คุณฟิลิปดาชวนคุยอีกครั้ง
สวัสดีค่ะ นามปากกา 'งามชบา' ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ เพื่อใช้ในงานเขียนแนวรัก โรแมนติก ที่ผสมผสานเรื่องเหนือธรรมชาติ ปาฏิหาริย์ แทรกแฟนตาซีไม่หวือหวาแบบไทยๆ 

มีงานเขียนเพียงสองเรื่องค่ะ เรื่องแรก คือ 'กลิ่นบุพเพ' รัก โรแมนติก ระลึกชาติ ฆาตกรรม แต่เขียนยังไม่จบ เพราะเขียนเป็นรายวัน แค่วันละหนึ่งหน้า จนถึงวันนี้ ก็ล่วงเลยครึ่งปีไปแล้ว ลงไว้ในเว็บเด็กดี 

ตอนแรกลงทุกวันค่ะ ตอนหลังหยุดวันเสาร์อาทิตย์ และนักขัตฤกษ์ คนอ่านก็อ่านทุกวันเหมือนอ่านหนังสือพิมพ์ กลายเป็นความเคยชิน ไม่ต้องรอ ไม่ต้องถาม ว่าจะลงวันไหน เมื่อไหร่ เพราะลงทุกวันอยู่แล้ว

เรื่องที่สอง คือ 'สาปรัก ณ โฮยา' รัก โรแมนติก ที่เชื่อมโยงคำทำนายโบราณจากอดีตมาบรรจบกับปัจจุบัน ตั้งใจนำมาลงแรลลี่ จึงกลายเป็นว่า เป็นเรื่องที่สอง แต่เขียนจบก่อนเรื่องแรก

1. อยากรู้ว่าชอบอ่านหนังสืออะไรคะ และมีหนังสือเล่มไหนเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียนเองบ้าง
   อ่านได้ทุกประเภทค่ะ จึงไม่มีเล่มไหนเป็นแรงบันดาลใจเป็นพิเศษ

2. ครอบครัวของคุณมีอิทธิพลต่อการเขียนของคุณไหม อย่างไร
ไม่มีเลยค่ะ

3. อะไรที่คุณเขียนเป็นครั้งแรก เคยให้เพื่อนๆ หรือครอบครัวอ่านไหม พวกเขาคิดว่าอย่างไร
นิยายรายวันค่ะ เขียนด้วยลายมือลงสมุด เขียนตั้งไว้เฉยๆ แต่บังเอิญว่าเพื่อนมาเปิดอ่านเข้า แล้วสนใจ ทำนองว่า 'อยากติดตามตอนต่อไป' จึงมารบเร้าให้เขียนต่อ แต่ก็ไม่ค่อยได้ดั่งใจพวกเขาหรอกค่ะ เพราะเขียนด้วยลายมือ 

ต้องบอกก่อนว่า เขียนลายมือนี่ คัดนะคะ ไม่ได้เขียนหวัด เรียกว่าเขียนหัวอาลักษณ์กันเลย ตัวบรรจบและเต็มบรรทัดด้วย เปลืองสมุดมาก แต่ผลพลอยได้ก็คือ ลายมือสวยขึ้น

4. ทางบ้านของคุณได้อ่านหนังสือที่คุณเขียนบ้างไหม และเคยมีส่วนร่วมในการออกความเห็นเกี่ยวกับโครงเรื่องไหม
ไม่เคยเลยค่ะ

5. คุณมีวิธีเขียนนวนิยายเรื่อง สาปรัก ณ โฮยา อย่างไร ตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็น การคิดโครงเรื่อง ตัวละคร เหตุการณ์ ฯลฯ คุยให้ฟังด้วยค่ะ
เป็นความบังเอิญว่า คืนหนึ่ง อ่านเรื่องราวสัพเพเหระในอินเทอร์เน็ต แล้วไปเจอกับหัวข้อ 'ดอกผกาแก้ว' 

