปิดกล่องให้ตอนนอน

เสร็จแล้วก็จะพามาเดินเล่น ฝึกให้ปีนกำแพงลับเล็บ
หลังอาหารเช้าและเย็น
ไปซื้อหลอดฉีดยา syringe มาไว้ป้อนนมแมวเด็ก
คุณยายถึงขนาดเปิดแบรนด์ซุปไก่สกัดให้ทานเสริมด้วย

สมัยก่อน ๆ เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ยังมีหม้อต้มปลาทูให้แมว
มีกระทะไว้ผัดข้าวผัดปลาทูแมว

แต่ปัจจุบันสิบกว่าปีมานี้ให้อาหารเม็ดสะดวกกว่าค่ะ
แต่อาหารกระป๋องแมวก็เคยให้

ที่บ้านต้องปลูกตะไคร้เพื่อเป็นยาไว้ให้แมวด้วย
หรือพวกหญ้าก็ได้ จะทำให้มันอาเจียนได้ดี

แมวไม่ชอบอาบน้ำ ก็ต้องจับพวกแมวเด็กเช็ดตัวอาทิตย์ละครั้ง
แต่แม่มันคงบอกว่าแม่มันเลียให้น่าจะสะอาดกว่า

เวลาจับแมวก็หิ้วตรงหนังคอมัน
สังเกตจากที่แม่มันคาบลูกแมว
แล้วมันจะข่วนเราไม่ได้
ตอนแรกก็กลัวมันจะตกเหมือนกัน เพราะดูไม่น่าจะรับน้ำหนักแมวทั้งตัวได้
แต่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นจุดที่หิ้วมันได้

เวลาจับใส่ถังไปหาหมอฉีดยาประจำปี
แมวจะตกใจจนฉี่ราดเวลาออกนอกบ้าน

แมวจะมีชื่อไปแต่ละเจนเนอเรชั่น
เช่น ถุงเงิน ถุงทอง ถุงตีน (ชื่อจริงถุงเท้า)
มันเหมือนใส่ถุงเท้าขาวน่ะ
นายเหมือน(แม่) ลูกไอ้ขาว เพราะสีเหมือนแม่มันเลย
ส่วนมากจะตั้งชื่อตามสีขน
หรือสีตา เช่น แม่ทับทิม แม่พลอย แม่มรกต เป็นต้น
หรือตามลักษณะหาง เช่น หางขอด หางตรง หางกวัก เป็นต้น
หรือชื่อตามใจเจ้าของ ว่าแมวตัวไหนชอบคนไหนในบ้าน
พวกหมาแมวนี่ ก็มีการอิจฉากันด้วยน้า
ไม่ต่างจากคนเราเล้ย

ชื่อแมวจำไม่ได้หมด เพราะตอนโตไม่ได้อยู่บ้านนี้
จำได้แต่ชื่อหมามากกว่าน่ะค่ะ มีถมทอง นุช สี่ตา สีนาก เบบี้ นิล สำลี เป็นต้นค่ะ

เรื่องของหมาแมวเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม
ว่าไหมคะเพื่อน ๆ

จาก คน(ไม่)รักแมวค่ะ




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:17:47 น.   
Counter : 653 Pageviews.  

สี่ตานินทานาย

ผมชื่อ สี่ตา

สวัสดีเพื่อน ๆ สมาชิกสุนัข และสรรพสัตว์กิตติมศักดิ์ทุกท่าน
เอ๊ย ทุกตัวครับ

ผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ
ผมชื่อสี่ตาครับ เพราะว่าบนคิ้วผมมีจุดสีส้ม ๆ ทั้งสองข้างครับ
คงเหมือนมีอีกสองตาเพิ่มขึ้นมามั้งครับ ผมถึงชื่อสี่ตาไงครับ
ผมก็ไม่เคยเห็นมันหรอกนะครับ แต่ฟังมาจากเจ้านายของผมอีกทีครับ
ซึ่งคุณแม่ของเจ้านายผมเป็นคนตั้งชื่อให้ผมครับ

เจ้านายผมเคยเล่าเรื่องผมให้ฟังเรื่องหนึ่งนะครับ
ผมก็เลยอยากเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังบ้างครับ
มันนับเป็นประวัติอันหนึ่งของผมเชียวนะครับ

เคยมีคนที่เช่าบ้านเจ้านายใหญ่ มาชำระค่าเช่า
ถึงขนาดชมผมนะครับว่าโตขึ้นผมคงเป็นสุนัชอัลเซเชียล
ที่หล่อเหมือนกับพ่อแม่ผมแน่ ๆ เลยครับ
ผมว่าเขาคงจะสังเกตจากเสียงเห่าของผมน่ะครับ
ก็เสียงเห่าของผมเหมือนกับพ่อผมเปี๊ยบเลยครับ
แต่มากี่ครั้ง กี่ครั้ง ผมก็โตเท่านี้แหละครับ
ผมก็ทนฟังเขาทุกครั้งที่ชมผมนะครับ แต่ผมว่าครั้งหลัง ๆ มานี่
เขาไม่ค่อยพูดถึงผมเท่าไหร่แล้วล่ะครับ

