|
สังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ หรือที่เคยรู้จักกันในนามของ เครื่องร้อยรัดบ่วงสัตว์ไว้
ช่วงนี้อยากเขียนเรื่องนี้ค่ะ แต่ยังนึกพล็อตไม่ออก เลยร่างไว้คร่าว ๆ ก่อนนะคะ
ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ รจนาโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ท่านได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า
สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์
มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน การตัดตัวตนเราเขาออกไป
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย มีความเคารพเชื่อมั่นในคุณความดีของพระรัตนตรัย ในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต ไม่ว่าจะเป็น ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ของเณร หรือ ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ
๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
๘. มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้
พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ
Create Date : 13 กันยายน 2548 |
| |
|
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:43:41 น. |
| |
Counter : 692 Pageviews. |
| |
|
|
|
จาก..สงคราม สู่..การพัฒนาจิต
จาก..สงคราม สู่..การพัฒนาจิต
สวัสดีค่ะ สำหรับเพื่อนไทยในฉบับนี้ อยู่ในช่วงความขัดแย้งของหลายกลุ่มคน ในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยเรา คอลัมภ์ธรรมะอบรมใจจึงขอเสนอบทความที่เกี่ยวข้องกับข่าวการเมืองสักหน่อยค่ะ ในช่วงนี้เพื่อน ๆ คงติดตามดูข่าวกันบ้าง ไม่ว่าจากโทรทัศน์ ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ หรือ ผ่านทางจดหมายอิเลคโทรนิค ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศโดยตรง หรือผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็ตาม
เมื่ออ่านหรือรับรู้ข่าว ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง หรือตัวอักษร เราย่อมมีอารมณ์ร่วมคล้อยตาม นับตั้งแต่ เศร้าหมอง แห้งใจ สงสาร หรือแม้กระทั่ง แสดงความเสียใจแก่ผู้ที่โดนลูกหลง ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว หรือชาวบ้านตาดำ ๆ ก็ดี หรือบางคนอาจจะสะใจอยู่ก็ได้ หรือบางคนก็อาจจะเฉย ๆ เพราะถึงไม่เกิดวันนี้ อนาคตก็อาจหลีกหนี ไม่พ้นอยู่ดี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนหนีไม่พ้นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น แต่เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ซึ่งได้เคยกล่าวไปแล้วบ้างบางส่วนในเพื่อนไทย ฉบับก่อน ๆ เรื่อง "เราเกิดมาทำไม"
สงครามจะเกิดขึ้นหรือยังไม่เกิดก็ตาม เราคงไปกำหนดให้เกิดหรือไม่เกิดไม่ได้ อาจทำได้เพียงสวดภาวนาอ้อนวอนให้ไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดไปแล้วก็ขอให้สงบโดยเร็ว แต่ใครจะมารับรู้คำอ้อนวอนของเรา แล้วจะบันดาลให้เป็นไปตามนั้นหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ เผลอ ๆ ผู้ที่รับรู้คำอ้อนวอนของพวกเรา อาจแบ่งเป็นอีกกี่พวกก็ไม่ทราบได้ แล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างควรเริ่มที่ตนเองก่อน พุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
เราทำอะไรในเหตุการณ์เช่นนี้ได้บ้าง สำหรับตัวเราเองที่ยังเอาตัวไม่รอด ถ้าใคร จะมองว่าเราเห็นแก่ตัวก็คงจะต้องยอมรับกันก่อน เพราะเราคงจะต้องให้ตัวเองพร้อมก่อนที่เราจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เราเริ่มมามองตัวตนของเรา เริ่มจากความคิดของเราก่อน