ก็มีเจ้าของกระทู้กับคนอ่านคุยกัน จนได้ไปเจอกับกระทู้ท้ายๆ ทำนองว่า ดอกผกาแก้วมีชื่อพื้นเมืองว่า 'โฮยา' รู้สึกชอบชื่อนี้ อยากเขียนเรื่องราวที่มีชื่อนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง 

แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นทำอะไร เพราะยังเขียนเรื่องแรกอยู่ ค่อยมาเริ่มต้นเขียน ตอนลงสมัครแข่งเขียนในแรลลี่แล้วค่ะ

ถ้าถามถึงวิธีเขียนเรื่องนี้ ก็บอกตามตรงว่า ไม่มีวิธีเขียนเป็นระเบียบแบบแผนเลยค่ะ นึกไว้แค่ว่า ให้เป็นเรื่องมีชาติก่อนเกี่ยวกับทะเล แล้วก็นึกว่าจะให้พระเอกหรือนางเอก เป็นคนเจอเหตุการณ์พิสดาร เมื่อเลือกว่าเป็นพระเอก ก็เขียนเลย

บทแรกจะให้สมองพาไป เพราะยังไม่มีตัวละครสักตัว ตอนเขียนบรรยายช่วงแรก ก็ยังนึกชื่อพระเอกไม่ออกเลยค่ะ แต่พอจบบทบรรยาย ก็อยากให้พระเอกมีชื่ออะไรที่มันคมๆ แข็งๆ นึกถึงชุมชนใหญ่ที่รวมๆ หลายอย่างเป็นกลุ่มๆ แน่นๆ  นึกถึงมีด ดาบ กริช หอก จำพวกอาวุธทั้งหลาย

แล้วก็ลองนำคำสองจำพวกนี้ มาผสมๆ ปนๆ กัน ดูว่าชื่อไหนสวย ถูกใจตัวเอง ก็เลือกชื่อนั้น สุดท้ายก็ได้มาเป็น 'ชุมกริช' ส่วนชื่อนางเอก ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะตั้งใจให้ชื่อ 'ผกาแก้ว' กับ 'โฮยา' มาตั้งแต่เจอกระทู้ดอกผกาแก้วแล้วค่ะ

พอบทแรกจบไป บทต่อๆ มาก็ไม่ต้องใช้สมองมากนัก เดินตามตัวละครไปเรื่อยๆ แค่ระวังว่าอย่าให้พวกเขาพาลงทะเลเป็นใช้ได้ และทั้งที่เลือกว่าให้พระเอกเป็นคนเจอเหตุการณ์พิสดาร แต่พอดำเนินเรื่อง กลับเดินตามนางเอกเสียมากกว่า เพราะเธอเป็นเจ้าของเหตุการณ์ชาติก่อน มีเรื่องให้เดินตามได้เยอะกว่า

6. ตัวละครในเรื่อง ได้รับอิทธิพลมาจากใครในชีวิตจริงหรือเปล่า คิดว่าจุดเด่นของตัวละครของคุณคือตรงไหน
ชอบดูเวลาคนควบม้าสวยๆ ค่ะ จึงดึงความชอบตรงนี้ ไปใส่ให้นักรบกริช ในเรื่องเขาเป็นนักรบโบราณรูปหล่อ บุคลิกห้าวหาญ ตัวสูงใหญ่ ผิวคล้ำเข้ม จัดเจนการต่อสู้และทำสงคราม ด้วยรูปลักษณ์อัศวินเช่นนี้ ต้องให้ควบม้าสวยๆ ถึงจะถูกใจค่ะ

7. คุณชอบตอนไหนที่สุดในเรื่อง
นักรบกริชขี่ม้าหนีการไล่ล่า จากหมู่บ้านมายตีข้ามลำธารมาสู่ดินแดนโฮยาค่ะ ก็อย่างที่บอกว่า ชอบคนควบม้าสวยๆ จึงต้องมีฉากนี้สนองความชอบของตัวเอง แล้วในเรื่องนี้ ก็มีนักรบกริชนี่ล่ะ ที่ขี่ม้าได้สวย และควบได้เท่กว่าใคร แม้จะควบหนีก็เถอะ

