All Blog
ลองดูครั้งแรก...กับนิยายที่แต่งเป็นเรื่องแรกของชีวิตตตตต (๒)

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่านิยายเรื่องนี้เป็น 'นิยายเรื่องแรกที่แต่งในชีวิตจริงๆ' แต่...มันก็น้านนานมาแล้วล่ะ ตั้งกะอยู่ชั้นมัธยมปลายแน่ะ! ถ้าใครนึกไม่ออกว่านานขนาดไหน บอกได้ว่าตอนนี้ จขบ. จบปริญญาตรีมาเกือบสามปีแล้ว (อ๊าย! เลยรู้เลยว่า จขบ. แก่แล้วSmiley


เรื่องนี้ได้รับอิทธิพลจากการอ่านหนังสือนอกเวลาเล่มหนึ่งซึ่ง...บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า 'เรื่องนี้แหละคือรักแรกพบ' เพราะชอบและประทับใจมากที่สุด กระทั่งเกิดเป็น 'นิยายกิ๊กก๊อกเรื่องที่คุณกำลังอ่านนี่เลย' แต่เนื่องจากความนานตั้งเกือบแปดปี ทำให้ จขบ. ไม่ได้หวนกลับไปอ่านอีกเลยจนกระทั่ง... บทประพันธ์ในหนังสือนอกเวลาเรื่องนั้นถูกรีเมคกลับมาสร้างเป็นละครทีวีที่น่ารักสุดแสนจะถูกใจ จขบ. เลยมีโอกาสได้หวนนึกถึง 'รักแรกพบ' ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเริ่มเขียนนิยายด้วย 


แล้วก็เป็นครั้งแรก...ที่รู้สึกว่ามีความสุขจังที่ได้อ่านอีก แม้สำนวนภาษาตอนนั้นมันจะไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม


ขอบคุณ...คุณกาญจนา นาคนันทน์ เจ้าของบทประพันธ์อันสุดแสนน่ารักที่เป็น love at first sight ของเรา      


parin 




......................................................................



ตอนที่ 2


พี่พัทธ์!


คนคิดโดดผลุงลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว เปิดประตูแล้วตรงบึ่งไปที่ห้องรับแขก ไม่ได้ถามมารดาด้วยซ้ำว่าแขกผู้มาเยือนนั้นเป็นใคร เฟื่องฟ้าหวังอย่างสุดหัวใจว่าคนที่รอพบเธอนั้นจะเป็นปฏิพัทธ์ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะคนที่มาคอยอยู่กลับเป็นสาวผิวขาว ผมตรงยาวสลวยดำขลับ ดวงตากลมโตและล้อมกรอบด้วยขนตางอนยาวเป็นแพ ทันทีที่เฟื่องฟ้าเข้ามา อาคันตุกะสาวก็เอ่ยทักทายเบาๆ


“สวัสดีค่ะคุณเฟื่องฟ้า”


“ค่ะ” หญิงสาวเองก็ตอบรับเสียงเนือย ก่อนเอ่ยปาก”เชิญนั่งก่อนสิคะ”


ผู้มาเยือนนั่งลงตามคำเชิญ เอ่ยถามต่อไปเสียงอ่อนๆ


“คุณเฟื่องฟ้าจำดิฉันได้ไหมคะ


เฟื่องฟ้ามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ‘สิรินทร์’ เป็นหญิงสาวที่จัดว่าสวยมากคนหนึ่ง สวยทั้งหน้าตารวมถึงกิริยามารยาท หญิงสาวรู้จัก หล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆของปฏิพัทธ์


“ค่ะ คุณสิรินทร์”


“คุณดูโทรมลงไปนะคะ ยังไงน่าจะรักษาสุขภาพบ้าง” สิรินทร์พูด น้ำเสียงมีแววห่วงใยอย่างชัดเจน


“ขอบคุณค่ะ…คุณมีธุระอะไรหรือคะหญิงสาวถาม


“เอ่อ…คือ…ดิฉัน” คนพูดอ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ”ดิฉัน…ดิฉัน…มาขอโทษคุณค่ะ”


“คะคนฟังไม่เข้าใจ สิรินทร์จึงย้ำอีกครั้ง หนักแน่นมั่นคง


“ดิฉันมาขอโทษคุณค่ะ”


“ขอโทษ? ขอโทษทำไมคะเฟื่องฟ้าสงสัย


“ที่ดิฉันมาขอโทษก็เพราะว่า…” คนพูดนิ่งไปพักหนึ่ง ทำท่าราวกับจะรวบรวมกำลังกายทั้งหมดในตัวมาไว้ที่เดียวกัน ก่อนจะเอ่ย


“ดิฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณพัทธ์ขอเลิกกับคุณค่ะ”


หา?!


“อะไรนะเฟื่องฟ้าถามเสียงเบาหวิว


“ดิฉันขอโทษ แต่มันมีความจำเป็นสำหรับดิฉันมาก ถ้าคุณจะโกรธจะเกลียดก็อย่าไปลงที่คุณพัทธ์เลยค่ะ เพราะความผิดทุกสิ่งทุกอย่างน่ะมันอยู่ที่ฉันคนเดียว”


เฟื่องฟ้าตกใจ สิรินทร์บอกว่า ตัวของหล่อนเป็นสาเหตุที่ปฏิพัทธ์บอกเลิกกับเธอ


“คุณ…กำลัง…จะบอกฉันว่า…พี่พัทธ์เลิกกับฉัน…เพราะ… เขารักคุณหญิงสาวถาม น้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆ แต่ฝ่ายถูกถามกลับปฎิเสธชัด


“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น คุณพัทธ์เขารักคุณ”


เฟื่องฟ้านึกโกรธ


“แต่เขาก็ทิ้งฉันไปแล้ว! แล้วคุณก็บอกกับฉันว่ามันเป็นเพราะคุณ


“ค่ะ...มันเป็นเพราะความผิดพลาดของดิฉันเอง”


“คุณพูดอะไคุณสิรินทร์ ฉันไม่เข้าใจ


“ดิฉันเสียใจค่ะ… คุณพัทธ์…จำเป็นต้องแต่งงานกับดิฉัน แต่ว่าดิฉันทราบดี ว่าคุณพัทธ์รักคุณมาก”


เฟื่องฟ้ามึนงง ปั่นป่วนด้วยความสับสนระคนไม่เข้าใจ หญิงสาวสูดหายใจ พยายามระงับความโกรธที่พัดขึ้นมาเป็นริ้วๆ


อะไรกัน! ผู้หญิงคนนี้ ร้ายกาจที่สุด!


“ฉันเคยคิดว่าคุณเป็นคนดี แต่คุณ คุณแย่งแฟนฉันเฟื่องฟ้าระเบิดออกมา


“ดิฉันขอโทษค่ะ...ดิฉันรู้สึกผิดมากที่ทำให้คนดีๆสองคนต้องเจ็บปวด แต่...ดิฉันจำเป็น” สิรินทร์บอกอย่างเศร้าสร้อย


“จำเป็นอะไรเจ้าบ้านสาวถามเสียงแข็ง แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่


“ดิฉัน...บอกคุณไม่ได้ วันนี้ตั้งใจมาขอโทษคุณและบอกให้คุณรู้ว่า คุณพัทธ์ไม่ได้เปลี่ยนใจจากคุณ เขารักคุณคนเดียวนะคะ”


เฟื่องฟ้าร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือผิดหวังเสียใจกันแน่ แต่เธอไม่อยากจะเชื่อ! ที่แท้ปฏิพัทธ์กำลังจะแต่งงานกับสิรินทร์ แล้วทำไม? ทำไม? เขาถึงไม่มาบอกเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะเขายังรักเธออยู่เต็มหัวใจจนไม่กล้าพูดให้เธอเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ?


ไม่ใช่หรอก! อาจเป็นเพราะเขาสิ้นรักในตัวเธอแล้วต่างหากเล่า!


แล้วทำไม? ผู้หญิงคนนี้กลับเป็นคนมาบอกเธอว่า ว่าที่สามีในอนาคตของหล่อนรักเฟื่องฟ้า ไม่ได้รักตัวหล่อน นี่อาจเป็นแผนของผู้หญิงคนนี้! เฟื่องฟ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจสักนิด แต่สิ่งที่รับรู้ได้แจ่มชัด คือความเจ็บปวด!


“ขอเวลาสำหรับเขาแค่ปีครึ่งได้ไหมคะ? แล้วดิฉัน...จะหย่าขาดจากเขา เขาจะกลับมาหาคุณ”


เฟื่องฟ้าพยายามเก็บกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อท้นไม่ให้ไหลออกมา หญิงสาวพูดออกไปอย่างยากลำบากเพราะก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาจุกลำคอ


“คุณ...กลับไป..ได้แล้ว”


สิรินทร์แววตาหม่นหมอง เอ่ยคำขอโทษกับเฟื่องฟ้าอีกครั้ง แต่หญิงสาวไม่สนใจ ยืนกรานคำเดิม


“คุณกลับไปได้แล้ว


ในที่สุดสิรินทร์ก็จากไป เฟื่องฟ้าพาตัวเองกลับเข้าห้องไป ทำนบน้ำตาที่พยายามสร้างขึ้นมาพังทลายลงไปแล้ว… หญิงสาวร้องไห้! ร้องไห้! และร้องไห้ ร้องไปจนสิ้นเรี่ยวแรงเลยทีเดียว


นางปฐมพรเข้ามาในห้องของลูกสาว นั่งลงที่เตียง มองดูลูกที่กำลังหลับ เปลือกตาที่ปิดนั้นบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด คนเป็นแม่น้ำตารื้นขึ้นมา สงสารลูกจับใจ


“แม่ครับ”


นางปฐมพรหันไปมองลูกอีกคนของนางที่เดินตามมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ


“ฟาง แม่จะช่วยพี่เขายังไงดี” นางถามลูกชาย มือหนึ่งยกขึ้นลูบผมลูกสาว เฟื่องฟ้ารู้สึกถึงสัมผัสของมารดา ลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น


“แม่…” หญิงสาวเรียก ลุกขึ้นนั่ง


“เป็นยังไงบ้างลูกนางเอ่ยถาม น้ำเสียงห่วงใย เฟื่องฟ้ามองผู้เป็นแม่ หลายวันทีเดียวที่เธอจมกองน้ำตาอยู่ในนี้ แม่ดูซูบลงไปมาก สีหน้าหมองคล้ำ ดวงตาหม่นเศร้า ฟางเองก็ดูผอมลงไป ไม่มีท่าทางแจ่มใสเหมือนอย่างเคย เห็นสภาพคนในครอบครัวที่เธอรักแล้ว ทำให้เฟื่องฟ้าเริ่มคิดได้ อาการ’ปางตาย’ ที่เคยเป็นเริ่มลดลงไป


“แม่ดูเศร้าไปนะ เพราะเฟื่องทำให้แม่เป็นห่วงใช่มั้ยจ๊ะเฟื่องฟ้ากอด ซบศีรษะลงกับไหล่ของมารดา นางปฐมพรไม่ตอบได้แต่ลูบแขนลูกสาวที่โอบกอดนางไว้


“พี่เฟื่อง...ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย


“ฮือ ฟางเองก็โทรมไปนะ…เป็นห่วงพี่เหมือนกันใช่หรือเปล่า


“ถามได้ ใครๆเขาก็ห่วงพี่เฟื่องกันทั้งนั้น”


เฟื่องฟ้ายิ้ม แต่ดูเศร้า…


“เราไปเที่ยวพักผ่อนกันสามคนดีมั้ยลูกนางปฐมพรเอ่ยกับลูกทั้งสอง เด็กหนุ่มรีบยิ้ม กล่าวสนับสนุน


“ใช่ๆ ไปมั้ยพี่เฟื่อง ไปทะเลหรือน้ำตกก็ได้ พี่จะได้สบายใจขึ้น”


