ชำแหละ/รีวิวหนังสือ/อ่านแล้วบอกต่อ
Group Blog
 
All blogs
 

เธอกับฉัน ณ วันสิ้นโลก : บทที่ 2 ถูกเลย์ออฟไม่คาดคิด (1)

บทที่2

นับถอยหลังไปแปดสิบกว่าปี ระหว่างพ.ศ. 2,560 – 2,565

บริษัท ซอฟต์แวร์ โปรจำกัด ตั้งอยู่บนชั้นที่ 19 ของอาคารพาณิชย์หลังหนึ่ง

เวลาพักเที่ยงที่แผนกโปรแกรมมิ่งพนักงาน 3 คนกำลังสุ่มหัวดูอะไรกันอยู่ที่โต๊ะของ นายพลพล หรือ ต้อยด้วยความอยากรู้ มานพ จึงเดินเข้าไปดูในระยะที่ไม่ทำให้คนทั้ง 4 รู้ตัว

มานพผู้จัดการฝ่ายค้นคว้าและพัฒนาโปรแกรมเพิ่งออกจากที่ประชุมโต๊ะกลมของเหล่าผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางตัวเขาเองนั่นอยู่ในระดับกลางที่ต้องเข้าร่วมประชุมกับผู้จัดการฝ่ายอื่นๆอีกหลายฝ่าย ซึ่งก็คือ ผู้จัดการฝ่ายการจัดการ ผู้จัดการฝ่ายขายและผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเด็นในการประชุม คือ ทิศทางการเติบโตของบริษัทประเด็นนี้พุ่งเรื่องมาที่เขาโดยตรง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแนวทางในการทำโปรแกรมจากเดิมที่เป็นการผลิตโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อบริษัทต่างๆจะเปลี่ยนแนวทางเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Commerce เรื่องนี้ทำเอาเขาเครียดจนท้องไส้ปั่นป่วนหิวแทบตายลายจากการประชุมเกินเวลา แต่มานพก็ยังไม่วายอยากรู้อยากเห็นเรื่องของลูกน้อง

โต๊ะนี้เป็นโต๊ะของต้อย ส่วนอีก 3คนที่สุมหัวยืนดูอยู่ก็มี สนธยา อาวุโสที่สุดเป็นหัวหน้าแผนก ป๋องเด็กรุ่นน้อง และ รินรดา สาวสวยที่สุดประจำแผนก ณ เวลานี้เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวในแผนกโปรแกรมมิ่ง

“เร็วๆ สิว่ะ ไอ้ต้อยไหนบอกมีรูปเด็ดๆ ให้ดู” สนธยาเร่ง

“เดี๋ยวสิพี่ โหลดรูปมันก็ต้องใช้เวลาหน่อย”ต้อยเจ้าของรูปตอบกลับไป สีหน้าแสดงความร้อนใจเหมือนกัน

“ไหน ไหน ดูด้วยสิ”รินรดาพูด

“เฮ้ย ไอ้รินดูไม่ได้มันเป็นรูปนู้ด ผู้หญิงดูไม่ดี” สนธยาว่า

“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ รินดูได้นู้ด แต่ไม่อนาจาร นั่นไง นั่นไง มาแล้ว” ต้อยไม่ว่าอะไรถ้าผู้หญิงจะดูรูปของเขา

ภาพที่เห็นบนหน้าจอเครื่องโน๊ตบุ๊คทำเอาหลายคนที่ยืนดูฮือ ฮา ทำเอามานพต้องชะเง้อดูเช่นกัน ภาพที่ปรากฎ คือเด็กทารกหญิงนอนเนื้อตัวเปลือยเปล่านอนหลับตาพริ้มทำเอามานพยืนถอนหายใจด้วยความเสียดาย

ลมหายใจของมานพทำเอาคนที่ยืนหันหลังอยู่รู้ตัวทั้งสนธยา รินรดา ป๋อง และต้อย หันมามองที่มานพเป็นจุดเดียว