เอ้อ ผมลืมบอกเพื่อน ๆ ไปครับว่า
ผมเป็นสุนัขลูกครึ่งครับ ครึ่งไทยครึ่งเทศครับ
ไม่ใช่ครึ่งผีครึ่งคนเหมือนเจ้านายคุณไข่ปลาหรอกครับ

ผมเป็นลูกผสมระหว่างอัลเซเชียลกับสุนัขไทยพันธุ์ทางครับ
ดังนั้นเสียงของผมเวลาเห่าจึงเหมือนอัลเซเชียลมากครับ
ส่วนตัวผมหรือครับ ตัวขนาดเท่าลูกอัลเซเชียลครับ
ไม่ว่าจะผ่านกี่หนาว กี่ร้อน หรือกี่ฝนมาก็ตามครับ
ตัวเท่านี้เหมือนเดิมเลยครับ

ผมคงขอแนะนำตัวไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
ไว้มีเรื่องอะไรอีก ผมคงแวะมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังอีกครับ
ผมเป็นสุนัขมารยาทดีครับ เรื่องเจ้านายผมคงไม่เอามานินทา
หรอกครับ แต่ก็ไม่แน่ครับ ถ้าเจ้านายประพฤติไม่ดีต่อผม
แต่ทุกวันนี้ เจ้าหล่อนก็ดีนะครับ ไว้ผมมาชื่นชมคุณเธอให้ฟัง
วันหลังแล้วกันครับ วันนี้ขอไปศึกษาเรื่องราวของเจ้านาย
คุณไข่ปลาก่อนนะครับ

ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อน ๆ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
และสัตว์สังคม คนทั้งหลายด้วยครับ

--

กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือครับ อ๋อ เรื่องรังนกนางแอ่นหรือครับ

แต่เอ ผมว่าที่ผมเคยได้ยินมาจากเจ้านายผมเกี่ยวกับเลือด
เอ๊ย น้ำลายนกนางแอ่นน่ะ ก็คือว่านกนางแอ่นจะสำรอกน้ำลายออกมาทำรังครับ
ไม่ใช่สกัดน้ำลายให้เป็นหยดเลือดนะครับ
แต่ว่าพอครั้ง สองครั้ง ก็ยังพอทนนะครับ
แต่ครั้งที่สามเป็นต้นไป น้ำลายหมดแล้วครับ
จะเป็นเลือดออกมาแทนครับ หรือว่าคุณสาวชะมวงหมายถึง
ครั้งหลัง ๆ หรือเปล่าครับ

ดังนั้นคนที่ไปเก็บรังนกนางแอ่นก็ควรเก็บเพียงแค่ครั้งแรกพอครับ
ครั้งต่อไปปล่อยให้นกนางแอ่นเขาทำรังของเขาเถอะครับ
อย่าไปเก็บมาเลยครับ

พูดไปน้ำลายนกนางแอ่นนี่ ผมก็ชอบทานเหมือนกันนะครับ
เวลาเจ้านายผมทานอะไรเหลือ ก็เสร็จผมทั้งนั้นแหละครับ

ผมเคยขโมยกุ้งแห้งของเจ้านายที่จะใช้ทำแกงเลียงมาทานด้วยครับ
เธอโกรธผมใหญ่เชียวครับ แต่เธอไม่เคยตีผมนะครับ
อย่างมากก็ดุว่าตะโกนผมไปครับตามเรื่องของเธอแหละครับ
ทน ๆ ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาพอผ่าน ๆ ไปหน่อยครับ
(คุณ ๆ อย่าไปบอกเธอเข้านะครับ)
แป๊บเดียวเธอก็ลืมแล้วครับ แต่ว่าที่เธอไม่ลืมคือ ผมดันท้องเสีย
วันรุ่งขึ้นนี่สิครับ นี่สิ ผมเลยกลายเป็นตัวโจ๊กในหมู่เพื่อนเธอไปแล้วครับ
พูดแล้วเสียภาพพจน์สุนัขหล่ออย่างผมหมด พูดถึงเรื่องหล่อแล้ว
ผมไม่ได้ชมตัวเอง (เพื่อน ๆ เธอบอกมาอีกทีครับ)
ไม่เหมือนกับเจ้านายคุณไข่ปลาที่ชอบชมตัวเองอยู่บ่อย ๆ นะครับ
อย่างนี้เจ้านายผมเรียกว่า พวกชอบหลงตัวเองครับ

