Qua'Os 's Archives
Group Blog
 
All Blogs
 
Borderline - ตอนที่ 1

Borderline

by Qua'Os

มิตรภาพของเด็กสาว ... พวกพ้อง ... การต่อสู้ ... การแสวงหา ... ความยุติธรรม ... ความรัก และ ความลึกลับอันยิ่งใหญ่ของโลกใบน้อยๆ

นิยายเบาสมอง (เหรอ?) สไตล์มั่วซั่วที่ผู้เขียนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนต่อไปมันจะออกมาท่าไหน ใครใคร่อ่าน ก็เชิญอ่านตามสะดวก

* คำเตือน: อาจมีความรุนแรงและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กเป็นส่วนเล็กน้อยถึงปานกลางในบางพื้นที่ ผู้ปกครองควรพิจารณา *


ตอนที่ 1 - ทวารบาล (The Portal Keepers)


พร้อมแล้วหรือ?

เราจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ได้เดินทางไปเพื่อค้นหาสิ่งที่เราไม่รู้จัก ในโลกใบเล็กๆ ของเธอผู้นี้...

"เพื่อลอง เพื่อดู ให้เห็น ให้รู้
เพื่อทะยาน เพื่อสู้ แกร่งกล้า ท้าฝัน
เพื่อสำแดง เจตจำนง สัตย์จริง มุ่งตรงพลัน
เพื่อรักษา วาจามั่น เงียบงัน เพียงผองพี่น้องเรา ฯ"

ลมพัดกรรโชกมาเกือบแผ่วเบา พาเอาใบไม้ใบหญ้าหินทรายปลิวว่อน เด็กสาวหุ่นปราดเปรียวนางหนึ่งกอดอกห่อไหล่ฝืนทนเดินย่ำฝ่าไป เนื้อกายสั่นสู้ความหนาวอย่างต่อเนื่อง

"ชะ...ชะ...ชั้นจะไม่ไหวแล้ววว..." เธอครางไปฟันกระทบกันกึกๆ ไปอย่างน่าเวทนา แต่นัยน์ตาที่หรี่ปรือจนแทบจะปิดอยู่แล้วก็ยังคงมีความหวัง
ความหวังที่ว่านั้นอยู่ห่างไปอีกไม่ไกลตามทางเบื้องหน้า บ้านหลังใหญ่ดูโอ่อ่าขยับเข้ามาในทัศนวิสัย ขยายขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย
"ทิฟ! ได้ยินมั๊ย! เปิดประตูที!" เมื่อเข้าไปถึงระยะพอเหมาะ เด็กสาวก็รีบรวบรวมกำลังโซซัดโซเซโผไปเกาะประตูแล้วเคาะอย่างดุเดือดเกือบๆ จะเป็นการบุกพังเข้าไปอยู่แล้ว

ข้างในมีเสียงฝีเท้าตึกๆ และแล้วเด็กสาวรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่งก็มาดึงประตูเปิดอย่างรวดเร็ว ทำเอาเธอที่ทิ้งน้ำหนักพิงกับประตูอยู่ล้มถลาลงไปนั่งหอบอยู่กับพื้นบนพรมเช็ดเท้า
"อ้อ! เธอเองเรอะ ยัยมารริษยา"
ชื่อนั้นทำให้เธอฉุนกึกจนลืมความหนาวเย็นไปได้ชะงัด ถึงกับต้องแหวย้อนกลับไป
"ชั้นชื่อ มา-ริ-ชญา เฟ้ย! ยัยทิฟฟานี่!"
อีกฝ่ายขมวดคิ้วแล้วตอบกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้กัน
"ชั้นก็ชื่อ ทิพเรศ ย่ะ ไม่ใช่ทิฟฟานี่!"
ทั้งสองจ้องหน้ากันเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเริ่มหลุดหัวเราะคิกๆ กันออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
"หายกันแล้วสิ"
"เออ"
เจ้าบ้านงับประตูปิดให้แน่นหนา พลางหันมาพยักหน้าบอกเพื่อนสาวเป็นสัญญาณ
"ไปๆ ยัยลิป เข้าบ้านก่อน หนาวโหดนะเนี่ยตอนนี้"
"จ้า อูย~"

