Review: JUJU AQUAMOIST Pure H 100 + Moisturizer Cream & Cleansing Express Gel
ผลจากการใช้ครีมตัวดังที่ขาย Online ชื่อย่อว่า BZ ผ่านไป 2 เซ็ตเพราะเห็นคนรู้จักหลายๆ คนใช้กันแล้ว ขาวขึ้นมาก แถมผิวดูดีอย่างไม่น่าเชื่อไอเราที่ผิวไม่ได้มีปัญหาอะไรก้อเลยเสนอหน้าลองดู เพราะไม่เคยแพ้ ไม่หวั่นสุดท้ายกลายเป็นเส้นเลือดที่หน้าชัดขึ้นมากมาย แล้วพอชุดที่ 2 ก็จะแสบๆ หน้าเวลาล้างเสร็จแต่เห็นผลชัดเจนมากว่าเดือนกว่าๆ ขาวขึ้นจนคนรอบข้างทัก เดาว่าผิวคงบางไปเยอะโดยรวมไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายเมื่อหยุดใช้สิวอุดตันก้อขึ้นอย่างไม่เคยมีในชีวิตถึงขนาดรูมเมทเจอยังทักว่า ตอนอยู่หอนอนทั้งเครื่องสำอางค์ หน้าไม่ค่อยล้างแทบจะไม่เคยเห็นสิวขึ้นเลย ไม่น่าเชื่อว่าขึ้นได้ขนาดนี้ เฮ่อ ดูแล้วจะร้องไห้กลายเป็นผิวแห้งมากกกก จมูกลอกเป็นขุยๆดำๆ นี่ไม่ใช่รอยสิวนะ แต่พอสิวยุบมันแห้งจนเป็นสะเก็ดครีมที่มีอยู่มีแต่บำรุงทั่วไปสำหรับผิวปกติเลยรู้สึกว่าต้องหาอะไรซักอย่างที่มันเน้นเรื่องชุ่มๆๆๆๆๆ2 Choices ที่เล็งไว้คือ Make a diffence ของ Origins และ ครีมของ Jujuแล้วก้อเลือก Juju มาด้วยสาเหตุของ ราคา ฮ่าๆเพราะซื้อ Juju 2 อย่างรวมกันเพิ่งได้ Origins แค่กระปุกเดียวเองสอยมาจาก Watson ทั้งหมดดังนี้ (จากซ้าย)- JUJU AQUAMOIST Moisturizer Cream- JUJU AQUAMOIST Pure H 100 -- 890 THB- Cleaning Express Gel -- 315 THB JUJU AQUAMOIST Moisturizer Creamคุณสมบัติ: เป็นกรดอ่อนๆ, ไม่แต่งกลิ่น, ไม่ใส่สี, ไม่มิเนอรัลออย, ไม่ใช้ส่วนผสมจากสัตว์ เจลครีมเนื้อนุ่ม เกลี่ยบนผิวได้ง่าย ช่วยปรับสภาพผิวให้เปล่งปลั่ง เต่งตึง เนียนนุ่ม ชุ่มชื่นครีมบำรุงเช้าและก่อนนอน เก็บความชุ่มชื่นลดริ้วรอย มีสารป้องกันแสงแดดจากธรรมชาติ พร้อมทั้งวิตามินซี ปรับสีผิวให้ขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวนี้คือตัวที่ตั้งใจมาซื้อเลย เพราะดูจากเนื้อมันน่าจะชุ่มๆ จมูกจะได้หายลอกตอนแรกเล็งสีชมพูตัว Collagen ไว้แต่เค้าไม่เอามาขายแล้วสีน้ำเงินตัวนี้จะเน้นเรื่อง VIt C ช่วยทำให้ผิวขาว แต่ไม่ได้สนเท่าไหร่ เนื้อเป็นเจลๆ ทาไปมันจะเหนอะๆ หน่อยก้อไม่ได้รำคาญอะไรมากมาย เพราะนอนห้องแอร์ด้วยแต่ไม่เหมาะการการทาตอนเช้าอย่างยิ่ง เพราะถ้าลงกันแดดทับ หน้าจะเหนียวมากแพ็คเกจใหม่ปี 2010 มันจะมีป้าย Up สีชมพูอยู่ แปลไม่ออกก้อเลือกดูดีๆ ละกันเนอะ ขนาดว่าซื้อในวัตสันยังมีปี 2008 หลงอยู่เลยTotal: 7.5/10มันก้อชุ่มๆ ดีอะ แต่ตอนล้างออก มันเหมือนเคลือบๆ อยู่ไม่รู้ว่าเป็นตัวเจลที่ส่วนบำรุงซึมไปหมดแล้ว หรือมันยังเกาะอยู่ครบทุกประการณ์และถ้าไม่ได้ซื้อ H100 มามันก้อโอเคนะ แต่พอซื้อมาด้วย เลยเริ่มรู้สึกว่าตัวนี้ไม่ค่อยจำเป็นJUJU AQUAMOIST Pure H 100คุณสมบัติ: เซรั่มที่ช่วยสร้างบาเรียความชุ่มชื่นให้กับผิวด้วยประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำของไฮยารูลอน เมื่อใช้บำรุงผิวตอนกลางคืนจะช่วยเก็บกักความชุ่มชื่นในผิวชั้นฮอร์นนี่เลเยอร์เอาไว้ตลอดคืน ช่วยเสริมให้การแต่งหน้าในวันรุ่งขึ้นติดแน่นทนนานผลิตภัณฑ์ ตระกูล HYALURON นี้เป็นสารสกัดบริสุทธ์จากพืช 100% ที่เรียกว่า Bio Hyaluron โดย Hyaluron เพียง 1 กรัม เทียบเท่ากับการเติมน้ำให้ผิวถึง 6 ลิตร ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ริ้วรอยแลดูตื้นขึ้นและจางสินค้าขายดีที่สุดในทุกประเทศที่วางจำหน่ายไม่ได้ตั้งใจจะซื้อแต่เห็นจัดแพ็ค 1 แถม 1 ในราคา 890 บาท เลยถอยมาดูตอนแรกก้อแอบคิดหยดเดียวจะทั่วหน้าได้ไง แต่หลอดมันใหญ่มากอะหยดเดียวยังเหลือไปทาคอสบายๆ เนื้อจะเป็นเหมือนเจลเหลวๆ หน่อยแต่ซึมเข้าหน้าไวมาก แล้วรู้สึกได้เลยว่าผิวชุ่มชื่นขึ้นFact: Hyaluronic acid มีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้ และมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก แนะนำให้ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ความเข้มข้น 0.25% ถึง 2.00%ดังนั้นที่เขียนว่า H 100% ไม่ได้หมายถึงว่ากำลังหยดไฮยารูลอนเพียวๆ ใส่หน้านะแต่หมายถึงว่า มีสารบำรุงตัวนี้อย่างเดียวเลย รับเต็มๆ ไม่มีสารอื่นเจือปนส่วนที่ข้นๆ เพียวๆ ก็จะเอาไปทำเป็น Filler เสริมจมูก เสริมคาง เติมร่องน้ำตาแล้วร่างกายก็จะค่อยๆ ย่อยสารตัวนี้ไปเอง ไม่อันตราย ผลลัพธ์จากการใช้ทั้ง 2 ตัวตรงที่วงไว้คือส่วนที่แย่ที่สุด แห้งจนแดงจนเป็นรอยแตกเหมือนส้นเท้าเปรียบเทียบเลวร้ายดีมั๊ย ทางขวาคือใช้ Juju ไปได้อาทิตย์กว่าๆ ละ ดีขึ้นเยอะมากTotal: 9.5/10มันเห็นผลไวมาก หน้าดีขึ้นเห็นได้ชัด แต่ขอหักที่ ทาตัวเดียวมันไม่จบแลดูไม่มีสารบำรุง วิตามินอะไรอยู่เลย ต้องหาตัวอื่นทาเพิ่มอีกCleaning Express Gelจุดเด่นของตัวนี้คือ ใช้เช็ดเครื่องสำอางเสร็จแล้วไม่ต้องล้างโฟมต่อ ตามคอนเซปต์ Expressถึงตัวที่ดังๆ จะเป็นแบบน้ำ แต่ไม่ชอบเอาสำลีเช็ดหน้า เลยเลือกแบบเจลมา บีบเท่าลูกองุ่นแล้วก้อนวดไปทั่วหน้าเว้นใต้ตา เจลจะค่อยๆ ละลายกลายเป็นน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าตอนล้างออกเนี่ยก็รู้สึกว่าสะอาดแล้วนะ แต่ก้ออดล้างโฟมต่อไม่ได้ใช้คู่กับ Smooth E baby Face foam จากไม่ชอบโฟมตัวนี้เพราะเหมือนล้างไม่สะอาดแต่ใช้ด้วยกันแล้วรักเลย เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก หน้านิ่มสุดๆๆTotal: 9.5/10โดยรวมก็รักแล้วแหละ แต่ตรงไหนที่เป็นสิวสดๆ มันจะแสบๆ แล้วอีกอย่างเป็น Express ทั้งที น่าจะให้ทารอบใต้ตาได้ด้วยแต่ก็นะแค่กลิ่นก็รู้แล้วว่าไม่ควรล่าสุดหน้าเริ่มใกล้กลับสู่สภาพปกติ ยังเยินอยู่ แต่ก้อโอขึ้น ปล. แต่งหน้าแล้ว... ยาวเหยียดเลยวันนี้ ขี้เกียจอ่านก็ดูรูปไปนะ ฮาๆๆ
DIY: มาทำปากกาคริสตัลวิ้งๆ กันเถอะ
เนื่องจากไปเห็นปากกาวิ้งๆๆ ในเว็บมา หน้าตาอย่างเงี๊ยะภายในหัวก้อเริ่มสะกดจิตตัวเองว่า คนที่ถือปากกาแบบนี้จะดูดีขึ้น 20%ควักออกมาจากกระเป๋าแล้ว ความสวยจะพุ่งขึ้นทันใดเลยเม็มเก็บไว้ใน Shopping List ก่อนแต่อยู่ๆ วันนี้ไปเดินห้าง ก้อปิ๊งไอเอียขึ้นมาว่าซื้อปากมามาทำมั่งดีกว่าเลยจัดการซื้ออุปกรณ์มาเตรียมเปิดห้องทดลองทำง่ายมาก อุปกรณ์มีแค่1. ปากกา (รูปลิปสติกจาก ZeenZone 55 บาท)2. คริสตัล (จาก B2S สีขาว 95 บาท ชมพู 125 บาท)3. กรรไกรแต่ก่อนสิ่งทั้งปวง เราต้องเริ่มการชำแหละวัตดุดิบก่อนจะเห็นว่าเวลาเราซื้อของแล้วมันติดสติ๊กเกอร์ไว้ มันจะเหนียวและแกะยากโคดขั้นแรกคือการลอกกระดาษออกให้หมดก่อนด้วยสำลีชุบน้ำ ถูปี๊ดๆ เข้าไปทีนี้จะเหลือส่วนที่เป็นกาวเหนียวๆ แต่ไม่ต้องห่วงEye Remover ตัวเทพช่วยคุณได้ ย้ำว่าต้อง Eye นะ พวก Oil ล้างหน้าจะไม่ออก ไม่ก้อออกไม่หมดเทใส่สำลีถูๆ แป็บเดียว กาวหลุด แต่ความมันเหลือไว้เพียบก้อไปโปะๆ น้ำสบู่ซักหน่อย ก้อหายแล้วเริ่มต้นด้วย1. วัดขนาดของคริสตัลให้พอดีกับขนาดที่จะแปะ2. ตัดออกมาเท่าที่ใช้ เส้นนี้คือแค่สำหรับขอบที่นูนออกมา3. แกะพลาสติกด้านหลังออกก็ติดได้เลย4. ทำแบบเดียวกันกับส่วนบนที่เหลือแต่จะเห็นว่าสีชมพูที่ซื้อมามันปนกันไปหมด เปอเลือกเฉพาะสีชมพูเข้มเป็นหลักแล้วก้อชมพูอ่อนแซมบ้าง ขาวไม่เอาเลย เดี๋ยวสีตีกันท่อนบนจะยุ่งหน่อย ตัดทีละเม็ดแปะ ศิลปะตามใจฉันแค่นี้ก้อเสร็จแล้ววววว มาดูผลการทดลองกันดีก่าดูเป็นตุ่มๆ ปูดๆ ไม่รู้คิดผิดรึเปล่า ว่าน่าจะซื้อแบบไซส์เท่ากันมาแต่มองไปนานๆ มันก้อสวยแปลกๆ ดีน้า มันมีส่วนคล้ายตัวอย่างบ้างมั๊ยเนี่ย?? สำหรับคนที่คิดว่าทำแล้วจะคุ้มหรอ เสียไปตั้ง 270 บาท ซื้อเอาก้อเท่ากันแต่จริงๆ คริสตัลที่ซื้อมาเหลือเพียบเลย ใช้ไป 1 ใน 3 เองตีเป็นเงินก็ประมาณ 75 บาท รวมปากาก็เป็น 130 บาทที่เหลือก้อเอาไปเล่นลัลล้าชอบไม่ชอบยังไงก้อติชมกันด้วยเนอะหรือใครจะเอาไปทำก้อสู้ๆ เอาให้เริศๆ แล้วมาอวดกันด้วยนะคะ
Review: Rmk Super Basic Concealer "PACK VS. LIQUID"
ปกติใช้คอนซีลเลอร์ของ RMK ตัวที่เป็น Pack ตัวเทพอยู่แล้วแต่ว่าใกล้จะหมดเลยจัดการสอย Liquid มาลองว่าจะสู้ได้มั๊ยดูสภาพตาซิ ชีวิตนี้ขาดคอนซีลเลอร์ไม่ได้เด็ดขาดมันม่วงๆ เหลืองๆ ขนาดนี้ได้ไงก้อไม่รู้ เลิกหวังกะอายครีมไปละซ้าย แชมป์เก่า Pack -- ขวา ผู้ท้าชิง Liquidสภาพเยินๆ ของตัว Pack ไม่มีแป้งเด้อ ใช้ของ Laura Mercier แทนด้วยความหนืดมากๆๆๆๆ เลยใช้รองพื้น Kate ผสม แล้วก้อเอานิ้ววนๆๆๆ วอร์มให้มันเป็นครีมๆใช้นิ้วนาง(ดีที่สุด) จิ้มๆๆ แปะไปรอบๆ ตา ค่อยๆ กดให้กลืนไปกับผิวตัว Liquid จะเป็นแบบหมุนก้น ตอนเพิ่งแกะมานี่อย่างตกใจโดนหลอกป่าวแหะ หมุนแกร๊กๆๆๆๆ ก้อไม่ออกมาซักที เข้าใจว่าอากาศคงเยอะเปอซื้อเบอร์ 01 มา 1,035 บาท สั่งจาก Best-Skin-Shop สีพอดีเป๊ะก้อค่อยๆ หมุนทีละแกร๊ก เดี๋ยวจะออกมาเยอะเกิน แล้วเยิ้มแล้วใช้พู่กันวาดไปรอบๆ ตา แล้วใช้นิ้วนางช่วยกดเหมือนเดิมเสร็จแล้วได้ตาขาวจั๊วะออกมา บริ๊งๆๆๆๆ ซ้าย Pack ขวา Liquidผลลัพธ์ออกมามหัศจรรย์มากกกกกกกกกก อาจจะดูไม่ต่างกันมาก แต่มาเทียบการใช้จริงกันดีกว่าPackข้อดี - ใช้ได้นานมากๆๆๆ เกือปปีแล้ว ถึงราคาจะสูง แต่ว่าคุณภาพคุ้มสุดๆข้อเสีย - เปอชอบแต่งหน้าในรถ การเอารองพื้นมาผสมวนๆ ก่อนทาทำให้เสียเวลา แล้วก้อเผลอไปเลอะพวงมาลัยไรงี้อีกและไม่รู้ว่าเป็นที่เคทรึเปล่า มันเลยแห้งช้า พอบ่ายๆ สีคอนซีลเลอร์จะเริ่มหมอง และเป็นคราบ แต่ก้อถือว่าเป็นน้อยที่สุดในบรรดาที่เคยใช้มาTotal: 9.8/10แอบกั๊กไว้นิ๊ดดนึง มันดีเว่อร์ละสำหรับแพ็ค แต่มันยังไม่สุดLiquidข้อดี - ใช้ง่าย หมุนแกร๊กๆ ป้ายๆ ก้อเสร็จ ซึ่งถ้าใช้ไปซักครั้ง สองครั้งก้อกะถูกละว่าจะต้องหมุนกี่ที และแห้งเร็วกำลังดี ป้ายทั่วหน้าเสร็จก้อกำหลังหนืดๆ พอดีเกลี่ย