“พี่นพมีอะไรเหรอ แอบมาดูรูปนู้ดเหรอ” รินรดาแซว

“เฮ้ย ไม่ใช่ก็ว่าจะมาบอกพวกเอ็งให้มาประชุมกันตอนบ่ายโมง เออ แล้วนี่รูปลูกเหรอต้อย” มานพรีบแก้ตัว และทักรูปที่ต้อยเอามาโชว์เพื่อเป็นการเปลี่ยนเรื่องในทันที

“ครับเป็นไงพี่ลูกผมหน้าเหมือนใคร เหมือนผมใช่ม้า” ต้อยยิ้มเผล่

“เออว่ะ เหมือนเอ็งสำเนาถูกต้องจริงๆ”

“แล้วต้อยตั้งชื่อให้ลูกยัง”รินรดาถามบ้าง

“ตั้งแล้ว ชื่อ รดีชื่อเล่นชื่อน้องกู๊ด” ต้อยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและภาคภูมิใจกับชื่อของลูกสาวที่เขาเป็นคนตั้งชื่อให้เอง“เนี่ยกินนมเก่งมากเลยตั้งแต่คลอดมาได้เดือนเดียวหมดค่านมไปหลายพันแล้ว” น้ำเสียงต้อยเหมือนเป็นการเล่าสู่กันฟังแต่กระนั้นในตอนท้ายกลับรู้สึกอึดอัดพิกล

“อ่าวแล้วลูกไม่กินนมแม่เหรอ”รินรดาถาม

“ไม่กิน หรือน้ำนมไม่มีหรืออะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าแม่มันให้กินแต่นมชงตลอด” ต้อยพูดเหมือนหัวเสียนิดๆที่แม่ของลูกไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ไม่อย่างนั้นคงประหยัดกว่านี้

พอพูดมาถึงตรงนี้มานพก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยินเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกน้องเขาไม่ออกความเห็นใดๆ และท้องไส้ก็เริ่มส่งเสียงครวญครางออกมาเป็นระยะๆ

“สน พี่ไปล่ะยังไงอย่าลืมบอกน้องในแผนกให้เข้าประชุมตอนบ่ายด้วยล่ะ” คนเป็นผู้จัดการสั่งกำชับหัวหน้าแผนกและแยกตัวไปทานอาหารกลางวัน

เมื่อถึงเวลานัดประชุมทุกคนในแผนกมานั่งรอกันอย่างพร้อมหน้าในห้องประชุมมานพมาถึงห้องเป็นคนสุดท้ายมองทุกคนในแผนกที่มีท่าทีสนใจใคร่รู้เรื่องที่จะประชุมกันในวันนี้เขานั่งอยู่หัวโต๊ะเหมือนอย่างเช่นเคยโดยมีลูกน้องของเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเรียงหน้ากระดาน บรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการเพราะเป็นการประชุมกันในแผนก จึงเหมือนพ่อคุยกับลูกหรือพี่คุยกับน้องมากกว่าบรรยากาศในการประชุมเมื่อเช้านี้ที่เขาได้ประสพพบเจอและมันก็เป็นสาเหตุให้เขายังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไม่หายแม้จะได้ทานอาหารกลางวันไปแล้วก็ตาม

มานพเริ่มการประชุมด้วยการถามลูกน้องถึงงานในโปรเจคต่างๆที่ลูกน้องแต่ละคนรับผิดชอบอยู่ เมื่อได้ความแล้วเขาจึงเริ่มพูดในสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้

“ตอนนี้มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงมากโดยเฉพาะทางด้านอินเตอร์เน็ต มีคนต้องการขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตกันมากขึ้นผู้บริหารจึงคิดที่จะเปลี่ยนทิศทางของบริษัทไปพัฒนาระบบทางด้านอีคอมเมิร์ซ”มานพเปิดประเด็นเรื่องการแข่งขันทางด้านอีคอมเมิร์ซ

“ขายของทางเน็ตเห็นว่าเจ๊งไปหลายรายแล้วเปิดร้านทางเน็ตแล้วก็ขายไม่ออก” สนธยาพูดตามที่ได้ยินข่าวมาจากแหล่งต่างๆ

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของเรานั่นมันเป็นปัญหาของคนที่อยากขาย บริษัทเราก็เพียงเสนอโซลูชั่นให้ลูกค้าแต่ประเด็นจริงๆ ของพี่ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ประเด็นคือฝ่ายพัฒนาอย่างเราไม่มีใครทำโปรแกรมประเภทนี้ได้ ดังนั้นทางกลุ่มผู้บริหารจึงอยากให้พวกเราบางคน...ออก”ท่านผู้จัดการจงใจเว้นจังหวะในคำสุดท้ายเล็กน้อยเหมือนต้องการจะเน้นคำหรือไม่อยากพูดออกมาซึ่งมันก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งสองทางแล้วแต่คนฟังจะคิดไปทางไหนมากกว่าซึ่งสำหรับตัวเขาเองนั้นเขาคิดเป็นอย่างหลัง

เมื่อทุกคนในที่ประชุมได้ยินมาถึงตรงนี้ทุกคนถึงกับชักสีหน้าขึ้นมาทันทีมาถึงตอนนี้เหมือนความมั่นใจและความสุขุมของท่านผู้จัดการจะหดหายไปบ้างจากสายตาของทุกคนที่พุ่งตรงมายังเขามันบ่งบอกความรู้สึกที่หลากหลายจนทำให้เขารู้สึกประหม่าจนเขาเองรู้สึกเหมือนพ่อที่ทำผิดแล้วกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นในสายตาของลูกเพื่อกอบกู้ศรัทธาให้กลับคืนมา

“แต่บริษัทก็ไม่ได้ให้พวกเราออกไปเฉยๆ หรอกนะ เขาก็จะจ่ายค่า lay off ให้ 3 เดือน ตอนแรกเขากะจะให้ 2 เดือน แต่พี่ก็พยายามพูดให้เขาจ่ายให้เรา3 เดือน พวกเราจะได้ไม่ลำบาก”

“พี่นพ มีใครบ้างที่ต้องออก”สนธยาพูดไม่อ้อมค้อม

ท่านผู้จัดการทำท่าเหมือนกำลังนึกชื่อคนในแผนกว่ามีใครบ้างที่ต้องออกเขาดูด้วยเสียงตะกุกตะกัก “เออ...เออ...ก็มี น้องใหม่ 4 คน แล้วก็ป๋อง เออ..แล้วก็รินด้วยเออ...ต้อยด้วย...แล้วก็สน ก็มีเท่านี้แหละ”

“เท่านี้ !! พี่ นี่มันทั้งแผนกแลยนี่” สนธยารู้สึกหัวเสียมาก

“เออ...มันก็ไม่หมดทั้งแผนกหรอกยังเหลือพี่อยู่ไง” มานพพูดเหมือนจะตลกแต่เวลานี้ไม่มีใครตลกด้วย มุขเขาเลยแป๊ก

“ไม่ตลกเลยพี่พี่เป็นผู้จัดการยังไงเขาก็ไม่ให้พี่ออกหรอก บอกว่าให้ออกหมดซะทีแรกก็จบแล้วจะได้ไม่ต้องลุ้น” รินรดารู้สึกหัวเสียเหมือนกัน

“โถ พวกเอ็งก็เห็นใจพี่บ้างสิพี่ก็ไม่อยากให้พวกเราออกหรอก แต่มันเป็นนโยบายใหม่ของบริษัท พี่ก็เป็นลูกน้องเขาพี่ก็ต้องทำตามพี่เองก็อึดอัดใจอยู่เหมือนกัน” มานพพูดอย่างเปิดอกถึงความลำบากใจของตัวเองแต่ดูเหมือนความลำบากใจของเขาพูดไปแล้วก็เหมือนไม่ได้พูดเมื่อเทียบกับความลำบากของลูกน้องทั้งแผนก

การให้ออกจากงานทำให้ทุกคนเศร้าทุกคนรำพึงถึงภาระหนี้สินที่ตัวเองก่อไว้ ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนโทรศัพท์ผ่อนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆและอีกหลากหลายที่บัตรเครดิตจะบันดาลให้ผ่อนได้ คนที่ติดหนี้นิดๆ หน่อยๆจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่คนที่ติดหนี้มากอย่าง รินรดา ก็ทำเอาเครียดเหมือนกันและที่เครียดไม่แพ้กัน ดูจะเป็นต้อย ที่นอกจากจะมีภาระผ่อนรถแล้วเขายังมีลูกเล็กที่เพิ่งเกิด