อีกครู่ต่อมา สองสาวก็มานั่งกินร่วมโต๊ะกันอย่างแสนสุขในครัว
"ฮ้า~ น้ำซุปของเธอนี่วิเศษสุดๆ ไปเลย~" ลิปครางออกมาพลางหลับตาพริ้ม ในจังหวะสลับกับที่มือถือช้อนจ้วงตักซุปข้นร้อนๆ เข้าปากอย่างต่อเนื่อง จนเกลี้ยงชามอย่างรวดเร็ว

"แล้วเธอนึกยังไงออกมาเดินตอนนี้หา นี่ถ้าฉันไม่อยู่มีหวังนอนแข็งอยู่แถวนี้แหงๆ" ทิฟเริ่มตั้งประเด็นถามบ้าง
"ออกตรวจตราประจำวันน่ะ ก็รู้ๆ อยู่" ผู้มาเยือนยักไหล่ก่อนจะตอบแบบวางท่าเล็กน้อย "แต่แย่จัง ดันเจอพายุเข้ากะทันหัน อย่างว่าแหละช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยยังไงบอกไม่ถูก..."
"อ๋อเหรอคะ~" ทิฟแกล้งดัดเสียงให้กวนประสาทเล่นๆ ด้วยความหมั่นไส้ "ตรวจตราหรือหาที่ตลกบริโภคกันแน่ยะ คุณผู้คุ้มกฎ?" ลิปที่กำลังก้มๆ เงยๆ มุดตู้หาขนมอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินก็แทบจะสำลักน้ำชาออกมาเดี๋ยวนั้น "ดูสิ ขนมบ้านชั้นขนมาเท่าไหร่ๆ ก็หมดอย่างเร็วทุกรอบเลย"

"หวังว่าพายุจะสงบก่อนอาทิตย์ตกดินนะ" ลิปเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน "ไม่งั้นล่ะแย่เลย ฉันต้องไปดูประตูเป็นแห่งสุดท้ายซะด้วย"
ทิฟนิ่งงันไปชั่วแวบ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
"ใช่ ไปแถวนั้นตอนฟ้ามืดไม่ดีแน่"

หลังจากดื่มกินของร้อนๆ เติมเข้าไปเต็มท้องแล้ว พวกเธอก็นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงกันต่อไปอีกพักใหญ่ จนพายุเริ่มซาลงเมื่อโพล้เพล้แล้วนั่นแหละ ลิปจึงลาจากเพื่อนสาวแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก แล้วออกเดินต่อไปตามเส้นทางประจำ พายุครั้งนี้ทิ้งร่องรอยความวินาศสันตะโรไว้ตามที่ต่างๆ ในหมู่บ้านอยู่พอสมควร แต่ไม่ถึงขั้นที่พวกเขาต้องโวยวายอะไร
ระหว่างทางลิปยังอุตส่าห์เหลือบไปเห็นรุ่นพี่ที่รู้จักกันดี นั่งซ้อนท้ายจักรยานคันหนึ่งมาจอดหน้าบ้าน โดยมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีนายหนึ่งขี่มาส่ง

หลังจากโบกมือร่ำลากัน และหนุ่มน้อยปั่นจักรยานลับสายตาไปแล้ว พี่สาวคนนั้นก็หันมาเจอกับมาริชญาที่กำลังยืนยิ้มเผล่แบบเจ้าเล่ห์สุดๆ พลางจ้องเธอตาแป๋ว
"แหม หลอกเด็กอีกแล้วนะพี่นุ้ย"
"นี่ๆ ไม่ต้องเลย" หญิงสาวที่ชื่อนุ้ยยืนเท้าสะเอวทำเสียงเข้มตอบ "อดิษฐ์เขาอายุน้อยกว่าพี่ไม่เท่าไหร่หรอกน่า"
"ไม่เท่าไหร่นี่...ซักกี่อสงไขยกันล่ะพี่"
พูดจบลิปก็รีบออกวิ่งพลางหัวเราะพลาง จนหนีพ้นจากการโดนไล่เตะไปได้อย่างหวุดหวิด

