นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

การเลือกใช้น้ำมันพืช

การเลือกใช้น้ำมันพืช
ปัจจุบันน้ำมันพืช มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันมาก เนื่องจากคุณแม่บ้านส่วนใหญ่ เลือกใช้น้ำมันพืชเป็นหลักในการประกอบอาหาร เนื่องจากหาซื้อได้สะดวกกว่าน้ำมันหมู ที่เคยใช้รับประทานมาแต่เก่าก่อน และยังมีคุณค่ามากกว่า ท่านผู้อ่านอาจจะเคยทราบว่าน้ำมันพืชมีประโยชน์กว่าน้ำมันหมู แต่ท่านจะทราบหรือไม่ว่า น้ำมันพืชนั้นมีอยู่หลายชนิด แต่ละชนิด มีข้อดี ข้อเสียต่างกัน หากเราเลือกใช้อย่างเหมาะสม ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง คือได้ทั้งอาหารที่อร่อย ปลอดภัย และป้องกันโรคได้ด้วย
น้ำมันพืชที่มีขายในท้องตลาด มี 2 ชนิด คือ
1.ชนิดที่เป็นไข เมื่อนำไปแช่ตู้เย็น หรือ เมื่ออากาศเย็น
2. ชนิดที่ไม่เป็นไข ในที่เย็น
ทั้ง 2 ชนิดนี้มีข้อดี ข้อเสียต่างกัน และควรจะเลือกใช้ต่างกันดังนี้

น้ำมันพืชชนิดที่เป็นไข จะประกอบไปด้วยไขมันชนิดอิ่มตัว อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันชนิดอิ่มตัว เป็นไขมันที่อยู่ในไขมันสัตว์, ไขมันจากมะพร้าว และน้ำมันปาลม์ มีคุณสมบัติ ที่เป็นไขได้ง่าย ย่อยยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กทารก จะย่อยได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้ยังทำให้ โคเลสเตอรอลในเลือดสูง แต่ก็มีข้อดี คือ น้ำมันชนิดนี้จะทนต่อความร้อน ความชื้นและออกซิเจน ไม่เหม็นหืน และเวลาที่ใช้ทอดอาหาร จะทำให้อาหารกรอบอร่อย น่ารับประทาน สามารถทอดอาหารได้นานๆ เพราะน้ำมันจะไม่ค่อยเสีย

น้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไข ประกอบด้วย ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง ไขมันชนิดนี้ ย่อยง่าย ร่างกายนำไปใช้สร้างเซลต่างๆ จึงเหมาะสมกับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และยังช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด ผู้ที่มีปัญหาโคเลสเตอรอลในเลือดสูง จึงควรเลือกใช้น้ำมันชนิดนี้ แต่ข้อเสียของน้ำมันชนิดนี้คือ เมื่อถูกทำลายจะกลายเป็นสารโพลาร์ ซึ่งทำให้น้ำมันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และมีกลิ่นเหม็นหืน ซึ่งสารโพลาร์เหล่านี้ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจจากเส้นเลือดหัวใจตีบตัน อาจจะทำให้เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ทำให้ตับเสื่อมได้ อย่างไรก็ตามผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นเพียงผลที่เกิดในสัตว์ทดลอง ส่วนในคนยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่า สารโพลาร์ จากไขมันไม่อิ่มตัวที่ถูกความร้อนสูง จะทำให้เกิดโรคเหมือนในสัตว์ทดลองเลย

ดังนั้น การเลือกใช้น้ำมันจึงขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร ซึ่งถ้าเป็นอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงอยู่นานๆ เช่นการทอดปลาทั้งตัว, ไก่, หมู หรือเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เวลานาน ควรเลือกน้ำมันชนิดเป็นไข เพื่อให้ได้อาหารที่รสชาติดี กรอบอร่อย ส่วนการผัด หรือทอดเนื้อชนิดบางๆ เช่นหมูแฮม ควรใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข เพราะร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี นอกจากนี้ น้ำมันที่ใช้ทอดอาหารไม่ควรใช้ซ้ำบ่อยๆ เพราะน้ำมันที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมักจะมีสารโพลาร์อยู่มาก อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
สำหรับทารก และเด็กในวัยที่กำลังเจริญเติบโต ควรประกอบอาหารโดยใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข ซึ่งช่วยทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี
การเก็บน้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไขให้ใช้ได้นานๆ โดยไม่เหม็นหืนนั้น ควรเก็บในที่มืด และเย็น หากตั้งไว้ในที่ๆ ถูกแสงแดดน้ำมันจะเสียเร็ว