8. อะไรคือแรงบันดาลใจทำให้คุณอยากเขียนเรื่องนี้ และมีประเด็นอะไรที่คุณอยากนำเสนอกับคนอ่าน
ถ้าให้ความหมายของการอ่านเจอกระทู้ดอกผกาแก้ว แล้วทำให้อยากเขียนเรื่องที่มีคำว่าผกาแก้วกับโฮยาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ว่าหมายถึงแรงบันดาลใจ ก็คิดว่าน่าจะใช่สาเหตุนี้ค่ะ

ประเด็นที่นำเสนอ ก็เป็นเรื่องราวของความรักค่ะ เพราะความรัก มันเป็นความรู้สึกที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า 'อิสรภาพ' มันจึงมีรูปแบบมากมายให้เขียนได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีคำว่า 'หมด' ไม่ว่าจะเป็น รักต้องห้าม รักข้ามภพ รักพลัดพราก รักอาฆาต รักสามเส้า รักข้ามรุ่น รักข้ามฐานันดร ฯลฯ ดูว่าน่าเขียนไปเสียหมด

ส่วนความรักในเรื่อง 'สาปรัก ณ โฮยา' คิดว่าอยู่ในรูปแบบของรักพลัดพราก เพราะความรักของนักรบกริชกับโฮยา ไม่มีอุปสรรคเกี่ยวกับเรื่องชนชั้น แม้ว่าจะถูกกีดกันจากพ่อของโฮยาในตอนแรก แต่ก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย เมื่อนักรบกริชพิสูจน์ตัวเองได้ เขากับโฮยาก็ได้แต่งงานกัน

อุปสรรคของความรักในเรื่องนี้ จึงน่าจะอยู่ที่ศัตรูของนักรบกริช ที่ตามไล่ล่าจิกวิญญาณไม่เลิก จนทำให้เขากับโฮยาต้องตาย ทั้งที่แต่งงานกันแล้ว แต่ยังไม่ได้ครองรักครองเรือนกันอย่างมีความสุข

แต่ถ้าใช้ประเด็นนี้มาเขียน ก็ดูว่าความน่าสนใจมันน้อยไป ไม่มีอะไรมาให้เขียน เพราะพลัดพรากแล้วก็ได้เจอกันอีกในชาติหน้า มันก็จบเพียงเท่านั้น จึงต้องใส่อุปสรรคเงื่อนไข จำพวกคำทำนายอะไรพวกนั้นลงไป

อย่างเช่นในเรื่องนี้ ก็ตั้งเงื่อนไขว่า นักรบกริชคือคนมีวาสนาในคำทำนายของชาวโฮยาโบราณ ว่ามาจากแดนไกล ปรากฏตัวเพื่อยุติความรุ่งเรืองของดินแดนโฮยา ทีนี้ก็ ชาติก่อนเขาทำได้ครึ่งเดียว ดินแดนโฮยาล่มสลายก็จริง แต่เหลือซากไว้ให้ทำลายอีกครึ่ง ซึ่งก็ต้องอาศัยชุมกริชในอีกชาติหนึ่ง

แล้วก็มีเงื่อนไขบังคับอีกว่า ต้องให้คนจากแดนไกล เข้าถึงถ้ำชั้นในได้ เจอรูปสลักท่านเทพ ขอพรได้อย่างน้อยก็หนึ่งประการ ไม่ขอไม่ได้นะ ถ้าไม่ขอ ดินแดนโฮยาก็ล่มแบบไม่แหลกตามคำทำนายอีก

แล้วก็ทำให้มันยากๆ กว่านั้นอีกนิดหน่อย ก็เพิ่มเงื่อนไขต่อท้ายเข้าไปอีกว่า ต้องไปเป็นคู่ด้วยนะ เพราะตามคำทำนายก็เป็นคู่แรก คู่เดียว และคู่สุดท้ายที่ได้เจอถ้ำชั้นใน ขอพร แล้วถ้ำก็ถล่ม