จุดสุดท้ายของการเดินตรวจตราความเรียบร้อยประจำวัน เป็นที่ที่บรรยากาศไม่เป็นมิตรนัก เธอต้องเดินแหวกพงหญ้ารกสูงท่วมหัวเข้าไปในทุ่งซึ่งถัดจากนั้นก็เป็นแนวเขตป่าเชิงเขา ลิปต้องเดินด้วยความเร่งรีบผ่านป่าดงรกชัฏจนใกล้จะถึงที่หมาย เธอเพ่งฝ่าความสลัวยามอัสดงที่คลุมทับซ้ำด้วยเงาไม้เข้าไป ก็เห็นธงผ้าสีแดงปลิวไสวปักเป็นแนวขวางอยู่
เธอสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งเฮือก ก่อนจะรวบรวมพลังเสียงตะโกนผ่านข้ามแนวธงเหล่านั้น
"ลุงเอ้ย!"
มีเสียงห้าวตะโกนตอบกลับมา
"เอ้ย!"
เธอก้าวเดินอย่างระมัดระวังผ่านแนวธงรอบๆ เข้าไปถึงลานดินโล่งตรงกลาง ที่ปรากฎต่อสายตาเธอตอนนี้คือสถานีรถไฟร้างเต็มไปด้วยเห็ด รา ตะไคร่ เถาวัลย์ และอื่นๆ ขึ้นเต็มพื้นชานชาลาขึ้นเต็มหลังคาเกาะพันรอบเสาค้ำทั่วไป ถัดจากนั้นก็ทางรถไฟผุเก่าที่ดูจะถูกเลิกใช้มานานแล้ว มันทอดยาวหายลับเข้าไปในอุโมงค์มืดที่เจาะตัดผ่านแนวภูเขาสูงระฟ้า ปากอุโมงค์ถูกปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนาด้วยประตูตาข่ายลวดขนาดใหญ่หลายชั้น มีสารพัดกลไกหนักปิดล้อมทับอยู่รอบๆ อีกที

ก่อนถึงประตูมีป้อมยามที่ประกอบสร้างขึ้นจากเหล็กทั้งองคาพยพ หน้าต่างหันออกไปหารางรถไฟ ทางซ้ายเป็นประตู ทางขวาเป็นลานดินหน้าสถานี ป้ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในป้อมยาม มีชื่อเขียนไว้ตัวโตๆ อ่านได้ว่า "นายอรรค ขันตุ"

"วันนี้เป็นไงมั่งคะลุง"
ลิปเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนมีหนวดพุงพลุ้ยท่าทางใจดีที่นั่งอยู่ในนั้นพลางเริ่มสนทนาปราศรัย
"ก็เงียบสงบดีเหมือนปกติล่ะหนูลิปเอ๊ย" ลุงคนนั้นตอบกลับมาอย่างเป็นมิตร แต่น้ำเสียงและสีหน้าแฝงความกังวลไว้อยู่ "แต่ไม่รู้เป็นไงนะ ช่วงนี้ลุงรู้สึกแปลกๆ กับมันยังไงไม่รู้ ... เหมือนกับถูกจ้องมองมาจากอีกฟากนึงข้างในนั้น ... บางทีอยู่ๆ ก็ขนลุกขึ้นมาบ่อยๆ เลยล่ะ"

มาริชญาเลิกคิ้ว หันไปมองประตูตาข่ายเหล็กที่ดูเก่าจนเหลาเหย่นั้นด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นกว่าปกติที่เคย
...หรือจะถึงเวลา "พวกมัน" เคลื่อนไหวอีกแล้ว?