“พี่สบายใจขึ้นแล้วล่ะฟาง” หญิงสาวบอก เงียบไปอึดใจก็เอ่ยขึ้นว่า


“แม่จ๋า...เฟื่องคิดถึงพ่อจังเลย เมื่อคืนเฟื่องฝันถึงพ่อด้วย“


“ฝันว่าไงล่ะลูกนางถาม ยิ้มแผ่วบาง เมื่อนึกถึงคู่ชีวิตที่ล่วงลับจากไปนานหลายสิบปีแล้ว


“ฝันว่า...พ่อมาหา มาบอกว่า หยุดร้องไห้ได้แล้ว แม่กับน้องกำลังเป็นห่วง”


“ดีจังนะพ่อมาหาพี่เฟื่อง ไม่เห็นมาหาผมเลย” ฟางข้าวตัดพ้อ นางปฐมพรลูบผมลูกชาย นึกสงสารฟางขึ้นมาบ้าง เพราะตั้งแต่เกิดมา ลูกคนนี้ไม่ทันได้รู้จักพ่อ


“แม่เล่าเรื่องพ่อให้ผมฟังอีกทีสิครับ เอาตั้งแต่ตอนที่แม่กับพ่อได้เจอกันเลยนะ ผมอยากฟัง” เด็กหนุ่มซบลงกับตักแม่ นางปฐมพรน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะคิดถึงผู้ที่เป็นสามี…แล้วนางก็ได้เอ่ยปากเล่าให้ลูกฟังว่า ได้พบรักกับพ่อของเฟื่องฟ้าและฟางข้าว ตอนที่นางตามไปอยู่กับบิดาที่ย้ายไปทำงานประจำอยู่ที่กาญจนบุรี


“พ่อของเฟื่องกับฟางหล่อมากนะในตอนนั้น” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถึงความหลัง รอยยิ้มบางๆฉาบขึ้นบนใบหน้า


“หรือครับ? แล้วใครจีบใครก่อนครับแม่” เด็กหนุ่มถามแหย่ไปตามวัยทะเล้น ส่งผลให้มารดาหัวเราะเบาๆ


“แหม! ก็พ่อฟางน่ะสิมาจีบแม่ก่อน” แล้วนางปฐมพรก็เอ่ยต่อไป


“แต่ความรักของพ่อกับแม่ไม่ราบรื่นหรอก ตาของเฟื่องกับฟางไม่ชอบพ่อ เพราะพ่อเป็นเกษตรกร ได้แต่ปลูกผัก ทำไร่ทำนาไปวันๆเท่านั้น แต่ในที่สุด...แม่ก็ดื้อดึงแต่งงานกับพ่อจนได้ นั่นทำให้ตาเขาโกรธแม่มาก ไม่สนใจแม่เลย ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯทันที แม่เลยอยู่กินกับพ่อจนมีเฟื่องกับฟางไง แล้ว...พ่อเขาก็จากไปตอนที่เฟื่องอายุสี่ขวบ ตอนพ่อเสียน่ะ แม่ท้องฟางอยู่ …” แม้จะสุขที่ได้รำลึกถึงความหลัง แต่การหวนนึกถึงการจากไปของคนอันเป็นที่รัก ก็อดทำให้เศร้านิดๆไม่ได้ คนเล่าจึงหยุดเว้นวรรคไป นานชั่วอึดใจจึงเอ่ยต่อ


“แล้วตาเขาก็ไปตามแม่กลับมาอยู่กรุงเทพฯ แม่กับย่าของเฟื่องไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ย่าจะไม่ยอมให้แม่พาเฟื่องมา แต่แม่ทิ้งเฟื่องไม่ได้ สุดท้ายแม่เลยพาเฟื่องหนีกลับมา”


นางปฐมพรหยุดพูดอีกครั้ง ผ่อนลมหายใจเบาๆ


“ฟางรู้มั้ยลูก ว่าทำไมแม่ถึงตั้งชื่อให้ลูกว่าฟางข้าว”


“ไม่ครับ”


“ก็เพื่อระลึกถึงพ่อ…พ่อน่ะเป็นชาวนา เพราะอย่างนั้นบ้านที่แม่เคยอยู่กับเขา...จะมีกองฟางข้าวเต็มเชียวเมื่อหลังฤดูเกี่ยวข้าวผ่านพ้นไป”


“แล้ว...ชื่อเฟื่องล่ะจ๊ะแม่ มีความหมายหรือเปล่าหญิงสาวถามบ้าง


“มีสิลูก” นางปฐมพรตอบ”เฟื่องฟ้า...เป็นชื่อที่พ่อเป็นคนตั้งให้เอง”


“หรือจ๊ะ?...พ่อเป็นคนตั้ง...” คนคิดพึมพำราวละเมอ ภาพของพ่อเธอในความทรงจำเลือนลางมาก ตอนนั้นอายุแค่สี่ขวบพ่อก็จากไป หญิงสาวจำอะไรเกี่ยวกับพ่อไม่ได้เลย แต่เมื่อคืนนี้...เธอกลับฝันถึงท่าน สิ่งนั้นทำให้หญิงสาวคิดถึงพ่อจับใจ…


“บ้านของพ่ออยู่ที่กาญจนบุรีใช่ไหมจ๊ะ เฟื่องฟ้าถาม


นางปฐมพรพยักหน้า


“ตอนนี้ย่ากับป้าของเฟื่องอยู่ที่นั่น”


คนถามนิ่งไป...ใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยกับมารดา


“แม่จะว่ายังไงจ๊ะ? ถ้าเฟื่องจะขอไปเยี่ยมย่า แล้วก็...ไปอยู่ที่บ้านพ่อสักระยะ”


หนนี้ผู้เป็นมารดานิ่งไปบ้าง นางกวาดตามองดูห้องของเฟื่องฟ้า ในนี้เต็มไปด้วยรูปถ่ายและสิ่งของที่ทำให้ลูกของนางคิดถึงคนรักที่ชื่อปฏิพัทธ์ อาการของลูกสาวคงไม่ดีขึ้นแน่ถ้านางยังปล่อยให้ลูกใช้ชีวิตต่อไปแบบนี้


