สังโยชน์ ๑๐

สังโยชน์ ๑๐

สังโยชน์ หรือที่เคยรู้จักกันในนามของ เครื่องร้อยรัดบ่วงสัตว์ไว้

ช่วงนี้อยากเขียนเรื่องนี้ค่ะ
แต่ยังนึกพล็อตไม่ออก
เลยร่างไว้คร่าว ๆ ก่อนนะคะ



ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ รจนาโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ท่านได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า

สังโยชน์
หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์
ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์

มี ๑๐ อย่าง คือ

ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่

๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
การตัดตัวตนเราเขาออกไป

๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
มีความเคารพเชื่อมั่นในคุณความดีของพระรัตนตรัย
ในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์

๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ของเณร หรือ ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ

๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ

๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ


ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่

๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต

๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม

๘. มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่

๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน

๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง



พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้

พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕
ให้เบาบางลงด้วย

พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด

พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ





 

Create Date : 13 กันยายน 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:43:41 น.   
Counter : 690 Pageviews.  

จาก..สงคราม สู่..การพัฒนาจิต

จาก..สงคราม สู่..การพัฒนาจิต


สวัสดีค่ะ สำหรับเพื่อนไทยในฉบับนี้ อยู่ในช่วงความขัดแย้งของหลายกลุ่มคน ในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยเรา คอลัมภ์ธรรมะอบรมใจจึงขอเสนอบทความที่เกี่ยวข้องกับข่าวการเมืองสักหน่อยค่ะ ในช่วงนี้เพื่อน ๆ คงติดตามดูข่าวกันบ้าง ไม่ว่าจากโทรทัศน์ ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ หรือ ผ่านทางจดหมายอิเลคโทรนิค ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศโดยตรง หรือผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็ตาม


เมื่ออ่านหรือรับรู้ข่าว ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง หรือตัวอักษร เราย่อมมีอารมณ์ร่วมคล้อยตาม นับตั้งแต่ เศร้าหมอง แห้งใจ สงสาร หรือแม้กระทั่ง แสดงความเสียใจแก่ผู้ที่โดนลูกหลง ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว หรือชาวบ้านตาดำ ๆ ก็ดี หรือบางคนอาจจะสะใจอยู่ก็ได้ หรือบางคนก็อาจจะเฉย ๆ เพราะถึงไม่เกิดวันนี้ อนาคตก็อาจหลีกหนี ไม่พ้นอยู่ดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนหนีไม่พ้นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น แต่เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ซึ่งได้เคยกล่าวไปแล้วบ้างบางส่วนในเพื่อนไทย ฉบับก่อน ๆ เรื่อง "เราเกิดมาทำไม"


สงครามจะเกิดขึ้นหรือยังไม่เกิดก็ตาม เราคงไปกำหนดให้เกิดหรือไม่เกิดไม่ได้ อาจทำได้เพียงสวดภาวนาอ้อนวอนให้ไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดไปแล้วก็ขอให้สงบโดยเร็ว แต่ใครจะมารับรู้คำอ้อนวอนของเรา แล้วจะบันดาลให้เป็นไปตามนั้นหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ เผลอ ๆ ผู้ที่รับรู้คำอ้อนวอนของพวกเรา อาจแบ่งเป็นอีกกี่พวกก็ไม่ทราบได้ แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างควรเริ่มที่ตนเองก่อน พุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"


เราทำอะไรในเหตุการณ์เช่นนี้ได้บ้าง สำหรับตัวเราเองที่ยังเอาตัวไม่รอด ถ้าใคร จะมองว่าเราเห็นแก่ตัวก็คงจะต้องยอมรับกันก่อน เพราะเราคงจะต้องให้ตัวเองพร้อมก่อนที่เราจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เราเริ่มมามองตัวตนของเรา เริ่มจากความคิดของเราก่อน


คนส่วนมากมักเกลียดผู้นำประเทศสหรัฐอเมริกา ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์หรือสัตว์สังคม หรือธรรมชาติของสรรพสัตว์ก็ตาม เราก็จะเข้าใจถึงวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้น และเราก็คงจะเปลี่ยนความคิดที่เกลียดนั้นเป็นความเมตตากรุณาขึ้นได้


คนเราทุกคนย่อมมีความเกลียด ความโกรธอยู่ในตัวเองทุกคน จะมากบ้างน้อยบ้าง อันนี้ก็สุดแล้วแต่การแสดงออกที่คนภายนอกมองเรา แต่ตัวเราเองคงจะรู้ตัวตนเองว่า ตัวเรามีมากน้อยแค่ไหน และทำอย่างไรจะกำจัดมันออกไป หรือทำอย่างไรจะแสดงออกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่มีความไม่ดีเหล่านี้เลยจะดีเสียกว่า ซึ่งปุถุชนคนธรรมดาค่อนข้างเป็นไปได้ยากที่จะไม่มีความไม่ดีเหล่านี้ได้ ยกเว้นพระอรหันต์ผู้ซึ่งหมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองแล้่วนั่นเอง ดิฉันได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) พระเวียดนามประจำวัดที่หมู่บ้านพลัมในฝรั่งเศสตอนใต้ ท่านเขียนตำราเป็นภาษาเวียดนาม แต่ฉบับที่ดิฉันอ่านเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการแปลเป็นภาษาไทยและภาษาเยอรมันด้วย หนังสือชื่อ The Miracle of Mindfulness หรือ Das Wunder der Achtsamkeit หรือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ หลวงพ่อท่านเทศน์ถึงเรื่องการเจริญสติทุกลมหายใจเข้าออก การระลึกรู้ในสภาพธรรม ซึ่งเป็นวิธีในการที่จะกำจัดอวิชชา หรือความไม่รู้ ตลอดจน โลภะหรือความโลภ โทสะหรือความโกรธ และโมหะหรือความหลงลงได้


ท่านไม่ได้สอนให้กำจัดหรือควบคุมความโกรธนั้น เพราะเราย่อมไม่สามารถจะไประงับความโกรธได้ แต่ให้ตามรู้ถึงความโกรธ และเข้าใจมัน แล้วจึงใช้ความเมตตากรุณา เอาความรักของเราโอบล้อมความโกรธนั้น ความโกรธนั้น ในที่สุดก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นความรัก หรือความเมตตาแทน แต่ใครจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลต้องฝึกฝนให้คุ้นเคยกับมันนั่นเอง เริ่มต้นง่าย ๆ จากการที่รู้ตัวว่าโกรธ และค่อย ๆ ตามดูมัน พร้อมกับหาสาเหตุของมันไปด้วย สุดท้ายสาเหตุก็คงไม่พ้นไปจากการผิดหวัง ไม่สมหวัง ไม่เป็นไปตามที่เราคิด คาดหวังนั่นเอง