เวลาผมไม่สบาย ดูเจ้านายจะเป็นทุกข์มากนะครับ
ลงทุนถึงขนาดเปิดแบรนด์ซุปไก่สกัดให้ผมดื่มเชียวครับ
เห็นไหมครับ เธอใจดีแค่ไหน

เรื่องอาหาร ผมชอบทานข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงหมูย่าง
แต่ต้องราดน้ำชุ่ม ๆ นะครับ ผมชอบครับ
พูดแล้วก็คิดถึงอาหารไทยครับ อยู่นี่ผมไม่ค่อยได้ทานอะไรอย่างนี้
หรอกครับ วัน ๆ ทานแต่อาหารสุนัขสำเร็จรูปครับ
อ้อ ผมอยู่เยอรมนีนะครับ

ผมเป็นสุนัขอย่างถูกต้องตามกฎหมายของที่นี่ครับ
เพราะว่าเจ้านายผมต้องเสียภาษีให้รัฐฯ ด้วยครับ
แต่เฉพาะคนที่เลี้ยงสุนัขครับ ถ้าเป็นแมวไม่ต้องเสียภาษีครับ

ดังนั้นในอาทิตย์หนึ่ง เจ้านายต้องพาผมออกไปเดินเล่น วิ่งเล่น
เพื่อยืดแข้งยืดขา และให้กล้ามเนื้อของผมแข็งแรงครับ
ถ้าเธอไม่พาไป หรือมีการทำร้ายผมเข้า
และเพื่อนบ้านรู้เข้า พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถ
ไปร้องเรียนรัฐฯ ให้กฎหมายจัดการกับเธอได้ครับ
ก็ไม่รู้เป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่านะครับ ที่เธอไม่เคยตีผมเลยครับ
กฎหมายที่นี่แรงจริง ๆ นะครับ ถ้าคุณ ๆ ไม่สามารถเลี้ยงผมได้
รัฐฯ ก็จะไม่อนุญาตให้มีผมไว้ในครอบครองครับ
ดังนั้นประเทศนี้จึงไม่เห็นมีสุนัขจรจัดเหมือนอย่างเมืองไทยครับ

พูดมาก ๆ เอ๊ย เขียน เอ๊ย พิมพ์มาก ๆ แล้วชักหิวครับ
ผมก็เพิ่งรู้สึกว่ามันใช้พลังงานไปเยอะเหมือนกันนะครับ
ผมขอตัวไปหาอะไรกระแทกปากผมก่อนนะครับ

(๒๖ กันยายน ๒๕๔๕)

--

สวัสดีครับคุณป้าอานแก้ว ณ พงไพร และเพื่อน ๆ

ผมไปนั่งคิดดู ก็เห็นตามจริงที่คุณป้ากล่าวมาว่า
เป็นเพราะเจ้านายเขาเอ็นดูรักเรา ก็เลยไม่เคยตีผม
เห็นถ้าจะจริงตามนั้นแหละครับ

ใช่ครับ เจ้านายไม่เคยตีผมเลย แต่ผมก็เคยโดนคุณพ่อของเจ้านาย
ตีผมครั้งหนึ่ง แถมเอาด้ามไม้กวาดตีผมอย่างแรงเลยด้วย
ทำให้ผมเข็ดไปจนตาย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเข็ดอยู่เลยล่ะครับ

ส่วนสาเหตุอะไรนั้นหรือครับ
ผมชักจะไม่ค่อยกล้าเล่าแล้วล่ะ
กลัวคุณไข่ปลามานั่งหัวเราะเยาะผม
แล้วก็จะหาข้ออ้างว่าแต่งเรื่องต่อไม่ออก
ทำให้เพื่อน ๆ ที่รออ่านต่อ รวมทั้งเจ้านายผม อาจตำหนิผมได้นา
ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณไข่ปลาอู้ได้
เล่นมาหัวเราะเยาะกันอย่างนี้ สุนัขก็มีหัวใจนะครับ
เดี๋ยวผมงอน แล้วไม่มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังอีกนะครับ

ว่าแต่เรื่องของผมนั้นมันน่าหัวเราะ (เยาะ) มากนักหรือครับ
พี่ปลัศและน้องโปลิศคิดว่าไงครับ
ขอบคุณที่อุตส่าห์ไปชมผมหลังไมค์นะครับ
ทำให้ผมค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย
ผมก็เลยตั้งใจว่าจะเล่าต่อแล้วกันครับ