“ก็ตามใจสิจ๊ะ เราไปกันสักสองสามวันดีมั้ย? แม่จะได้ลางาน”


“ไม่จ้ะ” หญิงสาวรีบส่ายหน้า”เฟื่องหมายถึงว่า เฟื่องอาจจะอยู่นานกว่านั้น คือ...เฟื่องคิดถึงพ่ออยากจะกลับไปอยู่บ้านที่เคยอยู่กับพ่อเมื่อตอนเด็กๆ”


“ผมไปด้วยนะพี่” น้องชายโพล่งขึ้นมา แต่พี่สาวก็ส่ายหน้าห้ามอีก


“อย่าเลยฟาง เธอต้องเรียนหนังสือนะ ปิดเทอมค่อยไป”


ครั้นเห็นลูกสาว หนักแน่นว่าจะไปคนเดียว นางปฐมพรก็เริ่มไม่สบายใจ


“จะไปอยู่นานขนาดนั้นเลยหรือลูก


“ไม่รู้สิจ๊ะ แต่เฟื่องอยากอยู่ที่นั่น จนกว่า...จะสบายใจ”


“ไหนเมื่อกี้บอกว่าสบายใจขึ้นแล้ว”


คนถูกจับได้สลดลง


“ขอเฟื่องไปอยู่ให้สบายใจขึ้นอีกนิดนะแม่...แม่จะอนุญาตมั้ย


เห็นท่าซึมๆแบบนั้น ผู้เป็นมารดาก็ได้แต่อ่อนใจ


“ได้ ว่าแต่จะไปอย่างไรเล่า ไกลปืนเที่ยงเชียวนะแถวนั้น แม่กลัวเฟื่องจะไปลำบากน่ะสิ”


“ไม่หรอกจ้ะ เอ่อ...แม่มีแผนที่ไปบ้านพ่อไหมจ๊ะ


“ไม่มีเลย” มารดาตอบเนือยๆ


“ถ้างั้น แม่เขียนแผนที่ให้เฟื่องหน่อยได้ไหมจ๊ะ


“เอ…แต่มันเกือบยี่สิบปีแล้วนะ แม่ว่าถนนหนทางมันจะเปลี่ยนไปหมดน่ะสิ”


“งั้นที่อยู่ล่ะจ๊ะ มีมั้ย


“ถ้าที่อยู่ล่ะก็ แม่มี”


ประโยคนั้นทำให้ลูกสาวยิ้มออกมาได้ เป็นยิ้มแรกที่ดูสดใสหลังพบเรื่องร้ายที่พุ่งเข้ากระแทกใจและความรู้สึกให้เจ็บช้ำ


“งั้นเฟื่องคงเขียนจดหมายไปบอกย่าก่อนว่า เฟื่องจะไปเยี่ยมและคงขอให้ท่านช่วยส่งแผนที่มาให้ แบบนั้น...คงจะได้แน่ๆ”


....................................







Create Date : 02 ตุลาคม 2552
Last Update : 2 ตุลาคม 2552 21:57:27 น.
Counter : 487 Pageviews.

3 comment
ลองดูกับการสร้างบล็อกครั้งแรกด้วย...นิยายที่แต่งเรื่องแรกของชีวิตตตตต
ตอนที่ 1

เสียงนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงของ ’เฟื่องฟ้า’ ดังขึ้นเมื่อเข็มชี้บอกเวลาหกโมงสิบห้าพอดี หญิงสาวเอื้อมมือกดปิดแล้วลุก
ขึ้นจากเตียงทันที ไม่รู้สึกง่วงงุนสักนิดเดียว นั่นเพราะว่ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตั้งแต่ก่อนจะหกโมงครึ่งแล้ว หลังจากใช้เวลาทำธุระในห้องน้ำและแต่งตัวนานถึงสี่สิบห้านาทีแล้ว หญิงสาวก็มาหย่อนตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ฉีดน้ำหอมกลิ่นจัสมินที่โปรดปราน หวีและรวบผมทั้งหมดมัดเอาไว้หลวมๆเหนือไหล่ซ้าย ผัดแป้งบางๆบนใบหน้าก่อนทาปากด้วยลิปสติกสีส้มอ่อน สำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายที่สวมใส่อยู่อีกครั้ง และเมื่อมั่นใจในชุดที่ตัวเองใส่แล้ว หญิงสาวก็เปิดประตูก้าวจากห้องเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ตรงไปหามารดาที่กำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเช้าในครัว