สรุป การเลือกใช้น้ำมันขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร และผู้รับประทาน ถ้าชนิดของอาหารเป็นชนิดที่ต้องใช้เวลาทอดนาน ควรเลือกน้ำมันที่เป็นไข แต่ถ้าเป็นอาหารที่ใช้เวลาทอดไม่นาน ควรใช้น้ำมันชนิดไม่เป็นไข สำหรับผู้รับประทาน ถ้าเป็นเด็ก ควรใช้น้ำมันที่ไม่เป็นไขเพื่อช่วยการเจริญเติบโต ส่วนผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง เลือกใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ ส่วนผู้ใหญ่ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ควรใช้น้ำมันชนิดที่ไม่เป็นไข หากต้องการรับประทานอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันที่เป็นไข ต้องรับประทานในปริมาณที่น้อยๆ จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเลือกใช้น้ำมันได้เหมาะกับชนิดของอาหาร ตัวท่าน และบุตรหลานของท่าน ซึ่งจะทำให้ท่านได้รับประทานอาหารที่อร่อย มีคุณค่า และปลอดภัยด้วยค่ะ
//ram-hosp.co.th




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 18 พฤษภาคม 2554 9:22:10 น.   
Counter : 1299 Pageviews.  


คุณพ่อดูแลลูก... ไม่ยากเลย



เชื่อว่า คงมีคุณพ่อหลายคนต้องรู้สึกหนักใจอย่างมาก เพียงแค่จินตนาการว่า ถ้าคุณแม่ทิ้งคุณลูกไว้กับคุณพ่อตามลำพัง คุณพ่อคงเกิดความวิตกกังวลขึ้นอย่างมาก ทั้งกลัวลูกจะบาดเจ็บ กลัวลูกดื้อ กลัวลูกร้อง หรืออีกสาระพัดกลัว ยังไม่รวมกรณีครอบครัวแตกแยก ที่คุณพ่อต้องเป็นผู้รับภาระ ในการเลี้ยงดูลูกแต่เพียงผู้เดียวอีก เพราะคุณพ่อคงยิ่งกังวลไปไกล ถึงอนาคตของลูกเลยทีเดียว จึงอยากเล่าถึง วิธีการในการดูแลลูกอย่างง่ายๆ เพื่อให้คุณพ่อเข้าใจ และมีความมั่นใจที่จะดูแลลูกได้อย่างดีมากขึ้นครับ

เสียสละ คุณพ่อคงต้องยอมเสียสละ หรือปรับลดกิจกรรมที่เคยกระทำบางอย่างลงมาบ้าง โดยเฉพาะกิจกรรมที่เคยคิดว่า เป็นเรื่องของผู้ชายที่ต้องกระทำ เช่น งานสังคม หรือการสังสรรค์ต่างๆ การหย่อนใจ เล่นกีฬา แต่หากจำเป็นจริงๆ ก็อาจต้องดึงญาติๆ เข้ามาช่วยในการดูแลบ้าง แต่ไม่ควรจะยกภาระให้ญาติ ดูแลแทนแม่ของลูกไปทั้งหมด หรือถ้าลูกโตพอ ก็อาจพาลูกเข้าร่วมกิจกรรมของตนก็ได้ แต่คงต้องคิดถึงอายุและเพศของลูกด้วย อยากให้คุณพ่อคิดว่า การที่เราจะบอกกับเพื่อนฝูงว่าเราต้องดูแลลูก ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร

ร่วมกิจกรรม การสร้างความใกล้ชิดกับลูกเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำ การร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แม้ในกิจกรรมวันแม่ คุณพ่อก็สามารถไปร่วมงานแทนแล้วบอกลูกว่า ทำไมพ่อจะไปไม่ได้ ในเมื่อพ่อเป็นทั้งพ่อและแม่ของลูก การนั่งฟังลุกเล่าเรื่องที่โรงเรียน หรือสิ่งที่ลูกทำในแต่ละวัน ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ลูกรู้สึกว่ามีคนสนใจเขา การเล่านิทานให้ลูกฟัง ยิ่งสร้างความใกล้ชิดกับลูกมากขึ้นไปอีก อย่าคิดว่า ผู้ชายทำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ จนต้องหาญาติผู้หญิงมาช่วยดูแล คุณพ่อทำได้ครับ เพียงแต่ปรับความคิดบ้างเท่านั้น