เมื่อรู้สาเหตุของความโกรธแล้ว เราก็ควรทำใจว่าเราไม่ควรไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เราไม่ควรจะไปมีการคาดหวังหรือเรียกร้องจากผู้อื่น หรือกล่าวได้ว่าไม่ควรที่จะไป ยึดมั่นถือมั่นยึดติดกับความเป็นเขา เป็นเรา เพราะล้วนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สมหวัง ผิดหวัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น หรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ ในสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะธรรมชาติของคนที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องผูกพันด้วย และเราทำใจยอมรับธรรมชาติหรือความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับการยึดมั่นถือมั่นนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คนเราไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแผนการณ์อะไรเลย ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ และเรายังต้องศึกษา ทำงาน หรือที่เรียกว่า สัมมาอาชีวะ คือหาเลี้ยงตนและครอบครัว บุพการีในทางที่ชอบแล้ว ก็ต้องมีการวางแผนชีวิตแน่นอน แต่ไม่ใช่ให้ไปคาดหวัง หรือยึดติดให้เกิดทุกข์ไว้


เมื่อเราไม่ยึดติด ยึดมั่นในสิ่งใดก็ตาม ก็จะไม่มีการคาดหวังขึ้น เมื่อนั้นส่วนหนึ่ง อาจช่วยให้เราโกรธน้อยลง หรือโกรธสั้นลงนั่นเอง เมื่อเราตามดูจิตของเราบ่อย ๆ เช่นนี้ ในที่สุด เราก็สามารถใช้ความรัก ความเมตตากรุณาของเรา โอบล้อม เปลี่ยนความโกรธมาเป็นความรักได้เอง


ในการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ แน่นอนย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ดังนั้น การพูดจา แบบมีความรัก ความจริงใจ ความเมตตา ความกรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ คำพูดที่ดีย่อมสื่อได้ถึงความจริงใจของเรา เมื่อคำพูดของเรากลั่นมาจากความรักความเมตตาตรงนี้แล้ว แน่นอนคนฟังย่อมสามารถรับสารที่ประกอบไปด้วยความรักความเมตตาจากเราได้ เขาย่อมเห็นว่าเราจริงใจ ไม่เสแสร้ง ก็พร้อมที่จะเข้าใจเรา และให้ความร่วมมือกับเราด้วยดี แต่ก็มีบางคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจเราได้ เราคงต้องให้อภัยและค่อย ๆ เตือนเขา การเตือนก็ต้องดูกาละเทศะด้วย บางคนก็ยอมรับได้ แต่บางคนก็ยอมรับไม่ได้ เพราะหัวโขน ทิฏฐิ อัตตาหรือตัวตนยังค้ำคออยู่ ก็ต้องค่อย ๆ บอกกล่าว เตือนกันไป สักวันหนึ่งประสบการณ์ย่อมทำให้เขายอมรับตรงนี้ได้เอง


เราไม่ควรที่จะไปแบ่งแยกเป็นพวกเขา พวกเราเพราะทุกคนก็ล้วนมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะทานพืช หรือสัตว์ก็ตาม สัตว์นั้นก็ย่อมไปทานพืช หรือทานสัตว์ที่ทานพืชอีกทีในที่สุด ดังนั้น พวกเราในโลกนี้ ควรที่จะรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกเรา ก็ล้วนมาจากธรรมชาติทุกคน เราไม่ควรที่จะไปรังเกียจเดียดฉันท์ผู้ที่มีความโกรธหรือผู้ที่ก่อสงคราม เพราะถ้าหากเรามองย้อนมาดูตัวเราเอง เราก็ย่อมจะมีความโกรธนั้นด้วยกันทุกคนเพียงแต่จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ หิริโอตัปปะ หรือความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป ของแต่ละคนที่จะแสดงออกมามากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น เราควรช่วยกัน อันไหนพอจะเตือนได้ก็ควรจะเตือนค่อย ๆ ปรับตัวบ่มเพาะนิสัยที่ดีกันต่อไป


กล่าวมาค่อนข้างมากแล้ว จึงขอจบบทความนี้แต่เพียงเท่านี้ ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้เนื้อหาคงจะไม่หนักมากนัก คงอ่านกันได้ทุกเพศทุกวัย สุดท้ายนี้ ขอให้ผลบุญกุศลจากการทำจิตใจของผู้อ่านทุกท่าน มีแต่ความรัก ความเมตตาความกรุณา จงเป็นพลวปัจจัยให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอยู่ร่วมโลกใบนี้ต่อไปด้วยความสงบสุขและสันติภาพเทอญ.


รสธรรม
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:43:59 น.   
Counter : 637 Pageviews.  

ชีวิตเรา...เราลิขิต

ชีวิตเรา...เราลิขิต


คนก็คนหมุนวนแลแปรเปลี่ยน
ว่ายวนเวียนวาดอดีตหลีกความเศร้า
ชอบสนุกรักสุขทุกข์ไม่เอา
ถ้าเลือกได้ให้เขาคืนเราที

จะบังคับกะเกณฑ์ไปไยให้วุ่น
คนคือคนหมกมุ่นยุ่งวิถี
รักตัวตนพวกพ้องแลพงพี
ถ้าเขาได้ประสบดีน่าอวยชัย

ส่วนตัวเรามุ่งมองลองปรุงปรับ
กุศลจับน้อมจิตคิดผ่องใส
ปฏิบัติศึกษาธรรมชำระใจ
โชควันใหม่ที่เขาไกลเราใกล้ธรรม.


ธีร์
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๗



สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ไทยพูดกันถึงแต่เรื่องหุ้นหงส์ แต่ก็ไม่ได้มองข้ามข่าวเล็ก ๆ เมื่อหลายสัปดาห์มาแล้วที่ว่า เภสัชกรหญิง เพิ่งรับพระราชทานปริญญาบัตรมาได้เพียงไม่กี่ปี รับประทานยาฆ่าตัวตาย หลังจาก โทรศัพท์ถึงแฟนหนุ่มกว่าร้อยครั้งแล้วไม่ติด ชีวิตเกิดมาแล้ว มีเพียงเท่านี้เองหรือ เพียงแค่เกิด เจอกับทุกข์ แล้วก็ยอมตาย ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนของ ความแก่และเจ็บเลย แค่เจ็บใจเพียงแค่นั้น ที่ชีวิตมันไม่เป็นไปตามที่เราคาดคิดไว้ คาดหวังไว้ ทำให้เราผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ ทุกข์ใจ หาทางออกไม่เจอ คงไม่มีใครที่ไม่เคยผ่านกระบวนความทุกข์ทั้งหลายมาก่อน ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ล้วนทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แต่แต่ละคนต่างก็ล้วนมีวิธีการแก้ปัญหา ที่ต้องเผชิญที่แตกต่างกัน แล้วเภสัชกรหญิงผู้นั้น ไฉนเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นนั้น ๆ ถึงขนาดตัดสินใจและลงมือฆ่าตัวตายด้วย ไม่รักตัวเองแล้วหรืออย่างไร


คนที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย หรือเคยลองแล้ว แต่ไม่ตาย ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ กว่าที่จะผ่านจุดนั้นมาได้ ก็คงต้องผ่านช่วงเวลาที่ทรมานมามากพอสมควร ณ เวลานั้น การตัดสินใจเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว อะไร ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ เกือบไปแล้ว เกือบจะต้องตัดสินใจและลงมือปลิดชีวิตตัวเอง สติเท่านั้นที่ครอง สติเป็นใหญ่เป็นประธานเสมอในการตัดสินใจในทุก ๆ เรื่อง