“แม่จ๋า” เฟื่องฟ้าเรียกเสียงหวานพร้อมเดินเข้ามาสวมกอดผู้เป็นมารดาทางด้านหลัง”ทำอะไรอยูจ๊ะ หอมจังเลย” พูดเสร็จก็ยื่นหน้าข้ามไหล่มารดาไปมองดู
“ขนมจีนน้ำยา” ผู้เป็นมารดาตอบ หันไปยิ้มกับลูกสาว”ทำไม หิวแล้วหรือลูก?”
“ยังหรอกจ้ะ แต่เฟื่องมาดู เผื่อแม่จะมีอะไรให้เฟื่องช่วย”
“โอย อย่าเลย จวนจะเสร็จอยู่แล้ว แล้วไหนดูซิ วันนี้แต่งตัวเสียสวยเป็นพิเศษ ขืนมาช่วยแม่เดี๋ยวก็ได้กระเด็นเลอะเสื้อเลอะแสงหมดหรอก” นางปฐมพรพูด เฟื่องฟ้าอมยิ้มนึกในใจว่าแม่เป็นคนที่รู้ทันเธอเสมอ เพราะวันนี้เธอตั้งใจแต่งตัวให้ดูเป็น ‘พิเศษ‘ จริงๆ หญิงสาวก้มลงสำรวจชุดที่สวมใส่อีกครั้ง เสื้อยืดแขนกุดสีฟ้าอ่อนมีลายดอกไม้เล็กๆสีฟ้าเข้มแซมที่ชายเสื้อ กับกางเกงสามส่วนเข้ารูปสีขาวสะอาด ดูเรียบง่าย แต่เฟื่องฟ้าคิดว่า แบบนี้แหละที่ดูเหมาะสมกับตัวเธอ
“แม่ว่า...วันนี้เฟื่องสวยจริงๆหรือจ๊ะ?” ถามไปอย่างคนไม่ค่อยจะมั่นใจ นางปฐมพรมองหญิงสาวยิ้มๆ ตอบจากใจจริง
“จ้า สวยจริงๆ แล้วนี่จะออกไปข้างนอกหรือจ๊ะ เดี๋ยวกินข้าวกินปลาก่อนค่อยไปนะ”
จบประโยคนั้น คนถูกถามก็ส่ายหน้าปฎิเสธน้อยๆ
“เปล่าจ้ะ เฟื่องไม่ออกไปไหนหรอก แต่ว่า” เฟื่องฟ้าหลบตาลงมาอย่างเขินๆ”วันนี้พี่พัทธ์จะมาที่บ้านเราจ้ะแม่”
ผู้เป็นมารดาเลิกคิ้ว คลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ แม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาชายหนุ่มที่เฟื่องฟ้าเรียกว่า ‘พี่พัทธ์’ มาก่อนเลย แต่นางปฐมพรก็รู้ระดับความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ดีเพราะลูกสาวของนางเป็นเด็กดี มีอะไรจะเล่าให้นางฟังตลอด
“อ้อ! อย่างนั้นหรือจ๊ะ เออ แล้วนี่น้องมันตื่นหรือยังล่ะ?” ผู้เป็นมารดาถามถึงลูกชายคนเล็ก
“คงยังมั้งจ๊ะ” เฟื่องฟ้าตอบ”เฟื่องยังไม่เห็นเลยนี่ ท่าทางเมื่อคืนคงอ่านหนังสืออยู่จนดึกดื่น”
นางปฐมพรละมือจากหม้อแกงที่กำลังเดือดปุดๆเหลือบไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง
“เดี๋ยวไปปลุกน้องลุกขึ้นทีนะลูก แขกจะมาบ้านปล่อยให้นอนตื่นสายไม่ได้หรอก อายเขาตาย”
“จ้ะ”
“แล้วนี่เขาจะมากี่โมงล่ะ?” นางปฐมพรถามอีก
“คงเกือบๆแปดโมงน่ะจ้ะ”
“ไฮ้! นี่ก็จวนเวลาแล้วสิ แล้วเขารู้จักทางเข้าบ้านเราแล้วหรือลูก”
“เฟื่องบอกทางให้เขาแล้วล่ะจ้ะ แต่ว่า...เดี๋ยวเฟื่องก็จะไปรอที่หน้าบ้าน”
“อืม...ก็ดีจ้ะ ไปรอเขาเถอะ เดี๋ยวมาถึงแล้วเกิดหาบ้านไม่ถูกจะหลงไปไหน ในนี้ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก แม่ทำคนเดียวได้”
“จ้ะ งั้นเฟื่องไปนะ” ว่าแล้วเฟื่องฟ้าก็เดินอมยิ้มออกไปจากครัว ตรงขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปปลุกน้องชายตามคำสั่งของมารดา หญิงสาวมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้องชาย ยกมือขึ้นเคาะประตูอยู่สองสามครั้ง ปากร้องปลุกคนในห้อง
“นายฟาง” พี่สาวลากเสียง”ตื่นได้แล้วว…”
แต่... เงียบ…ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากข้างใน แสดงว่ายังไม่ตื่นซินะนายฟางข้าว เอาใหม่ เฟื่องฟ้าเคาะประตูอีกสามป๊อก
“ฟางตื่นเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ตื่น แม่บอกว่าจะให้นายอดข้าว”
แต่ว่า...ยังคงไม่มีเสียงอะไรดังออกมาจากข้างในเช่นเดิม ค่อนข้างเป็นปัญหาเสมอเชียวสำหรับการปลุกน้องชายขี้เซาคนนี้ คนเป็นพี่หรี่ตาลง
‘อย่างงี้คงต้องใช้ไม้เด็ดมาปลุกนายเสียแล้วนะ เจ้าน้องชาย’
“นายฟาง” หนนี้คนเป็นพี่ทุบประตูปังๆ”ตื่นเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ตื่นฉันจะแช่ง ขอให้นายเป็นหมันเลย!”
“คร้าบๆ ตื่นแล้ว ตื่นเดี๋ยวนี้เลยครับคุณพี่” เสียงงัวเงียของเจ้าน้องชายบ่นกระปอดกระแปดดังมาจากในห้อง
“โหย... ปลุกกันโหดชะมัดเลย”
“ดี ตื่นแล้วก็อาบน้ำล้างหน้แล้วลงไปช่วยแม่ในครัวนะ”
เมื่อปลุกน้องชายได้สำเร็จแล้ว หญิงสาวจึงเดินลงบันไดกลับลงไปที่ชั้นล่าง ก่อนเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีออกไปนอกชายคาบ้าน
‘พี่พัทธ์’ คนที่หญิงสาวรอคอยการมาของเขาวันนี้ก็คือ ‘ปฏิพัทธ์’ คนรักของเธอ เฟื่องฟ้าพบเขาเมื่อสี่ปีที่แล้วตอนที่เธอเพิ่งได้เข้าไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ปฏิพัทธ์เป็นรุ่นพี่ที่คณะและแก่กว่าเธอสองปี ชายหนุ่มตามจีบเฟื่องฟ้าตั้งแต่เธอเธอเป็นเฟรชชีปีหนึ่ง แต่ว่า...กว่าเธอจะตกลงคบกับเขาแบบคนรู้ใจก็ตอนอยู่ปีสองแล้ว ความจริงเฟื่องฟ้าเองก็มีใจให้เขามาตั้งแต่แรก แต่...ด้วยการที่แม่เขาสอนไว้ดิบดีว่า
เป็นลูกผู้หญิงมันต้องมีศักดิ์ศรีเอาไว้บ้าง! เฟื่องฟ้าเลยใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการวางฟอร์มเป็นคนที่มี ‘ศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง‘ และพิสูจน์ความจริงใจของชายหนุ่ม ซึ่งมันก็ได้ผลที่น่าประทับใจทีเดียว