“เอ้า! ไหนไหนก็ไหนไหนเศร้าไปก็เท่านั้น เย็นนี้ไปกินกันให้เต็มที่ พี่เลี้ยงเอง” มานพในฐานะผู้จัดการฝ่ายเมื่อเห็นทุกคนซึมเศร้า เขาจึงออกปากเลี้ยงอำลากับน้องๆ ทุกคน ดังนั้นเย็นนี้แผนกโปรแกรมมิ่งจึงนัดประชุมนอกรอบที่ร้านอาหารแห่งหนี่ง

“เอ้า! ชน!” ทุกคนพร้อมใจกันชนแก้วมีเพียงต้อยคนเดียวที่ไม่ชนแก้วร่วมกัน

“ฮือ ฮือแล้วต่อไปลูกผมจะเอาอะไรกิน”ต้อยที่เริ่มเมามีอาการคร่ำครวญเหมือนคนอกหัก

“อย่าเศร้าไปเลย ต้อยบริษัทเขาก็ให้เงินมาตั้งหกเดือน กว่าจะถึงเวลานั้นขี้คร้านเธอจะหางานใหม่ได้ก่อนที่จะใช้เงินหมดเสียอีก”รินรดาพูดปลอบ แล้วกระซิบ “หยุดร้องได้แล้วอายน้องๆมัน” รินรดาหมายถึงน้องใหม่ 4คนในแผนกที่มองมาทางต้อยด้วยสีหน้าเวทนา

“ริน รินก็พูดได้สิก็พี่ยุทธไม่ได้ออกด้วยนี่ ไม่รู้ว่าพี่ยุทธทำบุญด้วยอะไร ถึงได้โชคดีทุกเรื่องเลยกูอยากเป็นพี่ยุทธจังโว้ย” ต้อยพูดถึง “ยุทธ” ซึ่งก็คือยุทธศาสตร์ สามีของรินรดา ในประโยคสุดท้ายของต้อยมีน้ำเสียงประชดประชันเหมือนอยากระบายความอัดอั้นในใจลึกๆ ของเขา

“ต้อย...” รินรดากำลังจะพูดต่อว่า ‘แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพี่ยุทธด้วยล่ะ’ แต่ถูกมานพขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนคำพูดเหล่านั้นจึงได้แต่เก็บกลืนลงคอไป

“เออแล้วไอ้ยุทธไปไหนล่ะ จะมาที่นี่ด้วยเปล่า” ท่านผู้จัดการถามเพราะเขาเองเป็นคนบอกให้รินรดาชวนยุทธศาสตร์มาด้วย

“ไปดูระบบให้ลูกค้าที่สุขุมวิทค่ะเดี๋ยวก็ตามมา รินบอกเขาแล้วว่าอยู่ที่นี่”

“แล้วบอกมันยัง ว่าพวกเราโดนออกยกแก๊งค์”สนธยาพูด แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม

“ยังเลยค่ะพี่เดี๋ยวให้รู้เองดีกว่า”

“นั่นไง…ตายยากจริงจริง พูดถึงก็มาพอดี…” สนธยาพูดเลยทำให้ทั้งโต๊ะหันไปทางเดียวกันที่ยุทธศาสตร์

ยุทธศาสตร์เดินเข้าร้านมาหันซ้ายหันขวาพลันรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดจากสายตาใครบางคน จึงหันไปทางนั้นก็พบกลุ่มเพื่อนเข้าพอดี

“โอ้โห! มากันครบทั้งแผนกทั้งลูกพี่ลูกน้องเลย มีอะไรพิเศษกันเนี่ย อ๊ะ อ๊ะหรือวันเกิดใคร วันเกิดพี่นพเหรอพี่”

“เออ...เกิดอยากจะเลี้ยงวะ” มานพรับเป็นเจ้าของวันเกิดไปอย่างแกนๆ

ยุทธศาสตร์นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างที่อยู่ข้างต้อยเมื่อเห็นต้อยนั่งหน้าแดง ตาปรือ จึงทักทาย