ข้าพเจ้าติดใจเรื่องของการฆ่าตัวตาย อันเนื่องมาจากเพื่อนสนิทที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียโทรทางไกลมาบ่นเรื่องอยากตายกับข้าพเจ้าเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากแฟนที่ศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาขอเลิก สาเหตุนั้นมีอยู่เพียงประการเดียว คือเขาเปลี่ยนใจแล้ว เพื่อนคนนี้เป็นอาจารย์สังกัดสถาบัน การศึกษาของรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้ทุนมาศึกษาต่อระดับปริญญาเอก จะเห็นว่า การศึกษา การงาน ครอบครัว และสังคม ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เมื่อถูกกิเลสตัณหาครอบงำ การพูดคุยกันทางโทรศัพท์วันละไม่ต่ำกว่าชั่วโมง คงช่วยให้เธอได้คิด อย่างน้อยก็ขอให้เธอได้ระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ทางเมืองไทย ที่รออยู่ รอเพื่อที่จะได้เห็นความสุข ความสำเร็จของเธอบ้าง หรือนึกถึง กลุ่มเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่รอเวลาทำกิจกรรมหลังเธอจบกลับมาร่วมกัน ได้ใช้เวลาเพื่อแบ่งปันทั้งสุขและทุกข์ร่วมกันบ้าง ตลอดจนเจ้านายและเพื่อนที่ที่ทำงาน ซึ่งรอให้เธอได้นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ที่ไปศึกษา ณ ต่างประเทศกลับมาร่วมงานกัน ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติของเรา และอื่น ๆ ที่ดี ๆ อีกมากมาย ที่จะประสบกับเธอในอนาคตอันใกล้ไกล ที่ไม่สามารถจะจาระไนให้หมดได้ สิ่งต่าง ๆ ที่ดีกับเธอเหล่านี้ กำลังติดตามเธอมา แล้วไย ยังจะคิดสั้นอีกหรือ หรือเพียงแค่คิดว่าเมื่อเธอตายไปแล้ว จะเป็นตราบาปให้ผู้ชายคนหนึ่งรู้สึกติดตัวไปชั่วชีวิต ขอยืนยันและนอนยันว่าเธอคิดผิดแล้ว



กรรมของใครคนนั้นก็รับไป การฆ่าตัวตายหรือการทำอัตตนิบาตกรรมจัดเป็นกรรมหนัก ประเภทหนึ่ง โทษของการฆ่าตัวตายในพระวินัยระบุว่า จะต้องฆ่าตัวตายเช่นนี้อีกใน ชาติหน้าอีกห้าร้อยชาติ หรือถ้าพูดตามหลักเบญจศีลแล้ว ก็ผิดศีลข้อแรกไปแล้ว ศีลข้อแรกที่ว่าด้วย


ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ


ข้อที่ว่าด้วยเว้นจากการฆ่าสัตว์นั่นเอง นี่ขนาดยังไม่ได้ลงมือกระทำเลย เพียงแค่คิดที่จะฆ่าตัวตาย ก็เป็นบาปแล้ว เพราะจิตเกิดอกุศลขึ้น อีกอย่างหนึ่ง ชีวิตนี้ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถหนีความตายไปได้พ้น แม้แต่พระอรหันต์ เมื่อมาถึงเวลานั้น อาจจะยังไม่อยากตายก็เป็นได้ เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้จึงควรที่จะคิดทำประโยชน์ อย่างน้อยเริ่มต้นเสียตั้งแต่วินาทีนี้ เริ่มจากการสะสมกุศล ทำแต่ความดีเข้าไว้ ลดละอกุศล ละเลิกสร้างกรรมชั่วต่าง ๆ ที่จะไปเบียดเบียนให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน และที่สำคัญที่สุดคือ ควรหมั่นทำจิตใจให้ผ่องใสไว้อยู่เสมอ


เคยคิดบ้างไหมว่า การที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่งนั้น นับเป็นเรื่องที่แสนยาก และยิ่งการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้มาพบพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งยากใหญ่ ฉะนั้นเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว จึงควรที่จะรีบศึกษา ทำความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ พยายามเข้าใจในธรรมะ (ธรรมชาติ) ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา แล้วเราจะค่อย ๆ ลดละการยึดติดยึดมั่นในสิ่งใด ๆ ลง ไม่มีการคาดหวังกับอะไร เมื่อมีสิ่งที่ไม่คาดหมายเกิดขึ้น เราก็พร้อมที่จะยอมรับและสามารถจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจและเป็นสุข


ลองมาพูดในมุมมองของคนที่กำลังมีความรักหรืออยู่ในช่วงสร้างครอบครัวดูบ้าง คนเราส่วนมาก ข้าพเจ้าเชื่อว่า มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์ที่ผิดหวังมักมาจากในเรื่องของความรัก นั่นเป็นเพราะคนเรานั้นยังขาดความเข้าใจในเรื่องของความรักดีพอ ในด้านความรักนั้น ถ้าเราเปลี่ยนจากความรักอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ มาเป็นความรักแบบเมตตา แบบการให้ดูบ้าง (ทราบว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงพวกเรา จะไม่ลองดูหน่อยหรือ) โลกเราคงจะน่าอยู่ ขึ้นกว่านี้อีกมาก พูดถึงเรื่องของความรัก ในสมัยเด็กเคยอ่านเรื่องของ กามนิตและวาสิฎฐีในภาคสวรรค์ ได้กล่าวถึง นางวาสิฎฐีหลังจากตายจากกามนิตไปแล้ว ก็ได้ไปจุติในสวรรค์ เมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว ก็อยากให้กามนิตนั้นได้บรรลุธรรมด้วย เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ลง ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความรักความหลงนั้น ให้ได้ ซึ่งก็นับเป็นความรักที่เมตตาปรารถนาให้คนที่เรารักได้พ้นทุกข์


ดังนั้น การที่คนรักเราเปลี่ยนใจเลิกรักเรา ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่า ก็คงต้องปล่อยเขาหรือเธอไปตามทางของเขาหรือเธอนั้น ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันแล้ว หรือมีพยานรักด้วยกันแล้วก็ตาม ถ้าเขาจะไป ก็คงไม่มีอะไรที่จะไปสามารถฉุดเหนี่ยวรั้งเขาผู้นั้นไว้ได้ ถ้าเรารักเขาคนนั้นจริง เราย่อมมีความสุขที่เห็นคนที่เรารักมีความสุข นั่นคือ ปล่อยเขาไปตามทางที่เขาได้ตัดสินใจเลือกไว้แล้วเถิด แต่คนเราก็ใช่ว่าจะสามารถทำตามใจเราได้ทั้งหมด คนเราจึงต้องพึงสังวรณ์ถึงหน้าที่ที่ควรทำ ซึ่งได้เคยนำมากล่าวไว้แล้วในเพื่อนไทยปีก่อน ๆ ในเรื่องของทิศหก