แบบอย่าง การทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับลูก ก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อพึงกระทำได้ ความเป็นพ่อที่เข้มแข็งแต่ไม่ก้าวร้าว หนักแน่น ไม่โลเล อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกทั้งหญิง และชายเห็นเป็นแบบอย่างได้ ส่วนในลักษณะของแม่ซึ่งเป็นฝ่ายหญิงนั้น คุณพ่อคงไม่ถึงกับต้องแสดงบทบาทเป็นหญิง ให้ลูกเห็นหรอกครับ ลูกๆทั้งหญิงและชาย สามารถเห็นตัวอย่างได้จากคนรอบข้างอยู่แล้ว ทั้งญาติพี่น้องเพื่อนฝูงหรือครูอาจารย์ คุณพ่อเพียงแต่เป็นผู้บอกถึง ความเหมาะสมของพฤติกรรมท่าทีก็เพียงพอแล้ว

ระวังเรื่องเพศ ความแตกต่างทางเพศของพ่อกับลูกสาว ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความหนักใจ ให้กับคุณพ่อในการวางตัวได้ แต่ผมไม่อยากให้ความแตกต่างนี้ มาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับลูกสาว ให้ห่างเหินกันยิ่งขึ้น เพียงแต่เมื่อลูกสาวเติบโตขึ้น คุณพ่อคงไม่สามารถจะแสดงความรักอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการสัมผัสเนื้อตัวกัน แต่คุณพ่อก็สามารถที่จะอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ และถือเป็นโอกาสที่คุณพ่อจะสอนให้ลูกเห็นถึงว่า ความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับเพศตรงข้าม ควรจะเป็นอย่างไร

เข้าใจเรื่องของผู้หญิง การอธิบายเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกาย หรือการมีประจำเดือนของลูกสาววัยรุ่น เป็นสิ่งที่คุณพ่อสามารถทำได้ เพียงแต่ควรเลือกคำพูด ที่เป็นไปในทางวิชาการ และน่าเชื่อถือ ท่าทีมั่นใจเวลาอธิบาย ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน แต่ถ้าคุณพ่อรู้สึกขัดเขินอยู่ ก็สามารถขอความช่วยเหลือ จากญาติพี่น้องที่เป็นผู้หญิง หรือครูอาจารย์หญิงได้ เพียงแต่คุณพ่อคงต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่คิดว่า เพศหญิงด้วยกัน น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีกว่า

หวังว่าสิ่งที่เล่าไปทั้งหมด คงพอจะมีประโยชน์ แก่คุณพ่อ ทั้งที่ต้องดูแลลูกชั่วคราว ตอนคุณแม่ไม่อยู่ ดูแลตลอดไป หรือแม้กระทั่งช่วยกัน กับคุณแม่ดูแลลูก มีความมั่นใจ ในการดูแลปรับใจ คุณพ่อต้องปรับใจรับรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่ผู้ชายจะเป็นผู้ดูแลลูก และไม่ว่าจะเป็นลูกชาย หรือลูกสาวก็ไม่แตกต่างกัน อย่าคิดว่าผู้หญิงน่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้สไตล์ของผู้หญิงในการดูแล คุณพ่อสามารถใช้สไตล์ของตนเองดูแล ได้เพียงแต่เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ ผู้ชายก็สามารถแสดงออกได้เช่นเดียวกับผู้หญิง ถ้าคุณพ่อเข้าใจเรื่องนี้ ก็มีจะมีความมั่นใจในการดูแลลูกเพิ่มขึ้น และลูกเองก็จะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ที่พ่อหรือแม่ดูแล
//ram-hosp.co.th




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 16 พฤษภาคม 2554 9:14:15 น.   
Counter : 1397 Pageviews.  


ภาพบรรยากาศงานสัมมนา..รวมเรื่องปวดๆของคนปวดข้อ(กระดูก)

ภาพบรรยาการงานสัมมนา...รวมเรื่องปวดๆของคนปวดข้อ(กระดูก)
เมื่อวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2554
ณ.ห้องประชุมอาคาร C ชั้น 10 รพ.รามคำแหง
โดยมี นพ.สงัด ลิมปิวัฒกีและ นพ.สุรศักดิ์ อินทชื่น
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อเป็นวิทยากรให้ความรู้
มีผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาเป็นจำนวนมากทำให้ห้องประชุมที่มีขนาดใหญ่แคบลงทันตา
บรรยากาศภายในงานอบอุ่นสนุกสนานและเป็นกันเอง





 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2554   
Last Update : 6 พฤษภาคม 2554 16:47:49 น.   
Counter : 1396 Pageviews.  