“เฮ้ย! ไอ้ต้อยเป็นอะไร ทำไมเมาเร็วจัง ดู ดู พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย”

“ก็ใครจะหน้าบานได้เหมือนพี่เล่า! โดนให้ออกจากบริษัทกันหมดแล้วต่อไปจะเอาอะไรกิน ! ...กลุ้มโว้ย” ต้อยซดเหล้าเหมือนน้ำ

ยุทธศาสตร์หน้าเสียหันไปทางรินรดาเขาได้รู้เรื่องจากทุกคนพร้อมกัน แม้ตัวเขาจะไม่ได้ออกจากงาน แต่ภรรยาของเขารินรดา ก็ถูกให้ออกเหมือนกัน...

“ไอ้ต้อย! น้อยๆ หน่อย คิดถึงลูกถึงเมียบ้าง กินเหล้ายังกับน้ำ” สนธยาเตือนต้อย

“ก็ผมกำลังคิดอยู่เนี่ย...ว่าจะเอายางไงดี ไม่มีงาน...ก็...ไม่มีเงิน แล้วจะเอาอะไรกินกันเข้าไป! อิจฉาพี่ยุทธว่ะ ไม่เห็นทำอะไรมากซักหน่อย ไปพูดๆ แล้วก็ขาย ใครก็ทำด้าย...กูเนี่ย! นั่งเขียนโปรแกรมงกๆ...อย่างกับพวกใช้แรงงาน”ต้อยหันขวับไปทางยุทธศาสตร์ “พี่ยุทธ !ทามงาย บอกผมหน่อย ผมถึงจาโชคดีเหมือนพี่”

ยุทธศาสตร์ไม่ว่าอะไรเพราะถือคติ ‘อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา’ แล้วคิดว่าตัวเองนั้น ‘โชคดี’ กว่าต้อยจึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย

“แล้วไอ้เหล้าที่เธอกินเข้าไปเนี่ยมันทำให้ลูกเมียอิ่มได้ไหม ต้อยรินรดาเหลืออด

“เมียเธอเขาคงรอให้กำลังใจเธออยู่ที่บ้านค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวก็ดีเอง มานั่งรำพึงรำพัน ว่าคนโน้นคนนี้โชคดีกว่าให้มันได้อะไร คนที่ต้องออกไม่ได้มีเธอคนเดียวสักหน่อย ก็โดนออกกันหมดทุกคนก็มีภาระกันทั้งนั้น เมามายอย่างนี้มันจะไปคิดอะไรออกแล้วจะไปมีปัญญาทำอะไรกิน ลูกเมียเขาไม่ได้กินเหล้าแทนข้าวเหมือนเธอนะ” รินรดาพูดแรงกับต้อยเพื่อเตือนสติให้นึกถึงลูกเมียให้มากๆ

“รินต้อยนึกได้ว่ายุทธศาสตร์อยู่ด้วยจึงได้แต่ขึ้นเสียง

“เอาล่ะ เอาล่ะ พอแล้วทั้งสองคน”มานพเป็นกรรมการ

“ต้อย.. พี่ว่าเราก็พอได้แล้วเอารถไปจอดไว้ที่ทำงาน เดี๋ยวพี่ไปส่ง เมาแล้วขับ เดี๋ยวตำรวจจับ เอ้า! น้อง น้อง เช็คบิลด้วย” มานพเรียกเด็กมาเก็บเงินค่าอาหาร

“อะไร คิดตังค์แล้วจะกลับกันแล้วเหรอ” ต้อยพูด

“ตอนนี้ทุกคนก็เริ่มหางานใหม่กันได้แล้วอย่าเลือกงานกันนะ สมัยนี้งานหายาก ยิ่งเศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ด้วย ยิ่งแล้วใหญ่ เวลาที่เหลืออีกอาทิตย์นึงพี่ก็ขอให้ทุกคนพยายามเคลียร์งานที่เหลือของตัวเอง และก็เริ่มเก็บข้าวเก็บของได้ส่วนเรื่องเงินชดเชยเท่าที่พี่รู้เขาคงโอนเข้าบัญชีพร้อมกับเงินเดือนงวดสุดท้ายเอาละ...พี่ดีใจที่ได้ร่วมงานกับพวกเราทุกคน ขอบใจมาก” มานพพูด ทำเอาน้องๆหลายคนน้ำตาซึม