ที่สำคัญอยู่ทนเช้ายันเย็นไม่ตกร่อง ไม่เป็นคราบ ปิดรอยสิวก้อเลิศข้อเสีย - หลอดทึบ ทำให้กะไม่ถูกว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าใช้ได้นานมั๊ยTotal: 10/10ฮ่าๆๆ ถึงจะแอบบ่น แต่แบบรักเลยอะตัวนี้ มันเวิร์คมอร์มากขอบคุณที่ติดตาม รู้กันหมดแล้วสิเนี่ยว่าหน้าเหียก 55555PS. เวลาลงลิงค์ร้านนี่ไม่ใช่ม้านะคะ แต่ลงให้ตัวเองจำเองว่าซื้อที่ไหน
Review: Etude Code B Strong Cream Liner + พู่กัน "สง่า มยุระ"
พักหลังมานี้ไม่ค่อยได้แต่งตา เพราะใช้เวลาเยอะ มันไม่ถนัดกว่าจะเล็งให้เท่ากันได้นานได้อีก เล็งไปก้อไม่เท่ากันอยู่ดีอะอยากกลับมาใช้ Gel/Cream Liner อีกครั้ง มันแห้งเร็วดีเล็งอยู่ระหว่าง Coffret D'or ที่คุณ AlwaysFluke ทำรีวิวไว้ซะเกิดกิเลสกับ Code B ที่กระแสช่วงนี้กำลังมาแต่จากสภาพกระเป๋าใบน้อยที่ Etude ถูกกว่าเกินครึ่ง สอยเลยละกันน่ารัก เก๋ชิค มีชาติตระกูล ด้วยราคา 310 บาทไม่รู้ว่าเพราะกระปุกทรงสูงรึเปล่า เลยดูน้อยมาก แต่จริงๆ ก้อมาตรฐาน 3g. แต่แปรงเนี่ยไม่ไหวเลยยยยยยยยยยยยยนั่งทำ Research อยู่นานว่าแปรงอะไรดี ไม่อยากซื้อของ BB มันจะแพงกว่าครีมซะสุดท้ายได้กระแสของ "พู่กันสง่า มยุระ" มา เห็นว่าถูกดี เลยไปถอยมาโลดแต่ละคำแนะนำใช้ไม่เหมือนกัน เลยถอยซะ 3 ไซส์เลยละกันจากซ้าย หัวแหลมเบอร์ 1, 2, และหัวตัดเบอร์ 1แล้วก้อจับกรีดเรียงกัน เห็นได้ชัดว่าเบอร์ 2 ให้สีชัด และไม่ขาดที่สุดลองกรีดตาแล้วออกมา ถือว่าผ่าน แฮปปี้มากส่วนหัวตัดนี่เละคอด หัวแปรงแตกกระจายแล้วลองกรีดกับแปรงที่ Code B ให้มา (ขวาล่าง)แปรง Code B ให้สีไม่สม่ำเสมอ หัวแปรงแตกตอนเขียนเลยเลอะๆสรุปสง่าชนะเลิศ ด้วยราคาเพียง 10 กว่าบาทเท่านั้นหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องเขียนทั่วไปส่วนเรื่องความทนของ Code Bอันนี้เนื่องจากบังเอิญ เขียนเสร็จแล้วหาของ เหงื่อแตกพลั่ก ฮ่าๆพอเอาทิชชู่ซับ ทิชชู่ยังขาวสะอาดเช่นเดิมล่างสุดคือซับเหงื่อออกหมดแล้ว ไม่เลือนเลย เจ๋งดีตอนล้างก้อใช้ Eye Remover ที่เป็นออย 2 ชั้นทั่วไปโปะๆ แป็บเดียวออกสรุปว่าทนน้ำ ทนเหงื่อ แต่ .... ไม่ทนความมันของหนังตาเพราะอีกวันกรีดไปข้างนอก ระหว่างวันก้อมีซึมๆ มาตรงหางตาบ้างไม่ได้ถ่ายรูปไว้อะ ลืม Total: 9/10ด้วยราคาขนาดนี้ถือว่าดีมาก ล้างออกง่าย ไม่เป็น Tattoo เรื่องแปรงถ้าตัดไปซะ ตัวครีมอย่างเดียวก้อถือว่าถูกมากแล้วแต่สำหรับคนที่หนังตาไม่มัน ใช้ของ BB แล้วไม่ย้อย อันนี้ทนทั้งวันแน่นอน