คุณยายของเพื่อนเคยสอนไว้ว่า "คนสองคนจะอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่เพราะความรัก เพียงอย่างเดียว ความรักคืออารมณ์ มันแปรเปลี่ยนกันได้ แต่สิ่งที่ทำให้ คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ คือ ความดี ดีต่อกัน และความดีนี้ จะทำให้เรารู้จักเกรงใจ ทำอะไรก็มีเหตุผลซึ่งกันและกัน" ซึ่งบางคนนั้นก็ทำดีเพื่อหวังผล ก็ต้องระวังคนประเภทนี้ไว้ด้วยในสมัยนี้ แต่คนบางคนนั้น ก็ทำความดี เพียงแค่ให้ตัวเองได้ทำความดีเท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนเราหมั่นทำความดี เจริญกุศลเข้าไว้ ละเลิกความชั่วทั้งปวง ทำใจให้เป็นสุข เมื่อทำบ่อย ๆ เข้า ก็จะเคยชินจนเป็นนิสัย และเป็นผลพวงไปสู่กรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ดังที่หลวงปู่ชาเคยเทศน์สั่งสอนไว้ว่า



"เธอจงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ

เธอจงระวังความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ

เธอจงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอ จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ

เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอจะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต"

(โดย พระอาจารย์ชา สุภัทโท)



เมื่อเราท่านทราบเช่นนี้แล้วว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เราจึงเป็นผู้เลือก หนทางเดินชีวิตให้กับตัวเราเอง ส่วนเราจะเลือกเดินในเส้นทางไหนนั้น อย่าปล่อยไปตามยถากรรม เพราะเราเท่านั้นที่จะสามารถเลือกหนทางที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเราเองได้ สุดแต่เราจะเป็นผู้เลือกเดินทางไหน ซึ่งทางนั้นย่อมผ่านการกลั่นกรองจากสติเราแล้ว.


รสธรรม
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:44:17 น.   
Counter : 476 Pageviews.  

มิตรกับคำสัญญาและการคาดหวัง

มิตรกับคำสัญญาและการคาดหวัง


สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุก ๆ อ่าน ถึงแม้สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูที่แตกต่าง เวลาที่แตกต่าง ดินแดนที่แตกต่าง สถานที่ที่แตกต่าง เชื้อชาติที่แตกต่าง นิสัยที่แตกต่าง วัฒนธรรมที่แตกต่าง สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง การเล่าเรียนที่แตกต่างกัน การอบรมที่แตกต่าง หรือ แม้แต่แนวความคิดที่แตกต่างกันออกไป สิ่งแตกต่างเหล่านี้ เคยลองคิดไหมคะว่า ล้วนทำให้เราได้รับทั้งความสุขที่เพิ่มขึ้น และความทุกข์ที่ลดน้อยลงหรือไม่ หรือกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม


สำหรับบทความนี้ เริ่มต้นที่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น คนเรามีการพัฒนาทางด้านความคิดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต นั่นคือในช่วงวัยเด็ก เรามักจะยังมองโลกในมุมที่สวยงาม เปรียนเหมือนต้นไม้ผลิแรกแย้ม ให้ดอกไม้สีสันสดใสสวยงาม ย่อมมีคนสนใจใคร่อยากได้ อยากตัดดอกไม้ช่อนี้มาปักแจกันประดับบ้าน ดอกไม้ ช่อนี้จะสดใสไปอีกนานแค่ไหน หรือเหี่ยวเฉาโรยราช้าเร็วนานเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ตัดไปนั้น หมั่นดูแลเปลี่ยนน้ำบ่อยแค่ไหน แนวความคิดมุมมองต่อโลกของเด็ก ๆ จะดีได้หรือไม่ ก็เปรียบเหมือนความเบ่งบานหรือเหี่ยวเฉาของดอกไม้ ส่วนผู้ที่ต้องดูแลให้ดอกไม้เบ่งบาน ก็คงไม่พ้นพวกเราทุก ๆ คน ที่ควรจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ จรรโลงแต่สิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ให้บังเกิดประดับไว้กับโลกนี้ เพื่อที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ซึมซับแต่สิ่งที่ดีงามที่พวกเราทิ้งไว้เป็นมรดกโลกต่อไป


เขียนไปก็คงเป็นได้แค่อุมคติทางความคิดเท่านั้น แต่หลักความเป็นจริงหล่ะ เราจะช่วยกันได้มากแค่ไหน อันนี้ขึ้นอยู่กับว่า เราได้พยายามทำหน้าที่ของเรา ให้เต็มที่ให้ดีที่สุดในแต่ละวันได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนอื่นก็พยายามที่จะไม่ไปเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น แต่บางครั้งมันช่างยากเย็นเสียนี่กระไร ด้วยไม่ทันความคิดที่ว่า ใครจะมานั่งคิดเหมือนเราบ้าง เราคิดว่าตัวเราทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็อาจเผลอไปกระทบกระทั่งกับผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว จากเพื่อนที่สนิทกัน เกิดผิดใจกันไปเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ซึ่งแย่ยิ่งกว่าคนที่เพิ่งพบเจอกันอีกก็ได้ เคยสัญญาอะไรไว้กับเพื่อน พูดออกไปแล้ว แต่เหตุการณ์กลับกลาย ทำให้เราไม่สามารถทำตามลมปากที่เคยลั่นวาจาไว้ได้ หรือว่าเคยประสบกับคนที่เคยรับปากเราแล้ว แล้วไม่ทำตาม อ้าว อย่างนี้ก็ไม่รักษาสัญญากันสิ เมื่อคิดมาได้อย่างนี้แล้ว เคยย้อนมองตัวเองไหมว่า เราเริ่มไม่พอใจ เราเริ่มโกรธ เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าไม่ถูกอกถูกใจเราหรือเปล่า เพราะเขาไม่ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้แค่นั้นหรือ ถ้าเรามองในมุมที่เราไม่สามารถทำตามสัญญาได้บ้าง เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรไปใช่ไหม เราถึงไม่สามารถทำตามนั้นได้ แล้วตอนที่พูดไปน่ะ คิดบ้างหรือเปล่า หรือว่าสักแต่ว่าพูด เพราะปากเขามีไว้พูดไม่ใช่หรือ แต่ตอนที่พูดไปน่ะ เราตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง ๆ นะ นั่งนอนคิดทบทวนไปมา ก็ถึงบางอ้อได้กับเขาเหมือนกัน ใช่แล้วล่ะ ตอนที่เราพูดว่าจะทำเพื่อเขา เราตั้งใจตามนั้นจริง ๆ นะ แต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เหตุการณ์ที่พาเราไป ทำให้เราต้องผิดคำพูด ก็ช่างเถอะ ถือเสียว่าเพื่อนคนนั้นไม่ได้ผิดคำพูด ไม่ได้ผิดสัญญาแล้วกัน เราคงไปบังคับให้เขาต้องมาทำตามสัญญาไม่ได้หรอก แล้วถ้าเรามัวแต่ไม่พอใจ ไปถือโกรธ ตัวเราเองต่างหากที่ทุกข์ และเราเองก็อาจจะเสียเพื่อนดี ๆ คนหนึ่งไปก็ได้ เพื่อนดี ๆ หรือเพื่อนแท้ยิ่งมีน้อยอยู่ด้วย แต่ก็ควรจะพิจารณาใคร่ครวญโดยดีด้วยว่า แต่ละสถานการณ์ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ เพราะถ้าไปเจอคนประเภทคนพาล ก็คงต้องเลิกคบกันไป เพราะมงคลที่หนึ่งสอนว่า อย่าคบคนพาล