“ขอบคุณพี่นพค่ะที่ช่วยสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเรา” รินรดากล่าวพร้อมยกมือไหว้ซึ่งมีความหมายแทนคำขอบคุณในทุกสิ่งและเป็นการอำลาสำหรับงานเลี้ยงคืนนี้และทุกคนก็กล่าวขอบคุณมานพพร้อมกัน


เวลาประมาณ 22.00น. ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน มานพฝากสนธยาให้ช่วยดูแลต้อยเพราะเห็นว่ากลับทางเดียวกัน ส่วนตัวเองแยกตัวกลับไปก่อน

“พี่สนไม่ต้องไปส่งผมหรอก ผมขับไหว” ต้อยพูดขึ้น

“เฮ้ย! ไม่ได้ เอ็งเมาอยู่ จะขับไหวได้ไง... ดู ดู ขนาดยืนยังโงนไปเงนมาฝากรถไว้กับร้านก่อนแล้วไปกับพี่”

“ไม่เอาหรอก พี่สนรถผมเพิ่งถอยมาใหม่ๆ ยังผ่อนไม่หมด เดี๋ยวหายล่ะ ซวยเลย ต้องมานั่งผ่อนรถเปล่า อีกอย่างเดี๋ยวเมียรู้ว่าผมกินเหล้าเมามา”

“ยังไงเมียเอ็งก็รู้อยู่ดีว่าเอ็งกินเหล้า กลิ่นออกหึ่งขนาดนี้”

“ผมกะจะล้างหน้าล้างตาให้สร่างซักพักก่อน แล้วจะขับรถกลับ... ถ้าเมียถามก็จะบอกว่าเขียนโปรแกรมแล้วมันเครียดเลยกินเบียร์กับพี่สนนิดหน่อย” ประโยคสุดท้ายต้อยพูดพร้อมส่งสายตาเจ้าเลห์เหล่ไปทางสนธยาเหมือนกับจะแกล้งโยนความผิดให้

  "อ่าว ไอ้นี่...ไหงมาลงที่ข้าฟะ”

“เออน่ากลับไปเถอะพี่... ไหว ผมไหว ไม่ได้เมามากซักหน่อย”

สนธยามองหน้าต้อยตรวจสอบดูว่าจะขับรถกลับไหวไหม

“เออ! รอจนสร่างก่อนนะ แล้วค่อยขับกลับ”

“ครับผมต้อยตอบเสียงหนักแน่น

ก่อนกลับบ้านสนธยารู้สึกปวดท้องธุระหนักเขาจึงเข้าห้องน้ำของร้านอาหาร เมื่อเสร็จธุระออกมาเขาเห็นต้อยกำลังสตาร์ทรถจะออกจากร้าน ต้อยขับรถผ่านหน้าสนธยา เขายังทำท่าตะเบะให้เป็นเชิงให้สบายใจได้ว่าเขาสบายดีแล้วสนธยาเห็นดังนั้นจึงออกรถเพื่อกลับบ้านเช่นกัน

ระหว่างที่ขับรถกลับบ้านต้อยครุ่นคิดตลอดทางเกี่ยวกับเรื่องชีวิตในภายภาคหน้าว่าจะเอาอย่างไรดีคิดไปคิดมามันยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บแค้นยุทธศาสตร์ยิ่งนัก แล้วพลันความคิดต้อยต้องหยุดชะงักเพราะมียุงหลายตัวบินไปบินมาในรถเขารู้สึกรำคาญมากที่ยุงบินวนเวียนผ่านหน้าเขาไปมา

“ไอ้ยุงบ้าพวกนี้นี่มึงจะตามรังควานกูไปถึงไหน กูไม่มีเลือดให้พวกมึงสูบหรอก จะมารีดเลือดจากกูทำไมนี่แนะ นี่แนะ กูจะตบมึงให้ตายเลย”

ต้อยไล่ตบยุงตัวน้อยพัลวันด้วยความแค้นเขาอาจจะกำลังลืมไปว่าตัวเองกำลังขับรถอยู่

สนธยาขับรถตามหลังต้อยเขาต้องเบรกตัวโก่งเพราะสัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง แต่ต้อยขับฝ่าออกไปในขณะเดียวกับที่รถบรรทุกกำลังขับพุ่งออกมา

“ไอ้ต้อย !!”