ทันตกรรมจัดฟัน : เพื่อรอยยิ้มที่มั่นใจ - งดงาม

ดังเป็นที่ทราบกันดีว่าคนที่มีฟันยื่น, ซ้อนหรือเก มักจะทำให้คนๆ นั้นมีปมด้อย เสียบุคลิก และพลอยทำให้จิตใจเสียไปด้วย นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วฟันที่ขึ้นมาอย่างไม่เป็นระเบียบยังทำความสะอาดได้ยาก ฟันจึงผุและเกิดโรคเหงือได้ง่าย ดังนั้นคนที่มีการสบฟันไม่ถูกต้อง จะทำให้การบดเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดเท่าที่ควร
ทันตกรรมจัดฟัน (Orthodontics) เป็นสาขาหนึ่ง โดยเฉพาะของทันตแพทยศาสตร์ ที่ให้การบริการแก่ผู้ป่วยที่ต้องการได้รับการบำบัดรักษาฟันยื่น ฟันซ้อนหรือเก ตลอดจนการสบของฟันที่ผิดปกติให้เข้าสู่สภาพที่ถูกต้อง รวมทั้งการแก้ไขโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติให้เข้าสู่สภาพที่ปกติอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหาร การมีสุขภาพของช่องปากที่ดี และความสวยงามของผู้ป่วย
ปัญหาที่พบเสมอก็คือ เด็กควรจะได้รับการบำบัดทางทันตกรรมจัดฟันตั้งแต่อายุเท่าไร ซึ่งเรื่องนี้กำหนดลงไปไม่ได้แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของการแก้ไขในแต่ละราย แต่ถ้านำเด็กมาให้ตรวจดูทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็สามารถจะบอกได้ว่าสมควรจะรับการบำบัดรักษาทางทันตกรรมจัดฟันได้หรือยัง ในบางรายอาจเริ่มให้การรักษาตั้งแต่ฟันเพิ่งขึ้นเพียง 2 -3 ซี่ เท่านั้น ส่วนอีกหลายรายจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 11 - 13 ปี ซึ่งเป็นระยะที่จะให้ผลดีที่สุดในการรักษา เพราะเป็นช่วงที่เด็กมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ และไม่มีฟันน้ำนมเหลืออยู่ในปาก อย่างไรก็ดีถ้าจำเป็นต้องจัดฟัน ในขณะที่ยังมีฟันน้ำนมเหลืออยู่ก็สามารถทำได้ แต่เมื่อฟันแท้ขึ้นมาครบแล้วก็จะต้องจัดฟันต่อไปอีก สำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ ถ้ามีสุขภาพของช่องปากที่ดีปราศจากโรคเหงือก และมีจำนวนฟันเหลือมากพอที่จะใช้ยึดเครื่องมือ ก็สามารถได้รับการบำบัดรักษาทางทันตกรรมจัดฟันได้
ก่อนลงมือรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจช่องปากอย่างละเอียด ถ้ามีฟันผุต้องไปอุดฟันให้เสร็จก่อน รวมทั้งขูดหินปูนให้เรียบร้อย ขบวนการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันจะเริ่มด้วยการพิมพ์ปากเพื่อไปทำแบบฟันของผู้ป่วยก่อนจัดฟัน และการเอกซเรย์ฟันทั้งปาก รวมทั้งอวัยวะใกล้เคียง เพื่อประโยชน์ในการวางแผนและกำหนดการรักษาต่อไป
ในผู้ป่วยบางราย จำเป็นต้องยอมให้ถอนฟันแท้บางซี่ออกไป ทั้งๆ ที่เราไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะการถอนฟันในกรณีเหล่านี้ จะช่วยให้การจัดฟันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสวยงามแก่ใบหน้ายิ่งขึ้น ในบางกรณีทำให้การใช้งานดีขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ฟันที่จัดเสร็จแล้ว อยู่ในสภาพใหม่ได้มั่นคงไม่กลับไปสู่สภาพเดิมอีก ในกรณีที่ต้องถอนฟันนี้ ทันตแพทย์จัดฟันจะอธิบายให้ท่านทราบล่วงหน้า
การจัดฟันไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จากฝีมือของทันตแพทย์จัดฟันเท่านั้น เพราะเราจะพบผู้ป่วยเพียงเดือนละครั้ง ความสำเร็จจึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทันตแพทย์จัดฟัน ผู้ป่วย และที่สำคัญคือผู้ปกครอง (ในกรณีผู้ป่วยเด็ก) ความร่วมมือดังกล่าวจะมีอยู่ 3 แบบ คือ