เมื่อเรียนจบ ปฏิพัทธ์ได้เข้าทำงานที่บริษัทเงินทุนแห่งหนึ่ง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะต้องทำงาน ความสัมพันธ์ของเขากับหญิงสาวก็ไม่ได้เหี่ยวเฉาลงไปแต่อย่างใด ปฏิพัทธ์ยังคงเสมอต้นเสมอปลายกับเธอ ไม่ผิดเพี้ยนไปจากตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยสักนิด และตลอดระยะเวลาสามปีที่เขาและเธอคบกันในฐานะ ‘แฟน’ นั้น เขาไม่เคยทำให้เฟื่องฟ้าเสียใจ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวไม่จะคิดสนใจใครนอกจาก ’พี่พัทธ์’ ของเธอคนเดียวเท่านั้น
เฟื่องฟ้าเดินมาหยุดนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกระจงหน้าบ้าน นั่งไปอมยิ้มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
อีกไม่กี่นาทีพี่พัทธ์ก็จะมาถึงที่นี่ แล้วเขาก็จะได้เจอกับแม่ แล้ว...แม่จะชอบพี่พัทธ์ไหมนะ?… คนคิดตั้งคำถามกับตัวเองในใจ ไม่ทันไรก็นึกตอบคำถามของตัวเองไปว่า…
ต้องชอบสิ เพราะพี่พัทธ์เป็นคนดีนี่ คิดแล้วก็ยิ้มหนักกว่าเก่า แล้วฟางล่ะจะเข้ากับพี่พัทธ์ได้ไหม?…
ได้สิ พี่พัทธ์เข้ากับคอื่นได้ง่าย
แล้ว...แม่จะคิดยังไง หากแม่ได้เห็นตัวจริงของพี่พัทธ์ ?
แม่ก็ต้องคิดว่า ลูกสาวแม่ช่างเลือกแฟนได้หล่อเหลาคมเข้มดีแท้!
นึกมาถึงตรงนี้ คนคิดก็ได้แต่บิดมือตัวเองไปมาเพราะขวยเขิน
โอ๊ยบ้า! เฟื่องฟ้าทำไมเธอคิดอะไรเข้าข้างตัวเองขนาดนั้นนะ... แต่ว่า...พี่พัทธ์ของเฟื่องก็หล่อจริงๆนี่นา ตาคม คิ้วเข้ม ริมฝีปากก็บางได้รูป ผมดกดำหยักศกเล็กน้อย แถมแต่งกายเรียบร้อยภูมิฐาน…
โอ๊ย! ผู้ชายบ้าอะไร ทำไมดูดีได้ขนาดนี้นะ แล้วคนเห่อแฟนก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแจ่มใส
เฟื่องฟ้ายกนาฬิกาเรือนเล็กๆบนข้อมือขึ้นดู
แปดโมงสิบนาที เลยไปสิบนาทีแล้ว …
รถอาจติดกระมัง หญิงสาวบอกตัวเองเช่นนั้นและยังคงนั่งรอต่อไปอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่า...ผ่านไปหลายอึดใจเฟื่องฟ้าดูนาฬิกาอีกครั้ง คิ้วโค้งเริ่มขมวดเข้าหากันนิดๆ
นี่จะแปดโมงกว่าแล้ว ทำไมพี่พัทม์ยังไม่มาอีกเล่า...
หรือ?ว่าจะหลง? แล้วคนคิดก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป ต้องลุกเดินมาแถวหน้าประตู ยื่นหน้ามองไป ซ้ายทีขวาที
ไม่มีวี่แววเลยแฮะ ทำไมช้าอย่างนี้นะ นัดกันทีไรพี่พัทธ์ก็ไม่เคยช้ามากอย่างนี้นี่นา
เฟื่องฟ้ารู้สึกร้อนรนอย่างไรบอกไม่ถูก พยายามนึกหาเหตุผลที่อาจทำให้คนรักมาสาย หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางล่ะ? ยิ่งคิดอย่างนั้นก็ดูจะทำให้ใจไม่ดีมากขึ้น หญิงสาวเลยเปิดประตูรั้วบานเล็กออกมาแล้วกวาดสายตามองไปตามถนนหน้าบ้าน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าปฏิพัทธ์จะมา แล้วสายตาของเฟื่องฟ้าก็ไปสะดุดหยุดอยู่ที่ซองจดหมายสีเหลืองที่ใส่อยู่ในกล่องจดหมายหน้าบ้าน
ใครกัน เอาจดหมายมาใส่ไว้ หญิงสาวนึกสงสัย เดินเข้าไปหยิบจดหมายฉบับนั้นมาพลิกดู ปรากฎว่า มันไม่ได้ถูกส่งมาทางไปรษณีย์ เนื่องจากไม่มีสแตมป์หรือตราประทับใดทั้งสิ้น มันเป็นเพียงจดหมายซองสีเหลืองนวลที่ไม่ชื่อผู้ส่ง
แต่ว่ามันเขียนจ่าหน้าถึงเธอด้วยลายมือที่บรรจงสวยงาม และลายมือที่เขียนนั้นเฟื่องฟ้าก็จำได้ดีว่า
มันเป็นลายมือของปฏิพัทธ์นั่นเอง
.......................................
เฟื่องฟ้ารู้สึกแปลกใจมากที่จู่ๆก็มีจดหมายจากปฏิพัทธ์ใส่อยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้านของเธอ
อะไรกัน จดหมายนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่? เฟื่องฟ้าสงสัย
ส่งจดหมายมาแบบนี้ ตัวอาจไม่มาเสียแล้วมั้ง หญิงสาวเริ่มหน้าเสีย หมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน อยากรู้เต็มที่ว่าปฏิพัทธ์เขียนอะไรถึงเธอ น่าแปลกที่ตอนนี้เธอรู้สึกวิตกกังวลกับจดหมายที่อยู่ในมือเป็นอย่างมาก เฟื่องฟ้าเดินถือจดหมายเข้ามาในครัว เห็นนางปฐมพรและฟางข้าวยืนคู่กันอยู่ที่อ่างล้างจาน
“มาหรือยังล่ะลูก?” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมองลูกสาวเพราะกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“ยังจ้ะ แม่มีดอยู่ไหนจ๊ะ?”
“บนเขียงแน่ะ จะเอามีดไปทำอะไรหรือ?”
เฟื่องฟ้าไม่ได้ตอบคำถามของมารดา แต่คว้ามีดบนเขียงขึ้นมาเพื่อกรีดเปิดซองจดหมาย เธอกรีดที่ข้างซองอย่างบรรจงและเบามือที่สุด ใช่ว่ากลัวมีดจะบาดมือ แต่เธอไม่อยากให้ซองมันฉีกขาดมากเกินไป แต่เพราะนี่เป็นจดหมายจากปฏิพัทธ์ เธออยากจะรักษาของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปฏิพัทธ์ให้มาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
แล้วเฟื่องฟ้าก็ดึงกระดาษในซองมาคลี่ออกอ่าน