คนส่วนมากมักเกลียดผู้นำประเทศสหรัฐอเมริกา ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์หรือสัตว์สังคม หรือธรรมชาติของสรรพสัตว์ก็ตาม เราก็จะเข้าใจถึงวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้น และเราก็คงจะเปลี่ยนความคิดที่เกลียดนั้นเป็นความเมตตากรุณาขึ้นได้
คนเราทุกคนย่อมมีความเกลียด ความโกรธอยู่ในตัวเองทุกคน จะมากบ้างน้อยบ้าง อันนี้ก็สุดแล้วแต่การแสดงออกที่คนภายนอกมองเรา แต่ตัวเราเองคงจะรู้ตัวตนเองว่า ตัวเรามีมากน้อยแค่ไหน และทำอย่างไรจะกำจัดมันออกไป หรือทำอย่างไรจะแสดงออกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่มีความไม่ดีเหล่านี้เลยจะดีเสียกว่า ซึ่งปุถุชนคนธรรมดาค่อนข้างเป็นไปได้ยากที่จะไม่มีความไม่ดีเหล่านี้ได้ ยกเว้นพระอรหันต์ผู้ซึ่งหมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองแล้่วนั่นเอง ดิฉันได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) พระเวียดนามประจำวัดที่หมู่บ้านพลัมในฝรั่งเศสตอนใต้ ท่านเขียนตำราเป็นภาษาเวียดนาม แต่ฉบับที่ดิฉันอ่านเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการแปลเป็นภาษาไทยและภาษาเยอรมันด้วย หนังสือชื่อ The Miracle of Mindfulness หรือ Das Wunder der Achtsamkeit หรือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ หลวงพ่อท่านเทศน์ถึงเรื่องการเจริญสติทุกลมหายใจเข้าออก การระลึกรู้ในสภาพธรรม ซึ่งเป็นวิธีในการที่จะกำจัดอวิชชา หรือความไม่รู้ ตลอดจน โลภะหรือความโลภ โทสะหรือความโกรธ และโมหะหรือความหลงลงได้
ท่านไม่ได้สอนให้กำจัดหรือควบคุมความโกรธนั้น เพราะเราย่อมไม่สามารถจะไประงับความโกรธได้ แต่ให้ตามรู้ถึงความโกรธ และเข้าใจมัน แล้วจึงใช้ความเมตตากรุณา เอาความรักของเราโอบล้อมความโกรธนั้น ความโกรธนั้น ในที่สุดก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นความรัก หรือความเมตตาแทน แต่ใครจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลต้องฝึกฝนให้คุ้นเคยกับมันนั่นเอง เริ่มต้นง่าย ๆ จากการที่รู้ตัวว่าโกรธ และค่อย ๆ ตามดูมัน พร้อมกับหาสาเหตุของมันไปด้วย สุดท้ายสาเหตุก็คงไม่พ้นไปจากการผิดหวัง ไม่สมหวัง ไม่เป็นไปตามที่เราคิด คาดหวังนั่นเอง
เมื่อรู้สาเหตุของความโกรธแล้ว เราก็ควรทำใจว่าเราไม่ควรไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เราไม่ควรจะไปมีการคาดหวังหรือเรียกร้องจากผู้อื่น หรือกล่าวได้ว่าไม่ควรที่จะไป ยึดมั่นถือมั่นยึดติดกับความเป็นเขา เป็นเรา เพราะล้วนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สมหวัง ผิดหวัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น หรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ ในสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะธรรมชาติของคนที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องผูกพันด้วย และเราทำใจยอมรับธรรมชาติหรือความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับการยึดมั่นถือมั่นนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คนเราไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแผนการณ์อะไรเลย ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ และเรายังต้องศึกษา ทำงาน หรือที่เรียกว่า สัมมาอาชีวะ คือหาเลี้ยงตนและครอบครัว บุพการีในทางที่ชอบแล้ว ก็ต้องมีการวางแผนชีวิตแน่นอน แต่ไม่ใช่ให้ไปคาดหวัง หรือยึดติดให้เกิดทุกข์ไว้