ดังนั้น การเลือกคบเพื่อนก็สำคัญด้วย เพื่อนมีส่วนทำให้เราดำเนินตามครรลองคลองธรรมที่ถูกต้องหรือไม่ เพื่อนแท้ย่อมสามารถเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ยามเรามีปัญหา ทั้ง ๆ ที่เพื่อนแท้ไม่เคยนำปัญหามาให้เราเลย คนรู้จักท่านหนึ่งเคยเอ่ยปากบอกเล่าความในใจให้รสธรรมทราบว่า เขาเลือกคบใครสักคนหนึ่งเป็นเพื่อนนั้น เขาคาดหวังว่า เพื่อนที่เขาคบด้วยนั้นจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ในยามที่เขาเดือดร้อน ตกอับ หรือต้องการความช่วยเหลือได้ ซึ่งการที่เขาคิดเช่นนั้น ทำให้ได้กลับมาตรองดูว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เขาคิดเช่นนั้น อาจจะมาจากสภาวะแวดล้อมตั้งแต่เด็กที่ไม่มีเพื่อนคนไหนช่วยเหลือเขาได้ หรือว่าเขามีแต่เพื่อนที่คอยเอาเปรียบเขา ดังนั้น ในกาลต่อมาเมื่อเขาเติบโตขึ้น ทำให้เขาต้องเลือกคบเพื่อนที่เขาคิดว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้จริง ๆ เท่านั้น แล้วถ้าในอนาคต หากเพื่อนที่เขากำลังคบอยู่ในขณะนี้ ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้จริง ก็ทำให้เขาไม่พอใจ จนถึงขั้นบันดาลโทสะได้ในที่สุด และสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับก็คือความทุกข์ โดยที่เขาเองนั่นแหล่ะจะเป็นผู้ แบกรับทุกข์นั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว


การที่เขาโกรธนั้น ลองมาวิเคราะห์ดูได้ว่า เป็นเพราะเขามีการตั้งความหวัง มีการคาดหวังไว้ในตัวเพื่อนคนนี้ แต่การที่เพื่อนคนนี้คบกับเขา ก็อาจเป็นเพราะ ถูกอัธยาศัยใจคอกัน ในขณะที่เพื่อนของเขานั้นไม่ได้ตั้งความหวัง หรืออาจมีจุดประสงค์ต่างไปจากเขาในเรื่องของการคบเพื่อน เมื่อเขาเริ่มมีปัญหาที่ไม่สามารถจัดการได้ และเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนดังที่คาดหวังไว้ในตอนต้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงทางด้านใดด้านหนึ่งทั้งจากปัจจัยภายในส่วนบุคคลหรือจากสิ่งแวดล้อม รอบตัวที่เกิดขึ้นก็ตาม นั่นย่อมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเข้าใจกันผิด จะหาว่าผิดสัญญา หรือไม่ยอมช่วยเหลือกัน อะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งเดียวที่เขา ต้องตระหนักอยู่เสมอคือ ให้ลดความคาดหวังในตัวผู้อื่นลง หรือไม่ควรจะคาดหวังใด ๆ เลยทั้งสิ้น


นับว่า เขาผู้นี้เป็นคนที่น่าสงสาร ยังหลงติดยึดอยู่กับทุกข์ กับตัวกิเลส คงต้องค่อย ๆ พูดให้เขาเข้าใจ และเลิกคาดหวัง เราควรจะให้ข้อคิดอะไรกับเขาบ้าง เมื่อเจอ เหตุการณ์เช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่เราคิดได้คือ ถือเป็นโชคดีของเรา เพราะเวลาคนตกอับแล้วคิดถึงเรา มาคบเพื่อหวังพึ่งเรานั้น นับว่าเราเป็นที่พึ่งของคนยากได้ เราจะได้ สร้างเมตตาบารมีได้ วันใดเราไม่อาจจะช่วยเขาได้ เราก็จะได้อุเบกขาบารมี นี่มองแบบโยนิโสมนสิการ (โย-นิ-โส-มะ-นะ-สิ-กาน) หากเขาไปว่าเราลับหลัง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็สามารถฝึกขันติบารมีได้ เวลาได้เจอเพื่อนกินหรือเพื่อนแท้ก็จะทำให้เราได้คิด ได้ฝึก และได้มีคุณค่ามากขึ้น


หรือเราอาจจะเตือนเพื่อนและตัวเราเองได้ว่า เราไม่ควรไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เราไม่ควรจะไปมีการคาดหวังหรือเรียกร้องจากผู้อื่น หรือกล่าวได้ว่าไม่ควรที่จะไปยึดมั่น ถือมั่น ยึดติดกับความเป็นเขา เป็นเรา เพราะล้วนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สมหวัง ผิดหวัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น หรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ ในสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะธรรมชาติของคนที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องผูกพันด้วย และเราทำใจยอมรับธรรมชาติหรือ ความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับการยึดมั่นถือมั่นนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คนเราไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแผนการอะไรเลย ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ และเรายังต้องศึกษา ทำงาน หรือที่เรียกว่า สัมมาอาชีวะ คือหาเลี้ยงตนและครอบครัว บุพการีในทางที่ชอบแล้ว ก็ต้องมีการวางแผนชีวิตแน่นอน แต่ไม่ใช่ให้ไปคาดหวัง หรือยึดติดให้เกิดทุกข์ขึ้น


เมื่อเราไม่ยึดติด ยึดมั่นในสิ่งใดก็ตาม ก็จะไม่มีการคาดหวังขึ้น เมื่อนั้นส่วนหนึ่งอาจช่วยให้เราโกรธน้อยลง หรือโกรธสั้นลงนั่นเอง เมื่อเราตามดูจิตของเราบ่อย ๆ เช่นนี้่ว่าไม่พอใจ โกรธ หรือ เศร้าหมอง ก็ตาม ในที่สุดเราก็สามารถใช้ความรัก ความเมตตากรุณาของเรา โอบล้อม เปลี่ยนความโกรธมาเป็นความรักได้เอง


ในการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ แน่นอนย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ดังนั้น การพูดจาแบบมีความจริงใจ ความเมตตา ความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ คำพูดที่ดีย่อมสื่อได้ถึงความจริงใจของเรา เมื่อคำพูดของเรากลั่นมาจากความเมตตาตรงนี้แล้ว แน่นอนคนฟังย่อมสามารถรับสารที่ประกอบไปด้วยความเมตตาจากเราได้ เขาย่อมเห็นว่าเราจริงใจ ไม่เสแสร้ง ก็พร้อมที่จะเข้าใจเรา และให้ความร่วมมือกับเราด้วยดี แต่ก็มีบางคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจเราได้ เราคงต้องให้อภัย และค่อย ๆ เตือนเขา การเตือนก็ต้องดูกาละเทศะด้วย บางคนก็ยอมรับได้ แต่บางคนก็ยอมรับไม่ได้ เพราะหัวโขน ทิฏฐิ อัตตา หรือตัวตนยังค้ำคออยู่ ก็ต้องค่อย ๆ บอกกล่าว เตือนกันไป สักวันหนึ่ง ประสบการณ์ย่อมทำให้เขายอมรับตรงนี้ได้เองในที่สุด