เงื่อนไขพวกนี้ มันก็เลยทำให้มีเรื่องมาเขียนว่า เขียนยังไงให้ชุมกริชไปเจอถ้ำชั้นในให้ได้ ต้องพาผกาแก้วไปด้วยนะ ต้องบีบคั้นให้ชุมกริชขอพรให้ได้ เพราะเขาไม่อยากขอนี่ ส่วนผกาแก้วก็ไม่เชื่อถือเรื่องพวกนี้อีก จะให้ชุมกริชทำยังไงถึงจะพาเธอไปด้วยได้

แต่เมื่อถึงบทสุดท้าย ก็ต้องให้จบลงที่ความรัก เพราะชุมกริชกับผกาแก้ว ต้องร่วมผจญเหตุการณ์ระทึกขวัญด้วยกัน เจ็บเนื้อเจ็บตัวด้วยกัน และช่วยเหลือกันและกันอย่างสุดฤทธิ์ตลอดเส้นทางการไล่ล่าของเหมหาว 

ก็ทำให้มีการทิ้งท้ายไว้ได้ในตอนจบว่า เอาล่ะ ในชาติใหม่นี้ ชุมกริชกับผกาแก้วอาจจะยังไม่รักกัน แต่ยังไงก็ต้องรักกันแน่ๆ เพราะมีใจให้กันแบบซ่อนๆ ในทีอยู่แล้ว

9. อะไรคือปัญหาหนักที่สุด ที่ท้าทายคุณ ตอนที่คุณเขียน คืออะไร
ยังไม่มีค่ะ จะว่าไปแล้ว ที่เราคิดว่าเรามีปัญหาหนักที่สุด ก็น่าจะเกิดมาจากการกดดันตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ตัวเองคิดเองเสียมากกว่า 

เช่น เขียนแบบนี้ คนอ่านเข้าใจไหม ชอบไหม หลุดโลกไปไหม ไร้เหตุผลหรือเปล่า กระชับไปไหม ฉับไวไปสักนิดไหม ยืดเยื้อ เยิ่นเย้อ คลุมเครือ สับสน วกวน จะเขียนจบหรือเปล่า หรือว่า ฯลฯ

ในขณะที่เขียน ไม่มีความคิดเหล่านี้หรอกค่ะ เพราะเขียนตามใจอยากของตัวเอง เขียนให้ตัวเองถูกใจ ส่วนความชอบหรือไม่ชอบของคนอ่าน ก็เป็นส่วนเสริมที่จะตามมาเองในภายหลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำหนดและคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้

คนอ่านชอบ ก็อาจเป็นได้ว่า ชอบเรื่อง ชอบเหตุผล ชอบวิธีนำเสนอ ชอบสำนวน ชอบที่เราพูดคุยกับคนอ่านสม่ำเสมอ ชอบฯลฯ คนอ่านไม่ชอบ ก็อาจเป็นได้อีกว่า คิดต่างจากเรา ไม่ชอบเรื่องแนวนี้ ไม่ชอบการพลัดพราก ไม่ชอบรักหดหู่ ไม่ชอบสำนวน ไม่ชอบฯลฯ

ในเมื่อกำหนดและคาดเดาความชอบหรือไม่ชอบของคนอ่านล่วงหน้าไม่ได้ จึงยังไม่เคยเจอปัญหาหนักๆ ให้เขียนลำบาก ไม่เคยใช้ความชอบหรือไม่ชอบของคนอ่าน มาเป็นตัวท้าทายหรือกดดันความอยากเขียนของตัวเองเลยค่ะ แค่ว่าอยากเขียนยังไงก็เขียนออกมา เขียนแล้วต้องถูกใจตัวเองก็พอแล้ว

10. คุณคิดว่าเขียนฉากไหนยาก มีอะไรที่คุณหลีกเลี่ยงไม่อยากเขียนบ้างไหม
เขียนทุกฉากได้เท่าที่ความสามารถมีค่ะ ส่วนที่หลีกเลี่ยง ก็จะเป็นคำหยาบ เต็มที่ที่สุดที่ใช้อยู่ ก็มี นัง แก เอ็ง ข้า วะ เว้ย โว้ย ส่วน มึง กู จะไม่ใช้เลยค่ะ ไม่ว่าตัวละครตัวนั้น จะเป็นโจรโสโครกชั่วช้าหยาบคายสักแค่ไหน หรือจะเป็นเพื่อนสนิทแบบตีแขนตบหัวกันได้ยังไงก็ตาม บทสนทนาจะงดเว้น มึง กับ กู ไปเลยค่ะ