เรื่องที่ผมโดนทำโทษ มันเป็นแบบนี้ครับ
ผมโดนตีก็เพราะโทษฐานที่ผมไปกัดลูกสาวคนเล็กคนโปรดของ
คุณพ่อของเจ้านายผมเข้า จนถึงกับเลือดตกยางออก
ก็น้องสาวของเจ้านายผมเองแหละครับ
ผมไม่ได้ตั้งใจจะกัดหรอกครับ ก็ผมตกใจมากกว่านิ
ผมกำลังฝันหวานอย่างสบายอารมณ์
อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอะไรหนัก ๆ มาทับที่หางผม ผมก็เลยตกใจตื่น
และเผลองับเบา ๆ ไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

ผมว่าผมงับเบา ๆ นะ ไฉนพี่แกเลือดออกสองรูได้ก็ไม่รู้
ไม่รู้ว่าพี่แกต้องไปฉีดยาด้วยหรือเปล่า
แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่ใช่หน้าที่ของผม
ผมเห็นแต่พี่แกร้องไห้จ้า ไม่หยุดเลย
ผมว่าพี่แกไม่เจ็บอะไรเท่าไหร่หรอก
เพียงแค่ตกใจเหมือนผมเท่านั้นแหละ ผมว่านะ
แต่ผมเก่งกว่า ก็ผมไม่ร้องไห้นี่ แค่นี้เอง ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย

หลังจากนั้นพี่แกก็ไม่เคยย่างกรายมาใกล้ผมอีกเลยจนทุกวันนี้
ก็ดีไปอย่างแหละครับ ผมจะได้ไม่เผลอไปงับพี่แกเล่น ๆ
ให้ต้องโดนตีเจ็บ ๆ อีก

อ้อ ผมก็ชอบทานน้ำแข็งเหมือนกันครับคุณป้า
ผมว่ามันเย็นดีและชื่นใจด้วยครับ แต่เฉพาะตอนที่ผมอยู่เมืองไทย
เท่านั้นนะครับ อยู่นี่มันหนาวครับ ยิ่งช่วงนี้ฤดูใบไม้ร่วง
แต่อากาศแย่ครับ แถมบางวันฝนตกอีกต่างหาก

เจ้านายผมรู้ว่า ผมน่ะขี้หนาว ท่านก็เลยเอาเสื้อมาใส่ให้ผม
ก็เสื้อยืดของท่านที่ไม่ใช้แล้วแหละครับ ผมก็ใส่เหมือนพวกคน ๆ
แหละ สวมคอ ส่วนแขนเสื้อ ก็เป็นขาหน้าของผมทั้งสอง
ส่วนชายเสื้อก็ยาวพอคลุมตัวผมมิด เจ้านายผมน่ารักครับ
ท่านอุตส่าห์หาเข็มกลัดมากลัดให้ชายเสื้อพอดีกับท้องผมเลย
จะได้ไม่ละชายเสื้อให้สกปรกไป บางทีหนาวมาก ผมก็มีถุงเท้า
ด้วยนะครับ แต่ผมต้องใช้ถึงสองคู่ครับ
เวลาไปเดินเล่นตอนหน้าหนาว ผมต้องใส่รองเท้าด้วยครับ
รูปร่างก็เหมือนรองเท้าเด็กเล็กแหละครับ

เรื่องราวของผมยังไม่จบนะครับ
แต่ผมขออนุญาตแปะก่อน กลัวพิมพ์ไปมาก ๆ แล้วเครื่องแฮงค์
เหมือนกันครับ

ผมเล่าต่อนะครับ

--

เอ ผมเล่าถึงไหนแล้วล่ะ อ๋อ เรื่องความหนาวของที่นี่
ช่วงนี้เห็นเจ้านายผมบอกว่ายังไม่หนาวมากเท่าไหร่
ก็ประมาณสิบห้าองศาเซลเซียสครับ ถือว่าอากาศกำลังสบาย
แต่ผมว่าผมเริ่มหนาวแล้วครับ แต่ผมก็ชอบหน้าหนาวนะครับ
เพราะผมได้แต่งตัวหล่อครับ เรื่องหล่ออีกแล้ว
ผมไม่พูดถึงแล้วกัน เดี๋ยวจะมีใครมาหาว่าผมเหน็บใครบางคนเข้า
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเขายังไม่รู้ตัวเลยนะครับคุณน้องโปลิศ
ผมก็ไม่แน่ใจว่า ไม่รู้ตัวจริง ๆ หรือสมองช้ากันแน่ครับ

ที่ว่าผมได้แต่งตัวหล่อ ก็คือได้แต่งเต็มยศครับ
ทั้งเสื้อยืดข้างใน เสื้อเชิ้ตข้างนอก และเสื้อไหมพรมข้างนอก
อีกตัวครับ และผมก็ได้ใส่ทั้งถุงเท้า และรองเท้าด้วยครับ
พยายามจินตนาการไปกับผมหน่อยนะครับ ผมก็ยังนึกหน้าตัวเอง
ไม่ออกเลยครับ