1.การดูแลรักษาความสะอาดฟันถ้าไม่แปรงฟันให้สะอาดทำให้ฟันผุ มีโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเหงือกจะบวมแดง มีเลือดออกง่ายบริเวณนั้น บางรายจะเกิดรอยขาวรอบๆ เครื่องมือจัดฟัน อันเป็นผลของเคลือบฟันกร่อนไป การรักษาความสะอาดนี้ต้องเน้นเป็นพิเศษเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีอัตราเสี่ยงต่อฟันผุสูงมาก อีกทั้งลักษณะของเครื่องมือจัดฟัน จะเป็นตัวเก็บกักเศษอาหารได้เป็นอย่างมาก การแปรงทำความสะอาดก็ยากกว่าปกติ ผู้ป่วยต้องรีบแปรงฟันทันทีหลังรับประทานทุกครั้ง อีกประการหนึ่งผู้ป่วยควรไปรับการตรวจสุขภาพฟัน และขูดหินปูนจากทันตแพทย์ประจำตัวทุก6เดือนเป็นอย่างน้อย
2.การนัด การเคลื่อนฟันที่มีกระดูกรองรับรากฟันที่แข็งแรงนั้นค่อนข้างจะเป็นไปได้อย่างช้าๆ ดังนั้นการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันจึงกินเวลานานราว 2 ปี โดยเฉลี่ยทันตแพทย์จัดฟันจะค่อยๆเลื่อนฟันทีละเล็กทีละน้อยในแต่ละครั้งที่ผู้ป่วยมาหาตามนัด แต่ทุกครั้งปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข ช่วงเวลานัดจะห่างกันประมาณ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นสำหรับการเคลื่อนของฟันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าผู้ป่วยผิดนัดในแต่ละครั้ง ก็ย่อมหมายความว่า ระยะเวลาของการรักษาจะยาวนานเพิ่มจากที่ควรจะเป็นไปอีก ซึ่งกรณีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น และทันตแพทย์จัดฟันเองก็ไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น ถ้าท่านจำเป็นไม่อาจมาตามนัดได้จริงๆ ก็ควรต้องโทรมานัดวันใหม่ โดยโทรมาล่วงหน้าก่อนวันที่นัดเดิม 24 ชั่วโมง
เป็นของแน่ว่า ทันตแพทย์จัดฟันไม่อาจให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยได้ถ้าเขาไม่มาให้รักษา การขาดนัดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือการมาล่าช้าอย่างไม่มีเหตุผลเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น
3. เครื่องมือชำรุด ถ้าท่านรู้สึกว่าเครื่องมือที่ใส่อยู่ในปากชำรุด หรือเกิดผิดปกติ เช่น แบนด์ฟันหลังหลุด แบร็กเก็ตหลุด ลวดหัก เครื่องมือหาย (ในกรณีเป็นเครื่องมือถอดได้หรือรีเทนเน่อร์) หรือมีบาดแผลในปากเพราะจากเครื่องมือมีความแหลมคม เนื่องจากเครื่องมือจัดฟันนี้ค่อนข้างบอบบาง ผู้ป่วยจึงต้องเลี่ยงอาหารหรือของขบเคี้ยวที่แข็ง เช่น ลูกกวาด กระดูก ข้าวโพด ถั่ว น้ำแข็ง ผักหรือผลไม้ที่แข็งและสิ่งที่เหนียว เช่น หมากฝรั่ง เพราะสิ่งเหล่านี้อาจไปดึงให้เครื่องมือจัดฟันหลุดออกมาได้