นอกจากนี้ ก็ยังมีคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศที่ไม่ชอบใช้เลยค่ะ เช่น ฮัลโหล เยส โน โอเค แฟร์ เทคแคร์ โอเวอร์ ฯลฯ คือถ้าคำไหน มีคำไทยที่ใช้แทนกันได้ ก็เลือกใช้คำไทยค่ะ

ชื่อตัวละครที่ใช้ตัวอักษรที่พิมพ์ยากก็หลีกเลี่ยงเหมือนกัน แม้ว่ามันจะฟังไพเราะแค่ไหนก็ตาม เช่น ณ ฐ ญ ฏ ฎ ฌ ฑ เป็นต้นค่ะ

พระเอก นางเอก ที่เป็นชาวต่างชาติ เป็นลูกครึ่งต่างชาติ เช่น พระเอกต่างชาติ นางเอกไทย หรือพระเอกไทย นางเอกต่างชาติ ก็หลีกเลี่ยงค่ะ

อยากอ่านนิยายไทย ที่เป็นเรื่องราวของคนไทย ซึ่งก็อาจจะมีคนต่างชาติเข้ามาเป็นส่วนประกอบหรือเกี่ยวข้องได้ตามเนื้อเรื่อง แต่ไม่ใช่อ่านนิยายไทย ที่เป็นเรื่องราวของพระเอกนางเอกลูกครึ่งต่างชาติ

อันนี้นี่ เป็นความไม่ชอบส่วนตัวค่ะ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ จะหลีกเลี่ยงเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเขียนไม่ได้นะคะ บางที ถ้ามีเงื่อนไขที่เป็นเหตุเป็นผลกันได้ และไม่ขัดแย้งกับความไม่ชอบส่วนตัวจนเกินไปนัก ก็พอเขียนได้ค่ะ

11. คุณเคยเกิดปัญหาการเขียนไม่ออกบ้างไหม ถ้ามี คุณจัดการกับมันอย่างไร
ยังไม่เคยเกิดปัญหานี้เลยค่ะ

12. แล้วอย่างที่เขียนไปๆ ความคิดเกี่ยวกับเรืองอื่น เข้ามาแทรกแซงในเรืองที่เขียนอยู่ละคะ
ยังไม่เคยเจอปัญหานี้เลยค่ะ

13. ช่วยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเขียนของคุณในแต่ละวัน ตอนเขียนคุณใช้อะไรเพื่อสร้างอารมณ์ไหม อย่างฟังเพลง หรืออื่นๆ ไปด้วย?
ไม่มีค่ะ เขียนงานได้ทุกที่และตลอดเวลาที่อยากเขียน สิ่งเร้าภายนอกไม่มีผลอะไรค่ะ ถ้าไม่ได้เขียน ก็แสดงว่า ในจังหวะนั้น ไม่มีช่วงเวลาให้เขียน เช่น กำลังประชุม กำลังขับรถ 

แต่ถ้ามีช่อง มีเวลาให้เขียน ก็เขียนได้เลยค่ะ ไม่ต้องเตรียมอะไรให้ยุ่งยากค่ะ เขียนไปเรื่อยๆ ไม่มีระเบียบแบบแผนอะไร อารมณ์ก็ไม่ต้องสร้างค่ะ เพราะมีความอยากต่อการเขียนเยอะแยะอยู่แล้ว

14. ตอนเขียนหนังสือ คุณมีคนอ่านที่อยู่ในใจคุณไหม คุณอยากเขียนให้คนแบบไหนอ่าน
ไม่มีค่ะ อยากให้อ่านทุกเพศทุกวัยค่ะ