เราไม่ควรที่จะไปแบ่งแยกเป็นพวกเขา พวกเรา เพราะทุกคนก็ล้วนมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะทานพืช หรือสัตว์ก็ตาม สัตว์นั้นก็ย่อมไปทานพืช หรือทานสัตว์ ที่ทานพืชอีกทีในที่สุด ดังนั้นพวกเราในโลกนี้ ควรที่จะเมตาตากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกเราก็ล้วนมาจากธรรมชาติทุกคน เราไม่ควรที่จะไป รังเกียจเดียดฉันท์ผู้ที่มีความโกรธ หรือไม่พอใจ เพราะถ้าหากเรามองย้อนมาดูตัวเราเอง เราก็ย่อมจะมีความโกรธนั้นด้วยกันทุกคนเพียงแต่จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ หิริโอตัปปะ หรือความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป ของแต่ละคนที่จะแสดงออกมามากน้อยต่างกัน ฉะนั้น เราควรช่วยกัน อันไหนพอจะเตือนได้ ก็ควรจะเตือนค่อย ๆ ปรับตัวบ่มเพาะนิสัยที่ดีกันต่อไป


เขียนมาตั้งยาวนี้ เพียงหวังว่า คงจะเป็นแนวความคิดให้พวกเรา มีความสุขมากขึ้น มีความทุกข์น้อยลง เป็นขวัญกำลังใจต่อครอบครัว ญาติพี่น้อง รวมถึงอนุชนรุ่นหลัง หากใครอ่านแล้วขัดตา ก็ให้มองตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ว่า เราอ่านแล้วเกิดความไม่พอใจ เพราะอะไร หาสมุทัย หาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ เมื่อนั้นทุกข์ก็จะดับไปได้ถึงซึ่งนิโรธ การดับทุกข์ได้ในที่สุด ถึงสิ่งสุดท้ายที่ทุกสรรพสัตว์จะต้องไปถึงไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไร กี่แสนโกฏิกัปป์ก็ตาม ก็ต้องถึงเข้าสักวันหนึ่งทุก ๆ คน.


รสธรรม
๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๖





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:44:34 น.   
Counter : 461 Pageviews.  

เราเกิดมาทำไม

เราเกิดมาทำไม


เธอจงระวังความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ

เธอจงระวังความประพฤติของเธอ เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ

เธอจงระวังความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอ จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ

เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอจะกำหนดชะตากรรมของเธอชั่วชีวิต

(โดย พระอาจารย์ชา สุภัทโท)



//www.geocities.com/s_rasa_s/article_birth.txt


หลังจากที่ได้อ่านข้อความของพระอาจารย์ชา สุภัทโท ที่ได้รับมาจากเมล์ที่เพื่อนคนหนึ่ง
ส่งมาให้ แล้วก็เลยพอจะได้คำตอบที่เคยเฝ้าถามตัวเองมานานแล้วว่า เราเกิดมาทำไม


เราเกิดมาทำไม นั้นน่ะสินะ เพื่อน ๆ เคยลองถามตัวเองบ้างไหมคะว่าเราเกิดมาทำไม
จากข้อความของพระอาจารย์ชา สุภัทโท นั้น คำตอบหนึ่งก็คือเกิดมาตามชะตากรรม
ที่เราเป็นผู้กำหนดไงคะ


จะสังเกตได้ว่า เราเกิดมาก็เกิดมาแต่ตัว ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีเพื่อน เอ สงสัยคงต้องยกเว้น
คนที่เกิดมาเป็นฝาแฝดกันแล้วมั้งคะ ดังนั้นเมื่อจะตายไปก็คงไม่สามารถเอาอะไรติดตัวตาม
ไปได้หรอกค่ะ


มีบางคนได้กล่าวไว้ว่า ตั้งแต่ที่เราลืมตาขึ้นมาอยู่ในโลกนี้ เราก็เกิดมาพร้อมกับความเจ็บ
ความแก่ และความตาย เพียงแต่ว่าความเจ็บ ความแก่ และความตายนั้น จะมาปรากฏ
ให้เราเห็นตอนไหนก็เท่านั้นเองค่ะ


ทุกวันนี้ ถ้าเราลองสังเกตดู ร่างกายของเรานี่ทุกส่วน มันเสื่อมไปหมดค่ะ ยกตัวอย่างเช่น
ผมมันก็เสื่อมไป ล่วงไป ขนมันก็เสื่อมไป เล็บมันก็เสื่อมไป หนัง มันก็เสื่อมไป
อะไรทุกอย่างมันเสื่อมไปหมดทั้งนั้นค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไมล่ะคะ
เกิดมาเพื่อทรมานหรือคะ เกิดมาให้ได้รับความทุกข์อย่างนั้นหรือคะ


เอาเถอะน่า ไหน ๆ ก็เกิดมาแล้ว ก็อย่าให้เสียชาติเกิดแล้วกัน เราลองมาดูตามหลักการ
ของวิทยาศาสตร์ซะหน่อยนะคะ ที่ว่าเมื่อมีการกระทำ (Action) ก็ย่อมมีการกระทำกลับ (Reaction)


เราเกิดมาทำไม หลาย ๆ คนตอบว่า เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าบ้างล่ะ
เกิดมาเพื่อสร้างกรรมใหม่บ้างล่ะ


คำตอบแรกนี้เห็นท่าจะจริงนะคะ ถ้าเราลองเฝ้าสังเกตดูได้จาก ทำไมบางคนที่เกิดมาพร้อมด้วย
ทรัพย์สมบัติ หรือรูปสมบัติ หรือทั้งสองอย่างก็ตาม แต่บางคนกลับเกิดมา แม้แต่อวัยวะยังไม่ครบ
๓๒ ประการเลย เช่น คนที่ตาบอด หรือหูหนวกแต่กำเนิด เป็นต้น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เราเคยไปทำกรรมอะไรให้กับใครไว้ที่ไหนอย่างไรหรือเปล่าคะ


แต่เมื่อเราเกิดมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดก็ตาม หลังจากที่เราได้ชดใช้กรรมเก่า
เมื่อชาติที่ผ่านมาแล้ว คำตอบที่สองก็คงจะเป็นจริงอีก ก็เราอีกนั่นแหละที่เป็นผู้สร้างกรรมใหม่
ที่เราต้องได้ชดใช้แน่ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ส่วนมากไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้าหรอก
รับรองในชาตินี้แน่ ตัวอย่างเช่น การที่เราทำดี แล้วเราเกิดความสบายใจ
หรือเราทำไม่ดี ตัวเราเองนั่นแหละที่ทุกข์ใจเอง แค่นี้ก็เห็นผลกรรมชัดๆ อยู่แล้ว
ไม่ต้องไปดูอะไรมาก


สรุปแล้วการกระทำต่าง ๆ ของเราคงหนีไม่พ้นเรื่องของกรรมเป็นแน่แท้ เราลองมาศึกษา
ทำความเข้าใจกันดูในเรื่องของกรรมกันดีกว่าค่ะ หลังจากนั้นเราก็เลือกเอาแล้วกันว่า
เราควรจะประพฤติแบบเดิมต่อไปเรื่อย ๆ หรือเราควรจะเพิ่มหรือลดการกระทำบางอย่าง
ของเราลงค่ะ