หลังจากใส่เครื่องมือจัดฟันไปแล้วอาจจะรู้สึกเจ็บอยู่ราว 6 - 8 ชั่วโมงหลังการใส่ลวดใหม่ทุกครั้ง อาการเจ็บที่ตัวฟันจะคงอยู่ราว 1-2 วัน อย่างไรก็ตามความเจ็บนี้จะมาก หรือน้อยแล้วแต่บุคคล
การเคลื่อนของฟัน เกิดจากแรงเบาๆ ของเครื่องมือที่กระทำอยู่โดยสม่ำเสมอ แรงนี้จะกระตุ้นให้มีการละลายตัวของกระดูกรอบๆ รากฟันด้านที่แรงกระทำ และจะมีการสร้างตัวของกระดูกด้านตรงข้าม ด้วยวิธีการค่อยเป็นค่อยไปนี้เอง ที่ทำให้ฟันเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม ดังนั้น ขณะที่กำลังจัดฟัน ฟันทุกซี่ที่ติดเครื่องมือจะโยกได้เล็กน้อย ภายหลังที่การรักษาเสร็จสิ้นเราใส่รีเทนเน่อร์ให้ฟันอยู่กับที่นิ่ง ๆ กระดูกก็จะสร้างขึ้นมารอบรากฟันทำให้ฟันแน่นเหมือนเดิม


การวางแผนการรักษา
1. ระยะป้องกัน เป็นการจัดฟันในช่วงที่เด็กยังมีฟันน้ำนมบางซี่ที่ถูกถอนออกไปก่อนกำหนด จึงจำเป็นต้องใส่เครื่องมือบางอย่างเพื่อรักษาช่องว่างให้ฟันแท้ขึ้น หรือในกรณีที่ช่องว่างดังกล่าว ถูกฟันข้างเคียงเลื่อนเข้ามา ก็มีเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งที่ใส่เพื่อเปิดให้ช่องว่างดังกล่าวกว้างขึ้น หรือในกรณีที่เด็กมีนิสัยเสียบางอย่างที่ก่ออันตรายต่อฟัน เช่น ดูดนิ้วมือ กัดเล็บ กัดริมฝีปาก การกลืนที่ผิดปกติใช้ลิ้นดันฟัน เป็นต้น นิสัยดังกล่าวนี้ต้องได้รับการแก้ไขเสียแต่แรกเพื่อจะได้ไม่เกิดผลเสียที่ถาวร โดยทันตแพทย์จัดฟันจะใส่เครื่องมือช่วยแก้นิสัยให้แก่เด็กในระยะนี้
2.ระยะแก้ไข เป็นการจัดฟันในช่วงที่เด็กมีฟันแท้ขึ้นบางซี่ การแก้ไขในระยะนี้จะช่วยทำให้การจัดฟันง่ายขึ้น และยังช่วยป้องกันไม่ให้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างรุนแรง
3. ระยะที่ฟันแท้ขึ้นหมด เป็นการจัดฟันที่เริ่มเมื่ออายุประมาณ 11 - 13 ปี หรือมากกว่านั้น

การจัดฟันที่ได้ผลดีเลิศนั้นปกติจะขึ้นกับความร่วมมือของผู้ป่วยและการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ป่วย อย่างไรก็ตามผลการรักษาขั้นสุดท้ายไม่อาจจะทำนายได้อย่างแน่นอน เนื่องจากมีสาเหตุมากมายที่มาเกี่ยวข้องกับการจัดฟัน ทำให้ผลที่ได้รับเปลี่ยนแปลงไปจากที่คิดไว้ ด้วยเหตุนี้ทันตแพทย์จัดฟันจึงไม่อาจให้คำมั่นสัญญาใดๆ ถึงผลการรักษาแก่ผู้ป่วยได้
การที่เราทำการรักษาในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ปัญหาของการเติบโตของเด็ก ปัญหาทางพันธุกรรม และความร่วมมือของผู้ป่วย บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ผลการรักษาไม่ออกมาดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ทันตแพทย์จัดฟันก็จะรักษาผู้ป่วย จนกระทั่งการใช้งานเป็นไปด้วยดี รวมถึงด้านความสวยงามก็ต้องดีขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยปกติแล้ว การทำนายผลสำเร็จของการรักษานั้น ผู้ป่วยจะได้รับการอธิบายจากทันตแพทย์จัดฟัน โดยหลักการทั่วไปแล้ว ความสำเร็จหรือสิ่งที่หวังจะได้จากการจัดฟันก็คือ ต้องให้งานจัดฟันที่ทำเสร็จแล้วบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ

-ความสวยงาม ผู้ป่วยต้องดูดีกว่าก่อนทำ
-การใช้งานได้ดี การบดเคี้ยวอาหารต้องเป็นปกติ
-การคงสภาพของฟันที่จัดเสร็จแล้ว ฟันจะต้องอยู่ในตำแหน่งใหม่อย่างดี ไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม

ถึงแม้ว่าการจัดฟันจะทำให้ผู้ป่วยเจ็บบ้างเล็กน้อยในระยะแรก อาจจะรำคาญเครื่องมือ เคี้ยวอาหารลำบากกว่าเดิม และต้องระวังรักษาความสะอาดฟันมากกว่าปกติ แต่ผลที่ได้รับก็นับว่าคุ้มค่าเพราะจะทำให้ท่านฟันสวยมีรอยยิ้มที่งดงาม ทำให้บุคลิกดีขึ้นและสร้างความมั่นใจในตนเองมากขึ้นอีกด้วย

//ram-hosp.co.th






 

Create Date : 29 เมษายน 2554   
Last Update : 29 เมษายน 2554 9:48:35 น.   
Counter : 1464 Pageviews.  


อาการตาแห้ง( Dry eye)


เป็นอาการที่พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยที่ผู้ป่วยมักจะบ่นว่ามีอาการแสบตา ตาแดง เคืองตา รู้สึกแห้งฝืด บางครั้งมีขี้ตาเป็นเส้นเมือก ลืมตายาก อาการจะเป็นมากเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้น้ำตาระเหยง่าย เช่น แสงจัด ความร้อน อยู่ในที่มีความชื้นต่ำ (ห้องปรับอากาศ) ควัน ลมแรง หรือแม้แต่การใช้สายตาเป็นเวลานาน (เพราะต้องลืมตานาน ทำให้อัตราการกะพริบตาลดลง) ในบางรายอาจมีเยื่อเมือกติดแน่นที่กระจกตา ทำให้เคืองตามากโดยเฉพาะเวลากะพริบตา

อาการตาแห้ง เกิดจากการมีน้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตา น้อยกว่าปกติ ทั้งปริมาณและคุณภาพ หรือเกิดจากการกระจายของน้ำตาไม่สม่ำเสมอทั่วถึงทั้งดวงตา

สาเหตุมีด้วยกันหลายประการ ได้แก่
1. การผลิตน้ำตาของต่อมสร้างน้ำตาลดลง บางรายจะพบร่วมกับการผลิตน้ำลายลดลง ทำให้ปากแห้ง หรือร่วมกับโรคกลุ่ม Autoimmune
2. ความบกพร่อง หรือโรคที่เกิดกับเยื่อบุตา เช่น กลุ่มอาการแพ้ยา (Stevens-Johnson) ริดสีดวงตา การขาดวิตะมินเอ
3. การทำงานผิดปกติของต่อมที่เปลือกตา
4. ความบกพร่องในการทำงานของเปลือกตา เช่น การอักเสบของเส้นประสาทเลี้ยงกล้ามเนื้อรอบตา หรือขอบตา ไม่เรียบสม่ำเสมอ ทำให้ปิดตาไม่สนิทมีผลให้การเกลี่ยของน้ำตาไม่ทั่วถึง และเป็นจุดแห้งเฉพาะบริเวณ
5. เกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยาคุมกำเนิด
ในการดูแลรักษา ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น อย่าอยู่ในที่ลมแรง ควัน การสวมแว่นกันแดด หากทำงานในห้องปรับอากาศ ควรออกมาพักข้างนอกบ้าง บางครั้งอาจต้องได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุ และใช้น้ำตาเทียม (artificial tears) ทดแทน เพื่อช่วยหล่อลื่น และให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา น้ำตาเทียมประกอบไปด้วยน้ำและสารที่ให้ความชุ่มชื้น ช่วยลดการระเหยของน้ำตา สารเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อดวงตา สามารถใช้ได้ตามต้องการ ในรายที่ไวหรือแพ้สารคงสภาพ (preservative) ซึ่งมีอยู่ในยาหยอดตาทุกชนิด ก็สามารถเลือกใช้น้ำตาเทียม ที่ปราศจากสารคงสภาพ (non preservative) ซึ่งบรรจุอยู่ในหลอด ที่ใช้ได้วันต่อวัน

//ram-hosp.co.th






 

Create Date : 28 เมษายน 2554   
Last Update : 28 เมษายน 2554 10:05:05 น.   
Counter : 1434 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  152  153  154  155  156  157  158  159  160  161  162  163  164  165  166  167  168  169  170  171  172  173  174  175  176  177  178  179  180  181  182  183  184  185  186  187  188  189  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com