15. คุณมีวิธีการหาข้อมูลในการเขียนอย่างไร ใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลบ่อยไหม มันมีประโยชน์ต่อคุณหรือเปล่า และมีวิธีการจัดการกับข้อมูลนั้นอย่างไร
ที่เปิดบ่อยที่สุดก็พจนานุกรมราชบัณฑิตค่ะ นอกเหนือจากนี้ ก็ค้นหาตามความจำเป็น ทำนองว่า 'กันพลาด' เสียมากกว่าค่ะ 

เช่นว่า คนเราอดน้ำได้เต็มที่กี่วัน แล้วถึงจะตาย หรือไม่ก็เดินทางโดยรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน จากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง ต้องใช้เวลานานกี่วัน กี่ชั่วโมง อะไรทำนองนี้ค่ะ ข้อมูลแบบนี้ ไม่กล้าเขียนมั่วค่ะ ต้องหาให้ชัดเจน

16. คุณมีเวลาอ่านงานเขียนของคนอื่นไหม คุณมีนักเขียนที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่า
ชอบคุณทมยันตี คุณวลัย นวาระ คุณนราวดี สามท่านนี้ พิเศษที่สุดแล้วค่ะ นอกเหนือจากนี้ ชื่นชอบไปตามปกติ เช่น คุณพนมเทียน คุณตรี อภิรุม คุณจินตวีร์ วิวัฒน์ คุณอิงอร คุณเสนีย์ บุษปะเกศ คุณ ก. สุรางคนางค์ ฯลฯ

17. คุณมีหนังสือสักเล่มที่คุณอ่านแล้วอยากจะพูดถึง หรือติดอยู่ในความทรงจำของคุณบ้างไหม เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ฉากไหน
นิทานพื้นบ้านเล่มหนึ่งค่ะ สูญหายไปนานมากแล้ว ในนั้นจะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของชื่อสถานที่ อาจจะเป็นตำนาน เรื่องเล่า จริงไม่จริงก็ไม่ทราบค่ะ แต่น่าสนใจ ที่จำได้รางๆ ก็เช่น ที่มาของพระปฐมเจดีย์ วังแม่ลูกอ่อน เก้าเส้ง น้ำท่วมโลก ฯลฯ

อีกเรื่องก็ 'ศรีธนญชัย' ค่ะ ชอบหลายฉาก เช่น มาก่อนไก่ สร้างเจดีย์ กินผักบุ้ง เขาเป็นคนเจ้าปัญญาที่ทำให้คนอ่านรักได้ เกลียดได้ เพราะไม่ใช่ฉลาดมากเฉยๆ มีความเจ้าเล่ห์แกมร้ายแอบแฝงอยู่ด้วย

18. ในช่วงหลังๆ จะเห็นว่ามีการจัดทีมนักเขียนมาเขียนด้วยกัน ถ้าสมมติว่าคุณมีโอกาส คุณอยากร่วมทำงานเขียนกับนักเขียนท่านใด และเพราะอะไร (เลือกได้ทั้งในและต่างประเทศเลยค่ะ)
ไม่สามารถเลยค่ะ ไม่เคยใฝ่ฝันแบบนั้นเลย เพราะนึกอยู่เสมอว่า คนอื่นเก่ง อย่าให้เราเข้าไปเป็นตัวถ่วงเลย ขอเป็นฝ่ายอ่านดีกว่าค่ะ 

แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ก็บอกได้ว่า วิธีการเขียนแบบรวมนักเขียนเข้าไว้ด้วยกันแบบนี้ ไม่ชอบเลยค่ะ รู้สึกเหมือนเรื่องราวจะถูกขังอยู่ในกรอบ แล้วเราเองก็ถูกบังคับให้อ่าน

แต่เขาแต่งมาให้อ่าน ก็อ่านนะคะ ไม่ได้มีอคติใดๆ กับกระแสความนิยม พยายามคิดให้เป็น 'ภาค' ค่ะ เหมือนเวลาอ่าน รักประกาศิต ภาคแรก แล้วก็ต้องมีภาคสองอย่าง ภูชิชย์ นริศรา หรือไม่ก็ภาคแรก บ้านทรายทอง แล้วก็ตามด้วยภาคสอง พจมาน สว่างวงศ์