รถบรรทุกชนเข้ากับรถต้อยอย่างจังจนรถกระเด็น และหมุนหลายตลบ

เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนคนที่อยู่ในรถยังไม่ทันได้ตั้งตัว แรงกระแทกทำให้เขาเสียชีวิตทันที

โอ้...อนิจจาเขาตายเพราะยุงตัวเล็กนิดเดียว

มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ตามจองเวรจองกรรมในยามดวงตก

หรือ มันเป็นกรรมของตัวเขาเอง

แต่อย่างไรก็ตาม...

       จิตก่อนตายเป็นอย่างไรหนทางสุดท้ายของจิตก็ย่อมไปตามนั้น




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2556    
Last Update : 24 สิงหาคม 2556 9:22:46 น.
Counter : 3746 Pageviews.  

เธอกับฉัน ณ วันสิ้นโลก : บทที่ 1 ลินดารำลึก

บทที่1

ปีพุทธศักราช 2645 หรือปีคริสต์ศักราช 2102

ความมืดมิดปกคลุมทั่วทิศทางมีเพียงแสงวับแวมส่องพอให้เห็นหญิงชรา และชายหนุ่มหญิงสาว

“ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณแม่ลินดา” นาโนถาม

“เกิดหายนะขึ้นครั้งใหญ่ใหญ่มาก ใหญ่ที่สุดเท่าที่ชีวิตคนคนหนึ่งจะเคยประสบพบเจอ เป็นช่วงเวลาที่วิปลาสอากาศแปรปรวน บรรยากาศสลดหดหู่ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะมีลมพายุหมุนเข้ามาในเมือง หอบน้ำหอบฝนขึ้นมาตกห่าใหญ่ จนท้องฟ้ามืดมิด มิรู้วันคืนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นส่งเสียงดังกึกก้องกัมปนาท ตึกรามบ้านช่องล้มพังระเนระนาดเกิดคลื่นยักษ์ขนาดมโหฬารถาโถมเข้าฝั่ง ผู้คนนับแสนล้านต้องสังเวยชีวิตไปกับภัยพิบัติในครั้งนี้ทุกแห่งหนเกลื่อนกล่นไปด้วยซากศพ มันอาจเป็นโชคดีของคนตายเพราะคนที่ไม่ตายต้องเผชิญทุกข์เวทนาแสนสาหัสยิ่งกว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นพิษไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มียารักษาโรค ไม่มีที่อยู่อาศัย การจี้ ปล้น ข่มขืนกลายเป็นเรื่องปกติ ของคนที่ต้องการอยู่รอด” ลินดา หญิงชราพูดด้วยความขมขื่น

“แล้วเหตุการณ์มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหนหรือครับ”ปรมัตถ์ถาม

“มันเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์มีไฟกิเลสเข้าครอบงำกันทุกผู้คนไฟกิเลสนั้นรุนแรงขนาดที่ทำให้ทุกคนคิดจะเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีการทั้งปวงเพื่อหวังให้ตัวเองอยู่เหนือธรรมชาติ โดยลืมนึกไปว่าธรรมชาติเป็นผู้สร้างเราแต่เรากลับอกตัญญูไม่รู้คุณ ทั้งยังคิดทำลาย เพื่อตอบสนองต่อกิเลสตัณหาอันต่ำต้อย”

ลินดาหยุด เพื่อมองหน้าหนุ่มสาวทั้งสอง

“เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ธรรมชาติลงโทษได้อย่างไร” เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาสลดวูบลง “ลูกดูเอาเองเถิดว่ามันเป็นอย่างไร”

หญิงชราค่อยๆ หลับตา มือขวาทับมือซ้าย

‘เพ่งจิต’




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2556    
Last Update : 23 สิงหาคม 2556 13:31:19 น.
Counter : 3475 Pageviews.  