เฟื่องที่รัก…
มีเรื่องที่สำคัญมากจะบอกกับเฟื่อง แต่...พี่คิดไม่ออกเลยว่าพี่จะบอกกับเฟื่องด้วยคำพูดอย่างไร พี่ขอโทษ ที่ไม่สามรถมาพบกับเฟื่องตามที่สัญญา พี่รู้ตัวดีว่าถ้าพบหน้าเฟื่อง พี่คงทำใจไม่ได้แน่ ถ้าจะต้องบอกบางอย่างกับเฟื่อง เพราะพี่รักเฟื่องมากเหลือเกิน แต่...ความจำเป็นก็รุมเร้าบีบบังคับ พี่อยากให้เฟื่องได้รับรู้ว่า พี่ทรมาน พี่เจ็บปวดเพียงไหนที่จำเป็นจะต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา… เพื่อบอกเลิกกับ…คนที่พี่รักสุดหัวใจ…
พัทธ์
จดหมายสั้น แต่ทำให้เฟื่องฟ้าชาไปทั้งตัว
หมายความว่ายังไง…หมายความว่ายังไงกัน?! …
หญิงสาวอ่านจดหมายซ้ำอีกครั้ง ก่อนค่อยๆหมดแรงทรุดตัวลงนั่ง ขอบตาร้อนผ่าว แล้วน้ำตามากมายก็ไหลรินลงมาอาบแก้ม ฟางข้าวเป็นคนแรกที่หันมาเห็นความผิดปรกติของพี่สาว
“พี่เฟื่อง!” เด็กหนุ่มร้องทำให้นางปฐมพรต้องหันมอง คนเป็นแม่ตกใจที่เห็นลูกสาวร่วงลงไปกองกับพื้น ละทิ้งงานที่ทำอยู่ทรุดตัวลงไปหาลูก
“เฟื่อง! เป็นอะไรไปลูก?” นางปฐมพรถามอย่างร้อนรน แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบ น้ำตายังคงไหลรินออกมาเรื่อยๆ
พี่พัทธ์บอกเลิกกับเฟื่อง พี่พัทธ์ขอเลิกกับเฟื่อง! ในหัวใจเฟื่องฟ้าคร่ำครวญเพียงแต่ประโยคนี้นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ได้ยินเสียงพูดของมารดาที่นั่งร้อนรนลูบหัวลูบหลังเธออยู่ ไม่ได้ยินเสียงน้องชายที่ถามอย่างเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่จริง! ไม่ใช่! ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่! ต้องคุยกับพี่พัทธ์ ต้องคุยให้รู้เรื่อง!
เฟื่องฟ้าลุกขึ้น ปล่อยจดหมายร่วงลงพื้น วิ่งถลาไปคว้าโทรศัพท์ในห้องรับแขก กดโทรเข้ามือถือของปฏิพัทธ์ นางปฐมพรลุกขึ้นตามลูกสาวมาอย่างติดๆ
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่คุณเรียก นั่นคือสิ่งที่เฟื่องฟ้าได้ยิน หญิงสาวกดเบอร์ใหม่ หนนี้เสียงโทรศัพท์ไปดังขึ้นที่บ้านของปฏิพัทธ์ แต่…ไม่มีคนรับสาย
รับโทรศัพท์สิ ใครก็ได้ ได้โปรดรับโทรศัพท์หน่อย! เฟื่องฟ้าตะโกนก้องอยู่ในใจ แต่ไร้ประโยชน์ ไม่มีคนรับ จนในที่สุดสัญญาณถูกตัดไป
เฟื่องฟ้ายังคงกดโทรศัพท์ต่อไปอีกหลายเที่ยว แต่ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนกับครั้งแรก ฟางข้าวเดินตามเข้าในห้องอีกคน ในมือถือจดหมาย
“หยุดเถอะพี่เฟื่อง” ฟางข้าวพูดกับหญิงสาว แต่เฟื่องฟ้าไม่สนใจ ยังคงมุ่งมั่นกดโทรศัพท์ต่อไป
“เฟื่อง…” นางปฐมพรเรียกลูกสาวเสียงสั่นเครือ ฟางข้าวทนไม่ได้กระชากโทรศัพท์ออกไปจากมือของเฟื่องฟ้า
“เลิกบ้าซะทีพี่เฟื่อง! ดูแม่บ้างสิ!”
เฟื่องฟ้าได้สติ มองหน้าแม่ผ่านม่านน้ำตา เห็นแม่หน้าซีด น้ำตาคลอเบ้า
“เป็นอะไรไปลูก?” นางถามเสียงเครือด้วยความห่วงใย
“แม่...เฟื่อง...ขอโทษ...ฮือๆ” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตา แล้วผละวิ่งขึ้นชั้นบนไป นางปฐมพรตามลูกไปอีก เฟื่องฟ้าขังตัวเองอยู่ในห้อง ล็อกประตูแน่นหนา
“มันเกิดอะไรขึ้น ฟาง บอกแม่สิ พี่เขาเป็นอะไร?”
ฟางข้าวกำจดหมายแน่น
“ไอ้ปฏิพัทธ์แม่ มันบอกเลิกกับพี่เฟื่อง”
นางปฐมพรตกใจกับสิ่งที่ลูกชายเพิ่งจะบอก
“ผมจะไปคุยกับมัน มันทำพี่เฟื่องเสียใจ ผมจะไปเอาเรื่องมัน” ฟางข้าวพูด อารมณ์ร้อนเกรี้ยวกราด หมุนตัวจะเดินออกไป นางปฐมพรรีบฉุดแขนลูกชายไว้
“อย่าลูก! อย่าไป อยู่กับแม่ เอาเฟื่องออกมาจากห้องก่อน แม่เป็นห่วงกลัวเฟื่องคิดสั้น!”
เด็กหนุ่มชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น
จริงสิ! พี่เฟื่องเสียใจมาก อาจจะคิดสั้นก็ได้
แล้วฟางข้าวก็รัวมือทุบประตูห้องพี่สาวอย่างแรง
“พี่เฟื่อง! พี่เฟื่อง! ทำอะไรอยู่ออกมาเถอะ”
“เฟื่อง! ออกมาเถอะนะลูกนะ แม่เป็นห่วง”
“พี่เฟื่อง! ออกมานะ รู้หรือเปล่าพี่กำลังทำให้แม่ร้องไห้”
เฟื่องฟ้าเงยหน้าขึ้นจากเตียง
แม่ร้องไห้หรือ?’ แม่…แม่…เป็นห่วงเธอมากนี่นะ แม่คงกลัวว่าเธอจะคิดสั้น แต่ว่า…ตอนนี้หญิงสาวอยากอยู่คนเดียวมากที่สุด…
“แม่จ๋า...เฟื่องอยากอยู่คนเดียว” เฟื่องฟ้าตอบเสียงสะอื้น
“อย่าเลยนะลูก อย่าอยู่คนเดียวเลยให้แม่เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเถอะ”
“แม่…อย่าห่วงเฟื่องเลยนะ เฟื่องรักแม่ เฟื่องไม่คิดสั้นหรอก…แม่เชื่อเฟื่องนะ”
“เฟื่อง…” นางปฐมพรน้ำตาไหล หันกลับมามองลูกชายราวกับจะขอความคิดเห็น ฟางข้าวสีหน้าเครียด แต่ก็เอ่ยกับมารดา
“ปล่อยเขาเถอะแม่ ผมเชื่อว่าพี่เฟื่องไม่ทำอะไรอย่างงั้นแน่” แต่คนเป็นแม่ อย่างไรก็อดห่วงไม่ได้จนต้องหันมาขอสัญญากับลูกสาว
“สัญญากับแม่นะเฟื่อง ว่าจะไม่ทำอะไรโง่ๆ”
“จ้ะ ขอเฟื่องอยู่คนเดียวนะแม่”
นางปฐมพรปาดน้ำตาทิ้ง หมุนตัวจะเดินลงไปชั้นล่างโดยมีฟางข้าวช่วยพยุงลงไป