เมื่อเราไม่ยึดติด ยึดมั่นในสิ่งใดก็ตาม ก็จะไม่มีการคาดหวังขึ้น เมื่อนั้นส่วนหนึ่ง อาจช่วยให้เราโกรธน้อยลง หรือโกรธสั้นลงนั่นเอง เมื่อเราตามดูจิตของเราบ่อย ๆ เช่นนี้ ในที่สุด เราก็สามารถใช้ความรัก ความเมตตากรุณาของเรา โอบล้อม เปลี่ยนความโกรธมาเป็นความรักได้เอง
ในการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ แน่นอนย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ดังนั้น การพูดจา แบบมีความรัก ความจริงใจ ความเมตตา ความกรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ คำพูดที่ดีย่อมสื่อได้ถึงความจริงใจของเรา เมื่อคำพูดของเรากลั่นมาจากความรักความเมตตาตรงนี้แล้ว แน่นอนคนฟังย่อมสามารถรับสารที่ประกอบไปด้วยความรักความเมตตาจากเราได้ เขาย่อมเห็นว่าเราจริงใจ ไม่เสแสร้ง ก็พร้อมที่จะเข้าใจเรา และให้ความร่วมมือกับเราด้วยดี แต่ก็มีบางคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจเราได้ เราคงต้องให้อภัยและค่อย ๆ เตือนเขา การเตือนก็ต้องดูกาละเทศะด้วย บางคนก็ยอมรับได้ แต่บางคนก็ยอมรับไม่ได้ เพราะหัวโขน ทิฏฐิ อัตตาหรือตัวตนยังค้ำคออยู่ ก็ต้องค่อย ๆ บอกกล่าว เตือนกันไป สักวันหนึ่งประสบการณ์ย่อมทำให้เขายอมรับตรงนี้ได้เอง
เราไม่ควรที่จะไปแบ่งแยกเป็นพวกเขา พวกเราเพราะทุกคนก็ล้วนมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะทานพืช หรือสัตว์ก็ตาม สัตว์นั้นก็ย่อมไปทานพืช หรือทานสัตว์ที่ทานพืชอีกทีในที่สุด ดังนั้น พวกเราในโลกนี้ ควรที่จะรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกเรา ก็ล้วนมาจากธรรมชาติทุกคน เราไม่ควรที่จะไปรังเกียจเดียดฉันท์ผู้ที่มีความโกรธหรือผู้ที่ก่อสงคราม เพราะถ้าหากเรามองย้อนมาดูตัวเราเอง เราก็ย่อมจะมีความโกรธนั้นด้วยกันทุกคนเพียงแต่จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ หิริโอตัปปะ หรือความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป ของแต่ละคนที่จะแสดงออกมามากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น เราควรช่วยกัน อันไหนพอจะเตือนได้ก็ควรจะเตือนค่อย ๆ ปรับตัวบ่มเพาะนิสัยที่ดีกันต่อไป
กล่าวมาค่อนข้างมากแล้ว จึงขอจบบทความนี้แต่เพียงเท่านี้ ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้เนื้อหาคงจะไม่หนักมากนัก คงอ่านกันได้ทุกเพศทุกวัย สุดท้ายนี้ ขอให้ผลบุญกุศลจากการทำจิตใจของผู้อ่านทุกท่าน มีแต่ความรัก ความเมตตาความกรุณา จงเป็นพลวปัจจัยให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอยู่ร่วมโลกใบนี้ต่อไปด้วยความสงบสุขและสันติภาพเทอญ.
รสธรรม ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
Create Date : 26 สิงหาคม 2548 |
| |
|
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:43:59 น. |
| |
Counter : 637 Pageviews. |
| |
|
|
|
มิตรกับคำสัญญาและการคาดหวัง
มิตรกับคำสัญญาและการคาดหวัง
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุก ๆ อ่าน ถึงแม้สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูที่แตกต่าง เวลาที่แตกต่าง ดินแดนที่แตกต่าง สถานที่ที่แตกต่าง เชื้อชาติที่แตกต่าง นิสัยที่แตกต่าง วัฒนธรรมที่แตกต่าง สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง การเล่าเรียนที่แตกต่างกัน การอบรมที่แตกต่าง หรือ แม้แต่แนวความคิดที่แตกต่างกันออกไป สิ่งแตกต่างเหล่านี้ เคยลองคิดไหมคะว่า ล้วนทำให้เราได้รับทั้งความสุขที่เพิ่มขึ้น และความทุกข์ที่ลดน้อยลงหรือไม่ หรือกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม
สำหรับบทความนี้ เริ่มต้นที่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น คนเรามีการพัฒนาทางด้านความคิดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต นั่นคือในช่วงวัยเด็ก เรามักจะยังมองโลกในมุมที่สวยงาม เปรียนเหมือนต้นไม้ผลิแรกแย้ม ให้ดอกไม้สีสันสดใสสวยงาม ย่อมมีคนสนใจใคร่อยากได้ อยากตัดดอกไม้ช่อนี้มาปักแจกันประดับบ้าน ดอกไม้ ช่อนี้จะสดใสไปอีกนานแค่ไหน หรือเหี่ยวเฉาโรยราช้าเร็วนานเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ตัดไปนั้น หมั่นดูแลเปลี่ยนน้ำบ่อยแค่ไหน แนวความคิดมุมมองต่อโลกของเด็ก ๆ จะดีได้หรือไม่ ก็เปรียบเหมือนความเบ่งบานหรือเหี่ยวเฉาของดอกไม้ ส่วนผู้ที่ต้องดูแลให้ดอกไม้เบ่งบาน ก็คงไม่พ้นพวกเราทุก ๆ คน ที่ควรจะช่วยกันคนละไม้คนละมือ จรรโลงแต่สิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ให้บังเกิดประดับไว้กับโลกนี้ เพื่อที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ซึมซับแต่สิ่งที่ดีงามที่พวกเราทิ้งไว้เป็นมรดกโลกต่อไป
เขียนไปก็คงเป็นได้แค่อุมคติทางความคิดเท่านั้น แต่หลักความเป็นจริงหล่ะ เราจะช่วยกันได้มากแค่ไหน อันนี้ขึ้นอยู่กับว่า เราได้พยายามทำหน้าที่ของเรา ให้เต็มที่ให้ดีที่สุดในแต่ละวันได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนอื่นก็พยายามที่จะไม่ไปเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น แต่บางครั้งมันช่างยากเย็นเสียนี่กระไร ด้วยไม่ทันความคิดที่ว่า ใครจะมานั่งคิดเหมือนเราบ้าง เราคิดว่าตัวเราทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็อาจเผลอไปกระทบกระทั่งกับผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว จากเพื่อนที่สนิทกัน เกิดผิดใจกันไปเพียงแค่เสี้ยววินาที ก็กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ซึ่งแย่ยิ่งกว่าคนที่เพิ่งพบเจอกันอีกก็ได้ เคยสัญญาอะไรไว้กับเพื่อน พูดออกไปแล้ว แต่เหตุการณ์กลับกลาย ทำให้เราไม่สามารถทำตามลมปากที่เคยลั่นวาจาไว้ได้ หรือว่าเคยประสบกับคนที่เคยรับปากเราแล้ว แล้วไม่ทำตาม อ้าว อย่างนี้ก็ไม่รักษาสัญญากันสิ เมื่อคิดมาได้อย่างนี้แล้ว เคยย้อนมองตัวเองไหมว่า เราเริ่มไม่พอใจ เราเริ่มโกรธ เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าไม่ถูกอกถูกใจเราหรือเปล่า เพราะเขาไม่ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้แค่นั้นหรือ ถ้าเรามองในมุมที่เราไม่สามารถทำตามสัญญาได้บ้าง เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรไปใช่ไหม เราถึงไม่สามารถทำตามนั้นได้ แล้วตอนที่พูดไปน่ะ คิดบ้างหรือเปล่า หรือว่าสักแต่ว่าพูด เพราะปากเขามีไว้พูดไม่ใช่หรือ แต่ตอนที่พูดไปน่ะ เราตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง ๆ นะ นั่งนอนคิดทบทวนไปมา ก็ถึงบางอ้อได้กับเขาเหมือนกัน ใช่แล้วล่ะ ตอนที่เราพูดว่าจะทำเพื่อเขา เราตั้งใจตามนั้นจริง ๆ นะ แต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เหตุการณ์ที่พาเราไป ทำให้เราต้องผิดคำพูด ก็ช่างเถอะ ถือเสียว่าเพื่อนคนนั้นไม่ได้ผิดคำพูด ไม่ได้ผิดสัญญาแล้วกัน เราคงไปบังคับให้เขาต้องมาทำตามสัญญาไม่ได้หรอก แล้วถ้าเรามัวแต่ไม่พอใจ ไปถือโกรธ ตัวเราเองต่างหากที่ทุกข์ และเราเองก็อาจจะเสียเพื่อนดี ๆ คนหนึ่งไปก็ได้ เพื่อนดี ๆ หรือเพื่อนแท้ยิ่งมีน้อยอยู่ด้วย แต่ก็ควรจะพิจารณาใคร่ครวญโดยดีด้วยว่า แต่ละสถานการณ์ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ เพราะถ้าไปเจอคนประเภทคนพาล ก็คงต้องเลิกคบกันไป เพราะมงคลที่หนึ่งสอนว่า อย่าคบคนพาล