หน้าหนาวขนผมจะดกมากกว่าหน้าร้อนครับ แต่ก็ยังไม่วายขนร่วง
อยู่ดีครับ จนเจ้านายผมบ่นว่าต้องดูดฝุ่นเกือบทุกวันก็เพราะไอ้ขน
ของผมนี่แหละครับ ทีผมตัวเองร่วงล่ะ เจ้านายผมไม่ยักกะบ่น อุ๊บส์ ...
ผมเผลอบ่นอะไรออกไปนี่ คุณ ๆ ลืม ๆ ไปเสียบ้างนะครับ
อย่าให้รู้ไปถึงหูเธอเข้าเชียวนะครับ ไม่งั้นหูผมเองแหละครับ
จะยานเอาได้ครับ

ผมว่าเพื่อความปลอดภัยในสุขภาพกายและสุขภาพใจของผม
เรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่าครับ

ผมว่าเจ้านายของหลาย ๆ ท่านเป็นเหมือนเจ้านายผมไหมครับ
เวลาทำอาหาร ผมเหมือนพวกหนูทดลองเลยครับ
ผมจะได้ชิมก่อนเพื่อนครับ ถ้าอันไหนผมทานหมด และเงยหน้า
ทำหน้าทำตาว่าอยากทานอีก ก็มักจะไม่ได้ทานต่อครับ
แต่ถ้าอันไหนไม่ค่อยอร่อย เหลือเยอะ ผมมักจะได้ทานต่อจนหมด
ทุกทีเลยครับ ก็ผมมันคน เอ๊ย ตัวทานง่าย อะไรมาเถอะครับ
ผมฟาด อุ๊ย ขออภัย คำไม่สุภาพ ผมกินได้หมดแหละครับ
แต่ส่วนมากก็ไม่ถึงกับไม่อร่อยขนาดนั้นหรอกครับ นาน ๆ
ถึงจะเหลือมาให้ผมสักจานครับ

ว้า เจ้านายผมเรียกแล้ว เลยอดเม้าท์กับเพื่อน ๆ ต่อเลย
ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ จะไปทานเค๊กของว่างและน้ำชากับ
เจ้านายก่อน ความจริงผมก็ไม่ได้ทานอะไรเท่าไหร่แหละครับ
ไปนั่งเป็นเพื่อน ดูเจ้านายกินมากกว่า
กลัวเจ้านายไม่เห็นหน้าผมแล้วจะไม่เจริญอาหารครับ

แล้วค่อยคุยกันใหม่ครับ

--

อะจ๊าก ผมว่าผมจะเข้ามาแก้ไขคำผิดก่อนที่เจ้านายผมจะเข้ามาเห็น
เดี๋ยวผมจะพลอยโดนคัดคำไปด้วย
ผมเลยต้องรีบมาคัดก่อนครับ

เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก เค้ก
อักษรต่ำห้ามใช้กับไม้ตรี จำไว้
(คัดด้วยคอมพ์นี่ง่ายจังเลยครับ อุ๊บส์ อย่าบอกเจ้านายผมเชียวนะครับ)

อ้าว เจอคุณไข่ปลาพอดี
คอมพ์ดีแล้วหรือครับ เห็นไปโพทนาไว้ที่กระทู้ข้างบนน่ะครับ

งั้นผมรออ่านเรื่องของเจ้านายคุณไข่ปลาแล้วกันครับ
ว่าแต่จะให้ผมช่วยสืบอะไรล่ะครับ
ก็ผมอยู่ตั้งไกล จะไปสืบอะไรได้อย่างไรล่ะครับ งงครับ
ก็ลองบอกมาแล้วกันครับ ถ้าผมพอช่วยได้ ก็ยินดีช่วยครับ
อุตส่าห์ชมว่าผมน่ารัก แล้วผมจะไม่ช่วยได้อย่างไรล่ะครับ
ไอ้ผมมันก็บ้ายอเสียด้วยสิครับ

ส่วนเจ้านายผม ดูดุ ๆ เฮี้ยบ ๆ หรือครับ ก็อาชีพเธอนี่ครับ
แต่จริง ๆ แล้วเธอก็ใจดีนะครับ ผมว่านะ ไม่งั้นผมอดข้าวไปนานแล้วครับ
เพียงแต่เจ้าระเบียบไปหน่อยเท่านั้นเองแหละครับ
(จริง ๆ ก็ไม่หน่อยเท่าไหร่หรอกครับ แถมจู้จี้มาก ๆ ด้วยซ้ำ)

ผมไปก่อนดีกว่าครับ ขืนพิมพ์มากจะอดข้าวเย็นเสียเปล่า ๆ ครับ

--

ตอนนี้ผมรับมุขไม่ทันครับ
และผมก็ต้องไปแล้วครับ จะตามเจ้านายไปซื้อกับข้าวครับ

(๒๗ กันยายน ๒๕๔๕)