เธอกับฉัน ณ วันสิ้นโลก : บทนำ

บทนำ



วันสิ้นโลกจะมาถึงเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้

รู้เพียงวันนั้นต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

มีคนเคยบอกว่าเมื่อเหตุการณ์วันสิ้นโลกมาถึงคนกลุ่มหนึ่งจะถูกเลือกให้รอดและไปสร้างโลกใหม่ที่ดีกว่า

เราอาจไม่ได้ถูกเลือกให้ไปอยู่โลกใหม่

และเมื่อความตายไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในทุกสรรพสิ่ง

คนที่ถูกเลือก และคนที่ไม่ได้ถูกเลือกล้วนต้องตาย

คุณอยากตายแบบไหน

ตายไปกับภัยธรรมชาติไม่รับรู้ใดๆ หรือตายทั้งที่มีชีวิตอยู่บนโลกอันแสนโหดร้าย

หรือนี่เป็นบททดสอบสำหรับคนที่ถูกเลือก

ไม่ว่าอย่างไร

ถ้าเหลือเวลาอีก 1 ปี ก่อนตายคุณอยากทำอะไร

ถ้าเหลือเวลาอีก 1 เดือน ก่อนตายคุณอยากทำอะไร

ถ้าเหลือเวลาอีก 1 สัปดาห์ ก่อนตายคุณอยากทำอะไร

ถ้าเหลือเวลาอีก 1 วัน ก่อนตายคุณอยากทำอะไร

และ

ถ้าเหลือเวลาอีก 1 นาที ก่อนตายคุณอยากทำอะไร

จงใช้ชีวิตของคุณที่เหลือนับจากนี้ทำสิ่งที่คุณอยากทำใน 1 นาทีก่อนตาย เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่คุณอยากทำมากที่สุดแต่คุณให้ความสำคัญน้อยที่สุด

คุณจะมีเวลาอีกนานแค่ไหนที่จะได้อยู่กับคนที่คุณรัก

คุณจะมีเวลาอีกนานแค่ไหนที่จะได้บอกรักพ่อแม่

คุณจะมีเวลาอีกนานแค่ไหนที่จะได้ดูแลลูกของคุณ

สุดท้ายคุณจะมีเวลาอีกนานแค่ไหนในการทำความดี

เพื่อสร้างปาฏิหาริย์ มิใช่รอปาฏิหาริย์

 




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2556    
Last Update : 22 สิงหาคม 2556 16:58:39 น.
Counter : 3561 Pageviews.  

เธอกับฉัน ณ วันสิ้นโลก : เกริ่นนำ

   เพิ่งลองเขียนนิยายครั้งแรกค่ะ ชื่อเรื่องก็ได้เพื่อนๆ ในบอร์ดพันทิปช่วยกันโหวต อ่านแล้วมีอะไรแนะนำได้เต็มที่เลยค่ะ ยินดีน้อมรับทุกความเห็น เพราะแค่มีคนอ่านกันต์นัทธ์ก็ดีใจมากแล้วค่ะ Smiley

รูปนี้ก็ลองทำเล่นๆ ให้มีภาพประกอบค่ะ



รินรดาและยุทธศาสตร์สองสามีภรรยาที่กำลังจะมีความสุขกับการจะมีลูกคนแรกแต่แล้วในวันที่รินรดากำลังจะคลอดนั่นเอง โลกก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ส่งผลให้ทุกชีวิตที่อยู่บนโลกล้วนต้องพบกับมหัตภัยล้างโลก

หรือว่านี่กำลังจะถึงยุคที่เรียกว่า กลียุค !




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2556    
Last Update : 22 สิงหาคม 2556 16:43:52 น.
Counter : 4247 Pageviews.  


กันต์นัทธ์
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




กันต์นัทธ์ แปลว่า ผูกพันด้วยความรัก






แจกฟรี !! e-book

 รวม ฟรี !! E-BOOK 
Friends' blogs
[Add กันต์นัทธ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.