ดังนั้น การเลือกคบเพื่อนก็สำคัญด้วย เพื่อนมีส่วนทำให้เราดำเนินตามครรลองคลองธรรมที่ถูกต้องหรือไม่ เพื่อนแท้ย่อมสามารถเป็นที่ปรึกษาให้เราได้ยามเรามีปัญหา ทั้ง ๆ ที่เพื่อนแท้ไม่เคยนำปัญหามาให้เราเลย คนรู้จักท่านหนึ่งเคยเอ่ยปากบอกเล่าความในใจให้รสธรรมทราบว่า เขาเลือกคบใครสักคนหนึ่งเป็นเพื่อนนั้น เขาคาดหวังว่า เพื่อนที่เขาคบด้วยนั้นจะสามารถช่วยเหลือเขาได้ในยามที่เขาเดือดร้อน ตกอับ หรือต้องการความช่วยเหลือได้ ซึ่งการที่เขาคิดเช่นนั้น ทำให้ได้กลับมาตรองดูว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เขาคิดเช่นนั้น อาจจะมาจากสภาวะแวดล้อมตั้งแต่เด็กที่ไม่มีเพื่อนคนไหนช่วยเหลือเขาได้ หรือว่าเขามีแต่เพื่อนที่คอยเอาเปรียบเขา ดังนั้น ในกาลต่อมาเมื่อเขาเติบโตขึ้น ทำให้เขาต้องเลือกคบเพื่อนที่เขาคิดว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้จริง ๆ เท่านั้น แล้วถ้าในอนาคต หากเพื่อนที่เขากำลังคบอยู่ในขณะนี้ ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้จริง ก็ทำให้เขาไม่พอใจ จนถึงขั้นบันดาลโทสะได้ในที่สุด และสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับก็คือความทุกข์ โดยที่เขาเองนั่นแหล่ะจะเป็นผู้ แบกรับทุกข์นั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
การที่เขาโกรธนั้น ลองมาวิเคราะห์ดูได้ว่า เป็นเพราะเขามีการตั้งความหวัง มีการคาดหวังไว้ในตัวเพื่อนคนนี้ แต่การที่เพื่อนคนนี้คบกับเขา ก็อาจเป็นเพราะ ถูกอัธยาศัยใจคอกัน ในขณะที่เพื่อนของเขานั้นไม่ได้ตั้งความหวัง หรืออาจมีจุดประสงค์ต่างไปจากเขาในเรื่องของการคบเพื่อน เมื่อเขาเริ่มมีปัญหาที่ไม่สามารถจัดการได้ และเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนดังที่คาดหวังไว้ในตอนต้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงทางด้านใดด้านหนึ่งทั้งจากปัจจัยภายในส่วนบุคคลหรือจากสิ่งแวดล้อม รอบตัวที่เกิดขึ้นก็ตาม นั่นย่อมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเข้าใจกันผิด จะหาว่าผิดสัญญา หรือไม่ยอมช่วยเหลือกัน อะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งเดียวที่เขา ต้องตระหนักอยู่เสมอคือ ให้ลดความคาดหวังในตัวผู้อื่นลง หรือไม่ควรจะคาดหวังใด ๆ เลยทั้งสิ้น
นับว่า เขาผู้นี้เป็นคนที่น่าสงสาร ยังหลงติดยึดอยู่กับทุกข์ กับตัวกิเลส คงต้องค่อย ๆ พูดให้เขาเข้าใจ และเลิกคาดหวัง เราควรจะให้ข้อคิดอะไรกับเขาบ้าง เมื่อเจอ เหตุการณ์เช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่เราคิดได้คือ ถือเป็นโชคดีของเรา เพราะเวลาคนตกอับแล้วคิดถึงเรา มาคบเพื่อหวังพึ่งเรานั้น นับว่าเราเป็นที่พึ่งของคนยากได้ เราจะได้ สร้างเมตตาบารมีได้ วันใดเราไม่อาจจะช่วยเขาได้ เราก็จะได้อุเบกขาบารมี นี่มองแบบโยนิโสมนสิการ (โย-นิ-โส-มะ-นะ-สิ-กาน) หากเขาไปว่าเราลับหลัง ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็สามารถฝึกขันติบารมีได้ เวลาได้เจอเพื่อนกินหรือเพื่อนแท้ก็จะทำให้เราได้คิด ได้ฝึก และได้มีคุณค่ามากขึ้น
หรือเราอาจจะเตือนเพื่อนและตัวเราเองได้ว่า เราไม่ควรไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เราไม่ควรจะไปมีการคาดหวังหรือเรียกร้องจากผู้อื่น หรือกล่าวได้ว่าไม่ควรที่จะไปยึดมั่น ถือมั่น ยึดติดกับความเป็นเขา เป็นเรา เพราะล้วนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สมหวัง ผิดหวัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น หรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรมชาติ ในสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะธรรมชาติของคนที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องผูกพันด้วย และเราทำใจยอมรับธรรมชาติหรือ ความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับการยึดมั่นถือมั่นนี้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คนเราไม่ควรจะไปคาดหวังอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแผนการอะไรเลย ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกอันวุ่นวายแห่งนี้ และเรายังต้องศึกษา ทำงาน หรือที่เรียกว่า สัมมาอาชีวะ คือหาเลี้ยงตนและครอบครัว บุพการีในทางที่ชอบแล้ว ก็ต้องมีการวางแผนชีวิตแน่นอน แต่ไม่ใช่ให้ไปคาดหวัง หรือยึดติดให้เกิดทุกข์ขึ้น