19. อะไรที่คุณอยากจะให้คำแนะนำคนที่อยากจะเป็นนักเขียนที่เขียนได้จบเรื่องบ้าง
'วินัย' ค่ะ คุณสมบัติเดียวพอ ถ้าคุณมี เหตุผลเหตุอ้างใดๆ ก็จะจบจะหายไปหมด 

ไม่ว่าจะเป็น งานเยอะ เที่ยวเพลิน ไร้อารมณ์ ท้อแท้ อกหัก ลูกกวน คนอ่านน้อย ไม่มีความเห็นจากคนอ่านสะท้อนกลับ ง่วง เหนื่อย เพลีย ป่วย เซ็ง เบื่อ เขียนไม่เก่งเหมือนคนอื่น เขียนช้า เขียนติด เขียนอืด ฯลฯ ที่หนักสุดก็จะเป็น 'ขี้เกียจเขียนแล้วนะ'  

สิ่งเหล่านี้ จะไม่มารบกวน และทำให้การเขียนของคุณหยุดชะงักลงได้ ถ้าคุณมีวินัย แค่อย่างเดียวเองค่ะ

อีกเรื่อง ก็ขอถือโอกาส ขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้ เชิญชวนให้ร่วมส่งเสริมการใช้คำไทยให้ถูกต้อง โดยเริ่มจากตัวเองก่อน คำทุกคำที่นำมาเขียน ต้องระมัดระวังอย่าใช้ผิด 

มันก็ต้องมีผิดได้ละค่ะ เป็นเรื่องปกติ ยิ่งเราใช้มาก โอกาสผิดก็ยิ่งมีมาก แต่ถ้าเพิ่มความระมัดระวัง เอาใจใส่ ให้เข้มข้นหน่อย ก็จะช่วยลดข้อผิดพลาดเหล่านี้ลงไปได้เอง

โดยเฉพาะคนอยากเขียนนิยาย ซึ่งหลีกเลี่ยงการใช้คำเป็นจำนวนมากไม่ได้ ไหนจะต้องนำมาผูกมาเรียงเป็นประโยคอีก โอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาด จึงมีค่อนข้างสูงค่ะ 

แต่ก็อยากให้ร่วมด้วยช่วยกัน สื่อคำที่ถูกต้องออกไป ยังไงก็ขอให้เราได้เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ที่พอจะช่วยจรรโลงคำไทยที่ถูกต้อง ให้อยู่อย่างยั่งยืนเข้มแข็งต่อไปถึงคนไทยรุ่นหลังจากเราอีกหลายต่อหลายรุ่นค่ะ

20. ช่วยเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียนต่อไปด้วยค่ะ
เรื่องเหนือธรรมชาติที่เริ่มต้นจาก ผู้หญิง หรือผู้ชาย เดินทางไปที่ไหนสักแห่ง อาจจะไปพักผ่อนกับครอบครัว หรือไปทำงานกันเป็นหมู่คณะ แล้วก็ไปเจอกับเหตุพิสดาร 

เช่น วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในวัตถุสักชิ้น หรือคราบสักหยด จะบนบกก็ได้ บนฟ้า ในน้ำ ก็ได้ค่ะ 

จากนั้น ก็น่าจะมีเรื่องราวประหลาด ตื่นเต้น ให้ร่วมผจญกันไปอย่างระทึก ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกับสิ่งนั้น ไปจนกระทั่งจบเรื่องค่ะ



Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2556 22:48:23 น.
Counter : 528 Pageviews.

2 comments
  
สวัสดีค่ะ คุณรัชนีกานต์ ^^
ตามเข้ามาเพราะเห็นชื่อที่หน้าบล็อครวมค่ะ

ได้ความรู้มากๆเลย
ขอบคุณมากค่ะ
โดย: lovereason วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:23:35:32 น.
  
ขอบคุณคุณ lovereason ค่ะ
โดย: รัชนีกานต์ วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:18:27:47 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

รัชนีกานต์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]