เฟื่องฟ้านอนอยู่บนเตียงตั้งแต่วิ่งขึ้นห้องมา ไม่รู้เลยว่าตัวเองนอนร้องไห้อยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่แล้ว หญิงสาวเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นไปแหวกม่านที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก ค่ำเสียแล้ว เหลียวดูนาฬิกาที่หัวเตียง บอกเวลาทุ่มกว่าๆ เฟื่องฟ้ารู้สึกหิวเป็นกำลังเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา
“พี่เฟื่อง แม่เรียกกินข้าว” เสียงฟางข้าวเรียกอยู่หน้าห้อง หญิงสาวออกจากห้องลงมาชั้นล่าง เดินอย่างซังกะตายเข้าไปในครัว น้องและมารดาของเธอนั่งอยู่ในนั้น
“หิวมั้ย? แม่จะหาข้าวให้ทาน”
พยักหน้าตอบรับผู้เป็นมารดา นางปฐมพรกระวีกระวาดหาข้าวหาปลาให้ลูกสาว เฟื่องฟ้าทานข้าวไปเพียงแค่สองสามคำ ไม่ได้สนทนากับมารดาแม้แต่คำเดียว แล้วก็กลับเข้าไปในห้องอีก นางปฐมพรรู้สึกทุกข์ใจกับอาการ ’ไร้ชีวิต ‘ ของลูกสาว เมื่อลูกกินไม่ได้นางเองก็กินไม่ได้เช่นกัน…

เฟื่องฟ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง หลายวันผ่านมาหญิงสาวไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งมองภาพถ่ายของปฏิพัทธ์ แล้วถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอผิดอะไร? ภาพเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่วันที่ได้พบกันครั้งแรก จนกระทั่งชอบกัน แล้วก็คบกัน มันผุดขึ้นมาให้เธอได้เห็นเหมือนกับฟิล์มหนังที่ฉายวนไปวนมา ไม่ว่าจะทำอย่างไรเฟื่องฟ้าก็ไม่อาจจะกำจัดมันออกไปจากความคิดได้เลย จนกระทั่ง….แม่มาเคาะประตูเรียกและบอกว่า…
มีคนมาขอพบกับเธอ...
............................

อืม...ดูฝีมือไม่ค่อยเป็นสับปะรดเลยแฮะ



Create Date : 30 กันยายน 2552
Last Update : 30 กันยายน 2552 17:56:57 น.
Counter : 467 Pageviews.

5 comment
1  2  3  

parinnada
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



แนะนำตัว
New Comments