เมื่อเราไม่ยึดติด ยึดมั่นในสิ่งใดก็ตาม ก็จะไม่มีการคาดหวังขึ้น เมื่อนั้นส่วนหนึ่งอาจช่วยให้เราโกรธน้อยลง หรือโกรธสั้นลงนั่นเอง เมื่อเราตามดูจิตของเราบ่อย ๆ เช่นนี้่ว่าไม่พอใจ โกรธ หรือ เศร้าหมอง ก็ตาม ในที่สุดเราก็สามารถใช้ความรัก ความเมตตากรุณาของเรา โอบล้อม เปลี่ยนความโกรธมาเป็นความรักได้เอง
ในการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ แน่นอนย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ดังนั้น การพูดจาแบบมีความจริงใจ ความเมตตา ความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญ คำพูดที่ดีย่อมสื่อได้ถึงความจริงใจของเรา เมื่อคำพูดของเรากลั่นมาจากความเมตตาตรงนี้แล้ว แน่นอนคนฟังย่อมสามารถรับสารที่ประกอบไปด้วยความเมตตาจากเราได้ เขาย่อมเห็นว่าเราจริงใจ ไม่เสแสร้ง ก็พร้อมที่จะเข้าใจเรา และให้ความร่วมมือกับเราด้วยดี แต่ก็มีบางคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจเราได้ เราคงต้องให้อภัย และค่อย ๆ เตือนเขา การเตือนก็ต้องดูกาละเทศะด้วย บางคนก็ยอมรับได้ แต่บางคนก็ยอมรับไม่ได้ เพราะหัวโขน ทิฏฐิ อัตตา หรือตัวตนยังค้ำคออยู่ ก็ต้องค่อย ๆ บอกกล่าว เตือนกันไป สักวันหนึ่ง ประสบการณ์ย่อมทำให้เขายอมรับตรงนี้ได้เองในที่สุด
เราไม่ควรที่จะไปแบ่งแยกเป็นพวกเขา พวกเรา เพราะทุกคนก็ล้วนมาจากธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะทานพืช หรือสัตว์ก็ตาม สัตว์นั้นก็ย่อมไปทานพืช หรือทานสัตว์ ที่ทานพืชอีกทีในที่สุด ดังนั้นพวกเราในโลกนี้ ควรที่จะเมตาตากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกเราก็ล้วนมาจากธรรมชาติทุกคน เราไม่ควรที่จะไป รังเกียจเดียดฉันท์ผู้ที่มีความโกรธ หรือไม่พอใจ เพราะถ้าหากเรามองย้อนมาดูตัวเราเอง เราก็ย่อมจะมีความโกรธนั้นด้วยกันทุกคนเพียงแต่จะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ หิริโอตัปปะ หรือความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป ของแต่ละคนที่จะแสดงออกมามากน้อยต่างกัน ฉะนั้น เราควรช่วยกัน อันไหนพอจะเตือนได้ ก็ควรจะเตือนค่อย ๆ ปรับตัวบ่มเพาะนิสัยที่ดีกันต่อไป
เขียนมาตั้งยาวนี้ เพียงหวังว่า คงจะเป็นแนวความคิดให้พวกเรา มีความสุขมากขึ้น มีความทุกข์น้อยลง เป็นขวัญกำลังใจต่อครอบครัว ญาติพี่น้อง รวมถึงอนุชนรุ่นหลัง หากใครอ่านแล้วขัดตา ก็ให้มองตัวเองให้มาก ๆ เข้าไว้ว่า เราอ่านแล้วเกิดความไม่พอใจ เพราะอะไร หาสมุทัย หาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ เมื่อนั้นทุกข์ก็จะดับไปได้ถึงซึ่งนิโรธ การดับทุกข์ได้ในที่สุด ถึงสิ่งสุดท้ายที่ทุกสรรพสัตว์จะต้องไปถึงไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไร กี่แสนโกฏิกัปป์ก็ตาม ก็ต้องถึงเข้าสักวันหนึ่งทุก ๆ คน.
รสธรรม ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๖
Create Date : 26 สิงหาคม 2548 |
| |
|
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2549 2:44:34 น. |
| |
Counter : 461 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
รสา รสา |
|
|
|
|