--

สุขสันต์วันหยุดทุกท่านนะครับเมื่อวานต้องขอโทษคุณไข่ปลาด้วยครับ
อุตส่าห์แต่งตั้งให้ผมเป็นผู้ช่วย ไอ้ผมก็มัวรีบ ๆ กลัวว่าจะตาม
เจ้านายไปซื้อกับข้าวไม่ทันครับ แล้วเดี๋ยวตัวกระผมเองจะพลอยฟ้า
พลอยฝนอดข้าวเย็นไปด้วยน่ะครับ ก็เลยไม่ได้ช่วยตามสืบอะไร
ต้องขอโทษอีกครั้งหนึ่งด้วยครับ

สาเหตุที่ต้องรีบไปก็เพราะ เจ้าร้านขายของ พวกห้างต่าง ๆ
หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่ (ทั่วทั้งในเยอรมนี) ซึ่งเวลาเปิดปิด
ไม่ค่อยเหมือนกับเขาที่ไหนในโลกนั่นเองครับ
คือวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์สองทุ่มก็ปิดแล้วครับ แถมบางร้าน
ทุ่มเดียวก็ปิดครับ ส่วนวันเสาร์นั้นบางร้านปิดบ่ายโมง
แต่โดยทั่วไปก็ปิดสี่โมงเย็นครับ ส่วนวันอาทิตย์ก็ปิดตลอดไม่เปิดเลยครับ

เจ้านายผมก็เลยต้องจัดการซื้อของใช้ กับข้าวกับปลาให้เสร็จสรรพ
ในวันศุกร์ครับ วันเสาร์จะได้นอนบิดได้ทั้งวันไงล่ะครับ
ไม่ใช่ครับ คือวันเสาร์เป็นวันทำความสะอาดบ้านครับ
ส่วนวันอาทิตย์นั้นทำไม่ค่อยถนัดครับ ถ้าเสียงดังเกินไป
เพื่อนบ้านจะแจ้งตำรวจมาจัดการได้ครับ เพราะถือว่า
วันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนของครอบครัวครับ
บ้านนี้เมืองนี้กฎบัตรกฎหมายมันหยุมหยิมครับ

ผมก็เลยต้องรีบ ๆ ตามไปด้วยครับ จะได้ไปเลือกเอาแต่
อาหารสุนัขสำเร็จรูปเฉพาะรสที่ผมชอบได้ไงล่ะครับ

จากบ้านไปซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ไม่ไกลกันมากนักหรอกครับ
นั่งรถเมล์ไปสัก ๑๕ นาทีแล้วก็ไปเปลี่ยนต่อรถรางอีกสัก
๑๐ นาทีครับ ส่วนตั๋วผมก็ต้องตีกับเขาเหมือนกันนะครับ
ไม่ใช่เป็นสุนัขแล้วจะขึ้นรถฟรีได้นะครับ
แต่ตั๋วของผมราคาถูกหน่อยครับ ก็เท่ากับราคาตั๋วเด็กน่ะครับ
หรือบางทีเจ้านายก็ซื้อตั๋วตัวเองแล้วรวมกับตั๋วของผมด้วยครับ

แต่ส่วนมากจะซื้อแยกกันครับ เพราะผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก
บ่อยเท่าไหร่นัก หรือออกไปก็มักจะเดินไปกับเจ้านาย
หรือวิ่งตามจักรยานของเจ้านายไปครับ ส่วนเจ้านายผมเขามี
ตั๋วเทอมครับ

ผมลืมบอกไปว่าเวลาเข้าเมืองผมต้องใส่ปลอกคอด้วยนะครับ
และต้องมีเชือกจูงอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ เผื่อเจอพวกคู่ปรับเก่า ๆ
หรือเด็ก ๆ ที่ผมถูกใจ จะได้ไม่วิ่งเข้าไปฟัดเข้าไงครับ
ถ้าสุนัขดุ ๆ บางตัวก็ต้องมีขลุมครอบปากด้วยครับ

จริง ๆ แล้วผมน่ะรักเด็กนะครับ เพราะเด็กน่ะจะมีกลิ่มนมกลิ่นแป้ง
ตัวหอมดีครับ แต่ที่จริงสัญชาตญานของผมคือได้กลิ่นจากเด็กว่า
เด็กกลัวผมครับ ผมก็เลยชอบหยอกวิ่งเห่าเด็ก ๆ เล่น ๆ
เพลินดีครับ ไม่ได้ตั้งใจจะกัดจริง ๆ หรอกครับ