ในฐานะผู้คุ้มกฎ เธอได้รับมอบหมายและตอกย้ำซ้ำๆ จากท่านผู้อาวุโสทั้งหลายมาตั้งแต่แรกเริ่มว่า ทั่วทั้งดินแดนแถบนี้มีอาณาเขตสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างดีที่สุดอยู่สองแห่งเท่านั้น

ที่แรก คือประตูนี้ ประตูที่เธอและเกือบทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปเลย มีเพียงตำนานเล่าขานกันมาเท่านั้น
มันมีชื่อเรียกขานเป็นที่รู้จักกันดีว่า "ประตูสนธยา"

อีกที่หนึ่ง คือบึงใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งรกร้างและน่ากลัวจนไม่มีใครอยากเข้าไปใกล้ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
ส่วนสาเหตุนั้น...ว่ากันว่าถึงบึงนี้จะแยกห่างจากประตูไปคนละฟากของหมู่บ้าน แต่ก็มีบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่
ถ้าวันใดมีปัญหาที่จุดใดจุดหนึ่ง ภัยคุกคามจะออกมาจากทั้งสองด้าน - และเป็นภัยชนิดที่หนักหนาสาหัส จนจะทำให้ชีวิตของพวกเขาทั้งหมดไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้อีก นั่นเป็นคำเตือนจากเหล่าผู้อาวุโสตั้งแต่เมื่อกาลเนิ่นนานมาแล้ว
ฟังดูเหมือนขู่...แต่เธอก็รู้สึกได้ด้วยใจในถ้อยคำเหล่านั้น ว่ามันจริงจนน่าพรั่นพรึง

"เอาน่าลุง ถ้ามีอะไรน่าสงสัยล่ะก็..." ลิปหันไปมองหน้าลุงอรรคพลางพยักเพยิดกล่าวอย่างหนักแน่น "เชื่อในความรู้สึกตัวเองนะ เปิดสัญญาณเตือนภัยเต็มที่เลย แล้วต่อให้หนูไปเที่ยวเล่นหรือหลับหัวทิ่มอยู่ที่ไหน ก็จะรีบวิ่งมาแบบพร้อมรบเต็มพิกัดแน่นอน ไม่ปล่อยให้ลุงสู้อยู่คนเดียวหรอก"
"อืม...ดีๆ งานถนัดของหนูลิปอยู่แล้วนี่นะ"
"ฮะๆๆ ช่าย! เรื่องใช้กำลังน่ะหนูถนัดอยู่... เอ๊ย!?! นี่ลุง หลอกให้หนูพูดอะไรไปเนี่ย!"

ถึงตอนนี้ลิปมองไปรอบๆ ก็พบว่าแสงที่ยังส่องสว่างให้พอมองเห็นลายมือตัวเองได้อยู่แถวนั้น ก็มีแต่ตะเกียงบนโต๊ะในป้อมยาม ส่วนท้องฟ้าเบื้องบนเปลี่ยนเป็นสีม่วงไล่สลับสู่เฉดน้ำเงินและส้มดูสวยงามแต่ก็น่าหวาดหวั่น
"หนูว่าหนูกลับก่อนดีกว่า แล้วเจอกันใหม่นะลุง รักษาตัวดีๆ ล่ะ" ว่าแล้วเธอก็จ้ำออกไปจากที่นั่นโดยไม่ต้องอยู่รอคำตอบ
"เฮ้อ..." ลุงอรรคส่ายหัวเบาๆ พลางอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
"เป็นผู้คุ้มกฎมาได้ไงนะเนี่ยยัยคนนี้ ติงต๊องสุดๆ"
พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงตะโกนสวนกลับมาอย่างทันใจจากในดงไม้เบื้องหน้า
"นี่ลุง หนูยังไปไม่ทันถึงไหนเลยนะ!"

ลิปเดินแกว่งแขนฮัมเพลงไปตามทางกลับมาผ่านหมู่บ้านอย่างสุขใจ วันนี้เดินตรวจครบทุกจุดตอนหัวค่ำพอดี แต่ยังเหลือที่หมายให้แวะไปอีกแห่งหนึ่งที่เธอพลาดไม่ได้...