กรรม สามารถจำแนกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเภท ดังต่อไปนี้ คือ


๑. กรรมที่ให้ผลตามความหนัก-เบา ซึ่งจำแนกย่อยได้เป็น ๔ ประเภทคือ

๑.๑ ครุกรรม หรือ กรรมหนัก
กรรมประเภทนี้มีอำนาจเหนือกรรมอื่นใดทั้งสิ้น จะส่งผลในทันที ถ้าเป็นกรรมฝ่ายกุศล
เช่น ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ ย่อมไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่มีอกุศลอื่นใดมาขัดขวางได้
ถ้าเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศลกรรม หรือกรรมชั่วอย่างหนัก เช่น อนันตริยกรรม คือ
การฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต และการทำให้
สงฆ์แตกสามัคคีกัน ที่เรียกว่า สังฆเภท ย่อมตกมหานรกอเวจีทันทีหลังจากชาตินี้ ไม่มีบุญ
กุศลใด ๆ มาช่วยเหลือป้องกันได้

๑.๒ อาจิณณกรรม หรือ กรรมสะสม
กรรมสะสมฝ่ายกุศล ได้แก่ การทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา การตั้งอยู่ในศีล
ในธรรม การละเว้นความชั่ว เป็นต้น เมื่อสะสมกุศลทั้งหลายแม้ทีละเล็กทีละน้อย
เมื่อสะสมอยู่เรื่อยๆ มากเข้า ก็กลายเป็นพลังกุศลที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนกรรมสะสมฝ่าย
อกุศล ได้แก่ การทำความชั่วทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าสัตว์วันละเล็กวันละน้อย เช่น การฆ่ามด
หรือการตบยุงก็ตาม กรรมประเภทนี้จะให้ผลรองมาจากอาสันนกรรม

๑.๓ อาสันนกรรม หรือ กรรมเมื่อใกล้ตาย
คือกรรมที่ระลึกเมื่อใกล้จะตาย มีอิทธิพลในการสร้างภพสร้างชาติใหม่รองจากครุกรรม
อาสันนกรรมที่ให้ผลก่อนตายนั้นให้ผลหนักเบาในลักษณะที่ แม้จะทำความดีมาตลอดชีวิต ก่อนตาย
จิตเศร้าหมองด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาสันนกรรมนี้ก็จะบันดาลให้ไปสู่อบายภูมิก่อนกรรมอื่นจะให้ผล
ยกตัวอย่างเช่น เศรษฐีผู้หนึ่ง บริจาคทรัพย์สม่ำเสมอ ตักบาตร ฟังธรรม รักษาศีล เป็นนิจ
แต่ตอนป่วยหนักใกล้จะตาย ขาดการดูแลเอาใจใส่จากลูกหลาน เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เสียแรงที่เป็นมหาเศรษฐี
มีเงินมีทองมากมาย แต่ก็ไม่สามารถซื้อความดูแลจากใครๆ ได้ ดูแล้วไม่ต่างจากยาจกเข็ญใจ
ทำให้นึกเห็นภาพยาจกอยู่เนืองๆ พอจิตสุดท้ายจับที่ยาจก จึงทำให้ไปปฏิสนธิในท้องของยาจกในชาติถัดไป
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง พระนางมัลลิกาเทวี ผู้เป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ทำความดีมาตลอด
ชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมองเนื่องจากเคยเดินสะดุดเท้าพระสวามี เป็นเหตุให้เท้าของท่านต้องแหย่ในนรกถึง
๗ วันมนุษย์ เป็นต้น ในทางตรงกันข้ามคืออาสันนกรรมฝ่ายกุศล เมื่อจิตระลึกได้ก่อนที่จะดับไปจากภพภูมินี้
ก็ย่อมจะมีอิทธิพลไปสร้างภพภูมิใหม่ที่ดีได้ ถึงแม้ว่า จะประกอบอกุศลเป็นประจำอยู่ก็ตาม
ดังนั้นอาสันนกรรมจึงทำหน้าที่เป็นชนกกรรม คือกรรม ที่นำไปเกิดในชาติถัดไป
หลังจากหมดหน้าที่ของชนกกรรมแล้ว อาจิณณกรรมทั้งฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศลก็จะเข้ามาทำหน้าที่ให้ผลต่อไป

๑.๔ กตัตตากรรม หรือ กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ
คือกรรมที่สักแต่กระทำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลก็ตาม จะให้ผลเมื่อกรรม
ประเภทอื่นๆ ให้ผลหมดแล้ว ดังนั้นกรรมประเภทนี้จึงเป็นกรรมที่ให้ผลน้อยที่สุด



๒. กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ ซึ่งจำแนกย่อยได้เป็น ๔ ประเภทคือ


๒.๑ ชนกกรรม หรือ กรรมที่ให้ผลมาตั้งแต่เกิด
เป็นกรรมที่ให้กำเนิดดุจบิดามารดา คือให้ผลในการปฏิสนธิในชาตินี้หรือชาติหน้า เช่น
การเกิดมาในภพภูมิที่สูง หรือต่ำ หรือ การเกิดในภพภูมิมนุษย์ ในครรภ์มารดาที่เป็น
เศรษฐี หรือเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น


๒.๒ อุปัตถัมภกกรรม หรือ กรรมที่เป็นพี่เลี้ยง
คือกรรมที่รอให้ผลต่อจากชนกกรรม เป็นกรรมที่เกิดมาจากกรรมสะสม ตัวอย่างเช่น
หลังจากที่มหาเศรษฐีได้เกิดมาเป็นทารกของยาจก แต่จากการที่ทารกผู้นี้ได้เคยทำ
กุศลมาจากชาติปางก่อน จึงทำให้มีผู้ที่เมตตา คอยช่วยเหลือเขาไม่ให้ได้รับความยาก
ลำบากในกาลต่อมา หรืออาจมีเหตุบังเอิญให้ได้เจอผู้มีใจบุญรับไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
ให้ได้ศึกษาเล่าเรียนในระดับสูงต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะอานิสงส์ของกุศลในชาติที่แล้วนั่นเอง


๒.๓ อุปปีฬกกรรม หรือ กรรมเบียดเบียน
คือกรรมที่คอยขัดคอ เบียดเบียน บีบคั้น ให้กรรมก่อนหน้านี้เพลาลง ให้เสียหายไปบ้าง
แต่ไม่ถึงกับรุนแรงไป เช่น จากที่เคยทำความดีมา ทำให้ไปเกิดในครอบครัวที่สุขสบาย
แต่จากการที่เคยเผลอไปฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์ จึงทำให้เป็นคนที่มีสุขภาพไม่ค่อยจะดี
มีโรคภัยเบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่เกิดมาสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยสามวันดีสี่วันไข้
แต่ผลจากกุศลกรรมที่เคยสะสมไว้ ทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บในไม่ช้าได้ หรือคนที่เกิดมายากจน
ผลจากกรรมดีที่ได้สะสมไว้ จะดลใจให้รู้จักทำมาค้าขึ้น ก็อาจมีโอกาสร่ำรวยขึ้นมาได้ เป็นต้น