เพราะฉะนั้นเขาถึงบอกว่าเวลาสุนัขดุเห่าใส่ ให้หันเผชิญหน้าสู้ครับ
อย่าหันวิ่งหนีเป็นอันขาด เขาจะยิ่งวิ่งไล่ตามคุณ ๆ ครับ
พอคุณหันหน้ามาสู้กันจริง ๆ พวกผมก็กลัวหางจุกตูดวิ่งหนีไปแล้วครับ

เมื่อคืนหลังทานข้าวเสร็จ นอนดูข่าวที่หน้าเตียงเจ้านาย
ได้ข่าวมาว่าทางตอนใต้ของเยอรมนีมีหิมะตกด้วยครับ
ไม่น่าเชื่อนะครับ เพราะเพิ่งเดือนกันยายนเอง ซึ่งจริง ๆ
หิมะจะเริ่มตกช่วงปลาย ๆ เดือนพฤศจิกายนหรือต้น ๆ เดือนธันวามครับ
นับว่าเป็นปรากฏการณ์ในรอบ ๗๐ ปีของประเทศนี้ที่มีหิมะตก
ช่วงเดือนนี้ครับ แต่ไม่ใช่เมืองที่ผมอยู่หรอกครับ
เมืองที่ผมอยู่เป็นเมืองที่อุ่นที่สุดในเยอรมนีแล้วครับ

ผมอยู่เมืองไฮเดลเบิร์กครับ เมืองนี้เป็นเมืองเก่ามากและ
เป็นเมืองประวัติศาสตร์ด้วยครับ อายุเมืองนี้กว่าพันปีครับ
มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในเยอรมนีด้วยครับ
ชื่อมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก อายุประมาณ ๗๐๐ ปีครับ
สมเด็จพระบิดาเคยเสด็จมาทรงศึกษาวิชาแพทย์ที่นี่ครับ
ดังนั้่นรัชกาลที่แปดท่านพระราชสมภพ (ประสูติ หรือ เกิด)
ที่เมืองนี้ครับ

ขออภัยด้วยครับ พวกคำราชาศัพท์สุนัขอย่างผมไม่ค่อยจะชำนาญเสียด้วย
ขออภัยไว้ ณ ที่นี้หากผิดพลาดประการใด
ขอน้อมรับไว้ที่นายไข่ปลาเพียงผู้เดียวครับ

นอกจากนี้แล้วสมัยรัชกาลที่ห้าเสด็จประพาสยุโรป
ท่านก็เคยมาพักที่เมืองนี้ด้วยครับ
แต่ผมยังหาบ้านที่ท่านมาพักรวมทั้งโรงพยาบาลที่รัชกาลที่แปด
พระราชสมภพไม่เจอเลยครับ

สงสัยผมคงต้องขอตัวไปหาที่นั้น ๆ เสียก่อนนะครับ

(๒๙ กันยายน ๒๕๔๕)

--




 

Create Date : 26 เมษายน 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:18:12 น.   
Counter : 568 Pageviews.  

เมืองไฮเดลแบร์ก

ไฮเดลแบร์ก (Heidelberg)


เมืองไฮเดลแบร์ก (Heidelberg) อ่านแบบภาษาเยอรมัน หรือเมืองไฮเดลเบิร์ก ถ้าอ่านแบบภาษาอังกฤษ จัดเป็นเมืองประวัติศาสตร์เมืองหนึ่งในหลาย ๆ เมืองของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และยังนับเป็นเมืองทางประวัติศาสตร์ของไทยเมืองหนึ่งด้วย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พระราชสมภพ ณ เมืองนี้ในสมัยสมเด็จพระบิดาได้ทรงศึกษาวิชาทางการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยที่นี่ เมืองนี้จึงนับว่ามีชื่อเสียงมาช้านานแล้วในการศึกษาทางด้านการแพทย์ นอกจากวิชาทางด้านการแพทย์แล้ว วิชาทางศาสนา หรือเทววิทยา ทางกฎหมาย ทางปรัชญา ทางภาษา ทางเศรษฐศาสตร์ หรือทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน โดยเฉพาะวิชาทาง ด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา หรือวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ อันได้แก่ วิทยาการคอมพิวเตอร์ จุลชีววิทยา เภสัชศาสตร์ เป็นต้น ถึงขนาดที่ว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Einstein) ก็เคยมาเดินบนเส้นทางนักปราชญ์ (Philosophenweg) ของเมืองนี้แล้ว