"พี่แพรไหมขา~"
เมื่อหญิงสาวรุ่นพี่อีกคนหนึ่งเดินออกมาเปิดประตูรั้ว ลิปก็วิ่งเข้าไปทักทายด้วยเสียงใส
"บ้านช่องมีไม่กลับนะเราน่ะ ร่อนได้ร่อนดีทั้งวัน" เป็นคำแรกที่อีกฝ่ายทักทายเธอตอบ
"ใจร้ายจัง มาถึงก็จะไล่เค้าเลยเหรอ"
"ไม่หรอกน่า อย่างอนสิ มาๆ เข้ามาก่อน"

ในเวลานั้นดวงจันทร์เริ่มปรากฎขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าแล้ว ด้วยรูปโฉมเกือบเต็มดวง เปล่งสีเงินยวงเจือด้วยส้มอ่อนๆ
"พระจันทร์ซ้วยสวยเนอะพี่" ลิปนอนหนุนตักแพรไหม สายตาจ้องมองดวงจันทร์แน่วนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ พระจันทร์ก็ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ อยู่ๆ ลิปก็เริ่มฮัมทำนองเหมือนเพลงของเด็กเล็กออกมา จนกระทั่งร้องขึ้นเป็นเนื้อเพลง
"หัวผักกาด! หัวผักกาด! หัวมัน! หัวมัน! ฟักทอง! แตงฉ่ำ! ฉันจะงอกปีกคู่สวยสวย บินไปในฟ้ากว้างไกล ขับขานเหมือนหมู่นกไพร กล่อมผู้เดินไปมาให้หลับไหล ปลุกผู้วายชนม์ให้ฟื้นตื่น ให้ลุกขึ้นกลืนกินผองชนเป็น โอ้ช่างอึกทึกครึกโครมเหลือทนเข็น ขึ้นขึ้นลงลงสว่างจ้าแล้วมืดดับลับลา ฮ่าฮ่าฮ่า โลกนี้กระไรช่างน่าขำจริง น่าขำแต่ก็จริงแสนจริง เอย~"
แพรไหมทำจมูกย่น มองเด็กสาวแบบแปลกๆ
"เพลงอะไรเนี่ย พิลึกจริง?"

"เค้าแต่งเองเชียวนะ เพิ่งคิดได้สดๆ เมื่อกี๊ เก่งมะล่ะ?"
"จ้าๆ งั้นต้องให้รางวัลซักหน่อยแล้ว"
ประโยคนั้นดึงดูดความสนใจของลิปได้ชะงัด เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองพี่แพรไหม ด้วยความยินดีในแววตาที่ปิดไว้ไม่มิด
"จริงอ่ะ?"
"ฝันไปเหอะ"
พี่แพรไหมต้องรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของลิปเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
"โอ๋ๆ ไม่ใช่ยังงั้นน่าหนูน้อย" เธอปลอบไปก็ขำไป "ลิปฝัน แล้วพี่จะช่วยทำให้เป็นจริงขึ้นมาไง"
สายลมพัดมาอีกระลอก พอดีกับจังหวะแห่งความเงียบที่ผ่อนคลาย...
"พี่คะ..." เสียงของสาวน้อยแผ่วเบาลง "ลิปน่ะ ไม่ได้ฝันอยากได้อะไรที่มันเลิศหรูมากมายหรอก ก็แค่..."
เธอถอนหายใจ แล้วซุกหน้าเข้าที่ตักของพี่แพรไหม ก่อนจะเริ่มเคลิ้มหลับ
"เอ้า! เด็กคนนี้นี่ นึกจะหลับก็หลับเอาง่ายๆ ซะยังงั้น"



Create Date : 31 มีนาคม 2550
Last Update : 31 มีนาคม 2550 11:15:53 น. 0 comments
Counter : 118 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

QuaOs
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add QuaOs's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.