๒.๔ อุปฆาตกกรรม หรือ กรรมตัดรอน
เป็นกรรมที่มีอำนาจมากเป็นพิเศษ จะให้ผลอย่างรุนแรงในทันที สามารถขจัดหรือทำลาย
กรรมที่ให้ผลอยู่ก่อนแล้วได้ ตัวอย่างเช่น ได้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น ได้รับการศึกษา
ในระดับสูง แต่บังเอิญต้องกลับบ้านดึก ก็เลยถูกฆ่าข่มขืน หรืออาจเกิดอุบัติเหตุตายโหงได้
อันนี้จัดเป็นกรรมตัดรอนฝ่ายอกุศล หรือในทางตรงกันข้าม เกิดมาในสลัมสกปรกยากจน
บังเอิญได้ทุนการศึกษาจากผู้ใจบุญ ทำให้ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในระดับสูง
หรืออาจได้ลาภก้อนใหญ่ จากการที่เจอคนทำกระเป๋าสตางค์ตกไว้ แต่จากการสอบถามแจ้งความ
ตามหาเจ้าของแล้วไม่ปรากฏ ทำให้สามารถร่ำรวยขึ้นมาเป็นเศรษฐี มั่งมีเงินทองขึ้นมาได้ เป็นต้น



๓. กรรมที่ให้ผลตามกาลเวลา ซึ่งจำแนกย่อยได้เป็น ๔ ประเภทคือ


๓.๑ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หรือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน
นั่นคือให้ผลในชาติปัจจุบันนั่นเอง ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ อย่างคือ

๓.๑.๑ ให้ผลในเวลาที่ไม่นานนัก คือประมาณ ๗ วัน
๓.๑.๒ ให้ผลโดยไม่มีกำหนดเวลา


กรรมประเภทนี้เปรียบเหมือนการนำเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ มาปลูกลงพร้อมกัน พืชบางชนิดให้
ผลเร็ว พืชบางชนิดเติบโตให้ผลช้า บางชนิดก็ให้ผลเป็นระยะเวลายาวนาน ขึ้นอยู่กับ
กรรมที่ทำนั้นเป็นฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศล


๓.๒ อุปปัชชเวทนียกรรม หรือ กรรมที่ให้ผลในชาติที่ต่อจากชาตินี้
เป็นผลมาจากครุกรรมหรือกรรมหนัก


๓.๓ อปราปริยเวทนียกรรม หรือ กรรมที่ให้ผลในชาติที่ต่อจากชาติหน้า
คือกรรมที่ให้ผลถัดจากชาติหน้าไป โดยไม่มีกำหนดว่ากี่ชาติ สุดแต่ว่ามีโอกาสเมื่อไร
ก็ให้ผลเมื่อนั้น กรรมนี้จะคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา ถ้าตามทันเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น
ยกตัวอย่างเช่น พระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า
เคยทำร้ายทุบตีมารดาของท่าน แต่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะกิเลสเครื่อง
เศร้าหมอง หมดเหตุที่จะนำพาให้ไปเกิดใหม่ จึงไม่มีชาติหน้าอีก ไม่ต้องไปเสวยผลกรรม
ในมหานรก แต่ท่านก็ไม่พ้น ทั้งๆ ที่ท่านมีอิทธิฤทธิ์สามารถหายตัวได้ ท่านยอมให้โจรทุบ
จนปรินิพพาน เป็นต้น


๓.๔ อโหสิกรรม หรือ กรรมที่เลิกให้ผล
คือกรรมที่ได้ให้ผลจนเสร็จสิ้นแล้ว หรือกรรมที่ตามไม่ทันจะให้ผล พ้นกำหนดหมดเชื้อแล้ว
จึงเลิกให้ผล ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของท่านผู้หนึ่งในสมัยพุทธกาล
ที่ท่านคลอดลูกออกมาแล้วโดนยักษิณีแปลงมาขโมยเอาลูกไปกิน จนถึงลูกคนสุดท้ายท่านก็เลย
รู้แกวรีบวิ่งเข้าไปในพระเชตุวันมหาวิหาร ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ยักษิณีเข้าเขตวิหารไม่ได้
รออยู่ข้างนอก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าต้องการแสดงเหตุที่คนทั้งสอง เฝ้าจองเวรกันและกัน
มานานแสนนานแล้ว จึงตรัสเรียกให้ยักษิณีเข้าเฝ้าแล้วแสดงเหตุให้ทราบว่าเคยเบียดเบียน
กันมาอย่างไร หลังจากที่ทั้งสอง ทราบเหตุแล้วก็อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ก็เป็นอันว่ากรรมที่
เคยเบียดเบียนกันมาก็เป็นอันสิ้นสุด



จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์บางอย่างเป็นเรื่องของกรรมที่ละเอียดอ่อน สลับซับซ้อนยิ่งนัก
หากเกิดขึ้นแล้วจะทำอะไรเพื่อแก้ไขไม่ได้ นอกจากตั้งสติให้มั่น ทำใจให้ยอมรับไปตามกฎแห่งกรรม
การทำใจยอมรับกรรมนั้น คือการทำใจยอมรับ ความเป็นจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
มิใช่การนั่งงอมืองอเท้ารอให้ผลมันเกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรด้วยปัญญาเลย หรือมัวแต่ท้อแท้ ควรรีบเจริญสติ
ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ตามหลักของพระพุทธศาสนา
แต่ถ้ากรรมนั้นบังเอิญเกิดขึ้นกับบุคคลที่เรารักเคารพ เราพึงรับรู้ว่า
กรรมบางอย่างก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล ทำได้เพียงแค่แผ่เมตตาให้บุคคลผู้เคราะห์ร้าย
เหล่านั้น และถ้ามีโอกาสควรให้เขาได้ทำความเข้าใจในเรื่องของกรรม และให้กำหนดการเจริญสติค่ะ
(ซึ่งเคยได้เกริ่นไว้แล้วในเพื่อนไทยฉบับเมื่อปีที่แล้วค่ะ)


นับตั้งแต่เวลานี้ไป เราอาจเริ่มละกรรมที่เป็นอกุศลได้ ด้วยการทำความดี ถือศีล ๕ พัฒนาจิตใจเรา
ให้ก้าวหน้าไปในทางธรรมยิ่งขึ้น โดยการพิจารณาดูว่า เมื่อมีเหตุการณ์ใด ๆ เข้ามา ในขณะนั้น
จิตเราตกหรือไม่ เรารู้สึกอย่างไร มีโลภ โกรธ หลง หรือไม่ เพราะเหตุใด เมื่อรู้ที่สาเหตุนั้นแล้ว
ก็พยายามระงับที่ต้นเหตุนั้น ส่วนมากมักเกิดจากการไม่ถูกใจ ไม่เป็นที่พอใจของเรา เมื่อดับที่
เหตุนั้นได้แล้ว ผลที่ได้ก็คือการลดละกิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งเหตุที่จะก่อให้เกิดกรรม
ที่เป็นไปในทางอกุศลด้วย


สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้
ทุกๆ ท่านมีสติอยู่ทุกเมื่อ เพื่อเจริญกุศลกรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เจริญในธรรมทุกท่านเทอญค่ะ.


รสธรรม
๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2548   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:44:52 น.   
Counter : 682 Pageviews.  


รสา รสา
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add รสา รสา's blog to your web]