เมืองไฮเดลแบร์กตั้งอยู่ในรัฐบาเดน-เวิร์ทเทมแบร์ก (Baden-Wuerttemberg) ซึ่งเป็นรัฐทาง ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศนี้ โดยที่เมืองหลวงของรัฐนี้คือเมืองสตุ๊ดการ์ท (Stuttgart) เมืองไฮเดลแบร์กจัดเป็นเมืองที่เก่าแก่เมืองหนึ่ง เพราะอายุเกือบพันปี ยิ่งมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Ruprecht-Karls-Universitaet Heidelberg ยิ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ ที่สุดในเยอรมนีอีกด้วย สร้างตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1385 ก็เกือบ 700 ปี และยังเป็นมหาวิทยาลัย เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรปรองจากมหาวิทยาลัยปราก ประเทศสาธารณรัฐเชค เมืองไฮเดลแบร์ก นอกจากจะเป็นเมืองทางประวัติศาสตร์โดยถูกระบุเป็นเมืองมรดกโลก UNESCO แล้ว ยังเป็นเมืองมหาวิทยาลัย เมืองท่องเที่ยวและเมืองที่โรแมนติกอีกด้วย จนมีคำล้อเลียนว่า 2 ใน 3 ของประชากร เมืองนี้เป็นนักเรียน และที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยว แต่ที่จริงแล้วเมืองนี้เป็นเมืองเล็กขนาดใหญ่ หรือเมืองใหญ่ขนาดเล็ก เพราะมีประชากรแค่แสนสามกว่า ๆ เมืองนี้มีความสวยงาม สง่า สงบ และยาก ที่จะลืมได้หากใครได้มีโอกาสมาสัมผัส ถึงขนาดมีเพลงฮิตประจำเมืองคือ


Ich hab' mein Herz in Heidelberg verloren.
(I lost my heart in Heidelberg.)


เมืองไฮเดลแบร์กก็คล้าย ๆ กับกรุงเทพฯ ถ้าเทียบกันไปทางด้านสถานที่ท่องเที่ยว เพราะกรุงเทพฯ มีพระบรมมหาราชวัง ไฮเดลแบร์กก็มีปราสาทประจำเมือง ถึงแม้จะผุพังจากไฟไหม้ในสงครามฝรั่งเศส แต่นั่นแหล่ะคือเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวของเมืองนี้ กรุงเทพฯ มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ไฮเดลแบร์ก ก็มีแม่น้ำเนคค่า (Neckar) ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งสองฝั่งแม่น้ำนี้ ตอนหน้าร้อนก็มักจะมีคนมานั่งเล่น ขี่จักรยาน นอนอาบแดด หรือมาปิกนิกย่างบาบีคิวกัน ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายห้ามย่างบาบีคิวบริเวณฝั่งแม่น้ำนี้



ข้อมูลของเมืองสามารถค้นดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.heidelberg.de/

//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2104424/W2104424.html




 

Create Date : 26 เมษายน 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:18:46 น.   
Counter : 408 Pageviews.  

ดอกไม้บาน...ที่กลางใจ

ดอกไม้บาน...ที่กลางใจ

๑.
๏ พยับแดดระอุร้อน...............เหงื่อไหล
เดินเที่ยวชมพฤกษ์ไพร.............ฉ่ำหล้า
ยามแผ่กิ่งก้านใบ.................งามยิ่ง ดอกเฮย
ไม้ดอกยามผลิอ้า...................อวดให้ยลโฉม

๒.
๏ อากาศแดดออกโอ้................งดงาม
จับจิตแลเมื่อยาม.................เบิ่งฟ้า
เมฆฝนซ่อนสีคราม..................สลับม่วง แดงเอย
เรียงไล่สีเจิดจ้า.................แต่งแต้มศิลปิน

๓.
๏ ดอกใบดูเหลื่อมเส้น............สีสวย
แถมกลิ่นหอมระรวย.................ชื่นล้น
เหลืองแดงคละส้มนวย...............เนียนนุ่ม
อีกหมู่นกดั้นด้น..................เก็บเกลี้ยงผลไม้

๔.
๏ ชมเพลินเหล่าป่าไม้............เขียวขจี
ข้ามฝั่งเดินเลียบนที.............ปริ่มน้ำ
ดอกหญ้าสู่เสรี...................ปลิวว่อน
ต้นลู่ลมต้านซ้ำ...................ร่วมท้าแดดฝน

๕.
๏ ร่มเงาประโยชน์ล้วน.............มากมี
บังแดดมิดปิดดี....................หลบเร้น
เย็นชื่นรื่นจิตรี....................พักผ่อน
แถมเพิ่มอ๊อกซิเจ้น.................สุขล้ำผ่อนคลาย

(๑๗ เมษายน ๒๕๔๕)


อ่านเนื้อเรื่องการท่องเที่ยวชมดอกไม้ได้ที่นี่ค่ะ

//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W1439468/W1439468.html




 

Create Date : 26 เมษายน 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:19:27 น.   
Counter : 436 Pageviews.  

1  2  

รสา รสา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add รสา รสา's blog to your web]