Review: Rimmel Lasting Finish 16hr Foundation + ของฝากจาก UK
เมื่อต้นเดือนเพื่อนสาวนิชา (miNipanda-z) กลับมาจาก UKได้ฤกษ์งามยามดีไปช็อบ Union Mall กันนิโหน่ยสร้อยแบบห้อยพะรุงพะรังเยอะๆ อันแรกมีลูกเต๋า อันที่สองมีเพชรชอบทั้งคู่ตัดใจไม่ได้ สอยมาโลด เส้นละ 199 บาทนาฬิกาเก๋ตรงคริสตัลด้านบน 100 บาท (ไม่คาดหวังความทนทานน ใส่ขำๆ)สุดท้ายคือ ชุดเดบิวต์ 555 ชอบอะ ชอบสีแบบนี้ ทรงแบบนี้เป็นชุดที่แบบว่า ถ้าเป็นลิฟต์ออยสมัยก่อนที่ใส่ชุดเดียวทั้งอัลบั้ม ของเปอต้องเป็นชุดนี้ เพ้อๆๆ 250 บาทมาถึงของฝาก และ ฝากซื้อจาก UK กันบ้างเล่นเอาเงินในกระเป๋าที่มีอยู่น้อยหายฮวบฮาบเลยทีเดียวอย่างแรกคือ Rimmel Lipstick ได้มา 3 สีPink Blush, Coral in Gold, Alarm ตกแท่งละ 225 บาทสีและเนื้อของลิปเป็นสีแมท แต่ทาง่ายมากกกกกกกกกคือทาปื๊ดๆๆ จากแท่งได้เลยสบายๆ ไม่เหนียว และสีไม่เพี้ยนขอไม่ทำ Review เพราะซื้อตามแบบไม่คิดคลิ๊กไปดูจากบล็อคของนิได้โลดBeauty ♥ REVIEW RIMMEL LONDON LIPSTICKให้คะแนน 10/10 -- Love Loveต่อมาคือ Rimmel Lasting Finish Foundationเลือกสี #100 Ivory รู้สึกว่าขาวสุดแล้วผลการทดลองแรกอันบนคือ ลองกับรอยด่างสมมุติ สีน้ำตาลเข้มและดำจางๆ ถือว่ากลบได้มิดเลย Bravo แต่กับอันล่าง รอยสีดำเลย คิดว่าเป็นสะเก็ด เป็นรอยดำสิวไรงี้ หรือขี้แมลงวัน ก้อทำให้จางลงนิดหน่อยเนื้อค่อนข้างหนา และแมท หนักหน้านิดๆ ไม่เหมาะกับลุคใสๆเรื่องสีก้ออย่างที่เห็นในรูปขวาบน "แดงซะ" เห็นความต่างได้ชัดจนทาทีหน้าเข้มๆ ไปเลย ต้องผสมรองพื้นเพิ่มส่วนในเรื่อง Lasting Finish 16hr อันนี้ให้เต็มอยู่โคตรทน โคตรนาน ตั้งเต่เช้ายันค่ำ แป้งไม่ต้องเติม เกาะอยู่งั้นเลยขอให้ 8.5/10 หักเรื่องหนักหน้า กับสีขาวสุดยังดำอยู่แต่เข้ากับเนื้อ Concealer ได้ดีเลยแหละสุดท้าย ชะลอม ลองแชมป์ ลองชอมป์ ลองชอง จะอ่านว่าไรก้อช่างในที่สุดก้อสอยมา หลังจากที่เคยคิดว่ามันไม่สวยเลยยยยแต่อยู่ๆ ไปนานๆ มันก้อดีแฮะ ได้ลุคชิวๆ แบบมีสไตล์ดีอันนี้เป็น Longchamp Size S หูยาว #Graphiteด้วยราคา 54ปอนด์ ตีเป็นเงินไทย ณ ตอนนั้นก้อ 3,000 บาทถูกกว่าที่ไทยนิดหน่อย ^^
ตอนนี้เปอกลับมาเขียนไดอารี่แล้ว ถ้าสนใจลองอ่านเล่นๆ เพลินๆ เชิญที่ http://purrhouse.wordpress.com
View shoutbox